ฉินอันอันมองดูเขาเพื่อรอคำพูดต่อไปของเขา“เขามีปัญหาเรื่องกระเพาะ ถ้าเขายุ่งและไม่มีคนคอยดูแลเรื่องการกิน เขาจะลืมกินข้าวแล้วซึ่งจะทำให้เกิดโรคกระเพาะกำเริบ แต่ในออฟฟิศและรถของเขามักจะมียารักษาโรคกระเพาะอยู่เสมอ นอกจากปัญหากระเพาะแล้ว เขามีอาการซึมเศร้าระดับปานกลางด้วย โรคนี้พี่เป่ยบอกผมเอง แล้วเวลาที่ติดต่อกับเขา มองไม่ออกเลยว่าเขามีอาการซึมเศร้า”ฉินอันอัน “จริง ๆ ก็ยังพอจะมองออกนะ อารมณ์ของเขาไม่แน่นอนบ่อย ๆ ทำให้คนรู้สึกกดดัน”โจวจื่ออี้พูดอย่างเงอะงะ “ผมชินแล้ว ก็เลยไม่รู้สึกอะไร”“เขามีอาการป่วยอื่น ๆ อีกหรือเปล่า?” ฉินอันอันถามต่อโจวจื่ออี้นึกพร้อมกับพูดว่า “ดูเหมือนว่าจะไม่มีโรคร้ายแรงอื่นอีกแล้ว”“เช่น ด้านจิตใจล่ะ?”“โรคซึมเศร้าไม่นับเหรอ?”“อาการซึมเศร้าถือเป็นอาการป่วยทางจิตในทางการแพทย์” ฉินอันอันตอบ“โอ้... ปัญหาทางจิตที่คุณพูดถึง หมายถึงคนไข้โรคจิตประเภทที่อยู่ในโรงพยาบาลจิตเวชใช่ไหม?” โจวจื่ออี้ขมวดคิ้ว ฉินอันอันตอบ “ยังมีโรคจิตที่อาการไม่รุนแรงถึงขนาดต้องส่งเข้าโรงพยาบาลจิตเวชด้วย”โจวจื่ออี้ “อันอัน ทำไมจู่ ๆ คุณถึงสงสัยว่าเจ้านายของผมป่วยทางจิตล่ะ?”“ไม
ทันทีที่พูดข้อความนี้ออกมา ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นพากันตกตะลึง บอกว่าเขาฆ่าคน คงจะมีคนเชื่อ แต่บอกว่าเขาคุกเข่า มันน่าหัวเราะจริง ๆ! ในประเทศเอ เขามีพลังอำนาจมหาศาล ด้วยสถานะของเขา เขาไม่จำเป็นต้องก้มหัวให้ใครทั้งสิ้น! แต่เวลานี้ เขาก้มศีรษะลงเล็กน้อย ความเงียบหมายถึงยอมรับ ทันใดนั้นฉินอันอันก็จำที่เขาพูดทางโทรศัพท์ได้ เขาบอกว่าเขาจะไม่ใช้ความรุนแรง เขาบอกว่าจากนี้เขาพยายามเป็นคนดี เขาไม่อยากให้ความผิดพลาดที่เขาเคยทำส่งผลไปถึงลูกชาย เธอรู้สึกแสบจมูก น้ำตาเอ่อล้น ขณะที่ดึงเขาออกไปจากสายตาของทุกคน “เกิดเรื่องอะไรขึ้น?” โจวจื่ออี้ถามบอดี้การ์ดทันทีหลังจากพวกเขาออกไปแล้ว “คนที่มีกรุ๊ปเลือดเข้ากันได้คือหญิงแก่อายุห้าสิบกว่า เธออาศัยอยู่บนภูเขาและมีความคิดค่อนข้างงมงาย เธอคิดว่าการบริจาคเลือดจะทำให้อายุขัยสั้นลง ถึงเจ้านายจะให้เงินเธอ เธอก็ไม่ยอมรับ บอกว่ากลัวตาย เจ้านายพูดเหตุผลตั้งมากมายให้เธอฟัง แต่ก็ไม่ได้ผล สุดท้ายทำได้เพียงคุกเข่าขอร้องเธอ” บอดี้การ์ดขมวดคิ้วแล้วพูดเช่นนี้ พร้อมกำหมัดแน่น “ผมไม่เคยเห็นเจ้านายต้องอัดอั้นใจแบบนี้มาก่อน! เห็น ๆ กันอยู่ว่ามีวิธีที่จะได้เลือ
