ยายพิศมองลูกสาวเพียงคนเดียวที่กำลังเดินตรงมาทางนี้พลางอมยิ้ม เพราะทันทีที่กลับมาจากสอนหนังสือในโรงเรียนประถมประจำชุมชน ความร้อนใจที่อยากรู้คำตอบทำให้ปานใจไม่แม้แต่จะแวะเอากระเป๋าที่มีเอกสารเตรียมการสอนและหนังสือหลากหลายเล่มที่หอบกลับมาจากโรงเรียนไปเก็บในห้องอย่างเคย ก่อนจะออกมาพูดคุยกันตามประสาแม่ลูกที่อยู่ด้วยกันสองคนในบ้านหลังใหญ่นี้
“เป็นยังไงบ้างคะแม่ ป้าเล็กแกยอมไหมคะ” ปานใจเอ่ยถามขณะทรุดกายลงนั่งพับเพียบด้านหน้าผู้เป็นแม่
“มีเหรอจะไม่ยอม แม่ก็รู้ว่าแกยอมอย่างเสียไม่ได้นะ ทีแรกแม่ก็คิดจะถอดใจเพราะสีหน้าแกแข็งมาก แต่เห็นเด็กแล้วมันสังเวชใจจริง หน้าตารึก็จิ้มลิ้มพริ้มเพรา จะมองมุมไหนก็ไม่ผิดไปจากหนูฟ้าเลยสักนิด แต่แววตานี่สิ ฉลาดเอาเรื่องเลยละ ฉลาดรู้ฉลาดอยู่ และก็ฉลาดที่จะพูดด้วยนะ”
คนพูดอมยิ้มด้วยความปรานีและภูมิใจในตัวลูกสาวที่เป็นห่วงเป็นใยเด็กน้อย และยิ่งยิ้มมากขึ้นเมื่อนึกถึงแววตาน่าเอ็นดูพร้อมคำพูดส่อแววฉลาดนั้น
“ยังไงกันคะแม่” ปานใจถามด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม เพราะรับรู้ได้ถึงความเอ็นดูที่แม่มีต่อเด็กน้อยที่น่าสงสารคนนั้น
หญิงสาวยกฝ่าเท้าผู้เป็นแม่มาไว้บนตักและเริ่มบีบนวดเบาๆ คลายเส้นและความเมื่อยล้าซึ่งนับเป็นกิจวัตรประจำวันของเธอเมื่อกลับถึงบ้าน เพราะแม่อายุมากแล้วจะให้ไปออกกำลังกายหักโหมก็คงไม่ได้ การบีบนวดจึงเป็นการยืดเส้นยืดสายที่ดีที่สุด
“ก็หนูปานคิดดูสิลูก พอแม่ถามว่าอยากไปโรงเรียนไหม เด็กนั่นหันไปมองหน้าพี่เล็กแล้วตอบแม่ว่า หนูแล้วแต่ยาย พอพี่เล็กแกพูดเรื่องค่าขนมไปโรงเรียน หนูหล้าแกก็บอกว่า หนูจะไม่กินอะไรเลย แม่งี้น้ำตาจะไหล อยากจะรู้นักว่าหนูฟ้าใจคอทำด้วยอะไร ทำไมปล่อยให้ลูกลำบากอย่างนี้”
“ฟ้าเขาคงมีเหตุผลของเขาน่ะค่ะแม่”
