ระยะปลอดเพื่อน
ตอนที่ 1
20.00 น.
“ถึงแล้วเนี่ย แกอยู่ไหน?”
‘คีย์การ์ดอยู่ที่ล็อบบี้แกไปเอาได้เลย บอกเขาไปว่าห้อง 2302’
“แล้วแกไม่ได้มาเจอกันที่นี่หรือไง?”
‘ไม่ทันแล้ว ฉันคงลืมบอกแกว่ามีธุระไปสวีเดนกะทันหัน’
“ฮะ?”
‘เหอะน่า โซ่มันคงไม่หลอกให้แกไปอยู่กับคนประหลาดหรอกแยม’
“แต่แกบอกว่าจะมาอยู่ด้วยกัน?”
‘ขอโทษนะแยม แต่รอบนี้ฉันคงต้องเทแกจริง ๆ ไม่ต้องห่วงเรื่องค่าห้องเดี๋ยวฉันจะช่วยหารทุกเดือน!’
“ลัน!!”
‘โอ๊ย ๆ แค่นี้ก่อนนะ เขาเรียกเข้าเกตแล้ว’
“ลัน!!”
เสียงจากปลายสายตัดไปแล้ว และไม่ว่าจะกระหน่ำโทรไปกี่ครั้งเพื่อนตัวดีก็กดตัดสายทิ้งอยู่ดี กระทั่งสายสุดท้ายเสียงตัดเข้าระบบฝากข้อความอัตโนมัติดังขึ้นทำให้ฉันรู้ได้ในทันทีว่า ‘การโดนเท’ ของจริงมันเป็นยังไง
ตอนนี้เป็นเวลาค่ำแล้ว กวาดตามองไปรอบตัวก็พบว่าโถงล็อบบี้ของคอนโดหรูย่านใจกลางเมือง มีคนไม่กี่คนเท่านั้นที่กำลังชำเลืองมองมาทางที่ฉันยืนอยู่ เหตุคงเป็นเพราะเมื่อครู่ฉันเผลอตะเบ็งเสียงใส่โทรศัพท์จนลืมสนใจคนรอบข้างไป
ก็ได้แต่พยายามไม่สนใจสายตาแปลก ๆ ของคนอื่น รวมถึงพนักงานรักษาความปลอดภัยที่จ้องมองมาอย่างตะขิดตะขวงใจ แต่รีบคว้าเอาคันลากของกระเป๋าเดินทางใบโตตรงดิ่งไปที่หน้าเคาน์เตอร์ทันที
“ห้อง 2302 ค่ะ มีคนฝากคีย์การ์ดไว้ไหมคะ?”
“สักครู่นะคะ”
พนักงานต้อนรับแย้มยิ้มได้อย่างเป็นธรรมชาติ แม้ว่าเมื่อครู่สายตาที่มองจะเป็นอีกแบบหนึ่งก็ตาม ฉันยืนรอนิ่ง ๆ ทว่าในหัวตอนนี้กำลังก่นด่าสาปแช่งเพื่อนสาวคนสนิทที่ป่านนี้คงจะขึ้นเครื่องไปแล้ว ไปแบบที่ไม่บอกไม่กล่าวอะไรเลยด้วย ก็เพิ่งมาบอกเอาเมื่อครู่นี้ไง
“คุณผู้หญิงชื่อว่าอะไรคะ?” พนักงานคนเดิมเงยหน้าขึ้นถาม พร้อมเอ่ยปากขอข้อมูล
“ชื่อแยมค่ะ พอดีกำลังจะย้ายเข้ามาอยู่ เจ้าของห้องบอกว่าฝากคีย์การ์ดไว้ที่นี่ค่ะ”
“ได้ค่ะ เป็นห้องเดียวกันกับคุณสองใช่ไหมคะ?”
“คะ?”