รอยยิ้มแสดงความรักใคร่ปรากฏขึ้นบนใบหน้าฟู่สือถิง “หลายวันมานี้พี่ยุ่งมากเลยไม่ได้กลับบ้าน ได้ยินว่าวันนี้เธอไปโรงพยาบาลแต่เช้า” “ฉันตื่นเช้ามาก็นอนไม่หลับแล้วค่ะ แต่ว่าวันนี้นอนกลางวันนานเลย” วันนี้เธอพักผ่อนที่บ้านทั้งวัน ตอนนี้สีหน้าดูดีขึ้นกว่าตอนเช้า “พี่ชาย จื่อชิวเป็นยังไงบ้างคะ?” “วันนี้พี่เอาเลือดกลับมาหนึ่งถุง จนถึงพรุ่งนี้เขาจะไม่เป็นไร” เมื่อเขาพูดคำเหล่านี้ ในใจอดกังวลไม่ได้ ถ้ามีแหล่งเลือดขนาดใหญ่ก็คงดี ถ้าเป็นแบบนั้นจะได้ไม่ต้องกังวลว่าวันไหนจื่อชิวจะป่วยหนักอีก “พี่ชาย พี่เก่งมากจริง ๆ” อิ๋นอิ๋นจับมือของเขาแล้วมองหน้าเขาชนิดตาไม่กะพริบ “พี่ชาย พี่ผอมมากเลย ฉันรู้สึกแย่จัง! ป้าหงเตรียมอาหารอร่อย ๆ ให้พี่ไว้แล้ว พี่ต้องกินเยอะ ๆ นะคะ!” อิ๋นอิ๋นดึงมือเขาไปที่ห้องกินข้าว “พี่ชาย จื่อชิวจะต้องไม่เป็นไร ฉันต้องสอนเขาเรียกฉันว่าอาด้วย!” “เธอจะต้องเป็นคุณอาที่ดีแน่นอน” คิ้วสวยของฟู่สือถิงคลายออก “งั้นพี่ก็ต้องเป็นคุณพ่อที่ดีที่สุด” อิ๋นอิ๋นเหลียวมองแล้วยิ้มให้เขา “เว่ยเจินบอกว่าจื่อชิวหน้าเหมือนพี่มาก แต่ฉันดูจากรูปแล้วมองไม่ออกเลย พี่ชาย จื่อชิวหน้าเหมือนพี่
มีความคืบหน้าใหม่เกี่ยวกับเรื่องหลุมฝังศพ ตำรวจตรวจพบชายวัยกลางคนที่เจ้าของร้านป้ายหลุมศพบอกว่าเป็นคนสั่งทำชายคนนี้ถูกตำรวจจับตอนตีสามของเช้าวันนี้ ทางตำรวจได้ส่งข้อความถึงฟู่สือถิง หลังจากเข้าจับกุม ฟู่สือถิงพลิกผ้าห่มขึ้นพร้อมกับอ่านข้อความจบ ขายาว ๆ ก้าวลงจากเตียง โทรศัพท์ถูกรับสายอย่างรวดเร็ว “คุณฟู่ พวกเราจับกุมผู้ต้องสงสัยไว้แล้ว หลังจากที่พวกเราสอบสวนเขาสารภาพต่อการกระทำผิดของตนเอง เขาบอกว่าแรงจูงใจในการก่อคดีคือความเกลียดชังที่มีต่อคนรวย” ตำรวจกล่าว ฟู่สือถิงถาม “เขารู้ชื่อลูกชายของผมได้ยังไง? คนธรรมดาไม่น่าจะทำแบบนั้นได้” คำถามของเขาทำให้ตำรวจตกอยู่ในความเงียบไปชั่วขณะ “คุณฟู่ ถ้าอย่างนั้นพวกเราจะสอบสวนผู้ต้องสงสัยต่อไปครับ” “ส่งผู้ต้องสงสัยมาให้ผม ผมมีวิธีทำให้เขาพูดความจริง” พูดสายเสร็จ เขาเปิดวีแชท คุณหมอไม่ได้ส่งข้อความถึงเขา ฉินอันอันเองก็ไม่ได้ส่งอะไรมาเช่นกัน ช่วงนี้จื่อชิวน่าจะปลอดภัยเขาถอนใจโล่งอก วางโทรศัพท์ลงแล้วเข้าห้องน้ำ หลังจากชำระล้างร่างกายเสร็จแล้ว เขาลงมาชั้นล่าง ป้าหงยกอาหารเช้าแสนอร่อยมาที่โต๊ะทันที “อิ๋นอิ๋นล่ะ?” เขานึกถึงบทสน
