ระยะปลอดเพื่อน
ตอนที่ 5
ยี่สิบนาทีต่อมา
สุดท้ายฉันก็ออกมากินข้าวกับสองจนได้…
เราออกมาหาข้าวกินในละแวกใกล้กับคอนโด โดยที่สองเป็นคนเลือกร้าน และตอนนี้ข้าวแกงปักษ์ใต้ตรงหน้าก็ทำให้ฉันรู้สึกเจริญอาหารขึ้นมาเพราะคิดถึงบ้านเกิดเหลือเกิน
อันที่จริงบ้านฉันอยู่ที่ภูเก็ต ตอนมาเรียนมหา’ลัยที่กรุงเทพฯ ก็เช่าหออยู่กับเพื่อน และหนึ่งในเพื่อนกลุ่มนั้นก็มีสองอยู่ด้วย ถึงตอนนี้ที่ต้องกลับมาอยู่กรุงเทพฯ อีกรอบเลยต้องหาที่อยู่ใหม่ไง
และก็ต้องเจอแจ็กพอต เพราะโซ่ดันเล่นอะไรไม่เข้าท่า ไม่ต้องบอกก็พอรู้อยู่หรอกว่าที่เพื่อนทำแบบนี้คงจะอยากให้ฉันกับสองได้เจอหน้ากันอีกครั้งเลยใช้วิธีมัดมือชกเอาดื้อ ๆ
แม้ว่าคนที่นั่งฝั่งตรงข้ามจะเป็นคนเลือกร้าน แต่เจ้าตัวกลับสั่งเพียงแค่ไข่พะโล้มาหนึ่งถ้วยเท่านั้น ในขณะที่ฉันกำลังนั่งปากชากับแกงไตปลาที่ไม่ได้กินมานาน อาหารทุกอย่างตรงหน้าเผ็ดร้อนจนข้างแก้มร้อนไปด้วย
เราต่างคนต่างกินจนลืมเรื่องที่จะคุย กระทั่งสองกินเสร็จก่อนแล้วนั่งรอเงียบ ๆ ฉันถึงได้ชำเลืองสายตาขึ้นมอง
“คนที่ออฟฟิศนิสัยเป็นไงบ้าง เราอยากฟัง”
“ไม่คิดจะคุยเรื่องอื่นก่อนเลย?”
“เราออกมาด้วยเพราะต้องการ…”
“เดี๋ยวนี้ไม่ต้องใส่คอนแท็กต์เลนส์แล้วเหรอ?”
“…”
ก็เหมือนทุกทีที่สองจะขัดขึ้นกลางลำ แต่มันก็ไม่เสียหายอะไรที่จะตอบ
“เราทำเลสิกมาเมื่อปีที่แล้ว”
“อือฮึ”
“ว่าแต่พี่วิทย์เขาดูเหมือนจะเป็นคนเก่าคนแก่…”
“แล้วแยมไปอยู่ชลบุรีมากี่ปี?”
“ห้าหรือหกปีนี่แหละ สองรู้ได้ไง?”
“ก็ถามไอ้โซ่ไง”
“อยากรู้อะไรเรื่องเราสองก็ไปถามโซ่เอาก็ได้ เราอยากคุยเรื่องนี้มากกว่า…”
ฉันยังคงไม่ละความพยายามที่จะวกกลับเข้าประเด็นเดิม แต่คนที่นั่งฝั่งตรงข้ามกลับเหมือนไม่ได้ยินอะไรก็ตามที่ฉันพูด สองเอาแต่มอง จบคำถามก็ไม่คิดจะให้คำตอบใด ๆ จนฉันเริ่มที่จะหงุดหงิดขึ้นมานิด ๆ
ไอ้ที่อ้างว่าจะเล่าเรื่องของคนอื่นให้ฟังคงไม่ใช่หรอก เห็นได้ชัดว่าอยากจะสอบปากคำกันเสียมากกว่า
แต่ก่อนที่ฉันจะได้เอ่ยย้ำคำถามเดิมเป็นรอบที่สาม อีกฝ่ายก็ถามสวนขึ้นอีกครั้ง
“แล้วมีแฟนหรือยัง?”
“…”
“ว่าไง?” เมื่อเห็นว่าฉันเงียบ คนถามก็โน้มหัวยื่นข้ามโต๊ะมา “มีแฟนยัง?”
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับสอง?”
ฉันแสร้งทำเป็นตักข้าวเข้าปาก เลี่ยงที่จะตอบเรื่องนี้ ใจกำลังคิดว่าจะบอกไปว่ามีแฟนแล้วดีหรือเปล่า เพราะอีกฝ่ายจะได้เลิกแกล้งกันสักที แต่ก็ขี้คร้านจะโกหก ทำงานหนักขนาดนี้จะเอาเวลาที่ไหนไปหาแฟน
“เราแค่อยากรู้”
“ไม่มี จะเอาเวลาไหนไปมี”
สุดท้ายก็เลือกที่จะบอกออกไปตามตรง แต่นั่นกลับทำให้อีกฝ่ายยกยิ้มมุมปาก และทำให้ฉันรู้สึกพลาดท่าที่ไม่โกหกไปให้รู้แล้วรู้รอด
“ก็ว่าอยู่”
“อะไรอีก…”
“ก็ไม่งั้นจะกลับมาหาเราได้ไง?”
