โจวจื่ออี้รับสาย “สวัสดี” ไมค์ “ผมเอง” โจวจื่ออี้เหลือบมองหน้าจอโทรศัพท์แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “คุณมีธุระอะไรกับผมเหรอ?” “พูดหมา ๆ แบบนี้ เดี๋ยวก็ไม่ขายโดรนให้ซะหรอก” ไมค์ขู่ โจวจื่ออี้ขมวดคิ้วและตอบโต้ “อย่าหลงตัวเองหน่อยเลย! ใครอยากซื้อโดรนของคุณล่ะ?!” ไมค์ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง “เจ้านายของคุณไง! งั้นคำสั่งซื้อจากแผนกจัดซื้อของคุณเป็นของปลอมเหรอ?” โจวจื่ออี้สูดหายใจลึก “คุณบอกว่าประธานของเราสั่งให้แผนกจัดซื้อซื้อโดรนของคุณเหรอ?” “ใช่! คุณไม่รู้เหรอ? ฮ่า ๆ! ผมคิดว่าคุณเป็นคนโปรดของเขาซะอีก” ไมค์พูดเหน็บแนมและวางสายไป โจวจื่ออี้ถูกยั่วยุ เขาจึงไปหาฟู่สือถึงเพื่อตรวจสอบความจริง สายตาของฟู่สือถิงมองขึ้นมาจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ “บริษัทเราแจกของให้พนักงานทุกเทศกาลไหว้พระจันทร์ ของขวัญของปีนี้คือโดรน นายคิดว่าไง?” โจวจื่ออี้แทบกระอักเป็นเลือดพลันส่ายหน้าอย่างแรง “ไม่ได้จะคัดค้านครับ! ผมแค่คิดไม่ถึงเฉย ๆ” “เป็นการตัดสินใจปุบปับเมื่อคืน” ฟู่สือถิงพูดสั้น ๆ “ถึงฉันจะไม่ได้เป็นอะไรกับฉินอันอันแล้ว แต่ผลิตภัณฑ์ของบริษัทเธอก็ถือว่าดี” เขาจะไม่มีวันลืมเหตุการณ์ที่เขาไปบ้าน
ปลายสายโทรศัพท์เงียบ! โจวจื่ออี้ยื่นโทรศัพท์ให้ฉินอันอันช้า ๆ ฉินอันอันเปิดลำโพงโทรศัพท์ของเธอแล้ววางลงบนโต๊ะ “สวัสดีค่ะประธานฟู่” เมื่อได้ยินคำทักทายอย่างเป็นทางการของฉินอันอัน ไมค์ก็อดหัวเราะไม่ได้ แต่โจวจื่ออี้เงียบ ในขณะนั้น เสียงที่เป็นทางการของฟู่สือถิงก็ดังมาจากอีกฝั่งของโทรศัพท์ “สวัสดีครับคุณฉิน” ฉินอันอันตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ไมค์หยิบแก้วขึ้นมาจิบน้ำ โจวจื่ออี้ก็หยิบแก้วน้ำขึ้นมา แต่ข้างในแก้วไม่มีน้ำ “ฉันต้องอธิบายให้คุณฟังว่าเราไม่ได้แกล้งคุณ” ฉินอันอันปรับอารมณ์และพูดอย่างใจเย็น “่ฝ่ายผลิตของเราเพิ่งก่อตั้งได้ไม่นาน อุปกรณ์และบุคลากรของเรามีไม่เพียงพอ มองตามหลักความจริงแล้ว ไม่มีทางผลิตได้ตามปริมาณคำสั่งซื้อที่คุณต้องการได้ การส่งสินค้าจากต่างประเทศจะช่วยรับประกันปัญหาปริมาณและเวลาได้ แต่ราคาสินค้าจากต่างประเทศสูงกว่าบ้านเราค่ะ” เมื่อฉินอันอันอธิบายแบบนี้ โจวจื่ออี้ก็ใจเย็นลง เห็นได้ชัดว่าเธอกับไมค์สื่อความหมายเดียวกัน แต่พอไมค์พูด เขาก็จะโกรธเป็นพิเศษ “เนื่องจากนี่เป็นคำสั่งซื้อภายในประเทศครั้งใหญ่ครั้งแรกของเรา ฉันจึงสามารถส่งสินค้าจากต่างประเทศในร