เขาไม่พูดอะไร แค่กอดเธอไว้แบบนั้นเงียบ ๆ ความโศกเศร้าในใจเธอ ทุเลาลงทันที เธอเต็มเปี่ยมด้วยพลังอีกครั้งและเริ่มเชื่อว่าจะมีปาฏิหาริย์เกิดขึ้น เมื่ออารมณ์เธอสงบลงแล้ว เขาก็เอาขนมเปี๊ยะที่นำมาให้เธอ เธอหยิบขนมเปี๊ยะแล้วเริ่มกินคำเล็ก ๆ “ผลการสืบสวนออกมาแล้ว” หลังจากเธอกินขนมเปี๊ยะไปสองชิ้น เสียงทุ้มต่ำของเขาดังขึ้น “หวังหว่านจือส่งคนไปสั่งทำป้ายหลุมศพ” เธอปิดกล่องขนมเปี๊ยะแล้วสูดหายใจเข้าลึก ๆ ฝ่ามือใหญ่ของเขากุมมือเล็ก ๆ ของเธอ “คุณอยู่ที่โรงพยาบาลนะ ผมจะไปหาเธอ” เขาพูดจบแล้วก็ผุดลุกขึ้นยืนแล้วเดินจากไปทันที เธอมองดูแผ่นหลังที่เรียวยาวของเขา แล้วปลอบใจตัวเองว่า ครั้งนี้เขาจะไม่มีทางใจอ่อนแน่นอน! ถ้าบอกว่าเขาเห็นแก่ความสัมพันธ์ครั้งเก่าถึงได้ยั้งมือกับถังเชี่ยน เช่นนั้นเขากับหวังหว่านจือไม่ได้ความสัมพันธ์แต่เก่าก่อนต่อกัน บริษัทเทคโนโลยีจินจือ ใบหน้าของหวังหว่านจือหมองคล้ำ มือที่ถือโทรศัพท์สั่นเล็กน้อย ชายที่เธอส่งไปทำป้ายหลุมศพโดนจับแล้ว เธอขอให้คนที่มีเส้นสายกับตำรวจไปสอบถาม แต่ไม่ได้ข้อมูลใด ๆ เลย เธอรู้สึกกระวนกระวายใจมาก! เดิมทีเธอคิดว่าการสั่งทำป้าย
ฟู่สือถิงไม่แน่ใจว่ากล่องสีแดงเข้มที่หายไปนั้นอยู่ในมือของถังฉียวเซิน เขาไม่แน่ใจเช่นกันว่าหวังหว่านจือจะซื่อสัตย์และเชื่อฟัง เหตุผลที่เขาบอกข้อมูลนี้กับหวังหว่านจือเพื่อใช้หวังหว่านจือเป็นตัวล่อ ดูว่าจะสามารถระเบิดหาที่อยู่ของกล่องได้ไหม! ถึงแม้ว่ากล่องจะถูกขโมยไปนานแล้ว แต่มันยังคงโผล่มาทรมานเขาเป็นครั้งคราว กล่องนี้เหมือนระเบิดเวลา เขาไม่รู้เลยว่ามันจะระเบิดขึ้นเมื่อไหร่ เขาคิดอยู่นานก็นึกเบาะแสอะไรไม่ออกเลย เป็นใครกันแน่ที่เอากล่องออกไปจากห้องหนังสือของเขา? ถ้าเป็นคนที่ต้องการทำร้ายเขาก็สามารถเปิดเผยข้อมูลในกล่องทำให้เขาอับอายเมื่อไหร่ก็ได้! แต่หลังจากที่มีคนเอากล่องนี้ไป เป็นเวลานานขนาดนี้แล้วก็ยังไม่ติดต่อเขาแล้วก็ไม่ได้เผยแพร่เนื้อหาด้านในด้วย ถ้าคนผู้นี้ไม่ต้องการทำร้ายเขา แล้วจะเอากล่องไปทำไม? เรื่องนี้มันขัดแย้งกันมาก จนเขาอดสงสัยไม่ได้ว่ามีช่องโหว่ในกาลเวลาหรือเปล่า! หรือที่จริงแล้วไม่มีใครเอกล่องนี้ไป แต่มันตกลงไปอยู่ในหลุมแห่งกาลเวลา! แต่ทุกเรื่องที่เกิดขึ้นจริงนี้ คอยเตือนเขาอย่างต่อเนื่องว่ามีหลุมแห่งกาลเวลาที่ไหนกัน ถ้ามีหลุมแห่งกาลเวลาจริง ทำไมทุ
“ควรเตรียมไว้อย่างน้อยห้าร้อยมิลลิลิตร” ห้าร้อยมิลลิลิตร… แค่ต้องหาเลือดผู้ใหญ่สองคนมาก็ได้แล้ว แต่ตอนนี้หาได้สักคนก็ยากแล้ว จะไปหาสองคนจากที่ไหนกัน?