“ผู้เช่าอีกคนหนึ่งค่ะ เห็นคุณโซ่แจ้งไว้แบบนั้น”
“ถ้าโซ่บอก… ก็คงจะอย่างนั้นละมั้งคะ”
“ได้ค่ะ นี่คีย์การ์ดค่ะ ชั้นที่ 23 นะคะ”
“ขอบคุณค่ะ”
ฉันรับเอาคีย์การ์ดสีดำสนิทเงาวับมา พลางก็พลิกดูด้านหนึ่ง มันระบุหมายเลขห้องเอาไว้ชัดเจน แม้ว่าจะแอบรู้สึกแปลก ๆ กับชื่อ ‘สอง’ ที่เพิ่งได้ยิน แต่ก็ไม่อยากจะตีตนไปก่อนไข้
โซ่เป็นเพื่อนสนิทที่อยู่กันมาตั้งแต่สมัยเรียนมหา’ลัย กระทั่งแยกย้ายต่างคนต่างไปเติบโตทำงานทำการ เราก็แทบไม่ได้เจอหน้า นานทีปีหนเท่านั้นถึงจะเจอกันที แต่ก็มีติดต่อกันอยู่ตลอด
ฉันได้งานแรกที่ชลบุรีตั้งแต่เรียนจบหมาด ๆ เลยย้ายถิ่นที่อยู่ไปพำนักที่นู่นได้หลายปี กระทั่งได้รับการโยกย้ายให้มารับตำแหน่งงานใหม่ที่บริษัทลูกซึ่งอยู่ที่กรุงเทพฯ เลยจำต้องหาที่อยู่ใหม่ เราสองคนเลยได้คุยกันบ่อย ๆ ในระยะหลังมานี้
และเพื่อนก็คงไม่อุตริคิดอะไรแผลง ๆ แบบที่กำลังผุดขึ้นมาในหัวของฉันตอนนี้ ไม่งั้นฉันจะต้องตามไปถลกหนังหัวของมันเป็นแน่
เวลาไม่กี่นาทีฉันก็มาหยุดยืนตรงหน้าบานประตูไม้สักขนาดใหญ่ที่ชั้น23 ตัวเลขที่หน้าห้องระบุว่าเป็นห้องหมายเลข 2302 ส่วนห้องที่ประตูอยู่ฝั่งตรงข้ามกันเป็นห้องหมายเลข 2301
เพราะเป็นคอนโดราคาแพง ไม่แปลกใจที่แต่ละชั้นจะมีห้องเพียงแค่สองยูนิตเท่านั้น เรื่องนี้ฉันรู้อยู่ก่อนแล้ว และดีใจไม่น้อยที่ได้โชค เช่าคอนโดหรูย่านใจกลางเมืองในเรตราคาที่ต่ำกว่าปกติเพราะเจ้าของห้องคือพี่ชายของเพื่อนสนิทอย่างโซ่นั่นเอง เห็นว่าทำธุรกิจปล่อยเช่าคอนโดได้หลายปีแล้ว
ทันทีที่เปิดประตูเข้ามาก็ต้องพบกับความโอ่อ่าของห้อง หากจะอยู่สามคนคงไม่ใช่อะไรที่น่าอึดอัดนัก ทุกโซนถูกจัดแยกไว้อย่างชัดเจน ทั้งโซนนั่งเล่น โซนครัว ตัวระเบียงด้านนอกกว้างขวาง ส่วนห้องนอนมีสองห้อง ประตูอยู่คนละฝั่งกัน
ถ้าเกิดว่า ‘ลันตา’ หรือที่เพื่อนทุกคนเรียกกันจนติดปากว่า ‘ลัน’ ไม่มาเทกันไปดื้อ ๆ แบบที่ยังไม่ได้แถลงไขอะไรให้ชัดเจน ฉันกับเพื่อนก็คงจะต้องอยู่ร่วมกันในห้องหนึ่ง
ส่วนอีกห้องที่แค่มองด้วยตาก็รู้ว่ามีคนอยู่ เนื่องจากบนบานประตูมีกระดาษโน้ตหลายแผ่นถูกแปะไว้เหมือนจะเป็นตารางงาน หรือนัดหมายอะไรสักอย่าง ห้องนั้นก็คงจะเป็นห้องของเพื่อนร่วมห้องที่ฉันเองก็ยังไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นใคร
