“ใช่” เขายืนยัน “ฉันว่าคุณมาหาฉันเพื่อทะเลาะกับฉันโดยเฉพาะ” เธอยกเท้าขึ้นแล้วเตะข้างตัวเขา “อย่าเข้ามาใกล้ฉัน” “ผมจะตกเตียงแล้ว” เขาประท้วงเสียงอู้อี้ เธอปีนลุกขึ้น เอื้อมมือไปสำรวจพื้นที่ว่างข้าง ๆ เขา เขาดึงเธอไปกอดไว้ในอ้อมแขน “ฉินอันอัน ผมให้ทุกสิ่งที่คุณต้องการได้ คุณอยากได้อะไรอีก คุณบอกมาเลย…” “ฉันไม่อยากได้อะไรแล้ว” เธอรู้สึกได้ถึงความอุ่นร้อนจากตัวเขา และพยายามสลัดให้หลุดจากอ้อมแขนของเขา แต่เขากอดเธอไว้แน่นไม่ยอมปล่อย “ผมอยากให้คุณหลับในอ้อมกอดผม” เขาวางตัวเธอลงบนเตียงเบา ๆ และพูดเสียงแหบแห้งว่า “ขอเพียงคุณกับลูกแข็งแรง ผมก็ไม่ขออะไรอีกแล้ว” “งั้นเหรอ?” เธอรู้สึกว่าตัวร้อนผ่าว ใจเต้นแรง “พอปิดไฟแล้วทำให้คุณหนังหนาขึ้นใช่ไหม?” ด้วยเสียงดัง ‘พรึ่บ’ เขาเปิดไฟ เธอจ้องมองใบหน้าหล่อเหลาของเขาอย่างอึ้ง ๆ และเห็นดวงตาที่ล้ำลึกของเขาไม่มีร่องรอยของการหยอกล้อหรือพูดเล่น “คุณกับลูกจะต้องแข็งแรง” เขาพูดในสิ่งที่เขาเพิ่งพูดอีกครั้ง ใบหน้าเธอร้อนผ่าว ขนตาลู่ลงเล็กน้อย “เข้าใจแล้วค่ะ ปิดไฟแล้วนอนเถอะ” เขาปิดไฟแล้วโอบกอดเธอด้วยแขนเรียวยาวของเขา เช้าวันรุ่งขึ้น ตอน
เธอรู้สึกว่ามีบางอย่างกระทบใจเธออย่างแรง! หัวใจเธอแทบแตกสลาย! ถึงแม้ว่าความบริสุทธิ์ของฉินอันอันจะได้รับความกระจ่างแล้ว แต่ทั้งสองคนจะคืนดีกันชั่วข้ามคืนได้ยังไง?เป็นฟู่สือถิงที่เป็นฝ่ายไปหาฉินอันอันก่อนอย่างนั้นเหรอ? เพราะว่าเขาใส่ใจลูกในท้อง หรือใส่ใจเธอกันแน่? ถังเชี่ยนไม่กล้าคาดเดา ในใจของเธอทั้งขมขื่นและเจ็บปวด รู้สึกเหมือนตัวเองใช้ชีวิตอย่างโง่เขลามาตลอดหลายปีเธอไม่ได้คาดหวังว่าจะได้อยู่กับฟู่สือถิงอีกแล้ว แต่เธอไม่อยากเห็นคนอื่นได้เขาไปครอบครองเธอหาหมายเลขโทรศัพท์ของหวังหว่านจือจนเจอและโทรไป “ที่ฉันขอให้คุณช่วยหาคน คุณหาได้หรือยัง?” “คุณจะลงมือตอนนี้เลยเหรอ?” หวังหว่านจือถาม “วางแผนไว้เรียบร้อยแล้วใช่ไหม?” “คุณช่วยฉันหาคนก็พอแล้ว เรื่องอื่นไม่ต้องยุ่งหรอก” ถังเชี่ยนกล่าว “ฉันทนไม่ไหวแล้ว!” “ได้ เดี๋ยวฉันโทรถามเสร็จแล้ว จะโทรกลับไปหาคุณนะ” หวังหว่านจือกล่าวเตือน “ฉันแค่ช่วยคุณหาคนเท่านั้น เรื่องอื่นฉันไม่เกี่ยวข้องด้วย ถ้าทางคุณมีปัญหา ฉันไม่ขอรับผิดด้วยแน่” “ฉันรู้แล้ว” หลังจากวางสาย ถังเชี่ยนลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วเตรียมออกจากออฟฟิศ ตอนนี้เอง เซิ่งเป่ยก็