เขาไม่ยอมให้อิ๋นอิ๋นบริจาคเลือด ไม่ยอมให้อิ๋นอิ๋นรับความเสี่ยงนี้! แต่ว่าจื่อชิวจะทำยังไง? เขายอมให้จื่อชิวเกิดมาบนโลกนี้ หรือว่าเขาจะยอมมองเห็นจื่อชิวตายด้วยอาการป่วยโดยไม่ทำอะไรจริงหรือ? ในตอนที่เขาอยู่ในช่วงเวลาแห่งความเศร้าโศก ฉินอันอันก้าวเข้ามา “ไมค์เจอเลือดแล้วค่ะ” ฉินอันอันเพิ่งคุยโทรศัพท์กับไมค์เสร็จจึงรีบมาแจงข่าวกับพวกเขาทันที “เขาได้เลือดมาสองร้อยมิลลิลิตร ตอนนี้กำลังนำเลือดไปตรวจที่โรงพยาบาล ถ้าไม่มีปัญหาจะส่งกลับมาที่ประเทศทันที” ฟู่สือถิงพึมพำ “ยังเหลืออีกสามร้อยมิลลิลิตร…ผมจะรีบไปหาเดี๋ยวนี้…” “คุณจะไปหาที่ไหน? ตอนนี้มืดแล้ว” ฉินอันอันจับแขนของเขาไว้ ไม่อยากให้เขาต้องวิ่งวุ่นไปทั่ว “ถ้ามีข่าวเกี่ยวกับแหล่งเลือด พวกเราส่งคนไปรับมาก็ได้” เธอไม่อยากเห็นเขาต้องลำบากเพราะเรื่องนี้อีก เขามองดูความรักที่มีต่อเขาในดวงตาของเธอ ดวงตาก็แดงก่ำด้วยความรู้สึกผิด เธอจะทำอย่างไรถ้ารู้ว่ากรุ๊ปเลือดของอิ๋นอิ๋นและจื่อช
เว่ยเจินที่ยืนอยู่ข้างอิ๋นอิ๋นพูดแทรกขึ้นว่า “แต่ห้าร้อยมิลลิลิตร ก็พอแล้วใช่ไหม?” โจวจื่ออี้ขมวดคิ้วและพูดอย่างขมขื่น “เลือดห้าร้อยมิลลิลิตร พูดง่ายแต่ทำยาก! เวลาเจอเลือดที่เข้ากับจื่อชิวได้ มากที่สุดจะได้มาแค่สามร้อยมิลลิลิตรต่อครั้งเท่านั้น ตอนนี้ไมค์เจอสองร้อยมิลลิลิตรที่ประเทศบี ยังขาดอีกสามร้อยมิลลิลิตร” อิ๋นอิ๋นได้ยินคำพูดของเขา หน้าอกของเธอขยับขึ้นลงอย่างรวดเร็ว “ถ้าตอนนี้ใช้เลือดอีกสามร้อยมิลลิลิตรก็จะช่วยชีวิตจื่อชิวได้ใช่ไหมคะ?” โจวจื่ออี้ “ใช่แล้วครับ! แต่เลือดสามร้อยมิลลิลิตรนี้หาได้ยาก คนที่มีกรุ๊ปเลือดนี้มีน้อยมากและอายุของผู้บริจาคเลือดได้คือช่วงอายุระหว่างสิบแปดถึงห้าสิบห้าปี…” อิ๋นอิ๋นดึงแขนเว่ยเจินแล้วเอ่ยกับโจวจื่ออี้ “ฉันกับเว่ยเจินจะไปหาเอง” โจวจื่ออี้พูดอย่างงุนงง “อิ๋นอิ๋น คุณกลับไปพักผ่อนเถอะ คุณไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้ ข้างนอกมืดแล้ว หากมีแหล่งข่าวเรื่องเลือด พวกเราจะรับทราบข่าวนี้ทันที” เขาเข้าใจว่าอิ๋นอิ๋นอยากช่วย อิ๋นอิ๋นคืเป็นคนที่ต้องได้รับการปกป้องมาตลอด ตอนนี้เธอไม่มีปัญหาแล้ว ก็ถือว่าเป็นความช่วยเหลือที่ดีที่สุดสำหรับทุกคน อิ๋นอิ๋นพ
ฉินอันอันที่นอนหลับเต็มอิ่มรู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่า แต่เพราะสายเรียกเข้านี้ทำให้ใจของเธอร้อนรนอีกครั้งหลังจากวางสายแล้ว เธอก็ได้รับที่อยู่ของมหาวิทยาลัยชิงซานที่รองประธานส่งมาต่อจากนี้เธอต้องจองตั๋วเครื่องบินแล้วรีบไปให้ทันขณะที่เธอกำลังเปิดแอปจองตั๋วเครื่องบินอยู่ จู่ ๆ หน้าจอโทรศัพท์ก็เด้งขึ้นมาเป็นโปรแกรมนาฬิกาปลุก ทำให้เธอเกือบจะปาโทรศัพท์ทิ้งเธอเอามือปิดหน้าอก หายใจเข้าลึก ๆทำไมต้องรีบร้อนขนาดนี้ด้วย?แค่การฝึกอบรมครั้งเดียว ถึงจะไปสายหน่อยก็ไม่เห็นเป็นไรสมัยเรียนเธอก็ไปสายตั้งบ่อย นี่เธอไม่ได้เป็นนักศึกษาแล้วนี่นาแถมนี่ก็ไม่ใช่การฝึกอบรมที่เธอสมัครเอง แค่ตอบตกลงว่าจะไปก็ถือว่าทำดีที่สุดแล้ว ทำไมต้องทำให้ตัวเองเครียดขนาดนี้ด้วย?