“คุณฟู่ เราบังเอิญได้ยินมาว่าคุณเสิ่นอวี๋ก็กำลังมองหาหมออยู่เหมือนกัน” อีกฝั่งหนึ่งของโทรศัพท์คือนักสืบเอกชนที่ฟู่สือถิงหามาจากต่างประเทศ มีหน้าที่รับผิดชอบในการหาหมอที่สามารถรักษาอิ๋นอิ๋นได้ “คนที่คุณเสิ่นกำลังตามหาคือหมอผู้ชายวัยกลางคน สูงประมาณหนึ่งร้อยเจ็ดสิบครับ” ฟู่ซื่อถิงขมวดคิ้ว “ทำไมเธอถึงต้องการเจอหมอผู้ชายคนนี้?” นักสืบเอกชนกล่าว “ผมเดาว่าเธอกำลังมองหาหมอคนนี้เพื่อให้มารักษาอิ๋นอิ๋นด้วยกันครับ” ความหวังฉายแวววับในดวงตาของฟู่สือถิง “เราต้องหาหมอผู้ชายคนนี้ให้ได้ก่อนที่เธอจะเจอ!” นักสืบเอกชน “ครับ ผมได้ข้อมูลส่วนตัวมาด้วยว่าศาสตราจารย์หูชิงรับเขาเป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายก่อนจะปิดรับ ข้อมูลของศิษย์คนนี้เป็นความลับ และเขาได้เข้าร่วมงานในห้องปฏิบัติการของศาสตราจารย์หูชิงตลอดกระบวนการด้วย” ฟู่สือถิงพูดอย่างจริงจัง “เป็นไปได้ไหมที่ศิษย์คนนี้คือหมอผู้ชายวัยกลางคนที่เสิ่นอวี๋กำลังมองหาอยู่?” นักสืบเอกชน “ครับ ผมก็เดาแบบนั้นเหมือนกัน”……เวลาห้าโมงเย็น ฟู่สือถิงไปรับอิ๋นอิ๋นที่โรงเรียนนานาชาติแองเจลากลับบ้านด้วยตนเอง เมื่อมาถึงลานจอดรถก็บังเอิญเจอฉินอันอันที่มารับเสี่ยวหาน
เขาวางไว้ยี่สิบปีไม่เคยมีปัญหา แต่ทำไมตอนนี้มันหายไปล่ะ?! หลังจากที่เขารู้ว่ากล่องหายไป เขาก็หยิบหนังสือทุกเล่มออกจากชั้นที่สาม เนื่องจากชั้นวางหนังสือยึดติดกับผนัง มันจึงไม่มีทางหล่นเข้าไปในช่องว่าง สักครู่หนึ่ง เขาก็ย้ายหนังสือทั้งหมดบนชั้นไปวางที่พื้น หลังจากที่ชั้นหนังสือว่างเปล่า เขาก็ค้นในกองหนังสืออีกครั้ง! ไม่มีเลย! ดวงตาของเขาแดงก่ำ และมีเจตนาฆ่าอย่างรุนแรง! ‘ฝีมือใคร?!’ ใครเข้ามาในห้องหนังสือแล้วเอาของของเขาไป?! เขาจำได้เลือนรางว่าเขาเพิ่งเห็นกล่องเมื่อไม่นานมานี้ ประมาณหนึ่งเดือนก่อน? เขากดโทรหาห้องระบบวงจรปิด “ดึงข้อมูลกล้องวงจรปิดตั้งแต่เดือนที่แล้วมาที! มีคนเข้ามาในห้องหนังสือของฉัน!” บอดี้การ์ดตกใจมากจนไม่กล้าหายใจ “ครับ! ผมจะดึงข้อมูลกล้องวงจรปิดเดี๋ยวนี้!” “ระดมบุคลากรทั้งหมดที่มีอยู่และตรวจสอบกล้องวงจรปิด!” เขาพูดน้ำเสียงเคร่งขรึม “ครับ!” ป้าจางพาอิ๋นอิ๋นจากสวนหลังบ้านกลับไปที่ห้องนั่งเล่น เมื่อเธอเห็นใบหน้าที่มืดมนและเย็นชาของฟู่สือถิง เธอก็ตึงเครียด “คุณผู้ชาย เกิดอะไรขึ้นเหรอคะ?” ฟู่สือถิง “มีคนเอาบางอย่างไปจากห้องหนังสือของผม”