“ยังเลย คุณมีชื่อที่เหมาะสมหรือเปล่า?” เขาถาม ใจของเธอเต้นแรง แล้วลองพูดมาสามคำ “ฉินจื่อชิว” เห็นดังนั้น เขาวางเมนูลงแล้วจ้องมองเธอด้วยสายตานกอินทรี “พูดจริงเหรอ?” “เสี่ยวหานและรุ่ยลาต่างก็แซ่ฉิน ถ้าเด็กในท้องไม่แซ่ฉิน อนาคตเขาจะต้องสับสนมากแน่” เธอหน้าแดงเล็กน้อยแล้วพูดความคิดของเธอออกมาว่า “แน่นอน ฉันเคารพความคิดเห็นของคุณ” “ในเมื่อคุณเป็นห่วงว่าลูกจะสับสน ก็เปลี่ยนแซ่ให้เสี่ยวหานกับรุ่ยลาได้นะ ผมไม่รังเกียจที่พวกเขาสองคนจะใช้แซ่ของผม” คำตอบของเขาดูสบาย ๆ ราวกับกำลังพูดเล่นเขาสั่งอาหารเสร็จก็ส่งเมนูให้พนักงานเสิร์ฟพนักงานเสิร์ฟตรวจสอบรายการอาหารกับพวกเขาเสร็จแล้ว ก็เดินจากไป “ถ้าคุณไม่เห็นด้วย งั้นก็เรียกว่าฟู่จื่อชิวก็แล้วกัน!” เธอยอมอ่อนให้ การได้สิทธิ์อยู่เคียงข้างและเลี้ยงดูพวกเขาได้ เธอก็พอใจแล้ว “ผมไม่ได้บอกว่าไม่เห็นด้วย” เขาเลิกคิ้วและมองเธออย่างสนใจ “ถ้าคุณต้องการให้ลูกใช้แซ่ของคุณ ก็ใช้แซ่ของคุณเถอะ!” “คุณพูดจริงหรือแค่ล้อฉันเล่นกันแน่คะ?” เธอเดาอารมณ์ที่แท้จริงของเขาไม่ออกไปชั่วขณะ ถ้าตอนนี้เขามีใบหน้าดุร้ายและอารมณ์รุนแรง เธอคงไม่สับสนแบบนี้ เธอเห็
สตาร์ริเวอร์วิลล่า ห้องนอนใหญ่ ฉินอันอันกำลังจัดเสื้อผ้าของเด็ก ๆหลีเสี่ยวเถียนนั่งขี้เกียจอยู่ข้าง ๆ เธอ มองเธอที่กำลังง่วนอยู่กับงาน “อันอัน เธอวางแผนจะเลี้ยงลูกเองจริง ๆ เหรอ? มันเหนื่อยมากเลยนะ!” ฉินอันอันพับเสื้อผ้าทีละตัวแล้วพูดเสียงเบา “อืม ก่อนหน้านี้แม่ช่วยฉันเลี้ยงลูก ฉันเลยไม่เหนื่อยมาก” “ใช่ไง แต่คุณป้าไม่อยู่แล้ว เธอไม่อยากปล่อยให้พี่เลี้ยงเลี้ยงอีก” หลีเสี่ยวเถียนกล่าว “ที่เธอบอกว่าพอถึงตอนนั้นฟู่สือถิงจะมาอยู่ด้วย เป็นเรื่องจริงเหรอ?” “เขาว่าอย่างนั้น” ฉินอันอันหยิบเสื้อผ้าไปเก็บในตู้ “ถึงตอนนั้นก็ต้องแล้วแต่เขา” “ถ้าอย่างนั้นพวกเธอก็ไม่ต่างจากคู่สามีภรรยาทั่วไปเลย!” หลีเสี่ยวเถียนเหน็บแนม “อ้อ ยังแตกต่างอยู่นิดหน่อย ที่ต่างก็คือเขาแต่งเข้าบ้านเธอ ไม่ใช่เธอแต่งเข้าบ้านเขา” พูดถึงฟู่สือถิง ทันใดนั้นฉินอันอันนึกขึ้นได้ว่า เขาไม่ได้มาหาเธอหลายวันแล้ว “อันอัน ฉันรู้สึกว่าเธอน่าทึ่งมาก เธอทำให้ลูกทั้งสามคนใช้แซ่เธอได้” หลีเสี่ยวเถียนถอนหายใจ “ถ้าฉันมีลูก ก็ใช้ได้แค่แซ่เฮ่อเท่านั้น ถึงแม้ว่าฉันจะเป็นลูกสาวคนเดียว แต่ว่าเฮ่อจุ่นจือก็ยิ่งใหญ่กว่า เขาเป็นทายาทรุ
