เย็นวันศุกร์ขณะที่เนยกำลังเก็บของเตรียมกลับบ้าน แพรก็ชะโงกหน้าเข้ามา พร้อมถามด้วยความตื่นเต้น“วันนี้ไปอีคลิปส์อีกปะ?” แพรยังติดใจผับของเคนไม่หาย“วันนี้ไม่แน่ใจเลย ไม่รู้เลยว่าพี่เหมยนัดกับนายเจคที่ไหน” เนยตอบขณะเก็บของลงกระเป๋า“แล้วเมื่อวานได้อะไรมั่งปะ?” แพรที่รู้เรื่องพี่เหมยอาจโดนเจคหลอก ถามด้วยความอยากรู้เนยนิ่งไปครู่หนึ่ง“ก็... ยังไม่แน่ใจ ต้องลองคุยกับเฮียก่อนน่ะ”แพรถอนหายใจแรง “โห! เธออุตส่าหลอกล่อขนาดนั้น ไม่ได้ข้อมูลอะไรเลยเหรอ”ทันใดนั้น เสียงทุ้มต่ำที่คุ้นเคยก็ดังขึ้นจากด้านหลัง“ใครหลอกล่อใครนะ?”ทั้งสองสาวสะดุ้งพร้อมกัน แพรรีบหันไปมองเบียร์ที่ยืนขมวดคิ้วอยู่ไม่ไกล แววตาเขาเต็มไปด้วยความไม่พอใจ“อึ๋ย! เอ่อ...ฉันนึกได้ว่ามีธุระด่วน ไปก่อนนะ!” แพรรีบชิ่งทันที“อ้าว! เทกันงี้เลยเรอะ” เนยร้องตามเพื่อน ก่อนจะหันมายิ้มแหยๆ ให้เบียร์“หืม?ใครหลอกใคร?” เบียร์เลิกคิ้วมองเธออย่างคาดโทษ สายตาของเขาจับจ้องร่างบางอย่างไม่ละความสงสัย“อ๊ะ...อึ๊...อ๊า...ช้าหน่อย...อ๊า”เสียงครางหวานของเนยสั่นสะท้าน ทุกการเคลื่อนไหวของเบียร์ทำให้เธอรู้สึกเหมือนถูกจุดไฟไปทั้งร่าง เขาเร่งจังหวะขึ้นเรื
เช้าวันรุ่งขึ้น แสงแดดอ่อน ๆ ส่องผ่านผ้าม่านเข้ามาในห้อง เนยค่อยๆ ลืมตาขึ้น รู้สึกถึงความระบมทั่วร่างกาย ความเหนื่อยล้าจากค่ำคืนที่ผ่านมายังหลงเหลืออยู่ เธอขยับตัวเล็กน้อย แต่กลับรู้สึกถึงอ้อมแขนแข็งแรงของเบียร์ที่กอดรัดเธอไว้แน่น ร่างของเธอยังคงอบอุ่นอยู่ในอ้อมกอดของเขา“ตื่นแล้วเหรอ?” เสียงทุ้มต่ำของเบียร์ดังขึ้นใกล้ๆ หู เขาก้มลงมองเธอด้วยสายตาเจ้าเล่ห์ รอยยิ้มมุมปากปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา“เธอเป็นไงมั่ง?”เนยกัดริมฝีปากเบาๆ พลางพยายามหลบสายตา แต่ไม่อาจซ่อนความเขินอายและความระบมในร่างกายได้“ฉัน...ปวดตัวไปหมดเลย...” เธอพึมพำออกมาเสียงเบา ร่างกายยังคงอ่อนล้าจากค่ำคืนที่หนักหน่วงเบียร์ยิ้มกว้างกว่าเดิม“ก็เธอทำให้ฉันหึงเอง... ก็ต้องลงโทษซะหน่อย” เขาพูดพลางก้มลงจูบที่หน้าผากของเธออย่างอ่อนโยน แต่แฝงไปด้วยความเจ้าเล่ห์เนยหน้าแดงจัด พยายามเบือนหน้าหลบ“แต่นายก็...ไม่ต้องโหดขนาดนั้นก็ได้...” เธอพึมพำเบาๆ ด้วยความเขิน“ฉันยังไม่ได้ใช้แรงเต็มที่เลยนะ” เบียร์กระซิบข้างหูเธอพร้อมกับหัวเราะเบาๆ เสียงพร่า สายตาของเขายังเต็มไปด้วยความเจ้าเล่ห์ ขณะที่เขายังคงกอดเธอไว้แน่น ร่างกายทั้งสองแนบชิดกั