ชื่อที่ขีดฆ่าพร้อมกับชื่อไมค์ยังมีชื่อของเสี่ยวหาน เสี่ยวหานมาที่บ้านสองครั้ง แต่ทุกครั้งที่เขามา เขาจะอยู่แค่ในห้องรับแขกชั้นหนึ่งเท่านั้น รุ่ยลาเคยขึ้นไปชั้นสองแล้ว ตอนที่ทุกคนเจอเธอ เธอก็อยู่ชั้นสอง แต่ดูแล้วเด็กคนนี้ไม่ค่อยฉลาด ไม่อย่างนั้น วันนั้นเธอคงไม่กลัวจนร้องไห้ฟูมฟาย เขาไม่ได้ขีดฆ่าชื่อของรุ่ยลา แต่ความสนใจของเขาตกไปอยู่ที่ชื่อของเสิ่นอวี๋ อาจจะเป็นเสิ่นอวี๋รึเปล่านะ? แต่ทุกครั้งที่เสิ่นอวี๋มาหา ก็มีคนอยู่ที่บ้านตลอด จริง ๆ แล้วเธอไม่มีโอกาสขึ้นไปหยิบของในห้องหนังสือของเขาเลย ทำได้แค่รอกล้องวงจรปิดเท่านั้น คืนนั้นเขาตรวจสอบกล้องวงจรปิดในห้องมอนิเตอร์โดยไม่กะพริบตา วันที่เขาพาฉินอันอันไปที่บ้าน ระบบกล้องวงจรปิดถูกรบกวนและหยุดทำงานเป็นเวลาสามชั่วโมง ตอนนี้ ตราบใดที่ยืนยันได้ว่ากล้องวงจรปิดในเวลาอื่นเป็นปกติหรือไม่ และมีใครบุกรุกเข้ามาหรือไม่ ก็จะรู้ว่าปัญหาอยู่ที่ไหน กลับถึงห้องนอน เขาก็นอนไม่หลับ ก่อนที่จะหาของเจอ หัวใจก็รู้สึกราวกับแหลกสลายเป็นชิ้น ๆ ถ้าเขาสามารถเผชิญกับเรื่องเลวร้ายด้วยตัวเองแบบนั้นได้ เขาคงไม่หย่ากับฉินอันอัน ตอนเที่ยง
คฤหาสน์สตาร์ริเวอร์ ฉินอันอันรีบกลับบ้าน จากหยุนจึงประหลาดใจเล็กน้อย “อันอัน ลูกกินข้าวหรือยัง?” “แม่เคยเห็นกล่องสีแดงเข้มที่บ้านไหม?” ฉินอันอันโยนกระเป๋าลงบนโซฟาแล้วเดินไปที่ห้องของเด็ก ๆ “กล่องสีแดงเข้ม?” จางหยุนเดินตามเธอแล้วพึมพำ “แม่ไม่ได้สังเกต ทำไมเหรอ?” “ฟู่สือถิงทำกล่องสีแดงเข้มหายค่ะ” ฉินอันอันพูดเร็ว “เขาดูกล้องวงจรปิดแล้วไม่เจอ แต่เสี่ยวหานไปหาหนูที่บ้านของเขาเมื่อไม่นานมานี้ และแฮกกล้องวงจรปิดของเขา ตวามน่าสงสัยจึงตกมาอยู่ที่เราค่ะ” จางหยุนขมวดคิ้ว “เขาสงสัยว่าเสี่ยวหานเอาไปเหรอ?” ฉินอันอันมองแม่ของเธอ “แม่ หนูรู้ว่าแม่ไม่เชื่อว่าเสี่ยวหานจะทำแบบนั้น หนูเองก็ไม่เชื่อเหมือนกัน แต่ เสี่ยวหานทำเรื่องนอกลู่นอกทางลับหลังเรามาตั้งกี่ครั้งแล้ว?” จากหยุนถอนหายใจและไม่ได้ปฏิเสธ “มันเป็นกล่องสีแดงเข้มใช่ไหม? ในนั้นมีอะไรสำคัญเหรอ?” จางหยุนพูดและเริ่มมองหามันด้วยในขณะเดียวกัน “เขาบอกว่ามันสำคัญมาก” ฉินอันอันน้ำเสียงเคร่งขรึม “ในเมื่อมันสำคัญ ทำไมไม่เก็บไว้ดี ๆ ล่ะ?” จางหยุนงง “ถ้าเสี่ยวหานสามารถเอาของสำคัญของเขามาได้ง่ายขนาดนี้ งั้นก็หมายความว่าสถานที่ที่เขาวางไ
“ผมเปล่าครับ” เสี่ยวหานพูดท่าทางนิ่ง ๆ "จริงเหรอ?” ฉินอันอันมองลูกชายแล้วถามซ้ำ “เปล่าครับ” ใบหน้าของเสี่ยวหานไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ ฉินอันอันไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมแพ้ ถ้าเด็กไม่ได้เอาไปจริง ๆ แล้วเธอเอาแต่ถาม จะยิ่งทำให้เด็กรู้สึกว่าเธอไม่เชื่อใจพวกเขา เสี่ยวหานพารุ่ยลาไปเก็บกระเป๋านักเรียนที่ห้อง หลังจากเข้ามาในห้อง รุ่ยลาก็ถามเสียงเล็ก “ทำไมพี่ถึงโกหกคะ? เราจะโกหกแม่ไม่ได้นะ” ก่อนหน้านี้ฉินอันอันไม่ได้ถาม เธอจึงสามารถอดกลั้นและไม่พูดอะไรได้ แต่ฉินอันอันถาม เธอไม่กล้าโกหก “ฟู่สือถิงรู้ว่ากล่องหายไป เขาคงจะวิตกกังวลเป็นบ้าแน่ ๆ” เสี่ยวหานพูดอย่างเย็นชา “ถ้าเราคืนของให้เขา เขาจะตำหนิเรา ถ้าเราไม่คืน เขาจะได้กังวลต่อไปเรื่อย ๆ” “อ๋อ... โอเค!” รุยล่าเห็นด้วย ระหว่างพี่ชายของเธอกับพ่อตัวดี เธอก็ต้องอยู่ข้างพี่ชายอยู่แล้ว เดิมทีกล่องนี้ถูกวางไว้ใต้เตียง แต่เมื่อวันก่อน พวกเขาเอากล่องไปฝังไว้ใต้ต้นไม้ในลานบ้าน เพราะเสี่ยวหานรู้ว่ามีอะไรเขียนในกระดาษแผ่นนั้น หลังจากรู้เนื้อหาในกระดาษแล้ว เขารู้สึกว่ากล่องนั้นสำคัญเกินกว่าจะทิ้งไว้ใต้เตียง จึงได้ย้ายที่เก็บ โชคด
“งั้นเธออย่าไปเลย อิ๋นอิ๋นก็อยู่ด้วย ผู้หญิงสองคนเฝ้าเขาอยู่ในห้องผู้ป่วย เธอไปเห็นคงจะหงุดหงิดเปล่า ๆ” หลีเสี่ยวเถียนกล่าว “สภาพจิตใจของเขาก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ตอนแรกฉันคิดว่าบริษัทของเขากำลังประสบปัญหาใหญ่ แต่เฮ่อจุนจือบอกว่าไม่ใช่ ฉันก็เลยคิดว่ามันเกี่ยวอะไรกับเธอหรือเปล่า?” ฉินอันอันกลับไปนั่งที่เก้าอี้ในออฟฟิศ “หลีเสี่ยวเถียน เธอคิดเข้าข้างฉันเกินไป ตอนที่ฉันหย่ากับเขา ฉันยังทำให้เขาเสียใจไม่ได้เลย ฉันไม่มีผลกับเขามากขนาดนั้นหรอก” “แล้วทำไมเขาถึงแปลกไปขนาดนี้? คงไม่ใช่เพราะเสิ่นอวี๋หรอกนะ?” หลีเสี่ยวเถียนสงสัย “ได้ยินมาว่า ช่วงนี้เสิ่นอวี๋ไปเยี่ยมบ้านเดิมของตระกูลฟู่บ่อย ๆ ผู้หญิงคนนี้เล่ห์เหลี่ยมเยอะมาก!” เมื่อได้ยินข่าวเรื่องฟู่สือถิงกับเสิ่นอวี๋ ตอนนี้จิตใจของฉินอันอันก็สงบขึ้นเยอะ บางทีถ้าวันหนึ่งมีข่าวว่าพวกเขากำลังจะแต่งงานกัน เธอก็อาจจะไม่รู้สึกอะไร เธอกับฟู่สือถิงเป็นเส้นขนานที่ไม่มีวันมาบรรจบกัน มีแต่จะห่างกันไปเรื่อย ๆ “เสี่ยวเถียน เธอกับเฮ่อจุนจือเป็นยังไงบ้าง?” ฉินอันอันเปลี่ยนเรื่อง “ก็เหมือนเดิม! เขาตัดสินใจจะพยายามจนถึงสิ้นปี ถ้าสิ้นปีนี้เขายังทำให้พ่อแ
ฉินอันอันที่นอนหลับเต็มอิ่มรู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่า แต่เพราะสายเรียกเข้านี้ทำให้ใจของเธอร้อนรนอีกครั้งหลังจากวางสายแล้ว เธอก็ได้รับที่อยู่ของมหาวิทยาลัยชิงซานที่รองประธานส่งมาต่อจากนี้เธอต้องจองตั๋วเครื่องบินแล้วรีบไปให้ทันขณะที่เธอกำลังเปิดแอปจองตั๋วเครื่องบินอยู่ จู่ ๆ หน้าจอโทรศัพท์ก็เด้งขึ้นมาเป็นโปรแกรมนาฬิกาปลุก ทำให้เธอเกือบจะปาโทรศัพท์ทิ้งเธอเอามือปิดหน้าอก หายใจเข้าลึก ๆทำไมต้องรีบร้อนขนาดนี้ด้วย?