เขามองเห็นอย่างชัดเจนว่าใบหน้าของนั่วนั่วถูกของเหลวสาดใส่ ผิวหนังเปลี่ยนเป็นสีแดงและพุพองอย่างรวดเร็ว…เขาตกใจจนถอยหลังไปสองสามก้าว ปากพึมพำว่า “นั่วนั่ว ไม่ต้องกลัว! ผมจะเรียก… เรียกรถพยาบาลเดี๋ยวนี้เลย!” แขกที่มารับประทานอาหารต่างทยอยพากันออกไปด้วยความหวาดกลัว พนักงานของร้านรีบเข้ามาตรวจสอบสถานการณ์ทันทีพวกเขาตกใจมากหลังจากได้เห็นใบหน้าของนั่วนั่ว ใบหน้าของนั่วนั่วเต็มไปด้วยน้ำตาแห่งความเจ็บปวด ท่ามกลางน้ำตาที่อาบหน้า เธอเห็นทุกคนมองเธอด้วยสายตาหวาดกลัว เธอคลายมือสั่นเทาที่ปิดหน้าตัวเองลง…เลือด…น้ำเลือด…ดูเหมือนจะมีชิ้นเนื้ออยู่ด้วย…“กรี๊ด กรี๊ด กรี๊ด!” เธอกรีดร้องออกมาอย่างบ้าคลั่ง ......ฉินอันอันกำลังกินไอศกรีมตอนที่เธอรับสายจากฟู่เย่เฉิน บาร์บีคิวในร้านรสชาติดี แต่ไอศกรีมอร่อยกว่า มันเป็นสิ่งต้องห้ามของฉินอันอันมาตลอด แต่ไอศกรีมร้านนี้ทำให้เธออดใจไม่ไหว เธอจึงกินไปหลายคำ“น่ากลัวเหลือเกิน! ฉินอันอัน ตอนนี้ผมหนาวไปทั้งตัวแล้ว! คืนนี้ผมต้องฝันร้ายแน่!” เสียงของฟู่เย่เฉินดังขึ้นที่ปลายสายกระสับกระส่ายอย่างหวาดกลัว “ถ้าคนที่นั่งอยู่ข้ามผมเมื่อกี้นี้คือคุณ… เดาสิว่า
เธอเหลือบมองการแจ้งเตือนสายเรียกเข้า แล้วเลิกคิ้วขึ้นทันที จากนั้นจึงรับสาย “ฉินอันอัน!” เสียงของฟู่สือถิงดังทะลุทะลวงจากอีกฝั่งของโทรศัพท์เธออึ้ง “เกิดอะไรขึ้นเหรอคะ?” “คุณไม่เป็นไรนะ?” ดูเหมือนเขาประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงของเธอ “ฉินอันอัน คุณไม่เป็นอะไร!” “ฉันสบายดีค่ะ หรือว่าคุณอยากให้ฉันเกิดเรื่อง?” เธอเหน็บแนม “ใครบอกคุณว่าฉันเกิดเรื่อง?” “มีคนเห็นคุณที่ร้านอาหาร บอกว่าเกิดเรื่องกับคุณ” เสียงของเขากลับมาสงบตามปกติ “ไม่ใช่คุณก็ดีแล้ว” “อ้อ ในเมื่อคนคนนั้นบอกคุณแบบนี้ เขาก็คงเห็นผู้หญิงคนนั้นหน้าตาเหมือนฉัน… คุณว่าผู้หญิงที่เกิดเรื่องมีสิทธิ์เป็นนั่วนั่วหรือเปล่า?” เธอจงใจพูดฟู่สือถิงไม่สนใจเรื่องนี้เลย “ไม่ว่าเป็นใคร แค่ไม่ใช่คุณก็พอแล้ว”เธอส่งเสียงตอบรับ “ตอนนี้คุณอยู่ที่ไหน?” เขาถาม หลังจากเงียบไปหลายวินาที “ฉันมากินข้าวนอกบ้านกับเสี่ยวเถียน” “พาบอดี้การ์ดไปด้วยใช่ไหม?” เขาซักไซ้ “พามาด้วยค่ะ” เธอเหลือบมองไปทางบอดี้การ์ดที่อยู่ไม่ไกล “คุณกินข้าวเสร็จแล้วกลับบ้านเลยนะ” “เดี๋ยวฉันจะไปตัดผมค่ะ นัดกับเขาไว้แล้ว” เธอไม่อาจเปลี่ยนตารางของเธอได้ด้วยเห