เสียงสั่นเครือของแม่ทำให้ปานใจสะท้านเข้าไปถึงหัวอก ขนาดแม่ของเธอเป็นคนอื่นยังรู้สึกสงสารเด็กที่ขาดโอกาสสำหรับทุกอย่างที่ควรจะมีจะเป็น แล้วทำไมคนบ้านนั้นจึงมองข้ามในสิ่งนี้ เด็กหญิงตัวน้อยที่เธอเห็นหอบตะกร้าข้าวต้มมัดเข้าไปในตรอกนายชัยซึ่งเป็นบ่อนการพนันที่ใหญ่ที่สุดในละแวกนี้ ความสงสัยใคร่รู้ว่าเด็กหญิงตัวเล็กหน้าตาจิ้มลิ้มคนนี้เป็นลูกหลานใครกัน ทำไมถึงได้ปล่อยให้เด็กเข้าไปในที่อันตรายอย่างนั้นและจะปล่อยไว้ก็ไม่ได้จึงต้องเดินตามเข้าไปดู
‘อ้าว! ครูปานมาทำอะไรในนี้ อย่าบอกนะว่าจะมาเล่น’ เสียงร้องทักจากแม่ค้าในบ่อนทำให้ครูปานใจหันไปยิ้มเพราะเป็นคนคุ้นเคยกันทั้งนั้น
‘โธ่ พี่อิ่ม ปานเล่นเป็นที่ไหนกันจ๊ะ แค่จะตามมาดูเด็กน่ะ’
‘เด็ก อ้อ อีหล้าเรอะ’
‘ชื่อหล้าหรือจ๊ะ’
‘อ้าว ครูปานไม่รู้จักเด็กมันหรอกเรอะ ก็หลานยายเล็กลูกนังฟ้ามันไง นี่แม่มันมาทิ้งไว้สามเดือนแล้ว ยายเล็กบ่นทุกวัน แต่เด็กมันดีนะ เห็นมันตัวแค่นี้แต่มันช่วยงานยายมันทุกอย่างนั่นแหละ นี่มันก็เอาขนมมาขายทุกวัน’
‘แล้วเขาคิดตังค์ถูกหรือจ๊ะ ตัวเล็กกระเปี๊ยกเดียว’
‘ฮ่าๆ... มันจะถูกอาไร้ หนังสือหนังหาก็ไม่ได้เรียน นี่ก็อาศัยแค่ว่าคนซื้อไม่โกงเท่านั้นแหละ จ่ายเงินเอง ทอนเงินเอง ถ้าเป็นร้านพี่นะ คงได้เจ๊งไปนานแล้ว’
ใบหน้าเศร้าๆ รอยยิ้ม และคำขอบคุณที่เด็กหญิงที่มีให้แก่คนซื้อทำให้เธอรู้สึกตื้อขึ้นมาในอก เพราะไม่คิดว่า ฟ้ารุ่ง เพื่อนสนิทในวัยเด็กที่แสนจะอ่อนหวานและมองเห็นแต่ความสวยงามของโลกใบนี้จะทอดทิ้งลูกน้อยไปอย่างไม่ไยดี ยิ่งเห็นเด็กน้อยมีใบหน้าที่ละม้ายคล้ายคลึงกับผู้เป็นแม่มาก เธอก็ยิ่งสะท้อนใจจนไม่สามารถสลัดความไม่สบายใจนี้ออกไปได้เลยสักวัน จนต้องคิดหาหนทางให้เด็กได้เรียนหนังสือและแม่ของเธอก็เป็นตัวช่วยที่ดีที่สุด เพราะขึ้นชื่อว่าเป็นยายพิศเสียอย่าง ไม่ว่าใครในพื้นที่ก็ต้องเกรงใจ
“คุยอะไรกันครับคุณแม่ คุณลูก”
“คุณย่า คุณอา”
เสียงทุ้มเจือความสุภาพและเสียงใสของเด็กชายที่กำลังจะกลายเป็นหนุ่มน้อยดังขึ้นจากด้านหลัง ทำให้หญิงสาวต่างวัยทั้งสองต้องหันมองและยิ้มด้วยความสุข
“ตาธาน! โถ...พ่อรบหลานย่า”
ผู้เป็นย่าอ้าแขนรอรับร่างเด็กชายตัวน้อยที่โตขึ้นคงจะหล่อไม่แพ้ผู้เป็นพ่อ ส่วนคนที่มีศักดิ์เป็นอาก็อ้าแขนรอหลานชายที่จะโผเข้ามาหาด้วยความคิดถึงเช่นเดียวกัน
.
.