ทันใดนั้น เสียงข้อความจากโทรศัพท์มือถือของเนยก็ดังขึ้น หญิงสาวหันไปมอง ก่อนจะลุกจากตักของเบียร์แล้วเดินไปหยิบมันขึ้นมาดู ข้อความจากเคนปรากฏบนหน้าจอ‘ยัยหนู คืนนี้ผับแฟนธอมเวล (Phantom Veil) จะส่งของเถื่อน’ ข้อความจากเคนบ่งบอกถึงงานคืนนี้ที่เธอต้องทำ‘โอเค เฮีย คืนนี้เจอกัน’ เนยพิมพ์ตอบกลับทันที ก่อนจะหันไปมองเบียร์ที่จ้องเธออยู่อย่างสงสัย“คืนนี้นายไปกะฉันดิ” เนยยิ้มหวานเดินเข้าไปหาเบียร์และนั่งคร่อมลงบนตัก พลางยกแขนโอบรอบคอของเขา ใบหน้าของเธอใกล้จนแทบสัมผัสกัน แววตาเต็มไปด้วยความยั่วยวนเบียร์มองเธอด้วยรอยยิ้มมุมปาก เขารู้ทันความเจ้าเล่ห์ของเนยทุกครั้ง มือหนาค่อยๆ โอบเอวเธอไว้แน่น ก่อนจะดึงเธอเข้ามาใกล้มากขึ้น“เธอนี่มัน...” เขาพูดพร้อมกับหัวเราะเบาๆ พลางใช้จมูกซุกไซร้ไปตามแก้มนวลเนียน“มีแผนอะไรอีกล่ะ?” เขากระซิบถาม พลางขยับจมูกไปสัมผัสที่ข้างหูของเธอ ทำให้เธอสะท้านไปทั้งร่าง“ก็แค่...อยากให้นายรู้จักฉัน” เนยตอบพร้อมรอยยิ้มยั่ว แววตาของเธอพราวระยับ มือของเธอลูบไล้ไปตามต้นคอของเขาเบาๆ ก่อนจะยื่นริมฝีปากเข้าไปใกล้ปากของเขา ทิ้งระยะห่างเพียงเล็กน้อยเหมือนกำลังจะจูบ แต่ก็หยุดไว้แค่นั้น
ยามเช้าวันจันทร์แรกของสัปดาห์ เส้นทางจราจรในกรุงเทพฯ ที่ปกติก็หนาแน่นอยู่แล้ว ยิ่งแย่ลงไปอีกเมื่อมีอุบัติเหตุบนถนนสุขุมวิท เสียงดีเจรายงานข่าวจราจรผ่านวิทยุยิ่งทำให้หญิงสาวที่นั่งอยู่เบาะหน้าถึงกับขมวดคิ้วด้วยความรำคาญใจ“จะติดอะไรนักหนานะ... ขอแค่ไปให้ถึงสถานีรถไฟฟ้าอ่อนนุชก็เท่านั้นเอง” หญิงสาวบ่นออกมาเสียงเบา พลางก้มลงดูนาฬิกาข้อมือของเธอ ซึ่งบอกเวลา 7.30 น. เข้าไปแล้ว“บ่นเป็นคนแก่ไปได้ รถมันก็ติดแบบนี้ทุกวัน” ชายสูงอายุที่ทำหน้าที่ขับรถพูดล้อเลียนเบาๆ“แหม...เนยต้องรีบไปทำงานนะคะ เมื่อวานก็ไปสายทีนึงแล้ว ที่สำคัญคุณพ่อไม่ต้องทำงานแล้วนี่คะ” เนยตอบกลับด้วยน้ำเสียงกระเง้ากระงอดพ่อของเนยเป็นข้าราชการที่เพิ่งปลดเกษียณเมื่อปีที่ผ่านมา และในช่วงนี้เขามักมีเวลาว่างพอจะทำสิ่งต่างๆ ในชีวิต รวมถึงการขับรถไปส่งลูกสาวสุดที่รักที่สถานีรถไฟฟ้า ห่างจากบ้านไม่ถึง 5 กิโลเมตร แต่วันนี้การจราจรกลับหยุดนิ่งเนื่องจากมีเหตุคนปีนขึ้นไปบนอาคารที่ทำงานของสถานีตำรวจพระโขนง ทำให้มีผู้คนมุงดูและการจราจรติดขัดอย่างหนัก“โห...แบบนี้เนยไปทำงานไม่ทันแน่เลยค่ะ ขึ้นมอเตอร์ไซค์ดีกว่า” หญิงสาวเริ่มกังวลกับเวลาที่ว