“พอเหอะสอง ก็บอกแล้วไงว่าเรากลับมาทำงาน”
ฉันถอนหายใจเบา ๆ ขี้เกียจจะต่อปากต่อคำ และมันก็ไม่ได้โมโหอะไรเท่าเมื่อเช้า เพราะสองเองก็คงจะแกล้งแหย่เล่นไปอย่างนั้นตามนิสัยเดิม แค่ฉันไม่ได้เจอกับไอ้นิสัยประเภทนี้ของเจ้าตัวมานานเกินไปหน่อยก็เท่านั้น
สองเองก็ไหวไหล่ ไม่ได้ต่อความยาวสาวความยืดถึงเรื่องเดิม กลับเปิดประเด็นใหม่ขึ้นมา
“พรุ่งนี้เพื่อนนัดกินข้าวกัน โซ่บอกหรือยัง?”
“บอกแล้ว” ฉันพยักหน้ารับ เพราะช่วงหัวค่ำโซ่ก็เพิ่งโทรมาบอกจริง ๆ
“แล้วไปไหม?”
“ไม่รู้ ดูก่อน เราว่าจะเอาเอกสารที่บริษัทกลับมาดู”
“ไม่ยักรู้ว่าขยันขนาดนี้” น้ำเสียงชื่นชมกึ่งยียวนเอ่ยต่อ พลางก็ส่งสัญญาณเรียกป้าเจ้าของร้านมาคิดเงินในตอนที่ฉันกินเสร็จพอดี
“ไม่ขยันแล้วจะรวยเหรอ?” ฉันให้คำตอบอย่างจริงจัง ในขณะที่อีกคนหัวเราะเบา ๆ
“หาผัวรวยก็สิ้นเรื่อง สวยขนาดนี้”
“พอดีว่าอยากรวยด้วยตัวเอง”
“อืม… สวยด้วย ฉลาดด้วย”
“เดี๋ยวนี้เราสวยในสายตาสองแล้วเหรอ?”
ฉันได้ทีรีบเลิกคิ้วถาม เพราะเมื่อก่อนเจ้าตัวไม่เคยเอ่ยปากชมกันหรอก แม้ว่าฉันจะสวยมาตั้งแต่สมัยนู้นแล้วก็ตาม
“แล้วเรายังหล่อในสายตาแยมอยู่ไหม?” แต่กลายเป็นว่ากลับโดนคนมั่นหน้าตั้งคำถามกลับแทน
“ไม่อะ”
ฉันรีบปฏิเสธทันควัน ไม่มีทางที่จะตอบอะไรล่อเป้าแบบที่เจ้าตัวอยากจะได้ยินเป็นอันขาด พร้อมกันก็หยัดกายลุกขึ้นยืนเพื่อที่จะหลีกเลี่ยงการมองเครื่องหน้าหล่อเหลาที่กำลังเม้มปากเงยหน้าขึ้นมองด้วยสายตารู้ทัน ส่วนคนขี้โกหกอย่างฉันต้องแสร้งทำเป็นดูดน้ำต่ออีกสองสามที
สองเป็นคนออกเงินค่าอาหารในมื้อนี้ และก็อย่างที่เห็นว่าสุดท้ายแล้วฉันก็ไม่ได้ข้อมูลอะไรเกี่ยวกับเพื่อนร่วมงานที่เป็นประโยชน์เลยแม้แต่น้อย แต่เอาเหอะ อยู่ ๆ ไปเดี๋ยวก็คงรู้เอง
สิบห้านาทีต่อมา
ใช้เวลาไม่นานเราทั้งคู่ก็กลับมาถึงห้อง และจังหวะที่กำลังแตะคีย์การ์ดเข้าห้องนั่นเอง ประตูห้องฝั่งตรงกันข้ามก็เปิดออกพอดี โดยสัญชาตญาณทำให้ฉันต้องหันไปมอง และก็พบว่าสองคนที่กำลังเดินออกมาเป็นคนเดียวกันกับที่พรวดพราดเปิดประตูห้องเข้าไปเมื่อชั่วโมงก่อน
ดูเหมือนสองจะเป็นเพื่อนกับผู้ชายหน้าตาดีสองคนนี้ อายุเราก็น่าจะไล่เลี่ยกัน ฉันยิ้มให้แค่เล็กน้อยเท่านั้นแล้วตั้งท่าจะเดินเข้าห้องเพราะเป็นคนประเภทไม่ค่อยสุงสิงกับคนไม่สนิท
แต่กลายเป็นว่าเสียงจากทางด้านหลังเรียกเอาไว้
“ใช่คุณแยมหรือเปล่าครับ?”
