“อะไรนะ?!! เรือนหอ? ของเรา?”
“ใช่...พี่ปลูกเรือนหลังนี้ก่อนที่จะไปเรียนต่อ หวังว่ากลับมาแล้วจะได้อยู่กับพ่อพุดที่เรือนหลังนี้จนถึงบั้นปลายชีวิต”
“ท่านชายจะบอกว่าผมกับท่านชายเคยเป็นคนรักกัน?”
พุดเอ่ยถามด้วยความไม่อยากจะเชื่อ
“ใช่...ทุกเหตุการณ์ที่เจ้าฝัน มันเคยเกิดขึ้นจริงมาก่อน”
คำตอบของท่านชายทำให้พุดหน้าเห่อร้อนขึ้นมาดื้อ ๆ เพราะพอคิดถึงเหตุการณ์ที่ท่านชายกับคนชื่อพุดในฝันมีอะไรลึกซึ้งต่อกันแล้วก็รู้สึกอายขึ้นมาเฉย ๆ ท่านชายรู้ทัน จึงก้มหน้าลงมาใกล้ ๆ คนแก้มแดงจนจมูกแทบชนกัน กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของดอกพุดซ้อนกับรอยยิ้มที่อ่อนโยนจากวิญญาณผู้นี้ทำให้พุดรู้สึกคุ้นเคยแบบบอกไม่ถูก
“เจ้ากำลังเขินอายหรือ?”
“ปะ...ป่าว เอ่อ...แล้วทำไมท่านชายถึงยังอยู่ที่นี่...ผมหมายถึงทำไมไม่ไปเกิดใหม่อะไรแบบนี้?”
พุดเฉไฉเปลี่ยนเรื่องคุยเพราะรู้สึกสู้สายตาแวววาวกับรอยยิ้มมุมปากของคนตรงหน้าที่มองมาทางริมฝีปากของเขาไม่ได้ มันสั่นไหวแปลก ๆ
“พี่จะไปไหนได้เยี่ยงไร ในเมื่อตลอดมาพี่รอที่จะพบเจ้าอีกครั้ง”
คำตอบของท่านชายทำให้เสี้ยววินาทีหนึ่งพุดรู้สึกจี๊ดใน ใจ แต่ก็แค่เสี้ยววินาทีจริง ๆ จนเขาไม่ทันสังเกตตัวเอง เขาคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงเอ่ยถามในสิ่งที่สงสัยออกไป
“ฝ่าบาทยังดูหนุ่มอยู่เลย แสดงว่า...สิ้นชีพตอนอายุยังไม่เยอะ?”
สิ้นสุดคำพูดของพุด ท่านชายก็มีแววตาเศร้าหมองลง ทำให้พุดเข้าใจได้ว่าวิญญาณท่านชายผู้นี้คงตายจากคนรักก่อนวัยอันควร และยังมีห่วงอยู่ถึงยังไม่ไปไหน
“แล้ว...ฝ่าบาทจะทำอะไรต่อไป ได้เจอผมแล้วจะสามารถปล่อยวางแล้วไปเกิดใหม่อะไรแบบนี้หรือเปล่า?”
พุดเอ่ยถามแบบไม่ทันคิดให้ลึกซึ้ง เพียงแต่เขาคิดไปตามนิยายที่เคยอ่านมาว่าพอทำภารกิจสำเร็จ วิญญาณก็หมดห่วง ไปเกิดใหม่ แต่กลับทำให้ผู้ฟังตรงหน้ารู้สึกเจ็บปวดหัวใจ
“พี่รอคอยที่จะได้พบเจ้า มาเกือบร้อยปี แต่เหตุใดถึงพูดตัดเยื่อใยพี่เช่นนี้”
แววตาตัดพ้อของท่านชายทำเอาพุดรู้สึกผิดไม่น้อยที่ไม่มีความทรงจำเหลืออยู่เลย สำหรับเขาในตอนนี้ ท่านชายคือวิญญาณที่ช่วยเหลือเขา เขามีความหวังดีอยากให้ท่านชายไปสู่สุคติเพราะคิดว่าการไปเกิดใหม่คงดีกว่าเป็นวิญญาณวนเวียนอยู่ที่โลกมนุษย์
“แต่...ฝ่าบาทคงไม่ได้คิดจะเอาผมไปอยู่ด้วยใช่ไหม?”