รู้ก็เพียงคนคนนั้นชื่อว่า ‘สอง’
แค่คิดถึงชื่อนั้นขึ้นมา หัวคิ้วก็เลื่อนเข้าหากันโดยอัตโนมัติ แต่โซ่เองก็รู้ดีว่าระหว่างฉันกับคนที่ฉันแอบกังวลใจขึ้นมาว่าจะเป็นคนเดียวกัน เราเคยมีปัญหากันถึงขั้นตัวฉันต้องหนีหน้า ตีตัวออกหากเป็นปี ๆ ก่อนจะห่างหายกันไปในที่สุด
‘สอง’ คนที่ว่าคืออดีตเพื่อนสนิทของฉันเอง
ที่ว่าเป็นอดีตไปแล้ว ก็เพราะว่าฉันดันคิดไม่ซื่อกับเพื่อนรักของตัวเอง ถึงขั้นเอ่ยปากบอกรักไปในค่ำคืนหนึ่งที่คงจะเมามายจากฤทธิ์สุราจนควบคุมตัวเองไว้ไม่อยู่
แน่นอนว่ามันจบไม่สวยเหมือนในนิยายที่ว่าเพื่อนข้ามขั้นมาเป็นคนรักกัน แต่สถานการณ์ของฉันในตอนนั้นคือเพื่อนเล่นไม่เล่นเพื่อน
สองปฏิเสธรักอย่างไม่ไยดี ส่วนฉันก็เป็นคนที่หน้าแหกหมอไม่รับเย็บ ต้องค่อย ๆ ถอยห่างออกมาจากความสัมพันธ์ที่คงจะไม่มีวันกลับไปเป็นอย่างเดิมได้
และทุกคนต่างก็รู้ถึงเรื่องนี้ดี เพราะฉันไม่ได้บอกรักคนที่ว่าแบบธรรมดา แต่ฉันในตอนนั้นประกาศความรู้สึกออกไปต่อหน้าต่อตาเพื่อนทุกคนที่อยู่ในสถานการณ์นั้น
และใช่… สองเองก็ปฏิเสธต่อหน้าต่อตาทุกคนเหมือนกัน
ไม่ได้ยินชื่อนี้มาก็นาน…
ก็ได้แต่หวังว่าโซ่คงจะไม่คิดอะไรแผลง ๆ ขึ้นมาอย่างที่เป็นกังวล
02.00 น.
อันที่จริงฉันมันเป็นพวกความอดทนสูงกว่าชาวบ้านเป็นไหน ๆ แต่ตอนนี้เห็นทีจะทนอยู่เฉยไม่ได้เสียแล้ว ไม่งั้นการเริ่มงานวันแรกในตอนเช้าอาจจะมีปัญหาได้ หากตีสองแล้วยังไม่สามารถนอนหลับได้อยู่อย่างนี้
หลังจากอดทนอยู่นานสุดท้ายก็ตัดสินใจกระโดดลงจากเตียง และแค่เปิดประตูห้องนอนออกมาก็ได้ยินเสียงเพลงดังกระหึ่มออกมาจากห้องของเพื่อนร่วมห้องคนใหม่ที่ยังไม่มีโอกาสได้เจอหน้าทักทายกัน
คนบ้าอะไรไร้มารยาท ดึกดื่นป่านนี้แล้วยังสร้างความรำคาญให้ชาวบ้านชาวช่อง ก็ยังแปลกใจอยู่ว่าห้องที่อยู่ชั้นเดียวกันไม่คิดจะมาเคาะห้องด่าบ้างหรือยังไง
ไม่ต้องรีรอ ฉันตรงดิ่งมาเคาะประตูห้องนอนฝั่งตรงข้ามทันที เสียงเพลงจากด้านในหรี่ลงเล็กน้อย ก่อนจะดังกระหึ่มขึ้นอีกครั้งในจังหวะถัดมา ราวกับเมื่อครู่เพียงแค่เช็กว่ามีเสียงอะไรดังขึ้นหรือเปล่าก็เท่านั้น
ฉันเม้มริมฝีปากแน่นสะกดกลั้นอารมณ์หงุดหงิดใจเอาไว้อย่างสุดความสามารถพร้อมทั้งกระแทกหลังข้อนิ้วใส่ประตูอีกครั้ง คราวนี้เสียงเพลงไม่ได้ลดระดับลง หากแต่บานประตูห้องถูกเหวี่ยงเปิดออกแทบจะในทันที