“คะ?”
เท้าสองข้างชะงักไปเล็กน้อย จำต้องหันกลับไปมองอย่างแปลกใจ เพราะมั่นใจว่าไม่เคยเจอกับคนทั้งคู่มาก่อน และพบว่าสองคนนั้นกำลังเหล่หางตามองไปทางสองที่กำลังส่งสัญญาณโบกมือไล่เพื่อน
คนแรกที่ตัวสูงพอกันกับสองย้อมผมสีทองอร่ามทั้งหัว เป็นคนเดินเข้ามาจนใกล้แล้วฉีกยิ้มกว้าง ดูท่าน่าจะเป็นคนอารมณ์ดี
“หลีครับ”
ก่อนที่ตัวสูงชะลูดกว่าใครเพื่อน จะชะโงกหน้าเข้ามาทักอีกคน
“ตงครับ”
“ยะ… แยมค่ะ”
ก็ได้แต่แนะนำตัวกลับด้วยความรู้สึกสับสนงุนงง เพราะอย่างที่บอกว่าฉันมั่นใจแน่ว่าไม่เคยเห็นทั้งคู่มาก่อน แต่ดูเหมือนทั้งสองคนจะรู้จักฉันเสียอย่างนั้น
“เราเคยเจอกันมาก่อนเหรอคะ?”
“ไม่ใช่หรอกครับ แต่ไอ้สองมัน…”
“เพื่อนเราเอง” สองเอ่ยแทรกขึ้น พลางก็พยักพเยิดส่งสัญญาณให้ฉันเข้าห้อง “แยมเข้าไปก่อน”
“เฮ้ย! มึงอย่าเสียมารยาท คนเขาคุยกันอยู่” ตงที่ตอนแรกยืนอยู่ด้านหลังของหลีรีบเบียดตัวแทรกมายืนด้านหน้าคนเอ่ยปากไล่
“ไอ้สองมันเล่าให้เราฟังว่าเมื่อก่อนมีเพื่อนสนิทเป็นผู้หญิง…”
“เล่าว่าสวยมาก”
“ชื่อว่าแยม”
“…”
ฉันรู้สึกหน้าร้อนผ่าวขึ้นมากับการต่อประโยคกันเป็นทอด ๆ ของบุคคลที่เพิ่งได้รู้จัก สายตาชำเลืองมองไปยังคนที่ชมกันลับหลังที่ตอนนี้ถึงกับเม้มปากแน่นกลอกตามองบนเมื่อโดนขายซึ่ง ๆ หน้า
แต่เพราะสิ่งที่ได้ยินทำให้ฉันสามารถยกยิ้มขึ้นมาได้ ก่อนจะหันไปเลิกคิ้วเอ่ยแซวเอาคืนบ้าง
“ชมเราให้คนอื่นฟังงี้?”
สองหัวเราะเบา ๆ เมื่อโดนถามแบบตรงไปตรงมา กระนั้นก็พยักหน้าส่ง ๆ แบบไม่คิดจะปฏิเสธใด ๆ
“เออ”
จากที่กะจะแกล้งแซวให้อาย กลับเป็นฉันเองที่ข้างแก้มร้อนผ่าวยิ่งกว่าเดิม ต้องละสายตากลับมามองอีกสองคนแทน เพราะตอนนี้เป็นฉันที่กำลังอาย ไม่ใช่อีกคน
“คุณแยม…”
“เรียกแยมก็ได้ค่ะ”
“งั้น… แยมย้ายมาอยู่ที่นี่เหรอครับ?”
“ใช่ค่ะ พอดีย้ายที่ทำงานเลยต้องหาห้องเช่า”
“ดีกันกับสองแล้วเหรอครับ?”