คิดได้ดังนั้น เธอก็ล้มตัวนอนลงบนเตียง ตั้งใจจะนอนต่อสักหน่อยเธอเปิดโทรศัพท์ขึ้นมาส่งข้อความหาหลีเสี่ยวเถียน : เสี่ยวเถียน ฉันต้องออกไปธุระไกล ๆ ประมาณหนึ่งสัปดาห์ถึงจะกลับ สองวันนี้หลังจากที่ไปพบจิตแพทย์แล้ว อย่าลืมมาบอกฉันด้วยนะตอนนี้ยังเช้ามาก เธอคิดว่าหลีเสี่ยวเถียนคงยังนอนอยู่ ดังนั้นหลังจากส่งข้อความเสร็จแล้ว เธอก็วางโทรศัพท์ลง
“อันอัน คุณคงเหนื่อยมากเลย!” ป้าจางพูดกับเธอ “ฉันมาบอกคุณว่า ของขวัญที่เสี่ยวหานและรุ่ยลาได้รับวันนี้ ฉันเอาไปเก็บไว้ที่โกดังชั้นหนึ่งแล้วนะคะ”“ค่ะ พรุ่งนี้ฉันค่อยไปจัดการ” ฉินอันอันลูบศีรษะทุยของจื่อชิวเบา ๆ “ลูกรัก วันนี้สนุกไหมจ๊ะ? พอครบหนึ่งขวบเมื่อไหร่ แม่จะจัดงานวันเกิดให้ลูกนะ”ป้าจางพูดด้วยรอยยิ้ม “เวลาผ่านไปเร็วจริง ๆ แป๊บเดียวจื่อชิวก็ครึ่งขวบแล้ว!”“ค่ะ”“อันอัน รีบกลับห้องไปอาบน้ำพักผ่อนเถอะค่ะ! พรุ่งนี้ต้องกลับไปทำงานแล้ว!” ป้าจางเตือนฉินอันอันพยักหน้าแล้วเดินไปที่ห้อง เธอตั้งใจจะอาบน้ำก่อนนอน แต่พอเข้าไปในห้อง เตียงนอนขนาดใหญ่ดูเหมือนจะมีเวทมนตร์ดึงดูดเธอเธอมองไปที่เตียงแล้วล้มตัวนอนลง ตั้งใจจะพักสักหน่อย พอมีแรงแล้วค่อยลุกไปอาบน้ำ แต่หลังจากนอนลงไม่นาน เธอก็นอนหลับสนิทปกติแล้วเธอมีนิสัยชอบฝันร้าย ไม่ว่าจะพยายามปรับยังไงก็ปรับไม่ได้ ภาพที่เธอฝันถึงบ่อยที่สุดก็มีอยู่ไม่กี่อย่างอย่างแรกคือตอนที่พ่อเสียชีวิต พ่อจับมือเธออยู่ในห้อง ขอโทษเธอและขอให้เธอให้อภัย ก่อนที่เธอจะได้พูดอะไร พ่อก็สิ้นใจไปเสียก่อน กลายเป็นความเสียใจตลอดชีวิตของเธออย่างที่สองคือแม่ประสบอุบั
ตลอดชีวิตที่ผ่านมา อวิ๋นซื่อเจี๋ยไม่เคยกลัวอะไรเลยแต่ตอนนี้ เมื่อเขาเห็นใบหน้าเย็นชาและดุร้ายของฟู่สือถิง เขากลับรู้สึกกลัวเป็นครั้งแรก!รู้สึกว่าถ้าเขาทำให้ฟู่สือถิงโกรธมากขึ้นไปอีก เขาคงถูกทุบตีจนตายอยู่ที่นี่แน่ ๆคำพูดที่กำลังจะหลุดออกมาจากปากถูกกลืนลงไปอย่างยากลำบากเขาทำพลาดไป! ประเมินอารมณ์ของฟู่สือถิงผิดถนัด! เขาไม่ควรมาที่นี่อย่างประมาทเช่นนี้ตอนนี้เขาอยากแค่หนีรอดออกไปให้ได้“ป้าหง! กระดูกซี่โครงผมหัก! รีบโทรเรียกรถพยาบาลให้ผมหน่อย!” เขาไม่กล้าพูดกับฟู่สือถิง จึงตะโกนเรียกป้าหงเสียงดังป้าหงเห็นเขาเลือดอาบ นอนอยู่บนพื้นและกระตุกเกร็งอย่างควบคุมไม่ได้ ด้วยความตกใจ เธอรีบคว้าโทรศัพท์เพื่อโทรแจ้งเหตุฉุกเฉิน“ป้าหง อย่าใจอ่อนกับพวกกากเดนประเภทนี้!” ฟู่สือถิงตะโกนห้ามป้าหงได้สติกลับคืนมาทันที “คุณผู้ชาย สั่งให้บอดี้การ์ดจับเขาโยนออกไปเถอะค่ะ! ต่อไปนี้ฉันจะไม่ให้เขาก้าวเข้ามาในบ้านอีกเด็ดขาด!”ฟู่สือถิงส่งสัญญาณให้บอดี้การ์ด บอดี้การ์ดจึงคว้าแขนอวิ๋นซื่อเจี๋ยแล้วลากเขาออกไปฟู่สือถิงมองดูสภาพที่ยับเยินของอวิ๋นซื่อเจี๋ย สั่งบอดี้การ์ดเสียงเย็นเยียบว่า “เอาตัวไปทิ้งให้ไ