“สวัสดีค่ะ ชื่อแยมนะ…”
“…”
ฉันที่กำลังแนะนำตัวเองอย่างเร่งด่วนพร้อมทั้งจะเอ่ยปากขอให้คนตรงหน้าลดเสียงรบกวนลงกลับต้องชะงักค้างไปเพียงแค่เงยหน้าขึ้นมองคู่สนทนา
นัยน์ตาสงบนิ่งมีแววประหลาดใจ ใบหน้าหล่อเหลาที่มีเครื่องหน้าแบบที่ไม่ได้เห็นมานานทำให้ฉันสตันต์แบบที่เรียกได้ว่าช็อกไปเลย และอีกฝ่ายก็คงจะรู้สึกแบบเดียวกัน หัวคิ้วกดต่ำลงบ่งชัดว่าตัวเขาเองไม่รู้มาก่อนว่าตอนนี้กำลังมีเพื่อนร่วมห้องคนใหม่แล้ว หรืออาจจะรู้…
แต่คงคิดไปไม่ถึงว่าเพื่อนร่วมห้องคนใหม่จะเป็นฉันเอง
เพื่อนสนิทในอดีตไง…
ระหว่างเราเงียบเชียบไร้ซึ่งใครเอื้อนเอ่ยคำใด มีแค่การประสานสายตาที่ยังคงโฟกัสกวาดมองใบหน้าของอีกฝ่าย
ริมฝีปากหยักลึกของ ‘สอง’ กระตุกยิ้มขึ้นเล็กน้อยหลังจากอารามประหลาดใจหายไป ก่อนจะเป็นฝ่ายเอ่ยทำลายความเงียบ ในขณะที่ฉันกำลังยืนนิ่งแทบจะกระดุกกระดิกตัวไม่ได้เลย
“โซ่บอกว่ามีคนจะมาแชร์ห้อง”
“…”
“เราก็คิดไม่ถึง… ว่าจะเป็นแยม”
ระยะปลอดเพื่อนตอนที่ 2 ก็ถ้าโซ่อยากจะทำให้ฉันตกใจเล่น ๆ ก็นับได้ว่ามันทำสำเร็จ เพราะตอนนี้ฉันตกใจจริง ๆ กับการเจอหน้าคนซึ่งไม่ได้เจอกันมานานเพราะตัวฉันเองเอาแต่หลีกเลี่ยงการที่จะได้เจอกันอีกครั้งมาโดยตลอด เพื่อนร่วมห้องคนใหม่ไม่ใช่ใครอื่น แต่คืออดีตเพื่อนซี้ของฉันเอง สองไม่ได้เปลี่ยนไปจากหลายปีก่อนเท่าไร หน้าตาก็หล่อเหมือนเดิม ทว่าสีผิวดูเข้มขึ้นจากเมื่อก่อนที่แทบจะเรียกได้ว่าเป็นพวกผิวขาวซีด ตอนนี้ดูสุขภาพดีขึ้นกว่าตอนนั้นเป็นไหน ๆ อีกทั้งยังดูโตขึ้นมาก เลื่อนสายตามองปราดเดียวก็รู้ได้ว่าเราห่างหายกันไปนานมากจริง ๆ หลังจากตะลึงจนพอใจแล้วฉันก็เบนสายตาไปทางอื่นพลางก็เอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงนิ่งสนิท ไม่สนใจทีท่าของอีกคนที่ราวกับระหว่างเราไม่มีอดีตขมขื่นร่วมกัน ก็อาจจะเป็นฉัน… ที่ขมขื่นอยู่แค่ฝ่ายเดียว… “รบกวนเบาเสียงลงหน่อยค่ะ พอดีจะนอน” “…” เพียงแค่ได้ยินคู่สนทนาก็บิดยิ้ม นัยน์ตาสีเข้มหรี่ลงเล็กน้อย เสียงหัวเราะดังขึ้นเบา ๆ ราวกับเป็นเรื่องตลกเสียเต็มประดาที่ตัวเองทำตัวไม่มีมารยาทแบบนี้ ฉันหมุนตัวเดินหนีทันทีพร้อมทั้งเอ