พุดเอ่ยถามด้วยความกล้า ๆ กลัว ๆ หากวิญญาณผู้ยึดมั่นในรักตนนี้ต้องการพาเขาไปอยู่ด้วยเขาจะทำอย่างไร เขายังไม่อยากตายหรอกนะ
“พี่บอกแล้วอย่างไร ว่าพี่ไม่มีวันทำร้ายเจ้า”
“แล้วฝ่าบาทต้องการอะไร? ผมมาเกิดใหม่แล้ว ผมไม่มีความทรงจำเมื่อชาติก่อนเลย ผมคงไม่อาจเป็นพุดคนเดิมของฝ่าบาทได้อีก วาสนาของเรามันจบลงไปแล้ว การยึดติดจะทำให้ฝ่าบาทเป็นทุกข์”
“หากเจ้าจำพี่ได้ เจ้าจะไม่มีวันพูดเยี่ยงนี้กับพี่”
ท่านชายปกรณ์กล่าวออกมาด้วยเสียงที่เรียบนิ่งพร้อมหยดน้ำตาที่ไหลลงมาอาบสองแก้ม แม้ไร้ซึ่งเสียงสะอื้น แต่ใบหน้าฉายแววเจ็บปวดแบบชัดเจนจนพุดน้ำตาไหลตามโดยไม่รู้ตัว พุดสับสนและไม่เข้าใจตัวเอง เขาจำอะไรไม่ได้เลยสักนิดแต่ทำไมแค่เห็นน้ำตาของวิญญาณผู้นี้ ภายในใจของเขากลับรู้สึกเหมือนถูกเอามีดมากรีดนับล้าน
“ผม...ขอโทษ ผมจำอะไรไม่ได้แล้วจริง ๆ”
“แล้วถ้าพี่ทำให้เจ้าระลึกชาติได้เล่า?”
“ระลึกชาติ?!!”
“ใช่ ใช้นิมิตเป็นสื่อเหมือนเมื่อคืนก่อนอย่างไรเล่า”
“ฝ่าบาทจะบอกว่าความฝันจะช่วยให้ผมระลึกชาติได้?”
“ใช่...เจ้าก็รู้สึกคุ้นกับเหตุการณ์ในนิมิตใช่หรือไม่”
“มันก็ใช่...แต่จะเป็นไปได้เหรอที่คนเรามาเกิดใหม่แล้วจะระลึกชาติได้ และถ้าสุดท้ายผมจำอะไรไม่ได้...”
“พี่เชื่อว่าเจ้าจะจำได้”
พุดรู้สึกทั้งสับสน หนักใจ คิดไม่ตก เรื่องนี้มันเหนือธรรมชาติเกินกว่าที่เขาจะทำความเข้าใจและตัดสินอะไรได้อย่างรวดเร็ว แต่แววตาแบบนั้น...เขารู้สึกคุ้นเคยจริง ๆ และเขาไม่อยากเห็นวิญญาณตรงหน้าเป็นทุกข์เลย เขาจะทำอย่างไรดี
“งั้น...ผมจะลองดู แต่ถ้าผมยังจำอะไรไม่ได้ ฝ่าบาทรับปากผมว่าจะปล่อยวางแล้วไปเกิดใหม่ ได้ไหม?”
พุดหวังเพียงอยากช่วยวิญญาณผู้มีพระคุณของตนให้ไปสู่สุคติ ไม่ได้คิดว่าตนเองจะจำอดีตชาติได้จริง ๆ
“พี่รับปาก...หากเจ้ายังจำพี่ไม่ได้ พี่ก็จะไป”
“จะไม่มาให้เจ้าเห็นหน้าอีก แต่จะขอตามปกป้องเจ้าตลอดไป”
คำนี้ท่านชายคิดเพียงในใจไม่ได้เอ่ยออกมา เพราะเขาเข้าใจดีว่าตอนนี้สำหรับพุดแล้ว เขาก็คือคนอื่น หาใช่ชายคนที่พุดรักสุดหัวใจเหมือนในชาติก่อน
ในห้องนอนที่เงียบสงบ สายลมพัดอ่อน ๆ ผ่านม่านหน้าต่าง พุดกำลังเข้าสู่ห้วงนิทรา ท่านชายพาพุดเข้ามาในนิมิตอีกครั้ง ทั้งสองอยู่หน้าบ้านทรงไทยโบราณกึ่งยุโรปที่คุ้นเคย เป็นบ้านหลังเดียวกับที่พุดเช่าอยู่นั่นเอง หนึ่งคนกับหนึ่งวิญญาณกำลังดูเหตุการณ์ที่ท่านชายในนิมิตจูงมือพุดที่ถูกผ้าปิดตาไว้เดินมาที่สวนหลังบ้านที่มีแปลงดอกพุดซ้อนออกดอกชูช่อส่งกลิ่นหอมตลบอบอวล
“พี่ชายพัฒน์...ยังไม่ถึงอีกเหรอ พุดเอาผ้าปิดตาออกได้หรือยัง?”
“ถึงแล้ว...”
ท่านชายค่อย ๆ แกะผ้าปิดตาออกจนพุดได้เห็นแปลงดอกพุดซ้อนสวยงาม รวมถึงบ้านหลังใหญ่ที่อาจจะเล็กกว่าวังรัชนีพงษ์ แต่ก็ร่มรื่นน่าอยู่มาก ๆ
“งดงามมากเลยครับ...มิน่าละ หอมกลิ่นดอกไม้มาแต่ไกล ที่แท้ก็กลิ่นดอกพุดซ้อนนี่เอง แล้วที่นี่ที่ไหนหรือ?”
