ฉินอันอันมองดูเขาเพื่อรอคำพูดต่อไปของเขา“เขามีปัญหาเรื่องกระเพาะ ถ้าเขายุ่งและไม่มีคนคอยดูแลเรื่องการกิน เขาจะลืมกินข้าวแล้วซึ่งจะทำให้เกิดโรคกระเพาะกำเริบ แต่ในออฟฟิศและรถของเขามักจะมียารักษาโรคกระเพาะอยู่เสมอ นอกจากปัญหากระเพาะแล้ว เขามีอาการซึมเศร้าระดับปานกลางด้วย โรคนี้พี่เป่ยบอกผมเอง แล้วเวลาที่ติดต่อกับเขา มองไม่ออกเลยว่าเขามีอาการซึมเศร้า”ฉินอันอัน “จริง ๆ ก็ยังพอจะมองออกนะ อารมณ์ของเขาไม่แน่นอนบ่อย ๆ ทำให้คนรู้สึกกดดัน”โจวจื่ออี้พูดอย่างเงอะงะ “ผมชินแล้ว ก็เลยไม่รู้สึกอะไร”“เขามีอาการป่วยอื่น ๆ อีกหรือเปล่า?” ฉินอันอันถามต่อโจวจื่ออี้นึกพร้อมกับพูดว่า “ดูเหมือนว่าจะไม่มีโรคร้ายแรงอื่นอีกแล้ว”“เช่น ด้านจิตใจล่ะ?”“โรคซึมเศร้าไม่นับเหรอ?”“อาการซึมเศร้าถือเป็นอาการป่วยทางจิตในทางการแพทย์” ฉินอันอันตอบ“โอ้... ปัญหาทางจิตที่คุณพูดถึง หมายถึงคนไข้โรคจิตประเภทที่อยู่ในโรงพยาบาลจิตเวชใช่ไหม?” โจวจื่ออี้ขมวดคิ้ว ฉินอันอันตอบ “ยังมีโรคจิตที่อาการไม่รุนแรงถึงขนาดต้องส่งเข้าโรงพยาบาลจิตเวชด้วย”โจวจื่ออี้ “อันอัน ทำไมจู่ ๆ คุณถึงสงสัยว่าเจ้านายของผมป่วยทางจิตล่ะ?”“ไม
ทันทีที่พูดข้อความนี้ออกมา ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นพากันตกตะลึง บอกว่าเขาฆ่าคน คงจะมีคนเชื่อ แต่บอกว่าเขาคุกเข่า มันน่าหัวเราะจริง ๆ! ในประเทศเอ เขามีพลังอำนาจมหาศาล ด้วยสถานะของเขา เขาไม่จำเป็นต้องก้มหัวให้ใครทั้งสิ้น! แต่เวลานี้ เขาก้มศีรษะลงเล็กน้อย ความเงียบหมายถึงยอมรับ ทันใดนั้นฉินอันอันก็จำที่เขาพูดทางโทรศัพท์ได้ เขาบอกว่าเขาจะไม่ใช้ความรุนแรง เขาบอกว่าจากนี้เขาพยายามเป็นคนดี เขาไม่อยากให้ความผิดพลาดที่เขาเคยทำส่งผลไปถึงลูกชาย เธอรู้สึกแสบจมูก น้ำตาเอ่อล้น ขณะที่ดึงเขาออกไปจากสายตาของทุกคน “เกิดเรื่องอะไรขึ้น?” โจวจื่ออี้ถามบอดี้การ์ดทันทีหลังจากพวกเขาออกไปแล้ว “คนที่มีกรุ๊ปเลือดเข้ากันได้คือหญิงแก่อายุห้าสิบกว่า เธออาศัยอยู่บนภูเขาและมีความคิดค่อนข้างงมงาย เธอคิดว่าการบริจาคเลือดจะทำให้อายุขัยสั้นลง ถึงเจ้านายจะให้เงินเธอ เธอก็ไม่ยอมรับ บอกว่ากลัวตาย เจ้านายพูดเหตุผลตั้งมากมายให้เธอฟัง แต่ก็ไม่ได้ผล สุดท้ายทำได้เพียงคุกเข่าขอร้องเธอ” บอดี้การ์ดขมวดคิ้วแล้วพูดเช่นนี้ พร้อมกำหมัดแน่น “ผมไม่เคยเห็นเจ้านายต้องอัดอั้นใจแบบนี้มาก่อน! เห็น ๆ กันอยู่ว่ามีวิธีที่จะได้เลือ