แค่การฝึกอบรมครั้งเดียว ถึงจะไปสายหน่อยก็ไม่เห็นเป็นไรสมัยเรียนเธอก็ไปสายตั้งบ่อย นี่เธอไม่ได้เป็นนักศึกษาแล้วนี่นาแถมนี่ก็ไม่ใช่การฝึกอบรมที่เธอสมัครเอง แค่ตอบตกลงว่าจะไปก็ถือว่าทำดีที่สุดแล้ว ทำไมต้องทำให้ตัวเองเครียดขนาดนี้ด้วย?คิดได้ดังนั้น เธอก็ล้มตัวนอนลงบนเตียง ตั้งใจจะนอนต่อสักหน่อยเธอเปิดโทรศัพท์ขึ้นมาส่งข้อความหาหลีเสี่ยวเถียน : เสี่ยวเถียน ฉันต้องออกไปธุระไกล ๆ ประมาณหนึ่งสัปดาห์ถึงจะกลับ สองวันนี้หลังจากที่ไปพบจิตแพทย์แล้ว อย่าลืมมาบอกฉันด้วยนะตอนนี้ยังเช้ามาก เธอคิดว่าหลีเสี่ยวเถียนคงยังนอนอยู่ ดังนั้นหลังจากส่งข้อความเสร็จแล้ว เธอก็วางโทรศัพท์ลง
“อันอัน คุณคงเหนื่อยมากเลย!” ป้าจางพูดกับเธอ “ฉันมาบอกคุณว่า ของขวัญที่เสี่ยวหานและรุ่ยลาได้รับวันนี้ ฉันเอาไปเก็บไว้ที่โกดังชั้นหนึ่งแล้วนะคะ”“ค่ะ พรุ่งนี้ฉันค่อยไปจัดการ” ฉินอันอันลูบศีรษะทุยของจื่อชิวเบา ๆ “ลูกรัก วันนี้สนุกไหมจ๊ะ? พอครบหนึ่งขวบเมื่อไหร่ แม่จะจัดงานวันเกิดให้ลูกนะ”ป้าจางพูดด้วยรอยยิ้ม “เวลาผ่านไปเร็วจริง ๆ แป๊บเดียวจื่อชิวก็ครึ่งขวบแล้ว!”“ค่ะ”“อันอัน รีบกลับห้องไปอาบน้ำพักผ่อนเถอะค่ะ! พรุ่งนี้ต้องกลับไปทำงานแล้ว!” ป้าจางเตือนฉินอันอันพยักหน้าแล้วเดินไปที่ห้อง เธอตั้งใจจะอาบน้ำก่อนนอน แต่พอเข้าไปในห้อง เตียงนอนขนาดใหญ่ดูเหมือนจะมีเวทมนตร์ดึงดูดเธอเธอมองไปที่เตียงแล้วล้มตัวนอนลง ตั้งใจจะพักสักหน่อย พอมีแรงแล้วค่อยลุกไปอาบน้ำ แต่หลังจากนอนลงไม่นาน เธอก็นอนหลับสนิทปกติแล้วเธอมีนิสัยชอบฝันร้าย ไม่ว่าจะพยายามปรับยังไงก็ปรับไม่ได้ ภาพที่เธอฝันถึงบ่อยที่สุดก็มีอยู่ไม่กี่อย่างอย่างแรกคือตอนที่พ่อเสียชีวิต พ่อจับมือเธออยู่ในห้อง ขอโทษเธอและขอให้เธอให้อภัย ก่อนที่เธอจะได้พูดอะไร พ่อก็สิ้นใจไปเสียก่อน กลายเป็นความเสียใจตลอดชีวิตของเธออย่างที่สองคือแม่ประสบอุบั
ตลอดชีวิตที่ผ่านมา อวิ๋นซื่อเจี๋ยไม่เคยกลัวอะไรเลยแต่ตอนนี้ เมื่อเขาเห็นใบหน้าเย็นชาและดุร้ายของฟู่สือถิง เขากลับรู้สึกกลัวเป็นครั้งแรก!รู้สึกว่าถ้าเขาทำให้ฟู่สือถิงโกรธมากขึ้นไปอีก เขาคงถูกทุบตีจนตายอยู่ที่นี่แน่ ๆคำพูดที่กำลังจะหลุดออกมาจากปากถูกกลืนลงไปอย่างยากลำบากเขาทำพลาดไป! ประเมินอารมณ์ของฟู่สือถิงผิดถนัด! เขาไม่ควรมาที่นี่อย่างประมาทเช่นนี้ตอนนี้เขาอยากแค่หนีรอดออกไปให้ได้“ป้าหง! กระดูกซี่โครงผมหัก! รีบโทรเรียกรถพยาบาลให้ผมหน่อย!” เขาไม่กล้าพูดกับฟู่สือถิง จึงตะโกนเรียกป้าหงเสียงดังป้าหงเห็นเขาเลือดอาบ นอนอยู่บนพื้นและกระตุกเกร็งอย่างควบคุมไม่ได้ ด้วยความตกใจ เธอรีบคว้าโทรศัพท์เพื่อโทรแจ้งเหตุฉุกเฉิน“ป้าหง อย่าใจอ่อนกับพวกกากเดนประเภทนี้!” ฟู่สือถิงตะโกนห้ามป้าหงได้สติกลับคืนมาทันที “คุณผู้ชาย สั่งให้บอดี้การ์ดจับเขาโยนออกไปเถอะค่ะ! ต่อไปนี้ฉันจะไม่ให้เขาก้าวเข้ามาในบ้านอีกเด็ดขาด!”