“เรือนหอของเรา”
“เรือนหอ? จะเป็นไปได้อย่างไรกัน...”
พุดไม่อยากจะเชื่อ แต่ก็เขินอายกับคำว่าเรือนหอมากเช่นกัน
“เป็นไปได้สิ พี่ตั้งใจปลูกเรือนนี้เพื่ออยู่กับเจ้าสองคนในบั้นปลายชีวิต นับตั้งแต่นี้เราสองคนจะมาอยู่ที่นี่ ยามที่พี่ไปเรียนต่อ พี่ฝากเจ้าช่วยดูแลมันด้วย”
“แล้ว...เราจะบอกเสด็จพ่ออย่างไร?”
“พี่บอกเสด็จพ่อแล้วว่าจะพาเจ้ามาอยู่ที่นี่ด้วยกัน”
“แล้วเสด็จพ่อไม่ว่ากระไรหรือ?”
“ไม่...ท่านแค่บอกว่าก็ดีเหมือนกัน ตอนนี้ให้มาอยู่เป็นเพื่อนพี่ก่อน ไว้เจ้ามีเมียเมื่อไหร่เสด็จพ่อค่อยสร้างเรือนให้อีกเรือน”
“ฝ่าบาท!!!”
“โอ๊ย!!!”
พุดตีแขนท่านชายสุดแรงเพราะโดนแกล้งเย้าแหย่ แม้จะรู้ว่าเสด็จท่านคงกล่าวเช่นนั้นจริง ๆ แต่ท่านชายก็เอามาพูดได้หน้าตาเฉยมันก็น่าโมโหเสียจริง
“พี่ชายพัฒน์...”
“หืม? ...”
“หากไม่มีใครยอมรับความรักของเรา...”
“พี่ไม่สนใจผู้ใด ขอแค่มีเจ้า...พี่ถึงได้ปลูกเรือนหลังนี้ไว้เพื่อเราสองคน”
ฝั่งพุดที่ยืนดูเหตุการณ์อยู่เกิดความสงสัยขึ้นมาจึงได้เอ่ยถามอีกคน
“หรือว่าพอมาอยู่ที่นี่แล้วฝ่าบาทก็สิ้นชีพิตักษัย จึงได้เป็นวิญญาณยึดติดอยู่ที่บ้านหลังนี้...ไม่สิ ไม่ถูกต้อง ฝ่าบาทบอกว่ารอคอยผมมาเกือบร้อยปี หรือผมก็ลาโลกตอนอายุยังน้อยเหรอ?”
“หากเป็นเช่นนั้นพี่ก็คงไม่ทุกข์ใจมากเช่นนี้ เชื่อเถอะ...ว่าเจ้าใจร้ายกับพี่มากกว่านั้น”
“???”
กล่าวจบท่านชายก็พาพุดวาร์ปไปที่วังอันคุ้นเคย ซึ่งเหตุการณ์ตรงหน้ามีพระองค์เจ้าพงษ์จักรพรรณกับพุดกำลังสนทนากันสองคนด้วยบรรยากาศตึงเครียด
“ตลอดเวลาที่ผ่านมา พ่อปฏิบัติกับเจ้าไม่ดีอย่างนั้นหรือ?”
“ไม่...เสด็จพ่อ... พระองค์เลี้ยงดูกระหม่อมมาเป็นอย่างดี ไม่เคยทำให้กระหม่อมรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจใด ๆ เลย”
“แล้วเหตุใดพวกเจ้าสองคนถึงได้กลายมาเป็นเช่นนี้เล่า เรื่องนี้มันผิดเพี้ยนไปหมดแล้ว”
“แต่เราสองคนแค่เรากัน เราทำอะไรผิดอย่างนั้นหรือ?”