รอยยิ้มแสดงความรักใคร่ปรากฏขึ้นบนใบหน้าฟู่สือถิง “หลายวันมานี้พี่ยุ่งมากเลยไม่ได้กลับบ้าน ได้ยินว่าวันนี้เธอไปโรงพยาบาลแต่เช้า” “ฉันตื่นเช้ามาก็นอนไม่หลับแล้วค่ะ แต่ว่าวันนี้นอนกลางวันนานเลย” วันนี้เธอพักผ่อนที่บ้านทั้งวัน ตอนนี้สีหน้าดูดีขึ้นกว่าตอนเช้า “พี่ชาย จื่อชิวเป็นยังไงบ้างคะ?” “วันนี้พี่เอาเลือดกลับมาหนึ่งถุง จนถึงพรุ่งนี้เขาจะไม่เป็นไร” เมื่อเขาพูดคำเหล่านี้ ในใจอดกังวลไม่ได้ ถ้ามีแหล่งเลือดขนาดใหญ่ก็คงดี ถ้าเป็นแบบนั้นจะได้ไม่ต้องกังวลว่าวันไหนจื่อชิวจะป่วยหนักอีก “พี่ชาย พี่เก่งมากจริง ๆ” อิ๋นอิ๋นจับมือของเขาแล้วมองหน้าเขาชนิดตาไม่กะพริบ “พี่ชาย พี่ผอมมากเลย ฉันรู้สึกแย่จัง! ป้าหงเตรียมอาหารอร่อย ๆ ให้พี่ไว้แล้ว พี่ต้องกินเยอะ ๆ นะคะ!” อิ๋นอิ๋นดึงมือเขาไปที่ห้องกินข้าว “พี่ชาย จื่อชิวจะต้องไม่เป็นไร ฉันต้องสอนเขาเรียกฉันว่าอาด้วย!” “เธอจะต้องเป็นคุณอาที่ดีแน่นอน” คิ้วสวยของฟู่สือถิงคลายออก “งั้นพี่ก็ต้องเป็นคุณพ่อที่ดีที่สุด” อิ๋นอิ๋นเหลียวมองแล้วยิ้มให้เขา “เว่ยเจินบอกว่าจื่อชิวหน้าเหมือนพี่มาก แต่ฉันดูจากรูปแล้วมองไม่ออกเลย พี่ชาย จื่อชิวหน้าเหมือนพี่
มีความคืบหน้าใหม่เกี่ยวกับเรื่องหลุมฝังศพ ตำรวจตรวจพบชายวัยกลางคนที่เจ้าของร้านป้ายหลุมศพบอกว่าเป็นคนสั่งทำชายคนนี้ถูกตำรวจจับตอนตีสามของเช้าวันนี้ ทางตำรวจได้ส่งข้อความถึงฟู่สือถิง หลังจากเข้าจับกุม ฟู่สือถิงพลิกผ้าห่มขึ้นพร้อมกับอ่านข้อความจบ ขายาว ๆ ก้าวลงจากเตียง โทรศัพท์ถูกรับสายอย่างรวดเร็ว “คุณฟู่ พวกเราจับกุมผู้ต้องสงสัยไว้แล้ว หลังจากที่พวกเราสอบสวนเขาสารภาพต่อการกระทำผิดของตนเอง เขาบอกว่าแรงจูงใจในการก่อคดีคือความเกลียดชังที่มีต่อคนรวย” ตำรวจกล่าว ฟู่สือถิงถาม “เขารู้ชื่อลูกชายของผมได้ยังไง? คนธรรมดาไม่น่าจะทำแบบนั้นได้” คำถามของเขาทำให้ตำรวจตกอยู่ในความเงียบไปชั่วขณะ “คุณฟู่ ถ้าอย่างนั้นพวกเราจะสอบสวนผู้ต้องสงสัยต่อไปครับ” “ส่งผู้ต้องสงสัยมาให้ผม ผมมีวิธีทำให้เขาพูดความจริง” พูดสายเสร็จ เขาเปิดวีแชท คุณหมอไม่ได้ส่งข้อความถึงเขา ฉินอันอันเองก็ไม่ได้ส่งอะไรมาเช่นกัน ช่วงนี้จื่อชิวน่าจะปลอดภัยเขาถอนใจโล่งอก วางโทรศัพท์ลงแล้วเข้าห้องน้ำ หลังจากชำระล้างร่างกายเสร็จแล้ว เขาลงมาชั้นล่าง ป้าหงยกอาหารเช้าแสนอร่อยมาที่โต๊ะทันที “อิ๋นอิ๋นล่ะ?” เขานึกถึงบทสน