“คะ?” เป็นต้องเลิกคิ้วขึ้นอีกครั้งเพราะไม่เข้าใจในคำถาม หลีเลยพยักพเยิดไปทางสองที่ยืนใช้ไหล่พิงกำแพงประกอบฉากอยู่
“ก็ที่ว่าเลิกคบกันเพราะว่าแยม…”
“…”
“ที่ว่าแยมแอบชอบสองมันอะครับ” ตงรีบเอ่ยต่อประโยคของเพื่อนที่ชะงักค้างไป
และตอนนี้ฉันก็รับรู้ได้ว่าตัวเองกำลังอายหนักขึ้นไปอีก รู้สึกอายจนลมแทบจะออกหูกับความลับระดับชาติที่มีแต่เพื่อน ๆ เท่านั้นที่รู้กัน ตอนนี้มีคนนอกล่วงรู้เพิ่มขึ้นอีกอย่างน้อยตั้งสองคน ถึงอย่างนั้นก็ต้องพยายามปั้นหน้ายิ้ม
“อดีตค่ะนานมากแล้ว ตอนนี้ไม่ได้ชอบ” ว่าแล้วก็หันไปมองค้อนไอ้ตัวการที่ถึงกับทำตาโตเมื่อถูกค้อนเข้าให้
“แล้วแยมมีแฟนหรือยังครับ?” เสียงของหลีทำให้ต้องละสายตามองกลับมาอีกรอบ
“ยังไม่มีหรอกค่ะ”
“แล้ว… จีบได้ไหมครับ?” ดวงหน้าหล่อตี๋อินเตอร์ยิ้มกว้างจนตาแทบจะเป็นสระอิ
แต่ก่อนที่จะได้ตอบอะไร สองก็เดินเข้ามาขวางระหว่างกลาง พลางก็ผลักไหล่ฉันให้ถอยเข้าประตูห้องที่เปิดอ้าอยู่ให้เดินไปด้านใน
“อย่าลามปาม” ว่าแล้วก็โบกหัวเพื่อนไปหนึ่งที ในขณะที่หลีร้องลั่น
“อะไร? ก็เขาสวย กูก็ต้องรีบสอบถาม”
“พอได้ละ กูจะเข้าห้อง” สองไม่พูดเปล่าแต่เดินเบียดฉันเข้ามาอีก
“ไรของมึงเนี่ยไอ้สอง?”
“เจอกัน”
“เดี๋ยวดิ…”
ปึง!
ประตูปิดลงแล้วอย่างรวดเร็ว เสียงคนข้างนอกตะโกนด่าเพื่อนดังจนได้ยินเข้ามาถึงในนี้ แต่สองกลับทำเป็นไม่สนใจ และทันทีที่มันหมุนตัวกลับมาฉันก็ใช้กำปั้นทุบ ‘ปั้ก’ เข้าที่หน้าอกเพื่อนทันที
“อะไรเนี่ย?” คนตัวโตยกแขนขึ้นป้องการประทุษร้ายร่างกายเป็นรอบที่สอง แต่ฉันก็เปลี่ยนเป็นหยิกแขนแทน
“เอาเรื่องเราไปเล่าให้คนอื่นฟังได้ไง? น่าอายจะตาย!” ฉันร้องแหวอย่างเดือด ๆ ในขณะที่สองชะงักไปเล็กน้อย
“ชมว่าสวยมันน่าอายตรงไหน?”
“ไม่ใช่เรื่องนั้น! แต่ที่ไปบอกคนอื่นว่าเราชอบสองต่างหาก!”
“อ้อ”
ปึก!!
ฉันทุบอกเข้าให้อีกทีอย่างหงุดหงิด แต่เจ้าตัวกลับหัวเราะเสียงดัง คว้ามือฉันเอาไว้จับแน่น
“ใจเย็นดิ”
“เราอาย!”
“เราไม่ใช่คนเล่า” ริมฝีปากสวยยกยิ้มกว้าง พลางก็หัวเราะไปด้วย แต่ฉันขำไม่ออก
“ถ้าไม่ใช่สองแล้วจะเป็นใคร ก็ไหนว่าเพื่อนกัน?”
“ไอ้โซ่มั้ง มันก็เป็นเพื่อนไอ้สองคนนั้นเหมือนกัน มันมาอยู่ที่นี่พักนึงเมื่อปีที่แล้ว”
“…” โซ่อีกแล้ว!
“ทีนี้เลิกตีได้ยัง?”