“ไม่ผิดหรือ? ชายกับชายจะรักกันได้เยี่ยงไร ไม่มีใครยอมรับ”
“แต่เรื่องความรักมันเป็นเรื่องของเราสองคน เหตุใดจึงต้องให้ผู้อื่นยอมรับ หรือเพียงเพราะพุดเกิดมาต่ำต้อย”
ผู้อาวุโสกว่าเปลี่ยนจากสีหน้าเคร่งขรึมกลายเป็นสีหน้าที่หม่นหมองลง
“พ่อหาได้รังเกียจเจ้า พ่อรักเจ้าเหมือนลูกแท้ ๆ หากเจ้าเป็นสตรี มีหรือที่พ่อจักไม่ดีใจที่เจ้าสองคนรักกัน เพียงแต่เจ้าสองคนเป็นชาย หากเจ้าเป็นเพียงคนธรรมดา เรื่องมันอาจจะไม่หนักหนาเท่านี้ แต่เจ้าก็รู้ใช่หรือไม่ ชายพัฒน์เป็นราชนิกูลสูงศักดิ์ เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น อนาคตของทั้งเจ้าและชายพัฒน์จะเป็นเช่นไร จะอยู่ในสังคมนี้ได้อย่างไร หัวอกคนเป็นพ่อคงไม่อาจเห็นอนาคตลูกตัวเองตกต่ำเพราะเรื่องเช่นนี้เป็นแน่”
เสด็จพ่อของท่านชายกล่าวออกมาพร้อมกับน้ำตานองหน้าด้วยความเจ็บปวด แต่ก็ไม่อาจตำหนิพุดได้เต็มปาก เพราะเอ็นดูพุดเหมือนลูกแท้ ๆ มาโดยตลอด ถ้าจะตำหนิ ก็คงต้องตำหนิทั้งสองคน หรือแม้กระทั่งตำหนิตัวเอง ที่ดูแลลูกไม่ดี จึงเกิดเรื่องเช่นนี้
พุดร้องไห้น้ำตาไหลอาบสองแก้มเสียใจที่ตัวเองทำให้ผู้มีพระคุณเจ็บปวด
“พ่อแม่แท้ ๆ ของเจ้ามีพระคุณกับพ่อ พ่อจึงเลี้ยงดูเจ้าเป็นอย่างดีตลอดมา แต่ในฐานะของคนเป็นพ่อ จะปล่อยให้เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นไม่ได้ หากเจ้าเองรักชายพัฒน์ด้วยใจจริง และเจ้ายังเห็นว่าพ่อเป็นของของเจ้าอยู่ จงแยกจากชายพัฒน์เสียเถิด”
“เสด็จพ่อ...”
“พ่อรู้ว่ามันอาจจะเป็นคำพูดที่ทำร้ายเจ้า แต่เชื่อพ่อเถิด แม้เจ้าจะไม่รักตัวเอง แต่เจ้าคงไม่อยากเห็นอนาคตของชายพัฒน์ต้องตกต่ำ โดนคนดูถูกเหยียดหยาม โดนสังคมประณามว่าเป็นพวกเล่นสวาทใช่หรือไม่...พ่อขอร้องเจ้า”
“ฝ่าบาท!!! ไม่...อย่าทำเช่นนี้เลย”
เสด็จพ่อของท่านชายก้มลงไปคุกเข่าตรงหน้า ทำให้พุดตกใจมาก รีบมาประคองให้พระองค์ท่านยืนขึ้น
“หากเจ้าไม่รับปาก พ่อจะไม่ลุกเด็ดขาด”
“กระหม่อมยอมแล้ว...ฝ่าบาท กระหม่อมยอมแล้ว...”
พุดปล่อยโฮร้องไห้ออกมาเสียงดัง เสด็จท่านเองก็รู้สึกสงสารพุดไม่น้อย แต่ก็คิดว่าตนเองทำในสิ่งที่ถูกต้อง เสด็จท่านระแคะระคายเรื่องนี้มาสักระยะแล้ว แต่ด้วยรู้จักนิสัยลูกชายของตนเองดี และรู้ว่าทั้งสองคนมีความผูกพันกันมานาน หากใช้ไม้แข็ง เกรงว่าจะแยกทั้งคู่ไม่ขาด เผลอ ๆ ท่านชายอาจจะไม่ยอมไปเรียนต่อแล้วพาพุดหนีไป จนกระทั่ง 1 ปีหลังจากที่ท่านชายไปเรียนเมืองนอกแล้ว จึงตัดสินใจเรียกพุดมาคุยเพื่อจัดการปัญหาให้จบก่อนที่ท่านชายจะกลับมาแล้วจะแก้ไขอะไรไม่ได้อีก เพราะรู้ว่าอย่างไรเสียพุดย่อมเห็นความกตัญญูมากกว่าความรัก และที่สำคัญพุดย่อมยอมทำในสิ่งที่จะเป็นผลดีกับโอรสของตนมากกว่าความรู้สึกของตัวเอง แม้จะเหมือนการเห็นแก่ตัว แต่ผู้เป็นพ่อเชื่อว่านี่จะเป็นผลดีกับทั้ง 2 คน ไม่ใช่แค่กับท่านชาย
“พ่อขอบใจเจ้ามาก...ขอบใจเจ้าจริง ๆ พ่อจะส่งเจ้าไปอยู่ที่อเมริกาและมอบสมบัติติดตัวพอที่ตัวเจ้าจะอยู่สุขสบายไปยังบั้นปลายชีวิต ขอเพียงห้ามติดต่อกับชายพัฒน์อีกไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่หากมีเรื่องเดือดร้อนอะไรให้ติดต่อมาหาพ่อ พ่อจะคอยช่วยเหลือเจ้า พ่อยังคงห่วงใยและหวังดีกับเจ้าเสมอนะพ่อพุด”
ตอนนี้พุดที่ยืนดูเหตุการณ์อยู่เริ่มพูดไม่ออก รู้สึกเพียงแต่ว่ามันเจ็บปวดอย่างบอกไม่ถูก เหมือนเขาเข้าใจความรู้สึกของพุดในนิมิตเป็นอย่างดี ดวงตาเริ่มพร่ามัวเพราะน้ำในตาเริ่มซึมออกมา มือไม้เริ่มสั่นไม่อยากจะคิดต่อเลยว่าเหตุการณ์ต่อไปจะเป็นอย่างไร หากท่านชายในนิมิตกลับมาแล้วรับรู้เรื่องราวนี้เขาจะเจ็บปวดแค่ไหน
“เจ้าตัดสินใจทิ้งพี่ไปโดยไม่ติดต่อกลับมาอีกเลย”
ท่านชายพัฒน์เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เจือไปด้วยความเจ็บปวด
“เจ้าคงสงสัยใช่หรือไม่ว่าพี่เป็นเช่นไรหลังจากรู้ความจริง”
“...”
