ระยะปลอดเพื่อน
ตอนที่ 4
ครึ่งชั่วโมงต่อมา
สายตาทุกคู่จับจ้องมองมาในขณะที่พี่อ้อยดีเอ็มดี (รองกรรมการผู้จัดการ)กำลังแนะนำฉันให้เพื่อนร่วมงานรู้จัก รวมถึงแนะนำคนอื่นให้ฉันรู้จักด้วย
ทว่าสมองฉันในตอนนี้ราวกับจะดับไปเสียแล้ว หูอื้อฟังอะไรแทบไม่รู้เรื่อง แม้สายตาพยายามจะเบนมองไปทางอื่น แต่ก็เห็นสองได้จากทางหางตาอยู่ดี
และแม้พยายามจะยิ้มให้ทุกคน แต่ตอนนี้คงจะเป็นยิ้มที่แข็งทื่อน่าดู หลังจากพี่อ้อยแนะนำเพื่อนร่วมงานคนสุดท้ายให้รู้จักเรียบร้อย ก็หันมามองหน้ากันอีกครั้ง รอยยิ้มกว้างประดับบนใบหน้าด้วยความรู้สึกยินดี
“คุณแยมจะมาเป็นพีเอ็ม (ผู้จัดการโปรเจกต์) คนใหม่ของเรา ยังไงก็ฝากทุกคนให้การต้อนรับผู้จัดการคนใหม่ด้วย”
“สวัสดีค่ะ แยมค่ะ ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ”
ฉันก้มหัวเล็กน้อย พยายามยิ้มหวานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
เพราะโปรเจกต์ที่ว่านี้หากทำสำเร็จอาจส่งผลให้ตัวฉันได้เลื่อนขั้นเร็วขึ้น และการถูกโยกย้ายตำแหน่งงานมาที่นี่ หนึ่งในผลประโยชน์ที่ฉันจะได้รับหากทำสำเร็จก็คือการพิจารณาเลื่อนขั้นที่ว่านี้เอง
แต่ก็อาจจะไม่ได้ง่ายอย่างที่ใจคิด…
สายตานับสิบคู่จ้องมองมา แม้ริมฝีปากทุกคนจะยิ้ม แต่สายตาของเพื่อนร่วมงานใหม่ต่างหันมองหน้ากันเอง ราวกับกำลังสื่อสารกันผ่านทางโทรจิตยังไงยังงั้น ถึงขั้นที่ว่าเลื่อนสายตาสำรวจการแต่งกายของฉันกันคนละทีสองที
แม้วันนี้ฉันจะแต่งตัวสุภาพเรียบร้อยด้วยชุดสูทเป็นการเป็นงาน แต่ก็อย่างที่บอกว่าสีสันของมันอาจจะจัดจ้านเกินไปไม่มากก็น้อย ตอนนี้เลยดูเหมือนตัวเองกำลังเรืองแสงอยู่ตรงกลางห้องท่ามกลางสายตาคนอื่น ๆ ที่แต่งกายด้วยเสื้อผ้าโทนสีเรียบเป็นไปในทิศทางเดียวกัน
หากแต่สายตาแปลก ๆ ของทุกคนรวมกันยังไม่เท่ากับสายตาของคนคนหนึ่งที่กำลังนั่งเท้าคางมองมาจากมุมหนึ่งทางด้านขวา
และฉันก็สาบานเลยว่าไม่รู้มาก่อนจริง ๆ ว่าสองทำงานอยู่ที่นี่
ก็ถ้าหากรู้… หัวเด็ดตีนขาดยังไงฉันก็ไม่มา!