เขาไม่พูดอะไร แค่กอดเธอไว้แบบนั้นเงียบ ๆ ความโศกเศร้าในใจเธอ ทุเลาลงทันที เธอเต็มเปี่ยมด้วยพลังอีกครั้งและเริ่มเชื่อว่าจะมีปาฏิหาริย์เกิดขึ้น เมื่ออารมณ์เธอสงบลงแล้ว เขาก็เอาขนมเปี๊ยะที่นำมาให้เธอ เธอหยิบขนมเปี๊ยะแล้วเริ่มกินคำเล็ก ๆ “ผลการสืบสวนออกมาแล้ว” หลังจากเธอกินขนมเปี๊ยะไปสองชิ้น เสียงทุ้มต่ำของเขาดังขึ้น “หวังหว่านจือส่งคนไปสั่งทำป้ายหลุมศพ” เธอปิดกล่องขนมเปี๊ยะแล้วสูดหายใจเข้าลึก ๆ ฝ่ามือใหญ่ของเขากุมมือเล็ก ๆ ของเธอ “คุณอยู่ที่โรงพยาบาลนะ ผมจะไปหาเธอ” เขาพูดจบแล้วก็ผุดลุกขึ้นยืนแล้วเดินจากไปทันที เธอมองดูแผ่นหลังที่เรียวยาวของเขา แล้วปลอบใจตัวเองว่า ครั้งนี้เขาจะไม่มีทางใจอ่อนแน่นอน! ถ้าบอกว่าเขาเห็นแก่ความสัมพันธ์ครั้งเก่าถึงได้ยั้งมือกับถังเชี่ยน เช่นนั้นเขากับหวังหว่านจือไม่ได้ความสัมพันธ์แต่เก่าก่อนต่อกัน บริษัทเทคโนโลยีจินจือ ใบหน้าของหวังหว่านจือหมองคล้ำ มือที่ถือโทรศัพท์สั่นเล็กน้อย ชายที่เธอส่งไปทำป้ายหลุมศพโดนจับแล้ว เธอขอให้คนที่มีเส้นสายกับตำรวจไปสอบถาม แต่ไม่ได้ข้อมูลใด ๆ เลย เธอรู้สึกกระวนกระวายใจมาก! เดิมทีเธอคิดว่าการสั่งทำป้าย
ฟู่สือถิงไม่แน่ใจว่ากล่องสีแดงเข้มที่หายไปนั้นอยู่ในมือของถังฉียวเซิน เขาไม่แน่ใจเช่นกันว่าหวังหว่านจือจะซื่อสัตย์และเชื่อฟัง เหตุผลที่เขาบอกข้อมูลนี้กับหวังหว่านจือเพื่อใช้หวังหว่านจือเป็นตัวล่อ ดูว่าจะสามารถระเบิดหาที่อยู่ของกล่องได้ไหม! ถึงแม้ว่ากล่องจะถูกขโมยไปนานแล้ว แต่มันยังคงโผล่มาทรมานเขาเป็นครั้งคราว กล่องนี้เหมือนระเบิดเวลา เขาไม่รู้เลยว่ามันจะระเบิดขึ้นเมื่อไหร่ เขาคิดอยู่นานก็นึกเบาะแสอะไรไม่ออกเลย เป็นใครกันแน่ที่เอากล่องออกไปจากห้องหนังสือของเขา? ถ้าเป็นคนที่ต้องการทำร้ายเขาก็สามารถเปิดเผยข้อมูลในกล่องทำให้เขาอับอายเมื่อไหร่ก็ได้! แต่หลังจากที่มีคนเอากล่องนี้ไป เป็นเวลานานขนาดนี้แล้วก็ยังไม่ติดต่อเขาแล้วก็ไม่ได้เผยแพร่เนื้อหาด้านในด้วย ถ้าคนผู้นี้ไม่ต้องการทำร้ายเขา แล้วจะเอากล่องไปทำไม? เรื่องนี้มันขัดแย้งกันมาก จนเขาอดสงสัยไม่ได้ว่ามีช่องโหว่ในกาลเวลาหรือเปล่า! หรือที่จริงแล้วไม่มีใครเอกล่องนี้ไป แต่มันตกลงไปอยู่ในหลุมแห่งกาลเวลา! แต่ทุกเรื่องที่เกิดขึ้นจริงนี้ คอยเตือนเขาอย่างต่อเนื่องว่ามีหลุมแห่งกาลเวลาที่ไหนกัน ถ้ามีหลุมแห่งกาลเวลาจริง ทำไมทุ