สิ่งที่ได้ยินเปรียบเหมือนปลายเข็มที่ทิ่มตำหัวใจอยู่ตลอดเวลา และถูกกดให้จมลึกมากยิ่งขึ้นเมื่อรับรู้ได้ถึงความเอื้ออารีที่แม่มีให้แก่ลูกของฟ้ารุ่งอีกครั้ง ทั้งที่พี่สาวของเธอทำให้แม่ช้ำใจจนกลายเป็นแบบนี้ แม่ที่เคยใจดีกับลูกเสมอกลับกลายเป็นคนแก่ที่เป็นโรคซึมเศร้าและอมทุกข์เพราะความรักลูกมาก เมื่อเสียใจมากก็ทำให้ไม่มีแรงกายแรงใจจะทำอะไรต่อได้ ลูกอีกสามคนที่เหลือจึงถูกทิ้งขว้างไม่ดูแลเอาใจใส่เหมือนดังเคย แต่เมื่อทำใจได้แม่ก็กลายเป็นคนเย็นชาไม่เคยคุยเล่นหัวกับลูกคนใดอีกเลย จนกลายเป็นว่าความสัมพันธ์ของทุกคนในบ้านไม่ต่างไปจากสนิมเหล็กที่รอวันผุกร่อน และก็คงใกล้เวลาเต็มที เมื่อแม่มีทีท่าว่าจะยอมรับความเจ็บปวดที่คาดว่าจะเกิดซ้ำอีกครั้ง
“แม่คิดยังไงถึงจะให้อีหล้ามันไปเรียนหนังสือ" ลมรำเพยถามย้ำเพื่อความแน่ใจ และคำตอบที่ได้รับจากสายตาของคนเป็นแม่ก็ทำให้เธอรู้สึกคล้ายกับกลืนของแข็งลงคอ ก่อนจะพูดเสียงสั่น เพราะยังจำสิ่งที่ฟ้ารุ่งทำไว้ได้ไม่ลืมเลือน "คนอย่างมัน...เดี๋ยวลูกไม้ก็หล่นไม่ไกลต้น ให้มันเรียนไปจะมีประโยชน์อาไร้! หน้าตาอย่างมัน คงไม่แคล้วได้มีผัวก่อนเรียนจบแน่” พี่สาวที่แก่กว่ากันแค่ปีเดียว แต่หน้าตาสะสวยแตกต่างจากเธอที่หน้าตาพื้นๆ แม้จะไม่ได้ขี้เหร่ แต่เมื่อเทียบกับฟ้ารุ่งความหมายก็คงจะไม่ต่างกันนัก ‘สวยและเรียนเก่ง’ เป็นคุณสมบัติที่ทำให้แม่รัก และก็ทำให้ผู้ชายมากหน้าหลายตามารุมชอบ แต่เธอกลับมองว่ามันไม่ต่างจากแมลงวันรุมตอมของเน่าเหม็น เพราะสุดท้ายผู้เป็นพี่ก็ส่งกลิ่นเน่าหนีตามผู้ชายไปจนได้ แล้วลูกที่หน้าเหมือนแม่อย่างกับแกะกันออกมาจะต่างกันสักเท่าไรกันเชียว “ก็ไม่ได้อยากให้มันไปเรียน แต่เกรงใจแม่พิศเขา” ยายเล็กพูดด้วยน้ำเสียงเรียบไม่ส่ออารมณ์แล้วก้มหน้าก้มตาเจียนใบตองสำหรับทำขนมในช่วงเช้ามืดต่อไป “จะไปเกรงใจเขาทำไมกันแม่ ก็แค่คนรวย ไม่เห็นจะอยากญาติดีด้วยซ้ำ เชอะ!”