ท่านชายพัฒน์จูงแขนพุดวาร์ปไปในอีกช่วงเวลาหนึ่ง เป็นช่วงเวลาที่ท่านชายในนิมิตเรียนจบกลับมาและได้รับรู้ว่าพุดได้หนีเขาไปไกลแสนไกลแล้ว ตลอดเวลาที่ไปเรียนต่อ เขาไม่ได้ระแคะระคายอะไรเลย เพราะพุดเขียนจดหมายหาเขาทุกเดือน ซึ่งเป็นจดหมายที่พุดได้เตรียมไว้ให้เสด็จพ่อของท่านชายเป็นคนส่งให้แทน เพื่อที่ท่านชายจะได้ตั้งใจเรียนจนจบโดยไม่มีเรื่องใดมากวนใจตลอดเวลา 2 ปีเต็ม ๆ ท่านชายตามหาพุดในทุกที่ที่พุดจะสามารถไปได้ แต่ก็ไม่พบ ท่านชายกลายเป็นคนขี้เหล้า ไม่สุงสิงกับใครจนเสด็จพ่อทุกข์พระทัย พยายามหาหญิงสูงศักดิ์ที่เพียบพร้อมมาให้ทำความรู้จักเพื่อให้ท่านชายลืมพุดไปเสีย ท่านชายก็ไม่ไยดีหญิงใด จนเสด็จพ่อของท่านชายบังคับให้เสกสมรสกับคุณหญิงวิลาเพราะคิดว่าจะทำให้ท่านชายหายสำมะเลเทเมา ท่านชายจึงยิ่งตรอมใจหนักและล้มป่วยลงก่อนวันสมรสไม่กี่วัน ท่านชายกลายเป็นผู้ป่วยนอนติดเตียงอยู่นานนับแรมปี แรก ๆ คุณหญิงวิลาก็ขยันมาเยี่ยม เพราะคิดว่าท่านชายจะหายป่วย แต่ยิ่งนานไปสภาพของท่านชายยิ่งแย่ลง จากใบหน้าหล่อเหลา ผิวพรรณเกลี้ยงเกลา กลายเป็นหน้าตอบ ผอมแห้ง เหลือแต่หนังหุ้มกระดูก คุณหญิงวิลาจึงค่อย ๆ ขาดการติดต่อไป ได้ข่า
เช้าวันต่อมา...พุดเดินมาทำงานด้วยใจที่เหม่อลอยเพราะกำลังคิดถึงเรื่องที่ท่านชายบอกเมื่อคืน‘มนุษย์กับวิญญาณ หากสมสู่กัน พลังวิญญาณของเจ้าจะถูกกลืนกินไปทีละนิด ส่งผลให้อายุขัยสั้นลงเรื่อย ๆ’เขากำลังคิดว่านี่มันเป็นเรื่องที่น่าเศร้าเหลือเกิน เพราะตอนนี้ความรู้สึกของพุดกับท่านชายพัฒน์นั้นลึกซึ้งเหมือนเป็นคู่ชีวิตกันไปแล้ว ความโหยหาที่สั่งสมมาจากอดีตชาติทำให้เขาอยากสัมผัส อยากได้ไออุ่นจากท่านชายมากกว่านี้ ความทรมานจากความชิดใกล้แต่ก็เหมือนยังห่างไกลแบบนี้ ต่อไปมันจะดีหรือร้ายกันแน่‘เราหมกมุ่นเกินไปหรือเปล่าวะ ขอแค่ได้อยู่ด้วยกันก็พอแล้วมั้ย ไม่ต้องทำเรื่องแบบนั้นก็ได้ เอาน่าอย่าไปคิดมาก มันเพิ่งเริ่มต้น ทุกปัญหาย่อมมีทางแก้ไข’“โอ๊ย!!!” พุดเดินชนเข้ากับเจ้านายตัวเอง อีกแล้ว...“...”“เดินไม่ดูตาม้าตาเรือ ซุ่มซ่ามขนาดนี้จะไปทำงานอย่างอื่นได้ยังไง”เสียงตะคอกจากบดินทร์ทำเอาพุดงุนงงกับท่าทีของเขาที่เปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ คนที่ควรโกรธมันควรเป็นเขาไม่ใช่หรือ? ความจริงเขาคิดว่าวันนี้บดินทร์คงจะมาขอโทษเขาแล้วบอกว่าไม่ได้ตั้งใจ อารมณ์ชั่ววูบ เมา หรืออะไรก็แล้วแต่ที่แสดงความรู้สึกผิดบ้าง