ตอนค่ำ
การเริ่มงานใหม่ในวันแรกเป็นไปอย่างเหม่อลอย ตั้งแต่เที่ยงวันลากยาวกระทั่งกลับมาถึงห้อง ตลอดทั้งวันฉันแทบไม่มีแก่จิตแก่ใจในการทำงาน แม้จะมีห้องส่วนตัวแยกจากคนอื่น ๆ ทว่าห้องนั้นกลับเป็นกระจกใสมองเห็นทุกคนได้ถนัดชัดตา
แม้จะเป็นคนที่ถูกคนอื่นจับตามองเสมอตั้งแต่ยังอยู่ที่เก่า เนื่องจากการทำงานแบบก้าวกระโดดเร็วกว่าชาวบ้าน แต่ที่นั่นก็ไม่เหมือนกันกับที่นี่เลยสักนิด
ที่นี่ดูเหมือนทุกคนจะแบ่งฝักแบ่งฝ่ายอย่างชัดเจน และแน่นอนว่าคนมาใหม่แบบฉันหัวเดียวกระเทียมลีบสุด ๆ
แต่ที่แย่ยิ่งกว่าสายตาประหลาดพวกนั้นที่วันหนึ่งคงทำใจให้ชินได้ คงไม่พ้นเรื่องที่สองเอาแต่ชำเลืองมองกันแทบจะทุก ๆ ห้านาทีตลอดทั้งวัน
และทันทีที่กลับมาถึงห้อง ฉันก็ต้องทำทุกอย่างแข่งกับเวลา ไหนจะต้องรีบเอารองเท้าออกมาเรียงเข้าชั้น ไหนจะต้องเก็บของ ไหนจะต้องทิ้งขยะ กว่าจะได้อาบน้ำก็ปาไปเกือบสองทุ่ม และห้องน้ำก็ดันต้องใช้ร่วมกัน
อาบไปก็กระวนกระวายไปว่าอีกคนจะกลับเข้ามาเมื่อไร เอาเป็นว่าหัวสมองตอนนี้มันหวาดระแวงไปหมด
จริง ๆ แล้วฉันไม่ได้กลัวสอง
แต่ฉันกลัว… กลัวว่าระหว่างเราจะกลับมาเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม และเพราะรู้นิสัยตัวเองดีว่าแพ้ให้กับความสัมพันธ์ใกล้ชิดแบบที่เคยผ่านมาแล้ว ทำให้การอยู่กันอย่างห่าง ๆ น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า
ไม่งั้นหากกลับไปลงอีหรอบเดิม คนที่จะนั่งน้ำตาเช็ดหัวเข่าคงจะเป็นฉันเหมือนเดิม เอาเป็นว่าไม่เสี่ยงดีกว่า
แกร๊ก!
“…”
“…”
มันคงจะเป็นคราวซวยของฉันเองที่ไม่รีบอาบน้ำก่อนที่จะทำกิจกรรมอย่างอื่น ตอนนี้เลยต้องมาเผชิญกับสายตาคมที่ชำเลืองมองมา สองเตะรองเท้าไปทางหนึ่งส่งเดช โยนกุญแจรถไว้บนชั้นวางรองเท้า บ่งชัดว่าเพิ่งจะกลับมา
สิ่งที่ฉันทำได้ในตอนนี้คือกอดผ้าเช็ดตัวที่ห่อหุ้มเรือนร่างอยู่เอาไว้แน่น แล้วรีบสาวเท้าเร็ว ๆ เพื่อที่จะเข้าห้อง แต่อีกฝ่ายก็ราวกับจะรู้ทัน รีบเดินมาขวางหน้าประตูเอาไว้
“หลบไป เราจะเข้าห้อง”
ฉันช้อนสายตาขึ้นมองคนตัวสูงกว่า พยายามทำสีหน้าให้เป็นปกติ แม้ว่าจะแอบร้อน ๆ หนาว ๆ ไปทั้งตัวกับสายตาของคนตรงหน้าก็ตามที
แต่สองก็ไม่ยอมหลีกทางให้ ทั้งยังทิ้งแผ่นหลังพิงประตูอีกต่างหาก จนต้องร้องบอกอีกครั้งอย่างหงุดหงิด
“หลบ”
“ถ้าเราให้แยมเข้าห้องก็คงไม่ได้คุย”
“มีเรื่องอะไรให้คุย เราจะไปนอนแล้ว”
“นี่เพิ่งจะสองทุ่ม”
“เรานอนไว”
“เมื่อก่อนเห็นตีสองตีสามยังคุยกับเราได้ตลอด”
“นั่น… มันเมื่อก่อน”
สองคงจะหมายถึงเมื่อก่อนที่ไม่ว่าจะกี่โมงกี่ยามฉันผู้เป็นเพื่อนสนิทก็จะสแตนด์บายรออยู่เสมอไม่ว่ามันจะไปทำอะไรมาก็ตาม แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้วไง
“ขอเบอร์”
“อะไร…”
โทรศัพท์มือถือของคู่สนทนาถูกยื่นมาตรงหน้า เจ้าตัวไหวไหล่เล็กน้อยก่อนจะตอบ
“ก็เป็นทั้งเพื่อนร่วมห้อง เพื่อนร่วมงาน แถมยังเคยเป็นเพื่อนสนิท ขอเบอร์ไว้หน่อยจะเสียหายอะไร”
“เรา…”
“เอามาเหอะ แยมไม่ให้เดี๋ยวเราก็ไปหามาได้อยู่ดี”
“…”
อีกฝ่ายยกยิ้มอย่างเป็นต่อ และมันก็คงจริงตามนั้นหากจะหาจริง ๆ ก็คงไม่ยากอะไรนัก ยังไงเพื่อนของสองก็เป็นเพื่อนของฉันเหมือนกัน สุดท้ายเลยจำใจคว้าโทรศัพท์มากดเบอร์ติดต่อเอาไว้ให้
แต่พอเงยหน้ามองอีกทีก็ต้องรู้สึกอุณหภูมิข้างแก้มร้อนผ่าวขึ้นมา นัยน์ตานิ่งสนิทของสองจับจ้องอยู่บริเวณเนินอกที่โผล่พ้นขอบผ้าเช็ดตัวของฉันอย่างไม่คิดจะปิดบัง และฉันก็อายจนต้องยกมือปกปิดของสงวนของตัวเองเอาไว้ จนอีกคนบิดยิ้มขบขัน
“ไม่เห็นจะต้องเขิน”
“ไม่ได้เขิน”
“หน้าแดงขนาดนั้นไม่เขินแล้วเรียกว่าอะไร?”