“เออ ปล่อยได้แล้ว”
ฉันพยายามจะกระชากมือตัวเองกลับ แต่สองกลับยื้อเอาไว้ สายตามองต่ำลงยังมือของฉันที่ตัวเองจับอยู่ ก่อนจะเลื่อนสายตามองสำรวจกันอยู่อึดใจ
“ผอมลงเยอะ มือมีแต่กระดูก”
“ช่างเหอะน่า”
ฉันดึงมือตัวเองกลับมาได้ในที่สุดแล้วรีบดึงเอาโทรศัพท์ออกจากกระเป๋ากางเกง คิดว่าคงจะต้องโทรไปด่าไอ้โซ่อีกสักรอบ โดยไม่ทันได้สนใจสายตาของสองที่มองตามมา เห็นอีกทีก็ตอนที่คิ้วหนาขมวดเข้าหากัน
แต่จังหวะนั้นปลายสายก็รับพอดี ฉันเลยไม่ทันได้หันไปสนใจสองต่อ รีบเดินเข้าห้องแล้วเริ่มโวยวายใส่ไอ้ตัวปากไม่มีหูรูดแทน
ระยะปลอดเพื่อนตอนที่ 120.00 น.“ถึงแล้วเนี่ย แกอยู่ไหน?”‘คีย์การ์ดอยู่ที่ล็อบบี้แกไปเอาได้เลย บอกเขาไปว่าห้อง 2302’“แล้วแกไม่ได้มาเจอกันที่นี่หรือไง?”‘ไม่ทันแล้ว ฉันคงลืมบอกแกว่ามีธุระไปสวีเดนกะทันหัน’“ฮะ?”‘เหอะน่า โซ่มันคงไม่หลอกให้แกไปอยู่กับคนประหลาดหรอกแยม’“แต่แกบอกว่าจะมาอยู่ด้วยกัน?”‘ขอโทษนะแยม แต่รอบนี้ฉันคงต้องเทแกจริง ๆ ไม่ต้องห่วงเรื่องค่าห้องเดี๋ยวฉันจะช่วยหารทุกเดือน!’“ลัน!!”‘โอ๊ย ๆ แค่นี้ก่อนนะ เขาเรียกเข้าเกตแล้ว’“ลัน!!”เสียงจากปลายสายตัดไปแล้ว และไม่ว่าจะกระหน่ำโทรไปกี่ครั้งเพื่อนตัวดีก็กดตัดสายทิ้งอยู่ดี กระทั่งสายสุดท้ายเสียงตัดเข้าระบบฝากข้อความอัตโนมัติดังขึ้นทำให้ฉันรู้ได้ในทันทีว่า ‘การโดนเท’ ของจริงมันเป็นยังไงตอนนี้เป็นเวลาค่ำแล้ว กวาดตามองไปรอบตัวก็พบว่าโถงล็อบบี้ของคอนโดหรูย่านใจกลางเมือง มีคนไม่กี่คนเท่านั้นที่กำลังชำเลืองมองมาทางที่ฉันยืนอยู่ เหตุคงเป็นเพราะเมื่อครู่ฉันเผลอตะเบ็งเสียงใส่โทรศัพท์จนลืมสนใจคนรอบข้างไปก็ได้แต่พยายามไม่สนใจสายตาแปลก ๆ ของคนอื่น รวมถึงพนักงานรักษาความปลอดภัยที่จ้องมองมาอย่างตะขิดตะขวงใจ แต่รีบคว้าเอาคันลากของกระเป๋า
ระยะปลอดเพื่อนตอนที่ 2 ก็ถ้าโซ่อยากจะทำให้ฉันตกใจเล่น ๆ ก็นับได้ว่ามันทำสำเร็จ เพราะตอนนี้ฉันตกใจจริง ๆ กับการเจอหน้าคนซึ่งไม่ได้เจอกันมานานเพราะตัวฉันเองเอาแต่หลีกเลี่ยงการที่จะได้เจอกันอีกครั้งมาโดยตลอด เพื่อนร่วมห้องคนใหม่ไม่ใช่ใครอื่น แต่คืออดีตเพื่อนซี้ของฉันเอง สองไม่ได้เปลี่ยนไปจากหลายปีก่อนเท่าไร หน้าตาก็หล่อเหมือนเดิม ทว่าสีผิวดูเข้มขึ้นจากเมื่อก่อนที่แทบจะเรียกได้ว่าเป็นพวกผิวขาวซีด ตอนนี้ดูสุขภาพดีขึ้นกว่าตอนนั้นเป็นไหน ๆ อีกทั้งยังดูโตขึ้นมาก เลื่อนสายตามองปราดเดียวก็รู้ได้ว่าเราห่างหายกันไปนานมากจริง ๆ หลังจากตะลึงจนพอใจแล้วฉันก็เบนสายตาไปทางอื่นพลางก็เอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงนิ่งสนิท ไม่สนใจทีท่าของอีกคนที่ราวกับระหว่างเราไม่มีอดีตขมขื่นร่วมกัน ก็อาจจะเป็นฉัน… ที่ขมขื่นอยู่แค่ฝ่ายเดียว… “รบกวนเบาเสียงลงหน่อยค่ะ พอดีจะนอน” “…” เพียงแค่ได้ยินคู่สนทนาก็บิดยิ้ม นัยน์ตาสีเข้มหรี่ลงเล็กน้อย เสียงหัวเราะดังขึ้นเบา ๆ ราวกับเป็นเรื่องตลกเสียเต็มประดาที่ตัวเองทำตัวไม่มีมารยาทแบบนี้ ฉันหมุนตัวเดินหนีทันทีพร้อมทั้งเอ