ดอกไม้สีม่วงอมแดงมีเกสรสีเหลืองดูแตกต่างไปจากดอกไม้ในกระถางนับสิบที่วางเรียงรายกันอยู่บริเวณด้านนอกของระเบียงบ้าน สีที่ดูโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์และลักษณะคล้ายรูปถ้วยคว่ำที่เขามักจะคิดว่าดอกไม้แบบนี้น่าจะเป็นดอกไม้จากป่าลึก หรือไม่ก็อาจเป็นดอกไม้จากในวรรณคดีที่มีเพียงในจินตนาการ หรืออาจเป็นเพราะดอกไม้ชนิดนี้ไม่มีใบ ไม่มีกิ่งก้าน ลักษณะลำต้นตรงขึ้นมาจากพื้นดิน ก่อนจะออกดอกเบ่งบานอวดความงดงามตามธรรมชาติที่ไม่มีใครเหมือนและไม่เหมือนใครให้ชาวโลกได้ประจักษ์ว่า ความงามฉายชัดและยังเบ่งบานได้แม้จะไม่มีกิ่งใบคอยพยุงหรือโอบอุ้มเลยมีอยู่จริง ริมฝีปากนั้นคลี่ยิ้มละไมก่อนจะก้มลงจุมพิตที่ดอกเดี่ยว ดวงตาคมเข้มทอดมองแสงไฟสลัวที่เล็ดลอดออกมาจากม่านลูกไม้สีขาวของหน้าต่างห้องนอนด้านบน สลับกับมองสิ่งที่เขาโอบอุ้มไว้อย่างแสนรัก.. “ฮือ...ฮือ...” เสียงร้องไห้ที่ดังติดต่อกันตั้งแต่ช่วงหัวค่ำยันค่อนดึกทำให้คนที่นอนกระสับกระส่ายอยู่ในมุ้งสีเทาเก่าจนเกือบจะขาดใกล้จะหมดความอดทนเข้าไปทุกที ชายผ้าห่มทั้งสองข้างถูกดึงขึ้นมาคลุมปิดใบหูด้วยหวังว่าเสียงนั้นจะเล็ดลอดเข้าไปไม่ได้ แต่ผิดคาดเพร
กับข้าวหลายอย่างบรรจุอยู่ในหม้ออะลูมิเนียมที่เก่าและบุบเป็นบางส่วน แต่อาหารปรุงเสร็จใหม่ๆ และส่งกลิ่นหอมบอกได้ดีว่ารสชาติของอาหารคงจะอร่อยมาก ทำให้มีลูกค้าแวะเวียนมาที่ร้านไม่ขาดสาย มือเหี่ยวย่นตามวัยหยิบจับ ตักแกงจืด แกงเผ็ด ปลาราดพริก ข้าวเปล่าอย่างว่องไว โดยมีหลานสาวตัวน้อยคอยรับถุงบรรจุอาหารเหล่านั้นมารัดปากถุงด้วยหนังยางอย่างคล่องแคล่วไม่แพ้กัน อาหารในถุงที่มีอยู่สามในสี่ส่วน ทำให้พอมีพื้นที่สำหรับใช้มัดปากถุง เด็กหญิงขยายปากถุงให้อากาศเข้าเล็กน้อยก่อนจะพับทบปากถุงลงมาเป็นชั้นเล็กๆ กันอากาศออก จับจีบถุงแล้วใช้หนังยางรัดอย่างว่องไว ก่อนจะเช็ดถุงส่วนที่เปื้อนอาหารด้วยผ้าขี้ริ้วที่มองออกว่าคงเป็นเสื้อคอกระเช้าตัวเก่าของยายเล็กเจ้าของร้าน “อุ๊ย! หลานสาวพี่เล็กเก่งจัง ตัวแค่เมี่ยงช่วยยายได้แล้ว โถ...มัดปากถุงเรียบร้อยด้วยลูก พี่เล็กงั้นฉันเอานี่ นี่ และก็นี่เพิ่มด้วยจ้ะ ชอบใจหลานก็ต้องช่วยอุดหนุนยายเยอะหน่อย จริงไหมลูก” “จ้ะ” เด็กหญิงตัวน้อยรับคำพลางยิ้มแหยเพราะเกรงสายตาผู้เป็นยายที่มองมาอย่างปรามอยู่ในที แต่ก็ยังแอบลอบมองหญิงชราท่าทางใจดีที่รู้ได้โดยอัตโ