“หลบไปได้แล้ว เราจะเข้าห้อง”
“ยังคุยไม่เสร็จ”
“จะเอาอะไรอีก?” ฉันแหวออกมาอย่างหมดความอดทน ก่อนจะลืมตัวผลักข้างแก้มของคนตรงหน้าให้หันมองไปทางอื่น “ถ้าจะคุย ต้องเลิกจ้องนมเราก่อน”
“ก็มันใหญ่…”
“ทุเรศ!”
อดไม่ได้จริง ๆ ที่จะแว้ดใส่เสียงดัง แต่คนโดนด่ากลับหัวเราะออกมาได้เมื่อกวนประสาทกันสำเร็จ ถึงอย่างนั้นก็ยอมเลื่อนสายตากลับมามองหน้าแทนที่จะจ้องนมเหมือนเดิม
“ทีเมื่อก่อนแยมเรียกไอ้ยักษ์เราว่าน้องหนอนเรายังไม่เคยว่า เวลาแยมมองน้องหนอนของเรา เราก็ไม่เคยหวง…”
“สอง!”
ฉันตะโกนตัดบทเสียงดังเมื่อคนบ้ายกเรื่องพวกนั้นขึ้นมาพูดหน้าตาเฉย ริมฝีปากยิ้มกว้างกว่าเดิมตอนที่โดนฟาดเข้าให้ที่ข้อแขน
ฉันไม่ได้มองไอ้น้องหนอนอะไรนั่นสักหน่อย ก็มันเห็นเอง!
เลิกเอาเรื่องเก่ามาพูดสักทีโว้ย! อาย!
“ทีงี้ทำมาเป็นหวงเนื้อหวงตัว”
“กับคนหน้าหนาแบบนี้ก็ต้องหวงหน่อย”
“เห็นมาเป็นพันเต้า แค่นี้ไม่ทำให้รู้สึกอะไรหรอก”
“หน้าไม่อาย ถ้าผ่านผู้หญิงมาขนาดนั้นไปตรวจเอดส์บ้างเหอะ”
“กินข้าวยัง?”