ฟู่สือถิงส่งสัญญาณให้บอดี้การ์ด บอดี้การ์ดจึงคว้าแขนอวิ๋นซื่อเจี๋ยแล้วลากเขาออกไปฟู่สือถิงมองดูสภาพที่ยับเยินของอวิ๋นซื่อเจี๋ย สั่งบอดี้การ์ดเสียงเย็นเยียบว่า “เอาตัวไปทิ้งให้ไ
เพื่อนร่วมงานได้รับข้อความแล้วตอบกลับทันทีว่า “ทราบแล้วเปลี่ยน! ลงมือเลย!”ประมาณห้านาทีต่อมา เสียงต่อยตีและเสียงร้องโหยหวนของผู้ชายดังมาจากนอกบ้าน!ป้าหงได้ยินเสียงดังนั้นจึงรีบวิ่งออกมาดูเห็นบอดี้การ์ดสองคนกำลังทำร้ายร่างกายผู้ชายคนหนึ่ง จึงถามว่า “เกิดอะไรขึ้น? คนคนนี้เป็นใคร?”“ป้าหง คนคนนี้แหละคือนักถ้ำมองเมื่อคืน! เขาทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ อยู่แถวกำแพง ถึงแม้เขาไม่ได้คิดจะทำเรื่องไม่ดี แต่ก็ต้องจัดการเขาซะ!” บอดี้การ์ดคนหนึ่งหยุดมือ แล้วอธิบายให้ป้าหงฟัง “ไม่งั้นเขาจะมาทุกวัน เจ้านายต้องไม่พอใจแน่ ๆ”“อ้อ…” ป้าหงมองดูชายวัยกลางคนคนนั้นที่กำลังนอนอยู่บนพื้นอย่างระมัดระวัง“ป้าหง จำผมได้ไหม?” ชายวัยกลางคนคนนั้นเงยหน้าขึ้น สะบัดผมที่หน้าผากออก ดวงตาที่เฉียบคมและแดงก่ำจ้องมองป้าหงอย่างตรงไปตรงมาบอดี้การ์ดได้ยินชายวัยกลางคนคนนั้นพูดกับป้าหง จึงหยุดทำร้ายเขาทันทีคนคนนี้รู้จักกับป้าหงงั้นเหรอ? ถ้ารู้จักป้าหงทำไมไม่บอกตั้งแต่แรก?“คุณคือ…” แสงสลัวทำให้ป้าหงมองใบหน้าของเขาไม่ชัด จึงจำไม่ได้เลยแม้แต่น้อย“คุณอาจจะจำผมไม่ได้ ผมเคยทำงานที่บ้านเดิมกับคุณ” อวิ๋นซื่อเจี๋ยยิ้มแล้วลุกขึ้นจ
ฟู่สือถิงจ้องมองภาพถ่ายของชายวัยกลางคนอีกครั้ง แต่จนแล้วจนเล่าก็ยังไม่เข้าใจเขาไม่เคยเห็นคนคนนี้มาก่อนอาจเป็นไปได้ว่าชายคนนี้มีปัญหาทางจิต จึงมาปรากฏตัวอยู่ใกล้บ้านเขาเมื่อคืนแล้วฉีกยิ้มใส่ฟู่สือถิงขยำกระดาษทิ้งลงถังขยะ เดินเข้าห้องน้ำอย่างรวดเร็วแล้วปิดประตูในครัว ป้าหงเห็นฟู่สือถิงขึ้นไปชั้นบนแล้ว จึงรีบโทรหาป้าจาง“ได้ยินว่าคุณผู้ชายกับจิ้นซือเหนียนทะเลาะกัน” ป้าจางกล่าว “แต่ไม่ใช่เขาที่เริ่มก่อน ทะเลาะกันเสร็จแล้วทั้งคู่ก็แยกย้ายกันไป”ป้าหง “อ๋อ มิน่าล่ะถึงได้กลับมาเร็วขนาดนี้”“คุณผู้ชายอารมณ์เป็นยังไงบ้าง?” ป้าจางถามด้วยความเป็นห่วง“ไม่ค่อยดี แต่ก็ยังพอถูไถ” ป้าหงถามต่อ “วันนี้เขาอยู่กับลูก ๆ แล้วเป็นยังไงบ้าง?”ป้าจางหัวเราะทางโทรศัพท์ “วันนี้เขาไม่ได้อยู่คลุกคลีกับเด็ก ๆ หรอก เขาคอยต้อนรับแขกในงานทั้งวัน อันอันเป็นคนกำชับให้เขาคอยอยู่กับแขก”ป้าหงหน้าแดง “ดูเหมือนว่าทั้งคู่จะดูใกล้ชิดกันมากขึ้นนะ”“ใช่! ดูเหมือนว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่จะดีขึ้นกว่าเดิมมากแล้ว หวังว่าต่อไปจะไม่ทะเลาะกันอีก” ป้าจางพูดด้วยความเป็นห่วง “ไม่งั้นลูก ๆ ทั้งสามคนคงน่าสงสารมาก”“อืม ฉั