ทันทีที่เนยเดินออกมา แพรที่รออยู่หน้าออฟฟิศรีบถามขึ้นทันที“เป็นไงบ้างเนย?”“ก็...ไม่มีอะไรนี่” เนยตอบอย่างไม่ใส่ใจ ยักไหล่เล็กน้อยพร้อมยิ้มกวนๆ ก่อนจะเดินไปยังโต๊ะทำงานของตัวเอง“ไม่มีอะไร? ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าพี่เหมยจะปล่อยเธอมาแบบไม่มีอะไร” แพรเดินตามเพื่อนสาวอย่างสงสัย“ทุกคนรู้ว่าพี่เหมยดุเหมือนสิงโต แกปล่อยเธอมาได้ยังไงเนี่ย?” แพรพูดด้วยสีหน้างุนงง เพราะพี่เหมยเป็นที่รู้จักในเรื่องความดุและการลงโทษพนักงานอย่างเคร่งครัด“คงเพราะ...ฉันดวงดีมั้ง” เนยตอบอย่างไม่ใส่ใจ พลางวางเอกสารบนโต๊ะและจัดของให้เข้าที่“เธอเนี่ยนะ ดวงดี?” แพรย้อนถามเสียงสูง พร้อมจ้องหน้าเนยเหมือนไม่อยากจะเชื่อ“เอาเป็นว่าฉันทำงานสำเร็จ ลูกค้าสมัครบัตรเครดิตกับฉัน นั่นก็คงเป็นเหตุผลที่พี่เหมยไม่ลงโทษฉันล่ะมั้ง” เนยพูดสั้นๆ ตัดบทอย่างรวดเร็ว เพราะรู้ดีว่าแพรคงไม่หยุดถามหากเธอไม่ตอบให้ชัดเจน“พูดถึงเรื่องงาน ฉันได้ยินมาว่าผู้จัดการแบงก์สาขาเยาวราชยอมสมัครบัตรกับเธอแล้วจริงไหม?” แพรถามอย่างสงสัย“ใช่ ทำไมเหรอ?” เนยหยิบกระเป๋าเครื่องสำอางออกมาเตรียมแต่งหน้า“ไม่อยากเชื่อเลย! เขาบอกเองว่าไม่เคยสนใจสมัครบัตรเครดิตกับบริ
ในช่วงพักกลางวัน บริษัทของเนยที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองทำให้มีร้านอาหารมากมายให้เลือก หญิงสาวเดินออกจากบริษัทพร้อมกับแพรและเจี๊ยบ น้องฝึกงานคนใหม่ที่เพิ่งเข้ามาทำงานได้ไม่ถึงสองเดือนเนยเอ็นดูเจี๊ยบมาก เพราะนิสัยและบุคลิกหลายอย่างคล้ายกับตัวเธอ ทั้งในเรื่องความเก่งและความน่ารักสดใส การที่ทั้งสามคนเดินไปไหนมาไหนด้วยกันก็มักจะดึงดูดสายตาของผู้ชายที่เดินผ่านไปมาอยู่เสมอ แต่สิ่งที่ทำให้แพรรู้สึกตลกทุกครั้งคือ พวกเขามักมองแพรด้วยสายตาอิจฉา เพราะคิดว่าเธอเป็นสาวห้าวที่ชอบผู้หญิงด้วยกัน“เฮ้อ... ฉันล่ะไม่อยากเดินกับเธอสองคนเลยจริงๆ” แพรแสร้งถอนหายใจออกมาหนักๆ ขณะที่พวกเธอนั่งในร้านอาหารประจำ“ทำไมล่ะ?” เนยเลิกคิ้วถามด้วยความสงสัย หลังจากสั่งอาหารเสร็จ“ก็ดูเธอสองคนสิ คนหนึ่งก็สวยสง่า อีกคนก็น่ารักอ่อนหวาน ส่วนฉัน...ดูเหมือนผู้ชายชัดๆ” แพรทำหน้าเหมือนทุกข์ใจ พลางย่นจมูก“ผู้ชายที่เดินผ่านพวกเราก็มองฉันอย่างกับจะฆ่าฉันให้ตายคาที่เลยล่ะ คงอยากกินเลือดฉันกันหมดแน่ๆ”คำพูดของแพรทำให้เนยกับเจี๊ยบระเบิดเสียงหัวเราะออกมา ทั้งคู่คุ้นเคยกับมุกตลกแบบนี้ของแพรดี เพราะเธอพูดแบบนี้เกือบทุกครั้งที่ออกไปด้วยกัน