ระยะปลอดเพื่อนตอนที่ 3 รถญี่ปุ่นคันโตสนิทนิ่งในซองจอดของลานจอดรถหน้าอาคารสำนักงานขนาดใหญ่ที่คงจะมีบริษัทค่อนร้อยอยู่บนนั้น เพราะเห็นว่ายังเหลือเวลาอีกเล็กน้อยก่อนที่จะเข้างาน ฉันก็รีบต่อสายหาโซ่ทันที แม้สิบสายแรกมันยังปฏิเสธที่จะรับ แต่หลังจากที่รัวพิมพ์แชตส่งไปด่า สายที่สิบเอ็ดรอสายแค่อึดใจเพื่อนก็รับในที่สุด และฉันก็ร้องถามเสียงดังทันที “โซ่! นี่มันเรื่องบ้าอะไร?” ‘ใจเย็น ๆ’น้ำเสียงขบขันจากปลายสายยิ่งทำให้อุณหภูมิของร่างกายพุ่งสูงขึ้น และเสียงที่เปล่งออกไปก็หวีดแหลมยิ่งกว่าเดิม “จะเย็นได้ยังไง? โซ่ให้เรามาอยู่กับสองได้ยังไง?” ‘ก็ไม่เห็นเป็นไรเลย เพื่อนกันทั้งนั้น’ “ไม่ตลกเลยนะ เราจะย้ายออก หาห้องให้เราใหม่ด้วย” ‘มันเต็มหมดแล้ว ก็เหลือแค่ห้องนั้นแหละ’ “ก็แล้วทำไมไม่บอกก่อนว่าคนที่ต้องอยู่ด้วย…” ‘ก็แยมบอกเองว่าอยู่กับใครก็ได้ ขอแค่เป็นคนไว้ใจได้ก็พอ’ “แต่ต้องไม่ใช่สองไหม?” ‘ไอ้สองมันก็ไว้ใจได้ที่สุดแล้วไง’ “ไม่รู้แหละ จะให้ทนมองหน้ากันเข้าไปได้ยังไง?” ฉันโอด
ระยะปลอดเพื่อนตอนที่ 4 ครึ่งชั่วโมงต่อมา สายตาทุกคู่จับจ้องมองมาในขณะที่พี่อ้อยดีเอ็มดี (รองกรรมการผู้จัดการ)กำลังแนะนำฉันให้เพื่อนร่วมงานรู้จัก รวมถึงแนะนำคนอื่นให้ฉันรู้จักด้วยทว่าสมองฉันในตอนนี้ราวกับจะดับไปเสียแล้ว หูอื้อฟังอะไรแทบไม่รู้เรื่อง แม้สายตาพยายามจะเบนมองไปทางอื่น แต่ก็เห็นสองได้จากทางหางตาอยู่ดี และแม้พยายามจะยิ้มให้ทุกคน แต่ตอนนี้คงจะเป็นยิ้มที่แข็งทื่อน่าดู หลังจากพี่อ้อยแนะนำเพื่อนร่วมงานคนสุดท้ายให้รู้จักเรียบร้อย ก็หันมามองหน้ากันอีกครั้ง รอยยิ้มกว้างประดับบนใบหน้าด้วยความรู้สึกยินดี “คุณแยมจะมาเป็นพีเอ็ม (ผู้จัดการโปรเจกต์) คนใหม่ของเรา ยังไงก็ฝากทุกคนให้การต้อนรับผู้จัดการคนใหม่ด้วย” “สวัสดีค่ะ แยมค่ะ ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ” ฉันก้มหัวเล็กน้อย พยายามยิ้มหวานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้เพราะโปรเจกต์ที่ว่านี้หากทำสำเร็จอาจส่งผลให้ตัวฉันได้เลื่อนขั้นเร็วขึ้น และการถูกโยกย้ายตำแหน่งงานมาที่นี่ หนึ่งในผลประโยชน์ที่ฉันจะได้รับหากทำสำเร็จก็คือการพิจารณาเลื่อนขั้นที่ว่านี้เอง แต่ก็อาจจะไม่ได้ง่ายอย่างที่ใจคิด…