เพื่อนร่วมงานได้รับข้อความแล้วตอบกลับทันทีว่า “ทราบแล้วเปลี่ยน! ลงมือเลย!”ประมาณห้านาทีต่อมา เสียงต่อยตีและเสียงร้องโหยหวนของผู้ชายดังมาจากนอกบ้าน!ป้าหงได้ยินเสียงดังนั้นจึงรีบวิ่งออกมาดูเห็นบอดี้การ์ดสองคนกำลังทำร้ายร่างกายผู้ชายคนหนึ่ง จึงถามว่า “เกิดอะไรขึ้น? คนคนนี้เป็นใคร?”“ป้าหง คนคนนี้แหละคือนักถ้ำมองเมื่อคืน! เขาทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ อยู่แถวกำแพง ถึงแม้เขาไม่ได้คิดจะทำเรื่องไม่ดี แต่ก็ต้องจัดการเขาซะ!” บอดี้การ์ดคนหนึ่งหยุดมือ แล้วอธิบายให้ป้าหงฟัง “ไม่งั้นเขาจะมาทุกวัน เจ้านายต้องไม่พอใจแน่ ๆ”“อ้อ…” ป้าหงมองดูชายวัยกลางคนคนนั้นที่กำลังนอนอยู่บนพื้นอย่างระมัดระวัง“ป้าหง จำผมได้ไหม?” ชายวัยกลางคนคนนั้นเงยหน้าขึ้น สะบัดผมที่หน้าผากออก ดวงตาที่เฉียบคมและแดงก่ำจ้องมองป้าหงอย่างตรงไปตรงมาบอดี้การ์ดได้ยินชายวัยกลางคนคนนั้นพูดกับป้าหง จึงหยุดทำร้ายเขาทันทีคนคนนี้รู้จักกับป้าหงงั้นเหรอ? ถ้ารู้จักป้าหงทำไมไม่บอกตั้งแต่แรก?“คุณคือ…” แสงสลัวทำให้ป้าหงมองใบหน้าของเขาไม่ชัด จึงจำไม่ได้เลยแม้แต่น้อย“คุณอาจจะจำผมไม่ได้ ผมเคยทำงานที่บ้านเดิมกับคุณ” อวิ๋นซื่อเจี๋ยยิ้มแล้วลุกขึ้นจ
ฟู่สือถิงจ้องมองภาพถ่ายของชายวัยกลางคนอีกครั้ง แต่จนแล้วจนเล่าก็ยังไม่เข้าใจเขาไม่เคยเห็นคนคนนี้มาก่อนอาจเป็นไปได้ว่าชายคนนี้มีปัญหาทางจิต จึงมาปรากฏตัวอยู่ใกล้บ้านเขาเมื่อคืนแล้วฉีกยิ้มใส่ฟู่สือถิงขยำกระดาษทิ้งลงถังขยะ เดินเข้าห้องน้ำอย่างรวดเร็วแล้วปิดประตูในครัว ป้าหงเห็นฟู่สือถิงขึ้นไปชั้นบนแล้ว จึงรีบโทรหาป้าจาง“ได้ยินว่าคุณผู้ชายกับจิ้นซือเหนียนทะเลาะกัน” ป้าจางกล่าว “แต่ไม่ใช่เขาที่เริ่มก่อน ทะเลาะกันเสร็จแล้วทั้งคู่ก็แยกย้ายกันไป”ป้าหง “อ๋อ มิน่าล่ะถึงได้กลับมาเร็วขนาดนี้”“คุณผู้ชายอารมณ์เป็นยังไงบ้าง?” ป้าจางถามด้วยความเป็นห่วง“ไม่ค่อยดี แต่ก็ยังพอถูไถ” ป้าหงถามต่อ “วันนี้เขาอยู่กับลูก ๆ แล้วเป็นยังไงบ้าง?”ป้าจางหัวเราะทางโทรศัพท์ “วันนี้เขาไม่ได้อยู่คลุกคลีกับเด็ก ๆ หรอก เขาคอยต้อนรับแขกในงานทั้งวัน อันอันเป็นคนกำชับให้เขาคอยอยู่กับแขก”ป้าหงหน้าแดง “ดูเหมือนว่าทั้งคู่จะดูใกล้ชิดกันมากขึ้นนะ”“ใช่! ดูเหมือนว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่จะดีขึ้นกว่าเดิมมากแล้ว หวังว่าต่อไปจะไม่ทะเลาะกันอีก” ป้าจางพูดด้วยความเป็นห่วง “ไม่งั้นลูก ๆ ทั้งสามคนคงน่าสงสารมาก”“อืม ฉั