“…”
ฉันที่ตั้งท่าจะโวยวายอะไรต่อกลับต้องชะงักค้างไปกับประโยคที่สองขัดขึ้นกลางลำ ถึงเจ้าตัวเองก็ดูจะกระอักกระอ่วนพอกันที่เอ่ยออกมา กระนั้นสายตาก็ไม่ได้ละไปจากการจ้องสบตา
คงเป็นเพราะไม่ได้ยินคำเอ่ยชวนแบบนี้จากคนตรงหน้ามานาน ทำให้ฉันเผลอเงียบไปหลายวินาที ก่อนจะต้องตื่นจากภวังค์เพราะเสียงเปิดประตูห้องที่ดังขึ้นกะทันหัน
บานประตูห้องเปิดออกโดยไม่ทันตั้งตัวด้วยบุคคลที่สามจากด้านนอก และในขณะที่ฉันอยู่ในอารามตกใจ สองก็รีบขยับกายมายืนบังกันเอาไว้ทันที
ผู้ชายสองคนหน้าห้องกำลังจะเดินเข้ามากลับต้องชะงักนิ่งอยู่ตรงนั้นเมื่อคงจะเห็นว่าตอนนี้มีผู้หญิงในสภาพห่อผ้าเช็ดตัวยืนอยู่ด้วย
และสองก็เป็นฝ่ายเอ่ยทำลายความเงียบขึ้น
“วันนี้พวกมึงห้ามเข้า”
“อะไร?” หนึ่งในสองคนเอ่ย กระนั้นคนที่ว่าก็ยอมก้าวถอยหลังออกไปอย่างพอจะรู้สถานการณ์
“เดี๋ยวกูไปหาที่ห้อง เพื่อนกูมาอยู่ด้วย”
“โอเค”
การสนทนาเป็นไปอย่างรวดเร็ว และประตูก็ปิดลงอย่างรวดเร็วเช่นกัน คงมีแค่ฉันคนเดียวที่คิดช้ากว่าใครเพื่อน แต่ทันทีที่สบโอกาสจะหนีเข้าห้องก็ไม่ทันเสียแล้วเมื่อสองหันกลับมาคว้าแขนไว้ได้ทัน
ระหว่างเรามันใกล้เกินพอดีไปหน่อย ตัวฉันที่กำลังพยายามจะเปิดประตู มีสองยืนซ้อนอยู่ทางด้านหลัง แค่เหลียวสายตาขึ้นมองก็ต้องร้อนผ่าวไปทั้งตัว
เพราะคนที่ยืนซ้อนกันอยู่กำลังก้มหน้าลงมาจนใกล้ อีกทั้งสายตาก็จับจ้องบริเวณเนินเนื้อในมุมที่ถนัดชัดเจนยิ่งกว่าเมื่อครู่เสียอีก
“สะ… สอง”
“ยังเหมือนเดิม” เสียงแหบห้าวเอ่ยขัด สายตาเลื่อนกลับมาสบตา
“สองปล่อยก่อน”
“ตัวแยม…”
“…”
“ยังเป็นกลิ่นที่เราชอบเหมือนเดิม”
“…”
คงไม่ใช่ฉันคนเดียวที่ตกอยู่ในภาวะนิ่งงันกับสายตาและคำพูดของสอง ถึงเจ้าตัวเองก็คงจะเพิ่งรู้ตัวว่ามันใกล้มากไป
สองขยับตัวถอยห่าง พร้อมทั้งปล่อยแขนฉันให้เป็นอิสระก่อนจะรีบเปลี่ยนเรื่องอย่างรวดเร็ว
“แต่งตัวเสร็จ ไปหาข้าวกินกัน”
“ไม่ไป”
“ให้เวลาสิบนาที”
“สอง”
“ถ้าไม่อยากคุยเรื่องของคนอื่น ๆ ที่ทำงานก็ตามใจ”
“…”
ดูเหมือนว่าคนเสนอจะตัดสินคำตอบได้เป็นที่เรียบร้อยแล้วโดยไม่ต้องรอฟัง เป็นฉันเองที่หลับตาถอนหายใจก่อนจะรีบเดินเข้าห้องไปแต่งตัวตามคำสั่งอย่างจำใจ
โอเค… จะยอมให้รอบนึงก็แล้วกัน