ระยะปลอดเพื่อนตอนที่ 5 ยี่สิบนาทีต่อมา สุดท้ายฉันก็ออกมากินข้าวกับสองจนได้… เราออกมาหาข้าวกินในละแวกใกล้กับคอนโด โดยที่สองเป็นคนเลือกร้าน และตอนนี้ข้าวแกงปักษ์ใต้ตรงหน้าก็ทำให้ฉันรู้สึกเจริญอาหารขึ้นมาเพราะคิดถึงบ้านเกิดเหลือเกิน อันที่จริงบ้านฉันอยู่ที่ภูเก็ต ตอนมาเรียนมหา’ลัยที่กรุงเทพฯ ก็เช่าหออยู่กับเพื่อน และหนึ่งในเพื่อนกลุ่มนั้นก็มีสองอยู่ด้วย ถึงตอนนี้ที่ต้องกลับมาอยู่กรุงเทพฯ อีกรอบเลยต้องหาที่อยู่ใหม่ไง และก็ต้องเจอแจ็กพอต เพราะโซ่ดันเล่นอะไรไม่เข้าท่า ไม่ต้องบอกก็พอรู้อยู่หรอกว่าที่เพื่อนทำแบบนี้คงจะอยากให้ฉันกับสองได้เจอหน้ากันอีกครั้งเลยใช้วิธีมัดมือชกเอาดื้อ ๆแม้ว่าคนที่นั่งฝั่งตรงข้ามจะเป็นคนเลือกร้าน แต่เจ้าตัวกลับสั่งเพียงแค่ไข่พะโล้มาหนึ่งถ้วยเท่านั้น ในขณะที่ฉันกำลังนั่งปากชากับแกงไตปลาที่ไม่ได้กินมานาน อาหารทุกอย่างตรงหน้าเผ็ดร้อนจนข้างแก้มร้อนไปด้วย เราต่างคนต่างกินจนลืมเรื่องที่จะคุย กระทั่งสองกินเสร็จก่อนแล้วนั่งรอเงียบ ๆ ฉันถึงได้ชำเลืองสายตาขึ้นมอง“คนที่ออฟฟิศนิสัยเป็นไงบ้าง เราอยากฟัง”“ไม่คิดจะคุยเรื่องอื่นก่อ
ระยะปลอดเพื่อนตอนที่ 5 ยี่สิบนาทีต่อมา สุดท้ายฉันก็ออกมากินข้าวกับสองจนได้… เราออกมาหาข้าวกินในละแวกใกล้กับคอนโด โดยที่สองเป็นคนเลือกร้าน และตอนนี้ข้าวแกงปักษ์ใต้ตรงหน้าก็ทำให้ฉันรู้สึกเจริญอาหารขึ้นมาเพราะคิดถึงบ้านเกิดเหลือเกิน อันที่จริงบ้านฉันอยู่ที่ภูเก็ต ตอนมาเรียนมหา’ลัยที่กรุงเทพฯ ก็เช่าหออยู่กับเพื่อน และหนึ่งในเพื่อนกลุ่มนั้นก็มีสองอยู่ด้วย ถึงตอนนี้ที่ต้องกลับมาอยู่กรุงเทพฯ อีกรอบเลยต้องหาที่อยู่ใหม่ไง และก็ต้องเจอแจ็กพอต เพราะโซ่ดันเล่นอะไรไม่เข้าท่า ไม่ต้องบอกก็พอรู้อยู่หรอกว่าที่เพื่อนทำแบบนี้คงจะอยากให้ฉันกับสองได้เจอหน้ากันอีกครั้งเลยใช้วิธีมัดมือชกเอาดื้อ ๆแม้ว่าคนที่นั่งฝั่งตรงข้ามจะเป็นคนเลือกร้าน แต่เจ้าตัวกลับสั่งเพียงแค่ไข่พะโล้มาหนึ่งถ้วยเท่านั้น ในขณะที่ฉันกำลังนั่งปากชากับแกงไตปลาที่ไม่ได้กินมานาน อาหารทุกอย่างตรงหน้าเผ็ดร้อนจนข้างแก้มร้อนไปด้วย เราต่างคนต่างกินจนลืมเรื่องที่จะคุย กระทั่งสองกินเสร็จก่อนแล้วนั่งรอเงียบ ๆ ฉันถึงได้ชำเลืองสายตาขึ้นมอง“คนที่ออฟฟิศนิสัยเป็นไงบ้าง เราอยากฟัง”“ไม่คิดจะคุยเรื่องอื่นก่อ