“กลับมาแล้วหรือ?”ท่านชายปรกณ์ณพัฒน์เอ่ยถามพุดด้วยความเป็นห่วง เพราะวันนี้พุดกลับบ้านค่อนข้างดึก“กลับ..มา...ล้าวววว”เสียงพูดยานคางของพุดทำให้ท่านชายรู้ว่าพุดดื่มแอลกอฮอลล์มา จึงเดินไปประคองพุดให้นั่งลงบนโซฟาพร้อมกับห้าผ้าชุบน้ำมาเช็ดหน้าให้“เมาหรือ?”ท่านชายถามพลางเช็ดหน้าให้พุดไปพลาง“ไม่มาววว แต่ไม่เหมือนเดิมมมม”พุดพูดยานคางพร้อมกับส่ายหัวไปมา ท่าทางทะเล้นของพุดทำให้ท่านชายปรกณ์ณพัฒน์เอ็นดูแกมหมั่นไส้ เลยเอานิ้วดีดหน้าผากพุดไปหนึ่งที“งึ!!!..ท่านพี่อะ ดีดหน้าผากพุดทำไม”พุดหน้ามุ่ยเอามือลูบหน้าผากตัวเอง“เจ้าหิวหรือไม่? กินอะไรมาหรือยัง?”เสียงเอ่ยถามอย่างอ่อนโยนทำให้ใจพุดอุ่นวาบ เพียงแค่คำถามเรียบง่าย แต่เป็นคำถามที่พุดไม่เคยได้จากครอบครัวตัวเองเลย พอได้ฟังจากปากของท่านชาย น้ำตาก็พลันไหลออกมาอาบแก้ม“เจ้าร้องไห้ทำไม? คนดีของพี่ มีอะไรอัดอั้นตันใจก็ระบายให้พี่ฟังเถิด”ท่านชายเอ่ยถามพร้อมเอามือปาดน้ำตาของคนน้องออกด้วยความเบามือ พุดเอื้อมมือไปกุมมือของท่านชายพร้อมกับแนบแก้มของตัวเองรับสัมผัสที่อ่อนโยนนั้น ความรู้สึกที่เหนื่อยล้าทั้งกายและใจเพราะเจอเรื่องบั่นทอนจิตใจหลายเรื่องราวใน
เช้าวันต่อมา...พุดนอนซม ไข้ขึ้นสูงจากสงครามรักเมื่อคืน พอรู้ว่าเพื่อนรักป่วย ใบหยกจึงรีบบึ่งรถมาหาแต่ก็พบว่าพุดเช็ดตัวเสร็จเรียบร้อยและไข้ค่อย ๆ ลดลงแล้ว เลยได้แต่ป้อนโจ๊กให้ ใบหยกคิดว่าพุดคงจะเครียดเรื่องงานเมื่อวานเลยทำให้ป่วย“แกบอกมีเรื่องจะบอกเราไม่ใช่เหรอหยก?”“ตอนแรกก็มี แต่พอเห็นแกป่วยแบบนี้ เอาไว้ให้แกหายก่อนดีกว่า”“เฮ้ย...ไม่เป็นไร แค่เป็นไข้นิดหน่อยเอง เหลามาเลยนะ อย่ามาทำให้อยากแล้วจากไป” พุดกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่แกล้งข่มขู่เพื่อนสาวแต่ทว่าก็อยากรู้จริง ๆ“คือ...ไอ้เจ้านายเก่าแกมันใช้เส้นสายและตำแหน่งหน้าที่ร่อนอีเมลไปตามบริษัทต่าง ๆ บอกว่าแกคือบุคคลอันตราย ถูกไล่ออกเพราะทำร้ายร่างกายเจ้านายอะ เราว่า...แกน่าจะหางานยากแล้ว”“อืม...เราคิดไว้แล้วว่ามันต้องเป็นแบบนี้”“แล้วแกจะทำยังไงต่อ”“ยังคิดไม่ออก”พุดสีหน้าหนักใจขึ้นมาจนใบหยกต้องรีบพูดปลอบเพื่อน“ไม่เป็นไร ๆ อย่าเพิ่งคิดมาก แกดูแลตัวเอง พักผ่อนเยอะ ๆ รอให้หายก่อน เดี๋ยวเรามาช่วยกัน มันต้องมีสักที่ที่ให้โอกาสคนดี ๆ มีความสามารถแบบแกสิ”“อื้ม!!!” พุดพยักหน้ายิ้มรับพร้อมกับตั้งหน้าตั้งตาทานโจ๊กจนหมดเกลี้ยงหลังจากที่ใบห