ระยะปลอดเพื่อนตอนที่ 5 ยี่สิบนาทีต่อมา สุดท้ายฉันก็ออกมากินข้าวกับสองจนได้… เราออกมาหาข้าวกินในละแวกใกล้กับคอนโด โดยที่สองเป็นคนเลือกร้าน และตอนนี้ข้าวแกงปักษ์ใต้ตรงหน้าก็ทำให้ฉันรู้สึกเจริญอาหารขึ้นมาเพราะคิดถึงบ้านเกิดเหลือเกิน อันที่จริงบ้านฉันอยู่ที่ภูเก็ต ตอนมาเรียนมหา’ลัยที่กรุงเทพฯ ก็เช่าหออยู่กับเพื่อน และหนึ่งในเพื่อนกลุ่มนั้นก็มีสองอยู่ด้วย ถึงตอนนี้ที่ต้องกลับมาอยู่กรุงเทพฯ อีกรอบเลยต้องหาที่อยู่ใหม่ไง และก็ต้องเจอแจ็กพอต เพราะโซ่ดันเล่นอะไรไม่เข้าท่า ไม่ต้องบอกก็พอรู้อยู่หรอกว่าที่เพื่อนทำแบบนี้คงจะอยากให้ฉันกับสองได้เจอหน้ากันอีกครั้งเลยใช้วิธีมัดมือชกเอาดื้อ ๆแม้ว่าคนที่นั่งฝั่งตรงข้ามจะเป็นคนเลือกร้าน แต่เจ้าตัวกลับสั่งเพียงแค่ไข่พะโล้มาหนึ่งถ้วยเท่านั้น ในขณะที่ฉันกำลังนั่งปากชากับแกงไตปลาที่ไม่ได้กินมานาน อาหารทุกอย่างตรงหน้าเผ็ดร้อนจนข้างแก้มร้อนไปด้วย เราต่างคนต่างกินจนลืมเรื่องที่จะคุย กระทั่งสองกินเสร็จก่อนแล้วนั่งรอเงียบ ๆ ฉันถึงได้ชำเลืองสายตาขึ้นมอง“คนที่ออฟฟิศนิสัยเป็นไงบ้าง เราอยากฟัง”“ไม่คิดจะคุยเรื่องอื่นก่อ
ระยะปลอดเพื่อนตอนที่ 120.00 น.“ถึงแล้วเนี่ย แกอยู่ไหน?”‘คีย์การ์ดอยู่ที่ล็อบบี้แกไปเอาได้เลย บอกเขาไปว่าห้อง 2302’“แล้วแกไม่ได้มาเจอกันที่นี่หรือไง?”‘ไม่ทันแล้ว ฉันคงลืมบอกแกว่ามีธุระไปสวีเดนกะทันหัน’“ฮะ?”‘เหอะน่า โซ่มันคงไม่หลอกให้แกไปอยู่กับคนประหลาดหรอกแยม’“แต่แกบอกว่าจะมาอยู่ด้วยกัน?”‘ขอโทษนะแยม แต่รอบนี้ฉันคงต้องเทแกจริง ๆ ไม่ต้องห่วงเรื่องค่าห้องเดี๋ยวฉันจะช่วยหารทุกเดือน!’“ลัน!!”‘โอ๊ย ๆ แค่นี้ก่อนนะ เขาเรียกเข้าเกตแล้ว’“ลัน!!”เสียงจากปลายสายตัดไปแล้ว และไม่ว่าจะกระหน่ำโทรไปกี่ครั้งเพื่อนตัวดีก็กดตัดสายทิ้งอยู่ดี กระทั่งสายสุดท้ายเสียงตัดเข้าระบบฝากข้อความอัตโนมัติดังขึ้นทำให้ฉันรู้ได้ในทันทีว่า ‘การโดนเท’ ของจริงมันเป็นยังไงตอนนี้เป็นเวลาค่ำแล้ว กวาดตามองไปรอบตัวก็พบว่าโถงล็อบบี้ของคอนโดหรูย่านใจกลางเมือง มีคนไม่กี่คนเท่านั้นที่กำลังชำเลืองมองมาทางที่ฉันยืนอยู่ เหตุคงเป็นเพราะเมื่อครู่ฉันเผลอตะเบ็งเสียงใส่โทรศัพท์จนลืมสนใจคนรอบข้างไปก็ได้แต่พยายามไม่สนใจสายตาแปลก ๆ ของคนอื่น รวมถึงพนักงานรักษาความปลอดภัยที่จ้องมองมาอย่างตะขิดตะขวงใจ แต่รีบคว้าเอาคันลากของกระเป๋า
ระยะปลอดเพื่อนตอนที่ 2 ก็ถ้าโซ่อยากจะทำให้ฉันตกใจเล่น ๆ ก็นับได้ว่ามันทำสำเร็จ เพราะตอนนี้ฉันตกใจจริง ๆ กับการเจอหน้าคนซึ่งไม่ได้เจอกันมานานเพราะตัวฉันเองเอาแต่หลีกเลี่ยงการที่จะได้เจอกันอีกครั้งมาโดยตลอด เพื่อนร่วมห้องคนใหม่ไม่ใช่ใครอื่น แต่คืออดีตเพื่อนซี้ของฉันเอง สองไม่ได้เปลี่ยนไปจากหลายปีก่อนเท่าไร หน้าตาก็หล่อเหมือนเดิม ทว่าสีผิวดูเข้มขึ้นจากเมื่อก่อนที่แทบจะเรียกได้ว่าเป็นพวกผิวขาวซีด