ระยะปลอดเพื่อนตอนที่ 3 รถญี่ปุ่นคันโตสนิทนิ่งในซองจอดของลานจอดรถหน้าอาคารสำนักงานขนาดใหญ่ที่คงจะมีบริษัทค่อนร้อยอยู่บนนั้น เพราะเห็นว่ายังเหลือเวลาอีกเล็กน้อยก่อนที่จะเข้างาน ฉันก็รีบต่อสายหาโซ่ทันที แม้สิบสายแรกมันยังปฏิเสธที่จะรับ แต่หลังจากที่รัวพิมพ์แชตส่งไปด่า สายที่สิบเอ็ดรอสายแค่อึดใจเพื่อนก็รับในที่สุด และฉันก็ร้องถามเสียงดังทันที “โซ่! นี่มันเรื่องบ้าอะไร?” ‘ใจเย็น ๆ’น้ำเสียงขบขันจากปลายสายยิ่งทำให้อุณหภูมิของร่างกายพุ่งสูงขึ้น และเสียงที่เปล่งออกไปก็หวีดแหลมยิ่งกว่าเดิม “จะเย็นได้ยังไง? โซ่ให้เรามาอยู่กับสองได้ยังไง?” ‘ก็ไม่เห็นเป็นไรเลย เพื่อนกันทั้งนั้น’ “ไม่ตลกเลยนะ เราจะย้ายออก หาห้องให้เราใหม่ด้วย” ‘มันเต็มหมดแล้ว ก็เหลือแค่ห้องนั้นแหละ’ “ก็แล้วทำไมไม่บอกก่อนว่าคนที่ต้องอยู่ด้วย…” ‘ก็แยมบอกเองว่าอยู่กับใครก็ได้ ขอแค่เป็นคนไว้ใจได้ก็พอ’ “แต่ต้องไม่ใช่สองไหม?” ‘ไอ้สองมันก็ไว้ใจได้ที่สุดแล้วไง’ “ไม่รู้แหละ จะให้ทนมองหน้ากันเข้าไปได้ยังไง?” ฉันโอด
ระยะปลอดเพื่อนตอนที่ 4 ครึ่งชั่วโมงต่อมา สายตาทุกคู่จับจ้องมองมาในขณะที่พี่อ้อยดีเอ็มดี (รองกรรมการผู้จัดการ)กำลังแนะนำฉันให้เพื่อนร่วมงานรู้จัก รวมถึงแนะนำคนอื่นให้ฉันรู้จักด้วยทว่าสมองฉันในตอนนี้ราวกับจะดับไปเสียแล้ว หูอื้อฟังอะไรแทบไม่รู้เรื่อง แม้สายตาพยายามจะเบนมองไปทางอื่น แต่ก็เห็นสองได้จากทางหางตาอยู่ดี และแม้พยายามจะยิ้มให้ทุกคน แต่ตอนนี้คงจะเป็นยิ้มที่แข็งทื่อน่าดู หลังจากพี่อ้อยแนะนำเพื่อนร่วมงานคนสุดท้ายให้รู้จักเรียบร้อย ก็หันมามองหน้ากันอีกครั้ง รอยยิ้มกว้างประดับบนใบหน้าด้วยความรู้สึกยินดี “คุณแยมจะมาเป็นพีเอ็ม (ผู้จัดการโปรเจกต์) คนใหม่ของเรา ยังไงก็ฝากทุกคนให้การต้อนรับผู้จัดการคนใหม่ด้วย” “สวัสดีค่ะ แยมค่ะ ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ” ฉันก้มหัวเล็กน้อย พยายามยิ้มหวานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้เพราะโปรเจกต์ที่ว่านี้หากทำสำเร็จอาจส่งผลให้ตัวฉันได้เลื่อนขั้นเร็วขึ้น และการถูกโยกย้ายตำแหน่งงานมาที่นี่ หนึ่งในผลประโยชน์ที่ฉันจะได้รับหากทำสำเร็จก็คือการพิจารณาเลื่อนขั้นที่ว่านี้เอง แต่ก็อาจจะไม่ได้ง่ายอย่างที่ใจคิด…