“ในที่สุดก็จะเสร็จสิ้นภารกิจเสียที” “คุณตาว่าอะไรนะครับ” “เอ่อ...ไม่มีอะไรหรอกไอ้หนู แต่ตาว่าไม่ต้องทำสัญญาเช่าแล้ว เซ็นสัญญาโอนบ้านเลยแล้วกัน” “ห๊า....คุณตาว่าอะไรนะครับ” “ตาบอกว่าช่วยเซ็นรับบ้านหลังนี้ไปทีนะ ตาจะโอนให้” ขณะที่พุดกำลังงุนงงกับคำพูดของคุณตาเจ้าของบ้าน วิญญาณของท่านชายก็มากระซิบข้างหูพุด “รับไว้เถิด มันเป็นของเจ้า” โดยที่มีเพียงพุดที่ได้ยิน “ตาไม่รู้จะอธิบายยังไง แต่บ้านหลังนี้มันเป็นของหนู ช่วยเซ็นรับเพื่อให้ตาได้ปลดภาระอันยาวนานนี้เสียทีเถอะนะ” จากวันนั้นพุดก็ได้เป็นเจ้าของบ้านหลังนี้แบบเต็มตัว และพุดมาเข้าใจแจ่มแจ้งทีหลังว่าท่านชายรู้อยู่แล้วว่าคุณตาเจ้าของบ้านมีหน้าตาเหมือนกับเสด็จพ่อของตัวเอง ซึ่งก็คือพระองค์เจ้าพงษ์จักรพรรณมาเกิดใหม่เป็นรุ่นลูกหลานของตระกูลรัชนีพงษ์ แต่ที่ไม่ได้เล่าให้พุดฟัง เพราะมันคือวิบากกรรมที่เสด็จพ่อของเขาได้ผูกไว้กับพุด ซึ่งท่านจะต้องแก้ไขกับพุดเองตามโชคชะตาและวาสนานำพา ส่วนตัวท่านชายกับเสด็จพ่อ ไม่มีสิ่งใดติดค้างกันแล้ว เพราะเสด็จพ่
ณ บ้านสวนหลังใหญ่ ชานเมืองเชียงใหม่ ตัวบ้านถูกล้อมรอบไปด้วยสวนกุหลาบพื้นที่ประมาณ 100 ไร่ แม้จะสร้างจากไม้ทั้งหลัง แต่ก็ดูทันสมัยสวยงามน่าอยู่และร่มรื่นไปด้วยพันธุ์ไม้ใหญ่ที่ปลูกไว้บริเวณรอบ ๆ ตัวบ้าน รถแฟมิลี่คาร์สีดำยี่ห้อหรูแล่นเข้ามาจอดตรงประตูหน้าบ้าน เด็กชายตัวน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มวัย 5 ขวบวิ่งลงจากรถเข้าไปในบ้านด้วยรอยยิ้มสดใส“คุณย่า!!! น้องภีมคิดถึงจังเลย”เด็กชายวิ่งไปหาผู้เป็นย่า พร้อมกับโผเข้ากอดด้วยความคิดถึง“ไม่ต้องมาทำเป็นคิดถึงย่าเลย ได้ข่าวว่าเที่ยวเพลินเลยนะเราน่ะ”“น้องภีมคิดถึงคุณย่าจริงๆ น้า เวลาน้องภีมกินขนมอร่อย ๆ ก็คิดถึงคุณย่า คุณย่าทำอร่อยกว่าตั้งเยอะ เวลาน้องภีมเที่ยวสวนสนุกก็คิดถึงคุณย่า อยากให้คุณย่ามาด้วยฮะ”“ประจบเก่งจริง ๆ เด็กคนนี้ แล้วพ่อกับแม่เราล่ะ”“คุณพ่อคุณแม่กำลังช่วยกันขนของลงจากรถฮะ น้องภีมรีบเข้ามาหาคุณย่าก่อน เพราะคิดถึงม้ากมากกก”ใบหยกลูบหัวผู้เป็นหลานชายด้วยความเอ็นดู ผ่านไปหลายปี ตอนนี้เธอเป็นคุณย่าแล้ว มีหลานชายตัวน้อยน่ารัก 1 คน ชีวิตเธอตอนนี้มีความสุขที่สุด แม้ช่วงแรกที่เพื่อนรักจากไป เธอจะคิดถึงพุดอยู่ตลอดเวลา แต่หลานชายตัวน้อยทำให้เธออ