ตอนนี้ดูสุขภาพดีขึ้นกว่าตอนนั้นเป็นไหน ๆ อีกทั้งยังดูโตขึ้นมาก เลื่อนสายตามองปราดเดียวก็รู้ได้ว่าเราห่างหายกันไปนานมากจริง ๆ หลังจากตะลึงจนพอใจแล้วฉันก็เบนสายตาไปทางอื่นพลางก็เอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงนิ่งสนิท ไม่สนใจทีท่าของอีกคนที่ราวกับระหว่างเราไม่มีอดีตขมขื่นร่วมกัน ก็อาจจะเป็นฉัน… ที่ขมขื่นอยู่แค่ฝ่ายเดียว… “รบกวนเบาเสียงลงหน่อยค่ะ พอดีจะนอน” “…” เพียงแค่ได้ยินคู่สนทนาก็บิดยิ้ม นัยน์ตาสีเข้มหรี่ลงเล็กน้อย เสียงหัวเราะดังขึ้นเบา ๆ ราวกับเป็นเรื่องตลกเสียเต็มประดาที่ตัวเองทำตัวไม่มีมารยาทแบบนี้ ฉันหมุนตัวเดินหนีทันทีพร้อมทั้งเอ
ระยะปลอดเพื่อนตอนที่ 3 รถญี่ปุ่นคันโตสนิทนิ่งในซองจอดของลานจอดรถหน้าอาคารสำนักงานขนาดใหญ่ที่คงจะมีบริษัทค่อนร้อยอยู่บนนั้น เพราะเห็นว่ายังเหลือเวลาอีกเล็กน้อยก่อนที่จะเข้างาน ฉันก็รีบต่อสายหาโซ่ทันที แม้สิบสายแรกมันยังปฏิเสธที่จะรับ แต่หลังจากที่รัวพิมพ์แชตส่งไปด่า สายที่สิบเอ็ดรอสายแค่อึดใจเพื่อนก็รับในที่สุด และฉันก็ร้องถามเสียงดังทันที “โซ่! นี่มันเรื่องบ้าอะไร?” ‘ใจเย็น ๆ’น้ำเสียงขบขันจากปลายสายยิ่งทำให้อุณหภูมิของร่างกายพุ่งสูงขึ้น และเสียงที่เปล่งออกไปก็หวีดแหลมยิ่งกว่าเดิม “จะเย็นได้ยังไง? โซ่ให้เรามาอยู่กับสองได้ยังไง?” ‘ก็ไม่เห็นเป็นไรเลย เพื่อนกันทั้งนั้น’ “ไม่ตลกเลยนะ เราจะย้ายออก หาห้องให้เราใหม่ด้วย” ‘มันเต็มหมดแล้ว ก็เหลือแค่ห้องนั้นแหละ’ “ก็แล้วทำไมไม่บอกก่อนว่าคนที่ต้องอยู่ด้วย…” ‘ก็แยมบอกเองว่าอยู่กับใครก็ได้ ขอแค่เป็นคนไว้ใจได้ก็พอ’ “แต่ต้องไม่ใช่สองไหม?” ‘ไอ้สองมันก็ไว้ใจได้ที่สุดแล้วไง’ “ไม่รู้แหละ จะให้ทนมองหน้ากันเข้าไปได้ยังไง?” ฉันโอด
ระยะปลอดเพื่อนตอนที่ 5 ยี่สิบนาทีต่อมา สุดท้ายฉันก็ออกมากินข้าวกับสองจนได้… เราออกมาหาข้าวกินในละแวกใกล้กับคอนโด โดยที่สองเป็นคนเลือกร้าน และตอนนี้ข้าวแกงปักษ์ใต้ตรงหน้าก็ทำให้ฉันรู้สึกเจริญอาหารขึ้นมาเพราะคิดถึงบ้านเกิดเหลือเกิน อันที่จริงบ้านฉันอยู่ที่ภูเก็ต ตอนมาเรียนมหา’ลัยที่กรุงเทพฯ ก็เช่าหออยู่กับเพื่อน และหนึ่งในเพื่อนกลุ่มนั้นก็มีสองอยู่ด้วย ถึงตอนนี้ที่ต้องกลับมาอยู่กรุงเทพฯ อีกรอบเลยต้องหาที่อยู่ใหม่ไง และก็ต้องเจอแจ็กพอต เพราะโซ่ดันเล่นอะไรไม่เข้าท่า ไม่ต้องบอกก็พอรู้อยู่หรอกว่าที่เพื่อนทำแบบนี้คงจะอยากให้ฉันกับสองได้เจอหน้ากันอีกครั้งเลยใช้วิธีมัดมือชกเอาดื้อ ๆแม้ว่าคนที่นั่งฝั่งตรงข้ามจะเป็นคนเลือกร้าน