บริษัท ทีเอ็กซ์สตรีม จำกัด เป็นบริษัทให้คำปรึกษาด้านการวางระบบคอมพิวเตอร์ และพัฒนาโปรแกรมซอฟต์แวร์ แม้จะก่อตั้งมาเพียง 5 ปี แต่บริษัทนี้ก็สามารถสร้างกำไรได้ถึง 100 ล้านบาทต่อปีโดยเฉพาะแผนก Development ซึ่งเป็นแผนกที่ทำรายได้หลักจากการขายโปรแกรมให้กับบริษัทเอกชน แถมยังต้องมีพนักงานคอยดูแลและสนับสนุนลูกค้าหลังการขาย ซึ่งทำให้แผนกนี้ถือเป็น ‘หน้าตา’ ของบริษัท และพนักงานที่ทำงานในแผนกนี้ก็ได้รับทั้งอภิสิทธิ์และเงินเดือนสูงตามงานที่โปรแกรมเมอร์แต่ละคนทำได้“เฮ้ย ไอ้เบียร์!” เสียงเรียกดังมาจากด้านหลัง ขณะที่ชายหนุ่มกำลังซ่อมโน้ตบุ๊กอยู่ เขาหยุดมือทันทีที่ได้ยินชื่อของตัวเอง“มีอะไร ไอ้เน?” เบียร์หันไปถามเพื่อนด้วยท่าทางที่ยังง่วนอยู่กับงาน“วันนี้มึงไม่มีงานออกเทรนนอกบริษัทเหรอวะ?”เน เพื่อนสนิทของเขาถามพลางทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ข้างๆ อย่างสบายใจ พร้อมวางถุงน้ำอัดลมกระป๋องลงบนโต๊ะของเบียร์โดยไม่รอคำเชิญ“ไม่มี วันนี้ว่าง แต่พรุ่งนี้กูต้องออกไปข้างนอก” เบียร์ตอบพร้อมกับลงมือซ่อมโน้ตบุ๊กต่อ“ไปไหนล่ะ?” เนยื่นกระป๋องน้ำอัดลมส่งให้เบียร์เบียร์รับไปและเปิดฝาดื่มพลางตอบ “บริษัทบัตรเครดิตอะไรซัก
“เฮ้ย ไอ้เบียร์ หัวหน้าเรียก!”เสียงเพื่อนร่วมงานที่นั่งอยู่ข้างๆ ตะโกนบอก ทำให้เบียร์หลุดออกจากภวังค์ เขาพยักหน้าให้เป็นเชิงรับรู้ ก่อนจะวางกล่องโปรแกรมลงบนโต๊ะ ลุกขึ้นแล้วเดินตรงไปยังห้องหัวหน้าก๊อก ก๊อก“ขออนุญาตครับ” เบียร์เคาะประตูเบาๆ แล้วเปิดเข้าไป หัวหน้าที่กำลังตรวจเอกสารเงยหน้าขึ้นพร้อมรอยยิ้ม“อ้าว มาแล้วเหรอ นั่งก่อนสิ” หัวหน้าฝ่ายทัก ก่อนจะผายมือให้เขานั่งลงที่เก้าอี้ตรงข้ามโต๊ะทำงาน“หัวหน้ามีอะไรหรือครับ?” เบียร์ถามตรงๆ เพราะเขารู้ว่าถ้าไม่มีงานด่วน หัวหน้าคงไม่เรียกเขามา“เรื่องงานพรุ่งนี้น่ะ ทางบริษัทบัตรเครดิตที่เราทำซอฟต์แวร์ให้ ตอนนี้เขาต้องการพัฒนาโปรแกรมควบคู่ไปด้วย และต้องให้เราส่งคนไปเทรนพนักงานที่นั่นด้วย เงื่อนไขทั้งหมดจะคุยกันพรุ่งนี้ในการประชุม” หัวหน้าพูดด้วยสีหน้าหนักใจ“ฟังดูไม่น่ายากเลยนี่ครับ” เบียร์ขมวดคิ้วเล็กน้อย“ดูเหมือนง่ายนะ แต่โปรเจกต์นี้มีความซับซ้อนหน่อย ทางเราต้องส่งคนไปประจำที่บริษัทบัตรเครดิตในช่วงแรก เพื่อเทรนพนักงานให้ใช้งานโปรแกรมของเรา และ...” หัวหน้าหยุดชั่วครู่ก่อนจะพูดต่อ“นอกจากอธิพงศ์แล้ว นายคืออีกคนที่ฉันไว้ใจได้ แต่ตอนนี้อธิพงศ