ฉินอันอันรู้ดีว่าฟู่สือถิงและจิ้นซือเหนียนมีความสัมพันธ์ที่ไม่ค่อยดีนัก ดังนั้นเมื่อเห็นทั้งสองคนยืนอยู่ด้วยกัน เธอจึงรู้สึกแปลก ๆ“ไม่ได้คุยอะไรกันหรอก” ฟู่สือถิงมองจิ้นซือเหนียนอย่างเย็นชา ตอบฉินอันอัน “จิ้นซือเหนียนแค่เป็นห่วงความสุขของคุณ เลยเตือนผมให้ออกกำลังกายมากขึ้นหน่อย”“พวกคุณนี่ลามกกันจริง ๆ!” ฉินอันอันหน้าแดง เดินหนีไปด้วยความโกรธจิ้นซือเหนียนเห็นฉินอันอันโกรธ ความสงบสุขบนใบหน้าของเขาก็หายไป “ฟู่สือถิง คุณนี่มันไร้ยางอายจริงๆ!”ฟู่สือถิงพูดอย่างไม่รีบร้อน “ผมว่าคุณนั่นแหละที่ไร้ยางอาย ผู้ชายจะไหวหรือไม่ไหว ไม่ได้อยู่ที่ปาก ไม่ต้องทำมาเป็นห่วงหรอกว่าผมจะไหวหรือไม่ไหว รีบไปหาผู้หญิงสักคนมาพิสูจน์ว่าคุณไม่ได้ด้อยเรื่องนี้ให้ได้ก่อนเถอะ”จิ้นซือเหนียนโกรธจนเดินหนีไปดื้อ ๆ!“คุณตายแน่” ไมค์พูดกับฟู่สือถิง “เดี๋ยวถ้ารุ่ยลารู้ว่าคุณทำให้จิ้นซือเหนียนโกรธ เธอก็จะพาลมาโกรธคุณอีก!”ฟู่สือถิงปวดหัวทันทีเขาไม่สามารถตามจิ้นซือเหนียนกลับมาได้แต่เขาก็ไม่อยากทำให้รุ่ยลาโกรธ“ผมมีวิธีหนึ่ง” ไมค์คิดแผนขึ้นมาทันที “คุณกลับไปก่อน แบบนี้รุ่ยลาก็จะไม่โกรธคุณ”ฟู่สือถิงขมวดคิ้วเข
“คุยอะไร ตอนนี้ไม่สะดวกคุยเหรอ?” เธอโพล่งถามออกไป ทั้งที่ในใจรู้ดีอยู่แล้วความเข้าใจผิดระหว่างเธอกับเขานั้นได้คลี่คลายไปแล้ว สิ่งที่เขาต้องการคุยก็คือการขอโอกาสอีกครั้งจากเธอครั้งก่อนเธอปฏิเสธเขาไปอย่างสุภาพ ตอนนี้เธอก็ยังไม่สามารถตอบตกลงได้ไม่ใช่ว่าเธอเกลียดเขา แต่เธอรู้สึกว่าตัวเองยังไม่หนักแน่นพออีกทั้งตอนนี้ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาก็ดีอยู่แล้ว ต่างคนต่างให้เกียรติซึ่งกันและกัน ไม่ได้สนิทสนมหรือห่างเหินเกินไป แบบนี้ก็ดีอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ?“คุยตอนนี้คงไม่ได้ผลหรอก” เพียงแค่ดูสีหน้าของเธอก็เดาได้แล้วว่าเธอคิดอะไรอยู่“คุณคิดว่าพอกลับมาจากต่างเมือง พอคุยกันแล้วจะได้ผลเหรอ?” ฉินอันอันถามอย่างไม่เข้าใจ “คุณจะไปนานแค่ไหน?”“หนึ่งอาทิตย์”“อ๋อ งั้นอีกหนึ่งอาทิตย์ค่อยว่ากันใหม่!” เธอก้มหน้าลง มองไปที่มือของเขาที่กำลังจับแขนเธออยู่ “คุณเพิ่งเล่นไพ่เสร็จ ยังไม่รีบไปล้างมืออีก?”เธอรู้สึกว่ามือเขาสกปรกเขาอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนจะดึงเธอไปที่ห้องน้ำ “งั้นเราไปล้างมือด้วยกัน!”ทั้งสองคนเดินผ่านห้องจัดเลี้ยงไปท่ามกลางสายตาของผู้คนมากมาย“คุณสังเกตไหมว่าวันนี้ความสัมพันธ์ของพวกเขาสองค