เด็กหญิงหล้าที่เพิ่งจะอายุสามขวบกว่าต้องระหกระเหินไปตามบ้านญาติของสามี เพราะฟ้ารุ่งต้องไปทำงานเพื่อหาเงินมาเลี้ยงดูลูก และบ่อยครั้งที่แกได้รับรู้ความทุกข์ของลูกสาวเพราะไม่มีใครต้องการเด็กคนนี้เลยสักคน ก็เหมือนที่แกรับลูกเขยไม่ได้ เพราะคิดว่าลูกเขยทำให้ลูกสาวของแกเสียคน ทางฝ่ายโน้นก็คิดแบบเดียวกัน ยิ่งนิธิเสียชีวิตในคุกอย่างมีเงื่อนงำ ทางญาติพี่น้องฝ่ายสามีก็ยิ่งแช่งชักหักกระดูกว่าเป็นเพราะนิธิเสียผู้เสียคน มีเมียตั้งแต่ยังเรียนไม่จบ ถึงต้องมาจบชีวิตเยี่ยงนี้ ผลพวงของความผิดพลาดจากผู้ใหญ่อย่างเด็กหญิงหล้าจึงไม่ได้รับความเอื้อเอ็นดูจากญาติฝ่ายไหนเลย แต่แล้วเมื่อสามเดือนก่อน ฟ้ารุ่งก็หอบลูกมาฝากไว้กับแกโดยบอกว่าจะไปแต่งงานกับสามีฝรั่งที่เจอกันโดยบังเอิญขณะที่ฟ้ารุ่งไปทำงานอยู่ภูเก็ตแล้วจะส่งค่าเลี้ยงดูมาให้ แต่พอสามเดือนผ่านไป ฟ้ารุ่งกลับหายเข้ากลีบเมฆ แกจึงต้องรับภาระเลี้ยงหลานที่ไม่มีใครอยากได้ ทั้งยังต้องทนเสียงด่าว่าของลมรำเพยที่รังเกียจหลานสาวยิ่งกว่าใคร มาถึงตอนนี้แกก็ยังไม่รู้ว่าจะรังเกียจหรือเอ็นดูหลานสาวตัวน้อยคนนี้ดี เพราะจะรักก็กลัวว่าจะเสียใจอย่างที่เคยเกิดขึ้นมาแล้
“แม่คิดยังไงถึงจะให้อีหล้ามันไปเรียนหนังสือ" ลมรำเพยถามย้ำเพื่อความแน่ใจ และคำตอบที่ได้รับจากสายตาของคนเป็นแม่ก็ทำให้เธอรู้สึกคล้ายกับกลืนของแข็งลงคอ ก่อนจะพูดเสียงสั่น เพราะยังจำสิ่งที่ฟ้ารุ่งทำไว้ได้ไม่ลืมเลือน "คนอย่างมัน...เดี๋ยวลูกไม้ก็หล่นไม่ไกลต้น ให้มันเรียนไปจะมีประโยชน์อาไร้! หน้าตาอย่างมัน คงไม่แคล้วได้มีผัวก่อนเรียนจบแน่” พี่สาวที่แก่กว่ากันแค่ปีเดียว แต่หน้าตาสะสวยแตกต่างจากเธอที่หน้าตาพื้นๆ แม้จะไม่ได้ขี้เหร่ แต่เมื่อเทียบกับฟ้ารุ่งความหมายก็คงจะไม่ต่างกันนัก ‘สวยและเรียนเก่ง’ เป็นคุณสมบัติที่ทำให้แม่รัก และก็ทำให้ผู้ชายมากหน้าหลายตามารุมชอบ แต่เธอกลับมองว่ามันไม่ต่างจากแมลงวันรุมตอมของเน่าเหม็น เพราะสุดท้ายผู้เป็นพี่ก็ส่งกลิ่นเน่าหนีตามผู้ชายไปจนได้ แล้วลูกที่หน้าเหมือนแม่อย่างกับแกะกันออกมาจะต่างกันสักเท่าไรกันเชียว “ก็ไม่ได้อยากให้มันไปเรียน แต่เกรงใจแม่พิศเขา” ยายเล็กพูดด้วยน้ำเสียงเรียบไม่ส่ออารมณ์แล้วก้มหน้าก้มตาเจียนใบตองสำหรับทำขนมในช่วงเช้ามืดต่อไป “จะไปเกรงใจเขาทำไมกันแม่ ก็แค่คนรวย ไม่เห็นจะอยากญาติดีด้วยซ้ำ เชอะ!”