เมื่อได้ยินถังเชี่ยนกล่าวโทษ เขาก็เหลือบมองไปที่ฉินอันอัน ฉินอันอันกำลังบอกช่างตัดผมเกี่ยวกับความยาวของผมที่เธอต้องการ “ฉันแนะนำให้เธอแจ้งตำรวจเดี๋ยวนี้เลย ให้ตำรวจเข้ามาจัดการได้เลย” เขาถือโทรศัพท์แล้วเดินไปข้างนอก น้ำเสียงของเขาทุ้มต่ำและเย็นชา “ถึงแม้ว่าฉินอันอันจะทำเรื่องนี้จริง ๆ แล้วยังไงล่ะ? ถ้าฉันเป็นเธอ วิธีการของฉันจะโหดเหี้ยมกว่านี้อีก” ถังเชี่ยนรู้สึกเวียนหัว! เธอคิดไม่ถึงว่าฟู่สือถิงจะตอบแบบนี้ “ฉันไม่มีหลักฐานที่จะพิสูจน์ได้ว่าคนที่ลอกเลียนแบบฉินอันอันคือลูกพี่ลูกน้องของเธอ แต่ไม่ได้หมายความว่าฉันจะไม่รู้ว่าใครอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้” ฟู่สือถิงเปลี่ยนเรื่องและพูดอย่างเคร่งขรึม “ถังเชี่ยน รอให้ฉันได้หลักฐานเมื่อไหร่ ฉันจะไม่เมตตาเธอเลยสักนิดเดียว”ไม่ต้องพูดเรื่องนั่วนั่วเสียโฉมหรอก ต่อให้นั่วนั่วตายวันนี้ เขาก็ไม่เสียใจ! สำหรับเขาแล้ว นั่วนั่วตายร้อยครั้งก็ไม่พอ! ถังเชี่ยนเป็นฝ่ายวางสายก่อนเพราะรู้สึกกลัว ครั้งนี้เธออาจจะแพ้แล้ว!เธอจำคำเตือนที่เซิ่งเป่ยเตือนเธอได้ เธอช่างไร้เดียงสาจริง ๆ ที่คิดว่าตัวเองรู้จักฟู่สือถิงดีกว่าเซิ่งเป่ย ฟู่สือถิงดูเหมือ
ฟู่สือถิงรู้สึกว่าท่าทีของเธอรุนแรงเกินไป ดังนั้นจึงนั่งลงข้างเธอ พี่เลี้ยงเด็กเดินถือชามซุปไก่เข้ามา ครั้นเห็นพวกเขาสบสายตากันและกัน ดวงตาจับจ้องกันไม่คลาย ก็รีบวางชามซุปลงแล้วถอยออกไปอย่างรู้กาลเทศะทันที “ถ้าเขาเหนื่อยจริง เขาอยากจะพักผ่อนอยู่ที่บ้านนานเท่าไหร่ก็ได้ ผมไม่คัดค้านหรอก” เขากลัวเด็ก ๆ จะได้ยินจึงลดเสียงลง “ตอนนี้ก็เปิดเทอมมาหนึ่งเดือนแล้ว เขาพักผ่อนอยู่บ้านหนึ่งเดือนแล้วยังพักไม่พอเหรอ?” “ไว้ฉันจะคุยกับเขาอีกทีค่ะ” ฉินอันอันยกชามซุปขึ้น ตักซุปหนึ่งช้อนเข้าปาก“ผมเกรงว่าเขาไม่ใช่แค่เหนื่อย แต่กำลังปิดบังบางอย่างกับคุณ” ฟู่สือถิงหยิบช้อนซุปจากมือของเธอ “ลูกชายของคุณซับซ้อนกว่าที่คุณคิดมาก” เธออยากเอาช้อนซุปคืนมาจากเขา ผลกลับเป็นเขาค่อย ๆ ตักน้ำซุปแล้วป้อนเข้าปากเธอ “ฉันไม่ได้อยากให้คุณป้อน” เธอหน้าแดงแล้วเอาช้อนกลับคืนมา “ฉันโทรหาคุณครูของเขาเป็นการส่วนตัวแล้ว คุณครูบอกว่าเขาเข้ากับเพื่อนที่ชั้นเรียนได้ดี และตอนค่ายปิดเทอมฤดูร้อนก็ปกติมากด้วย” “นอกเหนือจากเพื่อนร่วมชั้นแล้ว เขายังอาจจะติดพันกับสิ่งอื่น ๆ ได้ด้วย” ฟู่สือถิงยืนกรานการคาดเดาของตนเอง “ยิ่งไปกว่าน