ระยะปลอดเพื่อนตอนที่ 5 ยี่สิบนาทีต่อมา สุดท้ายฉันก็ออกมากินข้าวกับสองจนได้… เราออกมาหาข้าวกินในละแวกใกล้กับคอนโด โดยที่สองเป็นคนเลือกร้าน และตอนนี้ข้าวแกงปักษ์ใต้ตรงหน้าก็ทำให้ฉันรู้สึกเจริญอาหารขึ้นมาเพราะคิดถึงบ้านเกิดเหลือเกิน อันที่จริงบ้านฉันอยู่ที่ภูเก็ต ตอนมาเรียนมหา’ลัยที่กรุงเทพฯ ก็เช่าหออยู่กับเพื่อน และหนึ่งในเพื่อนกลุ่มนั้นก็มีสองอยู่ด้วย ถึงตอนนี้ที่ต้องกลับมาอยู่กรุงเทพฯ อีกรอบเลยต้องหาที่อยู่ใหม่ไง และก็ต้องเจอแจ็กพอต เพราะโซ่ดันเล่นอะไรไม่เข้าท่า ไม่ต้องบอกก็พอรู้อยู่หรอกว่าที่เพื่อนทำแบบนี้คงจะอยากให้ฉันกับสองได้เจอหน้ากันอีกครั้งเลยใช้วิธีมัดมือชกเอาดื้อ ๆแม้ว่าคนที่นั่งฝั่งตรงข้ามจะเป็นคนเลือกร้าน แต่เจ้าตัวกลับสั่งเพียงแค่ไข่พะโล้มาหนึ่งถ้วยเท่านั้น ในขณะที่ฉันกำลังนั่งปากชากับแกงไตปลาที่ไม่ได้กินมานาน อาหารทุกอย่างตรงหน้าเผ็ดร้อนจนข้างแก้มร้อนไปด้วย เราต่างคนต่างกินจนลืมเรื่องที่จะคุย กระทั่งสองกินเสร็จก่อนแล้วนั่งรอเงียบ ๆ ฉันถึงได้ชำเลืองสายตาขึ้นมอง“คนที่ออฟฟิศนิสัยเป็นไงบ้าง เราอยากฟัง”“ไม่คิดจะคุยเรื่องอื่นก่อ
ระยะปลอดเพื่อนตอนที่ 4 ครึ่งชั่วโมงต่อมา สายตาทุกคู่จับจ้องมองมาในขณะที่พี่อ้อยดีเอ็มดี (รองกรรมการผู้จัดการ)กำลังแนะนำฉันให้เพื่อนร่วมงานรู้จัก รวมถึงแนะนำคนอื่นให้ฉันรู้จักด้วยทว่าสมองฉันในตอนนี้ราวกับจะดับไปเสียแล้ว หูอื้อฟังอะไรแทบไม่รู้เรื่อง แม้สายตาพยายามจะเบนมองไปทางอื่น แต่ก็เห็นสองได้จากทางหางตาอยู่ดี และแม้พยายามจะยิ้มให้ทุกคน แต่ตอนนี้คงจะเป็นยิ้มที่แข็งทื่อน่าดู หลังจากพี่อ้อยแนะนำเพื่อนร่วมงานคนสุดท้ายให้รู้จักเรียบร้อย ก็หันมามองหน้ากันอีกครั้ง รอยยิ้มกว้างประดับบนใบหน้าด้วยความรู้สึกยินดี “คุณแยมจะมาเป็นพีเอ็ม (ผู้จัดการโปรเจกต์) คนใหม่ของเรา ยังไงก็ฝากทุกคนให้การต้อนรับผู้จัดการคนใหม่ด้วย” “สวัสดีค่ะ แยมค่ะ ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ” ฉันก้มหัวเล็กน้อย พยายามยิ้มหวานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้เพราะโปรเจกต์ที่ว่านี้หากทำสำเร็จอาจส่งผลให้ตัวฉันได้เลื่อนขั้นเร็วขึ้น และการถูกโยกย้ายตำแหน่งงานมาที่นี่ หนึ่งในผลประโยชน์ที่ฉันจะได้รับหากทำสำเร็จก็คือการพิจารณาเลื่อนขั้นที่ว่านี้เอง แต่ก็อาจจะไม่ได้ง่ายอย่างที่ใจคิด…
ระยะปลอดเพื่อนตอนที่ 3 รถญี่ปุ่นคันโตสนิทนิ่งในซองจอดของลานจอดรถหน้าอาคารสำนักงานขนาดใหญ่ที่คงจะมีบริษัทค่อนร้อยอยู่บนนั้น เพราะเห็นว่ายังเหลือเวลาอีกเล็กน้อยก่อนที่จะเข้างาน ฉันก็รีบต่อสายหาโซ่ทันที แม้สิบสายแรกมันยังปฏิเสธที่จะรับ แต่หลังจากที่รัวพิมพ์แชตส่งไปด่า สายที่สิบเอ็ดรอสายแค่อึดใจเพื่อนก็รับในที่สุด และฉันก็ร้องถามเสียงดังทันที “โซ่! นี่มันเรื่องบ้าอะไร?” ‘ใจเย็น ๆ’น้ำเสียงขบขันจากปลายสายยิ่งทำให้อุณหภูมิของร่างกายพุ่งสูงขึ้น และเสียงที่เปล่งออกไปก็หวีดแหลมยิ่งกว่าเดิม “จะเย็นได้ยังไง? โซ่ให้เรามาอยู่กับสองได้ยังไง?” ‘ก็ไม่เห็นเป็นไรเลย เพื่อนกันทั้งนั้น’ “ไม่ตลกเลยนะ เราจะย้ายออก หาห้องให้เราใหม่ด้วย” ‘มันเต็มหมดแล้ว ก็เหลือแค่ห้องนั้นแหละ’ “ก็แล้วทำไมไม่บอกก่อนว่าคนที่ต้องอยู่ด้วย…” ‘ก็แยมบอกเองว่าอยู่กับใครก็ได้ ขอแค่เป็นคนไว้ใจได้ก็พอ’ “แต่ต้องไม่ใช่สองไหม?” ‘ไอ้สองมันก็ไว้ใจได้ที่สุดแล้วไง’ “ไม่รู้แหละ จะให้ทนมองหน้ากันเข้าไปได้ยังไง?” ฉันโอด