ระยะปลอดเพื่อนตอนที่ 4 ครึ่งชั่วโมงต่อมา สายตาทุกคู่จับจ้องมองมาในขณะที่พี่อ้อยดีเอ็มดี (รองกรรมการผู้จัดการ)กำลังแนะนำฉันให้เพื่อนร่วมงานรู้จัก รวมถึงแนะนำคนอื่นให้ฉันรู้จักด้วยทว่าสมองฉันในตอนนี้ราวกับจะดับไปเสียแล้ว หูอื้อฟังอะไรแทบไม่รู้เรื่อง แม้สายตาพยายามจะเบนมองไปทางอื่น แต่ก็เห็นสองได้จากทางหางตาอยู่ดี และแม้พยายามจะยิ้มให้ทุกคน แต่ตอนนี้คงจะเป็นยิ้มที่แข็งทื่อน่าดู หลังจากพี่อ้อยแนะนำเพื่อนร่วมงานคนสุดท้ายให้รู้จักเรียบร้อย ก็หันมามองหน้ากันอีกครั้ง รอยยิ้มกว้างประดับบนใบหน้าด้วยความรู้สึกยินดี “คุณแยมจะมาเป็นพีเอ็ม (ผู้จัดการโปรเจกต์) คนใหม่ของเรา ยังไงก็ฝากทุกคนให้การต้อนรับผู้จัดการคนใหม่ด้วย” “สวัสดีค่ะ แยมค่ะ ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ” ฉันก้มหัวเล็กน้อย พยายามยิ้มหวานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้เพราะโปรเจกต์ที่ว่านี้หากทำสำเร็จอาจส่งผลให้ตัวฉันได้เลื่อนขั้นเร็วขึ้น และการถูกโยกย้ายตำแหน่งงานมาที่นี่ หนึ่งในผลประโยชน์ที่ฉันจะได้รับหากทำสำเร็จก็คือการพิจารณาเลื่อนขั้นที่ว่านี้เอง แต่ก็อาจจะไม่ได้ง่ายอย่างที่ใจคิด…
ระยะปลอดเพื่อนตอนที่ 3 รถญี่ปุ่นคันโตสนิทนิ่งในซองจอดของลานจอดรถหน้าอาคารสำนักงานขนาดใหญ่ที่คงจะมีบริษัทค่อนร้อยอยู่บนนั้น เพราะเห็นว่ายังเหลือเวลาอีกเล็กน้อยก่อนที่จะเข้างาน ฉันก็รีบต่อสายหาโซ่ทันที แม้สิบสายแรกมันยังปฏิเสธที่จะรับ แต่หลังจากที่รัวพิมพ์แชตส่งไปด่า สายที่สิบเอ็ดรอสายแค่อึดใจเพื่อนก็รับในที่สุด และฉันก็ร้องถามเสียงดังทันที “โซ่! นี่มันเรื่องบ้าอะไร?” ‘ใจเย็น ๆ’น้ำเสียงขบขันจากปลายสายยิ่งทำให้อุณหภูมิของร่างกายพุ่งสูงขึ้น และเสียงที่เปล่งออกไปก็หวีดแหลมยิ่งกว่าเดิม “จะเย็นได้ยังไง? โซ่ให้เรามาอยู่กับสองได้ยังไง?” ‘ก็ไม่เห็นเป็นไรเลย เพื่อนกันทั้งนั้น’ “ไม่ตลกเลยนะ เราจะย้ายออก หาห้องให้เราใหม่ด้วย” ‘มันเต็มหมดแล้ว ก็เหลือแค่ห้องนั้นแหละ’ “ก็แล้วทำไมไม่บอกก่อนว่าคนที่ต้องอยู่ด้วย…” ‘ก็แยมบอกเองว่าอยู่กับใครก็ได้ ขอแค่เป็นคนไว้ใจได้ก็พอ’ “แต่ต้องไม่ใช่สองไหม?” ‘ไอ้สองมันก็ไว้ใจได้ที่สุดแล้วไง’ “ไม่รู้แหละ จะให้ทนมองหน้ากันเข้าไปได้ยังไง?” ฉันโอด