ยายพิศมองลูกสาวเพียงคนเดียวที่กำลังเดินตรงมาทางนี้พลางอมยิ้ม เพราะทันทีที่กลับมาจากสอนหนังสือในโรงเรียนประถมประจำชุมชน ความร้อนใจที่อยากรู้คำตอบทำให้ปานใจไม่แม้แต่จะแวะเอากระเป๋าที่มีเอกสารเตรียมการสอนและหนังสือหลากหลายเล่มที่หอบกลับมาจากโรงเรียนไปเก็บในห้องอย่างเคย ก่อนจะออกมาพูดคุยกันตามประสาแม่ลูกที่อยู่ด้วยกันสองคนในบ้านหลังใหญ่นี้ “เป็นยังไงบ้างคะแม่ ป้าเล็กแกยอมไหมคะ” ปานใจเอ่ยถามขณะทรุดกายลงนั่งพับเพียบด้านหน้าผู้เป็นแม่ “มีเหรอจะไม่ยอม แม่ก็รู้ว่าแกยอมอย่างเสียไม่ได้นะ ทีแรกแม่ก็คิดจะถอดใจเพราะสีหน้าแกแข็งมาก แต่เห็นเด็กแล้วมันสังเวชใจจริง หน้าตารึก็จิ้มลิ้มพริ้มเพรา จะมองมุมไหนก็ไม่ผิดไปจากหนูฟ้าเลยสักนิด แต่แววตานี่สิ ฉลาดเอาเรื่องเลยละ ฉลาดรู้ฉลาดอยู่ และก็ฉลาดที่จะพูดด้วยนะ” คนพูดอมยิ้มด้วยความปรานีและภูมิใจในตัวลูกสาวที่เป็นห่วงเป็นใยเด็กน้อย และยิ่งยิ้มมากขึ้นเมื่อนึกถึงแววตาน่าเอ็นดูพร้อมคำพูดส่อแววฉลาดนั้น “ยังไงกันคะแม่” ปานใจถามด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม เพราะรับรู้ได้ถึงความเอ็นดูที่แม่มีต่อเด็กน้อยที่น่าสงสารคนนั้นหญิงสาวย
เด็กหญิงหล้าที่เพิ่งจะอายุสามขวบกว่าต้องระหกระเหินไปตามบ้านญาติของสามี เพราะฟ้ารุ่งต้องไปทำงานเพื่อหาเงินมาเลี้ยงดูลูก และบ่อยครั้งที่แกได้รับรู้ความทุกข์ของลูกสาวเพราะไม่มีใครต้องการเด็กคนนี้เลยสักคน ก็เหมือนที่แกรับลูกเขยไม่ได้ เพราะคิดว่าลูกเขยทำให้ลูกสาวของแกเสียคน ทางฝ่ายโน้นก็คิดแบบเดียวกัน ยิ่งนิธิเสียชีวิตในคุกอย่างมีเงื่อนงำ ทางญาติพี่น้องฝ่ายสามีก็ยิ่งแช่งชักหักกระดูกว่าเป็นเพราะนิธิเสียผู้เสียคน มีเมียตั้งแต่ยังเรียนไม่จบ ถึงต้องมาจบชีวิตเยี่ยงนี้ ผลพวงของความผิดพลาดจากผู้ใหญ่อย่างเด็กหญิงหล้าจึงไม่ได้รับความเอื้อเอ็นดูจากญาติฝ่ายไหนเลย แต่แล้วเมื่อสามเดือนก่อน ฟ้ารุ่งก็หอบลูกมาฝากไว้กับแกโดยบอกว่าจะไปแต่งงานกับสามีฝรั่งที่เจอกันโดยบังเอิญขณะที่ฟ้ารุ่งไปทำงานอยู่ภูเก็ตแล้วจะส่งค่าเลี้ยงดูมาให้ แต่พอสามเดือนผ่านไป ฟ้ารุ่งกลับหายเข้ากลีบเมฆ แกจึงต้องรับภาระเลี้ยงหลานที่ไม่มีใครอยากได้ ทั้งยังต้องทนเสียงด่าว่าของลมรำเพยที่รังเกียจหลานสาวยิ่งกว่าใคร มาถึงตอนนี้แกก็ยังไม่รู้ว่าจะรังเกียจหรือเอ็นดูหลานสาวตัวน้อยคนนี้ดี เพราะจะรักก็กลัวว่าจะเสียใจอย่างที่เคยเกิดขึ้นมาแล้