ระยะปลอดเพื่อนตอนที่ 2 ก็ถ้าโซ่อยากจะทำให้ฉันตกใจเล่น ๆ ก็นับได้ว่ามันทำสำเร็จ เพราะตอนนี้ฉันตกใจจริง ๆ กับการเจอหน้าคนซึ่งไม่ได้เจอกันมานานเพราะตัวฉันเองเอาแต่หลีกเลี่ยงการที่จะได้เจอกันอีกครั้งมาโดยตลอด เพื่อนร่วมห้องคนใหม่ไม่ใช่ใครอื่น แต่คืออดีตเพื่อนซี้ของฉันเอง สองไม่ได้เปลี่ยนไปจากหลายปีก่อนเท่าไร หน้าตาก็หล่อเหมือนเดิม ทว่าสีผิวดูเข้มขึ้นจากเมื่อก่อนที่แทบจะเรียกได้ว่าเป็นพวกผิวขาวซีด ตอนนี้ดูสุขภาพดีขึ้นกว่าตอนนั้นเป็นไหน ๆ อีกทั้งยังดูโตขึ้นมาก เลื่อนสายตามองปราดเดียวก็รู้ได้ว่าเราห่างหายกันไปนานมากจริง ๆ หลังจากตะลึงจนพอใจแล้วฉันก็เบนสายตาไปทางอื่นพลางก็เอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงนิ่งสนิท ไม่สนใจทีท่าของอีกคนที่ราวกับระหว่างเราไม่มีอดีตขมขื่นร่วมกัน ก็อาจจะเป็นฉัน… ที่ขมขื่นอยู่แค่ฝ่ายเดียว… “รบกวนเบาเสียงลงหน่อยค่ะ พอดีจะนอน” “…” เพียงแค่ได้ยินคู่สนทนาก็บิดยิ้ม นัยน์ตาสีเข้มหรี่ลงเล็กน้อย เสียงหัวเราะดังขึ้นเบา ๆ ราวกับเป็นเรื่องตลกเสียเต็มประดาที่ตัวเองทำตัวไม่มีมารยาทแบบนี้ ฉันหมุนตัวเดินหนีทันทีพร้อมทั้งเอ
ระยะปลอดเพื่อนตอนที่ 120.00 น.“ถึงแล้วเนี่ย แกอยู่ไหน?”‘คีย์การ์ดอยู่ที่ล็อบบี้แกไปเอาได้เลย บอกเขาไปว่าห้อง 2302’“แล้วแกไม่ได้มาเจอกันที่นี่หรือไง?”‘ไม่ทันแล้ว ฉันคงลืมบอกแกว่ามีธุระไปสวีเดนกะทันหัน’“ฮะ?”‘เหอะน่า โซ่มันคงไม่หลอกให้แกไปอยู่กับคนประหลาดหรอกแยม’“แต่แกบอกว่าจะมาอยู่ด้วยกัน?”‘ขอโทษนะแยม แต่รอบนี้ฉันคงต้องเทแกจริง ๆ ไม่ต้องห่วงเรื่องค่าห้องเดี๋ยวฉันจะช่วยหารทุกเดือน!’“ลัน!!”‘โอ๊ย ๆ แค่นี้ก่อนนะ เขาเรียกเข้าเกตแล้ว’“ลัน!!”เสียงจากปลายสายตัดไปแล้ว และไม่ว่าจะกระหน่ำโทรไปกี่ครั้งเพื่อนตัวดีก็กดตัดสายทิ้งอยู่ดี กระทั่งสายสุดท้ายเสียงตัดเข้าระบบฝากข้อความอัตโนมัติดังขึ้นทำให้ฉันรู้ได้ในทันทีว่า ‘การโดนเท’ ของจริงมันเป็นยังไงตอนนี้เป็นเวลาค่ำแล้ว กวาดตามองไปรอบตัวก็พบว่าโถงล็อบบี้ของคอนโดหรูย่านใจกลางเมือง มีคนไม่กี่คนเท่านั้นที่กำลังชำเลืองมองมาทางที่ฉันยืนอยู่ เหตุคงเป็นเพราะเมื่อครู่ฉันเผลอตะเบ็งเสียงใส่โทรศัพท์จนลืมสนใจคนรอบข้างไปก็ได้แต่พยายามไม่สนใจสายตาแปลก ๆ ของคนอื่น รวมถึงพนักงานรักษาความปลอดภัยที่จ้องมองมาอย่างตะขิดตะขวงใจ แต่รีบคว้าเอาคันลากของกระเป๋า