แต่เจ้าตัวกลับสั่งเพียงแค่ไข่พะโล้มาหนึ่งถ้วยเท่านั้น ในขณะที่ฉันกำลังนั่งปากชากับแกงไตปลาที่ไม่ได้กินมานาน อาหารทุกอย่างตรงหน้าเผ็ดร้อนจนข้างแก้มร้อนไปด้วย เราต่างคนต่างกินจนลืมเรื่องที่จะคุย กระทั่งสองกินเสร็จก่อนแล้วนั่งรอเงียบ ๆ ฉันถึงได้ชำเลืองสายตาขึ้นมอง“คนที่ออฟฟิศนิสัยเป็นไงบ้าง เราอยากฟัง”“ไม่คิดจะคุยเรื่องอื่นก่อ
ระยะปลอดเพื่อนตอนที่ 4 ครึ่งชั่วโมงต่อมา สายตาทุกคู่จับจ้องมองมาในขณะที่พี่อ้อยดีเอ็มดี (รองกรรมการผู้จัดการ)กำลังแนะนำฉันให้เพื่อนร่วมงานรู้จัก รวมถึงแนะนำคนอื่นให้ฉันรู้จักด้วยทว่าสมองฉันในตอนนี้ราวกับจะดับไปเสียแล้ว หูอื้อฟังอะไรแทบไม่รู้เรื่อง แม้สายตาพยายามจะเบนมองไปทางอื่น แต่ก็เห็นสองได้จากทางหางตาอยู่ดี และแม้พยายามจะยิ้มให้ทุกคน แต่ตอนนี้คงจะเป็นยิ้มที่แข็งทื่อน่าดู หลังจากพี่อ้อยแนะนำเพื่อนร่วมงานคนสุดท้ายให้รู้จักเรียบร้อย ก็หันมามองหน้ากันอีกครั้ง รอยยิ้มกว้างประดับบนใบหน้าด้วยความรู้สึกยินดี “คุณแยมจะมาเป็นพีเอ็ม (ผู้จัดการโปรเจกต์) คนใหม่ของเรา ยังไงก็ฝากทุกคนให้การต้อนรับผู้จัดการคนใหม่ด้วย” “สวัสดีค่ะ แยมค่ะ ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ” ฉันก้มหัวเล็กน้อย พยายามยิ้มหวานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้เพราะโปรเจกต์ที่ว่านี้หากทำสำเร็จอาจส่งผลให้ตัวฉันได้เลื่อนขั้นเร็วขึ้น และการถูกโยกย้ายตำแหน่งงานมาที่นี่ หนึ่งในผลประโยชน์ที่ฉันจะได้รับหากทำสำเร็จก็คือการพิจารณาเลื่อนขั้นที่ว่านี้เอง แต่ก็อาจจะไม่ได้ง่ายอย่างที่ใจคิด…
ระยะปลอดเพื่อนตอนที่ 3 รถญี่ปุ่นคันโตสนิทนิ่งในซองจอดของลานจอดรถหน้าอาคารสำนักงานขนาดใหญ่ที่คงจะมีบริษัทค่อนร้อยอยู่บนนั้น เพราะเห็นว่ายังเหลือเวลาอีกเล็กน้อยก่อนที่จะเข้างาน ฉันก็รีบต่อสายหาโซ่ทันที แม้สิบสายแรกมันยังปฏิเสธที่จะรับ แต่หลังจากที่รัวพิมพ์แชตส่งไปด่า สายที่สิบเอ็ดรอสายแค่อึดใจเพื่อนก็รับในที่สุด และฉันก็ร้องถามเสียงดังทันที “โซ่! นี่มันเรื่องบ้าอะไร?” ‘ใจเย็น ๆ’น้ำเสียงขบขันจากปลายสายยิ่งทำให้อุณหภูมิของร่างกายพุ่งสูงขึ้น และเสียงที่เปล่งออกไปก็หวีดแหลมยิ่งกว่าเดิม “จะเย็นได้ยังไง? โซ่ให้เรามาอยู่กับสองได้ยังไง?” ‘ก็ไม่เห็นเป็นไรเลย เพื่อนกันทั้งนั้น’ “ไม่ตลกเลยนะ เราจะย้ายออก หาห้องให้เราใหม่ด้วย” ‘มันเต็มหมดแล้ว ก็เหลือแค่ห้องนั้นแหละ’ “ก็แล้วทำไมไม่บอกก่อนว่าคนที่ต้องอยู่ด้วย…” ‘ก็แยมบอกเองว่าอยู่กับใครก็ได้ ขอแค่เป็นคนไว้ใจได้ก็พอ’ “แต่ต้องไม่ใช่สองไหม?” ‘ไอ้สองมันก็ไว้ใจได้ที่สุดแล้วไง’ “ไม่รู้แหละ จะให้ทนมองหน้ากันเข้าไปได้ยังไง?” ฉันโอด