กับข้าวหลายอย่างบรรจุอยู่ในหม้ออะลูมิเนียมที่เก่าและบุบเป็นบางส่วน แต่อาหารปรุงเสร็จใหม่ๆ และส่งกลิ่นหอมบอกได้ดีว่ารสชาติของอาหารคงจะอร่อยมาก ทำให้มีลูกค้าแวะเวียนมาที่ร้านไม่ขาดสาย มือเหี่ยวย่นตามวัยหยิบจับ ตักแกงจืด แกงเผ็ด ปลาราดพริก ข้าวเปล่าอย่างว่องไว โดยมีหลานสาวตัวน้อยคอยรับถุงบรรจุอาหารเหล่านั้นมารัดปากถุงด้วยหนังยางอย่างคล่องแคล่วไม่แพ้กัน อาหารในถุงที่มีอยู่สามในสี่ส่วน ทำให้พอมีพื้นที่สำหรับใช้มัดปากถุง เด็กหญิงขยายปากถุงให้อากาศเข้าเล็กน้อยก่อนจะพับทบปากถุงลงมาเป็นชั้นเล็กๆ กันอากาศออก จับจีบถุงแล้วใช้หนังยางรัดอย่างว่องไว ก่อนจะเช็ดถุงส่วนที่เปื้อนอาหารด้วยผ้าขี้ริ้วที่มองออกว่าคงเป็นเสื้อคอกระเช้าตัวเก่าของยายเล็กเจ้าของร้าน “อุ๊ย! หลานสาวพี่เล็กเก่งจัง ตัวแค่เมี่ยงช่วยยายได้แล้ว โถ...มัดปากถุงเรียบร้อยด้วยลูก พี่เล็กงั้นฉันเอานี่ นี่ และก็นี่เพิ่มด้วยจ้ะ ชอบใจหลานก็ต้องช่วยอุดหนุนยายเยอะหน่อย จริงไหมลูก” “จ้ะ” เด็กหญิงตัวน้อยรับคำพลางยิ้มแหยเพราะเกรงสายตาผู้เป็นยายที่มองมาอย่างปรามอยู่ในที แต่ก็ยังแอบลอบมองหญิงชราท่าทางใจดีที่รู้ได้โดยอัตโ
ดอกไม้สีม่วงอมแดงมีเกสรสีเหลืองดูแตกต่างไปจากดอกไม้ในกระถางนับสิบที่วางเรียงรายกันอยู่บริเวณด้านนอกของระเบียงบ้าน สีที่ดูโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์และลักษณะคล้ายรูปถ้วยคว่ำที่เขามักจะคิดว่าดอกไม้แบบนี้น่าจะเป็นดอกไม้จากป่าลึก หรือไม่ก็อาจเป็นดอกไม้จากในวรรณคดีที่มีเพียงในจินตนาการ หรืออาจเป็นเพราะดอกไม้ชนิดนี้ไม่มีใบ ไม่มีกิ่งก้าน ลักษณะลำต้นตรงขึ้นมาจากพื้นดิน ก่อนจะออกดอกเบ่งบานอวดความงดงามตามธรรมชาติที่ไม่มีใครเหมือนและไม่เหมือนใครให้ชาวโลกได้ประจักษ์ว่า ความงามฉายชัดและยังเบ่งบานได้แม้จะไม่มีกิ่งใบคอยพยุงหรือโอบอุ้มเลยมีอยู่จริง ริมฝีปากนั้นคลี่ยิ้มละไมก่อนจะก้มลงจุมพิตที่ดอกเดี่ยว ดวงตาคมเข้มทอดมองแสงไฟสลัวที่เล็ดลอดออกมาจากม่านลูกไม้สีขาวของหน้าต่างห้องนอนด้านบน สลับกับมองสิ่งที่เขาโอบอุ้มไว้อย่างแสนรัก.. “ฮือ...ฮือ...” เสียงร้องไห้ที่ดังติดต่อกันตั้งแต่ช่วงหัวค่ำยันค่อนดึกทำให้คนที่นอนกระสับกระส่ายอยู่ในมุ้งสีเทาเก่าจนเกือบจะขาดใกล้จะหมดความอดทนเข้าไปทุกที ชายผ้าห่มทั้งสองข้างถูกดึงขึ้นมาคลุมปิดใบหูด้วยหวังว่าเสียงนั้นจะเล็ดลอดเข้าไปไม่ได้ แต่ผิดคาดเพร