ระยะปลอดเพื่อนตอนที่ 2 ก็ถ้าโซ่อยากจะทำให้ฉันตกใจเล่น ๆ ก็นับได้ว่ามันทำสำเร็จ เพราะตอนนี้ฉันตกใจจริง ๆ กับการเจอหน้าคนซึ่งไม่ได้เจอกันมานานเพราะตัวฉันเองเอาแต่หลีกเลี่ยงการที่จะได้เจอกันอีกครั้งมาโดยตลอด เพื่อนร่วมห้องคนใหม่ไม่ใช่ใครอื่น แต่คืออดีตเพื่อนซี้ของฉันเอง สองไม่ได้เปลี่ยนไปจากหลายปีก่อนเท่าไร หน้าตาก็หล่อเหมือนเดิม ทว่าสีผิวดูเข้มขึ้นจากเมื่อก่อนที่แทบจะเรียกได้ว่าเป็นพวกผิวขาวซีด ตอนนี้ดูสุขภาพดีขึ้นกว่าตอนนั้นเป็นไหน ๆ อีกทั้งยังดูโตขึ้นมาก เลื่อนสายตามองปราดเดียวก็รู้ได้ว่าเราห่างหายกันไปนานมากจริง ๆ หลังจากตะลึงจนพอใจแล้วฉันก็เบนสายตาไปทางอื่นพลางก็เอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงนิ่งสนิท ไม่สนใจทีท่าของอีกคนที่ราวกับระหว่างเราไม่มีอดีตขมขื่นร่วมกัน ก็อาจจะเป็นฉัน… ที่ขมขื่นอยู่แค่ฝ่ายเดียว… “รบกวนเบาเสียงลงหน่อยค่ะ พอดีจะนอน” “…” เพียงแค่ได้ยินคู่สนทนาก็บิดยิ้ม นัยน์ตาสีเข้มหรี่ลงเล็กน้อย เสียงหัวเราะดังขึ้นเบา ๆ ราวกับเป็นเรื่องตลกเสียเต็มประดาที่ตัวเองทำตัวไม่มีมารยาทแบบนี้ ฉันหมุนตัวเดินหนีทันทีพร้อมทั้งเอ
ระยะปลอดเพื่อนตอนที่ 120.00 น.“ถึงแล้วเนี่ย แกอยู่ไหน?”‘คีย์การ์ดอยู่ที่ล็อบบี้แกไปเอาได้เลย บอกเขาไปว่าห้อง 2302’“แล้วแกไม่ได้มาเจอกันที่นี่หรือไง?”‘ไม่ทันแล้ว ฉันคงลืมบอกแกว่ามีธุระไปสวีเดนกะทันหัน’“ฮะ?”‘เหอะน่า โซ่มันคงไม่หลอกให้แกไปอยู่กับคนประหลาดหรอกแยม’“แต่แกบอกว่าจะมาอยู่ด้วยกัน?”‘ขอโทษนะแยม แต่รอบนี้ฉันคงต้องเทแกจริง ๆ ไม่ต้องห่วงเรื่องค่าห้องเดี๋ยวฉันจะช่วยหารทุกเดือน!’“ลัน!!”‘โอ๊ย ๆ แค่นี้ก่อนนะ เขาเรียกเข้าเกตแล้ว’“ลัน!!”เสียงจากปลายสายตัดไปแล้ว และไม่ว่าจะกระหน่ำโทรไปกี่ครั้งเพื่อนตัวดีก็กดตัดสายทิ้งอยู่ดี กระทั่งสายสุดท้ายเสียงตัดเข้าระบบฝากข้อความอัตโนมัติดังขึ้นทำให้ฉันรู้ได้ในทันทีว่า ‘การโดนเท’ ของจริงมันเป็นยังไงตอนนี้เป็นเวลาค่ำแล้ว กวาดตามองไปรอบตัวก็พบว่าโถงล็อบบี้ของคอนโดหรูย่านใจกลางเมือง มีคนไม่กี่คนเท่านั้นที่กำลังชำเลืองมองมาทางที่ฉันยืนอยู่ เหตุคงเป็นเพราะเมื่อครู่ฉันเผลอตะเบ็งเสียงใส่โทรศัพท์จนลืมสนใจคนรอบข้างไปก็ได้แต่พยายามไม่สนใจสายตาแปลก ๆ ของคนอื่น รวมถึงพนักงานรักษาความปลอดภัยที่จ้องมองมาอย่างตะขิดตะขวงใจ แต่รีบคว้าเอาคันลากของกระเป๋า