ระยะปลอดเพื่อนตอนที่ 2 ก็ถ้าโซ่อยากจะทำให้ฉันตกใจเล่น ๆ ก็นับได้ว่ามันทำสำเร็จ เพราะตอนนี้ฉันตกใจจริง ๆ กับการเจอหน้าคนซึ่งไม่ได้เจอกันมานานเพราะตัวฉันเองเอาแต่หลีกเลี่ยงการที่จะได้เจอกันอีกครั้งมาโดยตลอด เพื่อนร่วมห้องคนใหม่ไม่ใช่ใครอื่น แต่คืออดีตเพื่อนซี้ของฉันเอง สองไม่ได้เปลี่ยนไปจากหลายปีก่อนเท่าไร หน้าตาก็หล่อเหมือนเดิม ทว่าสีผิวดูเข้มขึ้นจากเมื่อก่อนที่แทบจะเรียกได้ว่าเป็นพวกผิวขาวซีด ตอนนี้ดูสุขภาพดีขึ้นกว่าตอนนั้นเป็นไหน ๆ อีกทั้งยังดูโตขึ้นมาก เลื่อนสายตามองปราดเดียวก็รู้ได้ว่าเราห่างหายกันไปนานมากจริง ๆ หลังจากตะลึงจนพอใจแล้วฉันก็เบนสายตาไปทางอื่นพลางก็เอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงนิ่งสนิท ไม่สนใจทีท่าของอีกคนที่ราวกับระหว่างเราไม่มีอดีตขมขื่นร่วมกัน ก็อาจจะเป็นฉัน… ที่ขมขื่นอยู่แค่ฝ่ายเดียว… “รบกวนเบาเสียงลงหน่อยค่ะ พอดีจะนอน” “…” เพียงแค่ได้ยินคู่สนทนาก็บิดยิ้ม นัยน์ตาสีเข้มหรี่ลงเล็กน้อย เสียงหัวเราะดังขึ้นเบา ๆ ราวกับเป็นเรื่องตลกเสียเต็มประดาที่ตัวเองทำตัวไม่มีมารยาทแบบนี้ ฉันหมุนตัวเดินหนีทันทีพร้อมทั้งเอ
ระยะปลอดเพื่อนตอนที่ 120.00 น.“ถึงแล้วเนี่ย แกอยู่ไหน?”‘คีย์การ์ดอยู่ที่ล็อบบี้แกไปเอาได้เลย บอกเขาไปว่าห้อง 2302’“แล้วแกไม่ได้มาเจอกันที่นี่หรือไง?”‘ไม่ทันแล้ว ฉันคงลืมบอกแกว่ามีธุระไปสวีเดนกะทันหัน’“ฮะ?”‘เหอะน่า โซ่มันคงไม่หลอกให้แกไปอยู่กับคนประหลาดหรอกแยม’“แต่แกบอกว่าจะมาอยู่ด้วยกัน?”‘ขอโทษนะแยม แต่รอบนี้ฉันคงต้องเทแกจริง ๆ ไม่ต้องห่วงเรื่องค่าห้องเดี๋ยวฉันจะช่วยหารทุกเดือน!’“ลัน!!”‘โอ๊ย ๆ แค่นี้ก่อนนะ เขาเรียกเข้าเกตแล้ว’“ลัน!!”เสียงจากปลายสายตัดไปแล้ว และไม่ว่าจะกระหน่ำโทรไปกี่ครั้งเพื่อนตัวดีก็กดตัดสายทิ้งอยู่ดี กระทั่งสายสุดท้ายเสียงตัดเข้าระบบฝากข้อความอัตโนมัติดังขึ้นทำให้ฉันรู้ได้ในทันทีว่า ‘การโดนเท’ ของจริงมันเป็นยังไงตอนนี้เป็นเวลาค่ำแล้ว กวาดตามองไปรอบตัวก็พบว่าโถงล็อบบี้ของคอนโดหรูย่านใจกลางเมือง มีคนไม่กี่คนเท่านั้นที่กำลังชำเลืองมองมาทางที่ฉันยืนอยู่ เหตุคงเป็นเพราะเมื่อครู่ฉันเผลอตะเบ็งเสียงใส่โทรศัพท์จนลืมสนใจคนรอบข้างไปก็ได้แต่พยายามไม่สนใจสายตาแปลก ๆ ของคนอื่น รวมถึงพนักงานรักษาความปลอดภัยที่จ้องมองมาอย่างตะขิดตะขวงใจ แต่รีบคว้าเอาคันลากของกระเป๋า