เสี่ยวตง “พ่อเธอยังไม่มาอีกเหรอ?”รุ่ยลา “มาแล้ว! ตอนนี้ก็ยังอยู่ในห้องจัดเลี้ยง!”เสี่ยวตงขมวดคิ้ว มองไปรอบ ๆ“พ่อเธอคนไหนล่ะ? ทำไมเขาไม่เห็นมาเล่นกับพวกเธอเลย? เขาขี้เกียจทำงานใช่ไหม? เลยทำให้แม่เธอไม่ยอมคบกับเขา และทำให้พวกเธอไม่ชอบเขาด้วยใช่ไหม?” เสี่ยวตงคิดไปเรื่อยเปื่อยรุ่ยลาตกใจ แต่เธอก็ไม่ยอมบอกความจริงกับเสี่ยวตง “พ่อฉันเปล่าขี้เกียจทำงานซะหน่อย! ฉันไม่บอกหรอกว่าพ่อเป็นใคร พี่บอกว่าพี่เก่งกว่าพี่ชาย งั้นพี่ก็ไปหาเองสิ!”ไมค์หัวเราะ “เสี่ยวตง ทำไมเธอดูอยากรู้จังเลยล่ะว่าพ่อของเสี่ยวหานกับรุ่ยลาเป็นใคร?”เสี่ยวตง “ผมก็แค่อยากรู้! แม่ผมบอกว่าพ่อของเสี่ยวหานก็คือฟู่สือถิง แต่พ่อผมบอกว่าไม่ใช่ พวกเขาทะเลาะกันเรื่องนี้หลายครั้งแล้ว”ไมค์หัวเราะจนท้องคัดท้องแข็ง “งั้นเธอเชื่อแม่หรือว่าเชื่อพ่อล่ะ?”“ผมเชื่อพ่อ เพราะพ่อผมดีกับผมมากกว่า” เสี่ยวตงพูดอย่างมั่นใจ “ถ้าพ่อของเสี่ยวหานเป็นฟู่สือถิงจริง ๆ เสี่ยวหานคงไม่เมินพ่อของเขาแบบนั้นแน่! ฟู่สือถิงน่ะเก่งมากเลย! เขาเป็นไอดอลของผม!”เสี่ยวหานได้ยินที่เสี่ยวตงพูดก็ไม่สนใจที่จะโต้เถียง เดินออกไปเงียบ ๆไม่นาน เสียงเปียโนอันไพเราะ
เสียงหัวเราะดังขึ้นจากกลุ่มคนรอบข้าง “ผู้ช่วยของคุณฟู่ไปเอาเงินสดมาแล้วล่ะครับ ดูเหมือนวันนี้คุณฟู่จะตั้งใจจะทุ่มสุดตัวเลยนะ!” ทุกคนหัวเราะคิกคักใบหน้าของฉินอันอันขึ้นสีเล็กน้อย ไม่คิดว่าฟู่สือถิงจะพยายามขนาดนี้เพื่อสร้างความบันเทิงกับแขก“พวกคุณอย่าเล่นกันจริงจังเกินไปนะคะ” เธอเตือน“อันอัน เพิ่งเริ่มเองนะ คุณก็เริ่มห่วงกระเป๋าเงินของคุณฟู่แล้วเหรอ?” เสียงหัวเราะดังขึ้นอีกครั้งฟู่สือถิงมองเธอด้วยแววตาสนใจ แล้วถามว่า “หรือว่าคุณจะมานั่งข้าง ๆ คอยเป็นที่ปรึกษาให้ผมดีล่ะ?”ฉินอันอันหลบสายตาที่ลึกซึ้งของเขา แล้วพูดกับคนอื่น ๆ ว่า “พวกคุณเล่นกันเต็มที่เลยค่ะ ไม่ต้องไว้หน้าเขาหรอก”พูดจบเธอก็อุ้มลูกเดินออกไปเฮ่อจุ่นจือถือจานอาหารเดินมาจากโซนบุฟเฟ่ต์“อันอัน อย่าห่วงพี่สือถิงเลย เขาไม่ล้มละลายหรอก”ฉินอันอันแก้ตัวเสียงแข็ง “ฉันไม่ได้ห่วงเขา”“แล้วทำไมเมื่อกี้พวกเขาถึงหัวเราะกันเสียงดังขนาดนั้นล่ะ?” เฮ่อจุ่นจือพูดแทงใจดำเธออย่างไม่ไว้หน้า “เมื่อกี้หลีเสี่ยวเถียนพูดอะไรกับคุณตอนอยู่ข้างนอกบ้างเหรอ? หรือว่าพูดถึงเรื่องเมื่อคืนของพวกเรา?”เฮ่อจุ่นจือรู้สึกอายเล็กน้อยเกี่ยวกับเรื่อง