ฉินอันอันรู้ดีว่าฟู่สือถิงและจิ้นซือเหนียนมีความสัมพันธ์ที่ไม่ค่อยดีนัก ดังนั้นเมื่อเห็นทั้งสองคนยืนอยู่ด้วยกัน เธอจึงรู้สึกแปลก ๆ“ไม่ได้คุยอะไรกันหรอก” ฟู่สือถิงมองจิ้นซือเหนียนอย่างเย็นชา ตอบฉินอันอัน “จิ้นซือเหนียนแค่เป็นห่วงความสุขของคุณ เลยเตือนผมให้ออกกำลังกายมากขึ้นหน่อย”“พวกคุณนี่ลามกกันจริง ๆ!” ฉินอันอันหน้าแดง เดินหนีไปด้วยความโกรธจิ้นซือเหนียนเห็นฉินอันอันโกรธ ความสงบสุขบนใบหน้าของเขาก็หายไป “ฟู่สือถิง คุณนี่มันไร้ยางอายจริงๆ!”ฟู่สือถิงพูดอย่างไม่รีบร้อน “ผมว่าคุณนั่นแหละที่ไร้ยางอาย ผู้ชายจะไหวหรือไม่ไหว ไม่ได้อยู่ที่ปาก ไม่ต้องทำมาเป็นห่วงหรอกว่าผมจะไหวหรือไม่ไหว รีบไปหาผู้หญิงสักคนมาพิสูจน์ว่าคุณไม่ได้ด้อยเรื่องนี้ให้ได้ก่อนเถอะ”จิ้นซือเหนียนโกรธจนเดินหนีไปดื้อ ๆ!“คุณตายแน่” ไมค์พูดกับฟู่สือถิง “เดี๋ยวถ้ารุ่ยลารู้ว่าคุณทำให้จิ้นซือเหนียนโกรธ เธอก็จะพาลมาโกรธคุณอีก!”ฟู่สือถิงปวดหัวทันทีเขาไม่สามารถตามจิ้นซือเหนียนกลับมาได้แต่เขาก็ไม่อยากทำให้รุ่ยลาโกรธ“ผมมีวิธีหนึ่ง” ไมค์คิดแผนขึ้นมาทันที “คุณกลับไปก่อน แบบนี้รุ่ยลาก็จะไม่โกรธคุณ”ฟู่สือถิงขมวดคิ้วเข
“คุยอะไร ตอนนี้ไม่สะดวกคุยเหรอ?” เธอโพล่งถามออกไป ทั้งที่ในใจรู้ดีอยู่แล้วความเข้าใจผิดระหว่างเธอกับเขานั้นได้คลี่คลายไปแล้ว สิ่งที่เขาต้องการคุยก็คือการขอโอกาสอีกครั้งจากเธอครั้งก่อนเธอปฏิเสธเขาไปอย่างสุภาพ ตอนนี้เธอก็ยังไม่สามารถตอบตกลงได้ไม่ใช่ว่าเธอเกลียดเขา แต่เธอรู้สึกว่าตัวเองยังไม่หนักแน่นพออีกทั้งตอนนี้ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาก็ดีอยู่แล้ว ต่างคนต่างให้เกียรติซึ่งกันและกัน ไม่ได้สนิทสนมหรือห่างเหินเกินไป แบบนี้ก็ดีอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ?“คุยตอนนี้คงไม่ได้ผลหรอก” เพียงแค่ดูสีหน้าของเธอก็เดาได้แล้วว่าเธอคิดอะไรอยู่“คุณคิดว่าพอกลับมาจากต่างเมือง พอคุยกันแล้วจะได้ผลเหรอ?” ฉินอันอันถามอย่างไม่เข้าใจ “คุณจะไปนานแค่ไหน?”“หนึ่งอาทิตย์”“อ๋อ งั้นอีกหนึ่งอาทิตย์ค่อยว่ากันใหม่!” เธอก้มหน้าลง มองไปที่มือของเขาที่กำลังจับแขนเธออยู่ “คุณเพิ่งเล่นไพ่เสร็จ ยังไม่รีบไปล้างมืออีก?”เธอรู้สึกว่ามือเขาสกปรกเขาอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนจะดึงเธอไปที่ห้องน้ำ “งั้นเราไปล้างมือด้วยกัน!”ทั้งสองคนเดินผ่านห้องจัดเลี้ยงไปท่ามกลางสายตาของผู้คนมากมาย“คุณสังเกตไหมว่าวันนี้ความสัมพันธ์ของพวกเขาสองค