“ควรเตรียมไว้อย่างน้อยห้าร้อยมิลลิลิตร” ห้าร้อยมิลลิลิตร… แค่ต้องหาเลือดผู้ใหญ่สองคนมาก็ได้แล้ว แต่ตอนนี้หาได้สักคนก็ยากแล้ว จะไปหาสองคนจากที่ไหนกัน?เขาไม่ยอมให้อิ๋นอิ๋นบริจาคเลือด ไม่ยอมให้อิ๋นอิ๋นรับความเสี่ยงนี้! แต่ว่าจื่อชิวจะทำยังไง? เขายอมให้จื่อชิวเกิดมาบนโลกนี้ หรือว่าเขาจะยอมมองเห็นจื่อชิวตายด้วยอาการป่วยโดยไม่ทำอะไรจริงหรือ? ในตอนที่เขาอยู่ในช่วงเวลาแห่งความเศร้าโศก ฉินอันอันก้าวเข้ามา “ไมค์เจอเลือดแล้วค่ะ” ฉินอันอันเพิ่งคุยโทรศัพท์กับไมค์เสร็จจึงรีบมาแจงข่าวกับพวกเขาทันที “เขาได้เลือดมาสองร้อยมิลลิลิตร ตอนนี้กำลังนำเลือดไปตรวจที่โรงพยาบาล ถ้าไม่มีปัญหาจะส่งกลับมาที่ประเทศทันที” ฟู่สือถิงพึมพำ “ยังเหลืออีกสามร้อยมิลลิลิตร…ผมจะรีบไปหาเดี๋ยวนี้…” “คุณจะไปหาที่ไหน? ตอนนี้มืดแล้ว” ฉินอันอันจับแขนของเขาไว้ ไม่อยากให้เขาต้องวิ่งวุ่นไปทั่ว “ถ้ามีข่าวเกี่ยวกับแหล่งเลือด พวกเราส่งคนไปรับมาก็ได้” เธอไม่อยากเห็นเขาต้องลำบากเพราะเรื่องนี้อีก เขามองดูความรักที่มีต่อเขาในดวงตาของเธอ ดวงตาก็แดงก่ำด้วยความรู้สึกผิด เธอจะทำอย่างไรถ้ารู้ว่ากรุ๊ปเลือดของอิ๋นอิ๋นและจื่อช
เว่ยเจินที่ยืนอยู่ข้างอิ๋นอิ๋นพูดแทรกขึ้นว่า “แต่ห้าร้อยมิลลิลิตร ก็พอแล้วใช่ไหม?” โจวจื่ออี้ขมวดคิ้วและพูดอย่างขมขื่น “เลือดห้าร้อยมิลลิลิตร พูดง่ายแต่ทำยาก! เวลาเจอเลือดที่เข้ากับจื่อชิวได้ มากที่สุดจะได้มาแค่สามร้อยมิลลิลิตรต่อครั้งเท่านั้น ตอนนี้ไมค์เจอสองร้อยมิลลิลิตรที่ประเทศบี ยังขาดอีกสามร้อยมิลลิลิตร” อิ๋นอิ๋นได้ยินคำพูดของเขา หน้าอกของเธอขยับขึ้นลงอย่างรวดเร็ว “ถ้าตอนนี้ใช้เลือดอีกสามร้อยมิลลิลิตรก็จะช่วยชีวิตจื่อชิวได้ใช่ไหมคะ?” โจวจื่ออี้ “ใช่แล้วครับ! แต่เลือดสามร้อยมิลลิลิตรนี้หาได้ยาก คนที่มีกรุ๊ปเลือดนี้มีน้อยมากและอายุของผู้บริจาคเลือดได้คือช่วงอายุระหว่างสิบแปดถึงห้าสิบห้าปี…” อิ๋นอิ๋นดึงแขนเว่ยเจินแล้วเอ่ยกับโจวจื่ออี้ “ฉันกับเว่ยเจินจะไปหาเอง” โจวจื่ออี้พูดอย่างงุนงง “อิ๋นอิ๋น คุณกลับไปพักผ่อนเถอะ คุณไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้ ข้างนอกมืดแล้ว หากมีแหล่งข่าวเรื่องเลือด พวกเราจะรับทราบข่าวนี้ทันที” เขาเข้าใจว่าอิ๋นอิ๋นอยากช่วย อิ๋นอิ๋นคืเป็นคนที่ต้องได้รับการปกป้องมาตลอด ตอนนี้เธอไม่มีปัญหาแล้ว ก็ถือว่าเป็นความช่วยเหลือที่ดีที่สุดสำหรับทุกคน อิ๋นอิ๋นพ