เสี่ยวตง “พ่อเธอยังไม่มาอีกเหรอ?”รุ่ยลา “มาแล้ว! ตอนนี้ก็ยังอยู่ในห้องจัดเลี้ยง!”เสี่ยวตงขมวดคิ้ว มองไปรอบ ๆ“พ่อเธอคนไหนล่ะ? ทำไมเขาไม่เห็นมาเล่นกับพวกเธอเลย? เขาขี้เกียจทำงานใช่ไหม? เลยทำให้แม่เธอไม่ยอมคบกับเขา และทำให้พวกเธอไม่ชอบเขาด้วยใช่ไหม?” เสี่ยวตงคิดไปเรื่อยเปื่อยรุ่ยลาตกใจ แต่เธอก็ไม่ยอมบอกความจริงกับเสี่ยวตง “พ่อฉันเปล่าขี้เกียจทำงานซะหน่อย! ฉันไม่บอกหรอกว่าพ่อเป็นใคร พี่บอกว่าพี่เก่งกว่าพี่ชาย งั้นพี่ก็ไปหาเองสิ!”ไมค์หัวเราะ “เสี่ยวตง ทำไมเธอดูอยากรู้จังเลยล่ะว่าพ่อของเสี่ยวหานกับรุ่ยลาเป็นใคร?”เสี่ยวตง “ผมก็แค่อยากรู้! แม่ผมบอกว่าพ่อของเสี่ยวหานก็คือฟู่สือถิง แต่พ่อผมบอกว่าไม่ใช่ พวกเขาทะเลาะกันเรื่องนี้หลายครั้งแล้ว”ไมค์หัวเราะจนท้องคัดท้องแข็ง “งั้นเธอเชื่อแม่หรือว่าเชื่อพ่อล่ะ?”“ผมเชื่อพ่อ เพราะพ่อผมดีกับผมมากกว่า” เสี่ยวตงพูดอย่างมั่นใจ “ถ้าพ่อของเสี่ยวหานเป็นฟู่สือถิงจริง ๆ เสี่ยวหานคงไม่เมินพ่อของเขาแบบนั้นแน่! ฟู่สือถิงน่ะเก่งมากเลย! เขาเป็นไอดอลของผม!”เสี่ยวหานได้ยินที่เสี่ยวตงพูดก็ไม่สนใจที่จะโต้เถียง เดินออกไปเงียบ ๆไม่นาน เสียงเปียโนอันไพเราะ
เสียงหัวเราะดังขึ้นจากกลุ่มคนรอบข้าง “ผู้ช่วยของคุณฟู่ไปเอาเงินสดมาแล้วล่ะครับ ดูเหมือนวันนี้คุณฟู่จะตั้งใจจะทุ่มสุดตัวเลยนะ!” ทุกคนหัวเราะคิกคักใบหน้าของฉินอันอันขึ้นสีเล็กน้อย ไม่คิดว่าฟู่สือถิงจะพยายามขนาดนี้เพื่อสร้างความบันเทิงกับแขก“พวกคุณอย่าเล่นกันจริงจังเกินไปนะคะ” เธอเตือน“อันอัน เพิ่งเริ่มเองนะ คุณก็เริ่มห่วงกระเป๋าเงินของคุณฟู่แล้วเหรอ?” เสียงหัวเราะดังขึ้นอีกครั้งฟู่สือถิงมองเธอด้วยแววตาสนใจ แล้วถามว่า “หรือว่าคุณจะมานั่งข้าง ๆ คอยเป็นที่ปรึกษาให้ผมดีล่ะ?”ฉินอันอันหลบสายตาที่ลึกซึ้งของเขา แล้วพูดกับคนอื่น ๆ ว่า “พวกคุณเล่นกันเต็มที่เลยค่ะ ไม่ต้องไว้หน้าเขาหรอก”พูดจบเธอก็อุ้มลูกเดินออกไปเฮ่อจุ่นจือถือจานอาหารเดินมาจากโซนบุฟเฟ่ต์“อันอัน อย่าห่วงพี่สือถิงเลย เขาไม่ล้มละลายหรอก”ฉินอันอันแก้ตัวเสียงแข็ง “ฉันไม่ได้ห่วงเขา”“แล้วทำไมเมื่อกี้พวกเขาถึงหัวเราะกันเสียงดังขนาดนั้นล่ะ?” เฮ่อจุ่นจือพูดแทงใจดำเธออย่างไม่ไว้หน้า “เมื่อกี้หลีเสี่ยวเถียนพูดอะไรกับคุณตอนอยู่ข้างนอกบ้างเหรอ? หรือว่าพูดถึงเรื่องเมื่อคืนของพวกเรา?”เฮ่อจุ่นจือรู้สึกอายเล็กน้อยเกี่ยวกับเรื่อง