ณ บ้านทรงไทยกึ่งยุโรปที่คุ้นตา“วันนี้เป็นวันรับปริญญาของผม ผมเรียนจบแล้วนะครับ”ณภัทรยืนยิ้มคุยกับกรอบรูป 2 ใบ ที่บุคคลในรูปหนึ่งมีใบหน้าเหมือนตนเองอย่างกับแกะกับอีกรูปที่เป็นภาพวาดของชายหนุ่มคนหนึ่งตั้งเคียงคู่กัน ตั้งแต่ย้ายเข้ามาอยู่ในบ้าน ทุก ๆวันณภัทรจะมาคุยกับบุคคลในรูปนี้เสมอ แม้จะไม่เคยรู้จัก รู้แต่เพียงว่าเป็นเพื่อนเก่าคุณย่าที่เสียชีวิตไปหลายปีแล้ว และถึงแม้ว่าเพื่อน ๆ ที่เคยมาบ้านต่างกลัวรูปทั้งสอง เพราะถูกตั้งไว้บนแท่นไม้ที่มีกระถางธูปตั้งอยู่ตรงกลางประหนึ่งหิ้งบูชารูปบรรพบุรุษ แถมคนในรูปยังหน้าเหมือนกับณภัทรอย่างกับคนเดียวกัน ใครเห็นก็ต้องรู้สึกขนลุกเป็นธรรมดา แต่ณภัทรกลับรู้สึกคุ้นเคยและผูกพันกับรูปตรงหน้าอย่างบอกไม่ถูกปิ๊งป่อง...เสียงกดกริ่งหน้าบ้านทำให้ณภัทรเดินออกไปดูว่าใครมากดเล่น หรือมีคนมาหาเขาจริง ๆ เพราะร้อยวันพันปีไม่เคยมีใครมาหา จะมีก็แต่เพื่อนที่มหาวิทยาลัยเคยมา 1 ครั้งเพราะจำเป็นต้องมาทำงานกลุ่ม แต่หลังจากนั้นก็ไม่มีใครอยากมาอีกเลยเพราะรู้สึกว่าบ้านหลังนี้วังเวงเกินไปประตูหน้าบ้านค่อย ๆ ถูกเปิดออก เผยให้เห็นใบหน้าแขกผู้มาเยือน ความรู้สึกเหมือนโลกหยุดหมุนไ
“อาส์...คุณนี่...ยังเก่งเหมือนเดิมเลยนะครับ”“เก่งแล้วชอบมั้ยคะ...”เสียงสนทนาสุดสยิวของชายหญิงคู่หนึ่งภายในห้องทำงานขนาดใหญ่โดยไม่กลัวกว่าใครจะมาได้ยิน เพราะห้องนี้เก็บเสียงได้เป็นอย่างดี ถ้ามองจากประตูทางเข้าจะเห็นโต๊ะทำงานระดับผู้บริหารที่สั่งทำด้วยไม้อย่างดี โดยมีชายหนุ่มหน้าตี๋ ความหล่อระดับพระเอกมินิซีรี่ย์จีน แต่งกายด้วยเสื้อเชิ้ตสีกรมท่าและผูกเนคไทสีน้ำตาลอ่อนยี่ห้อหรูราคาแพงหูฉี่นั่งหลับตาพริ้มอยู่ เขาขบกรามแน่นเพราะรู้สึกเสียวไปทั้งแก่นกาย ภายใต้โต๊ะทำงานขนาดใหญ่ปรากฏเป็นหญิงสาวผู้เป็นเลขาหน้าห้องของเขา กำลังผงกหัวขึ้นลงดูดเลียแท่งร้อนของชายหนุ่มผู้เป็นเจ้านายด้วยความเอร็ดอร่อย เสียงดังจ๊วบจ๊าบหยาบโลนดังไปทั่วห้อง“ชอบ...ชอบมาก...อาส์...ซี๊ดดดด”บดินทร์ครางเสียงแตกพร่าด้วยความเสียวซ่าน เขาคือ MD หนุ่มวัย 30 ปลาย ๆ ของ C กรุ๊ป ซึ่งเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรม เขามีนิสัยรักสนุก มักมากในกามารมณ์ มีเด็กในสังกัดเป็นโหล เพราะความหล่อเหลา หน้าที่การงานดี สายเปย์ จึงทำให้มีทั้งผู้หญิงและผู้ชายยอมพลีกายให้เขามากมาย ใช่แล้ว...ทั้งหญิงและชาย เพราะบดินทร์เอาได้หมดขอแค่สวยหล่อตรงสเปค
ณ บ้านทรงไทยกึ่งยุโรปที่คุ้นตา“วันนี้เป็นวันรับปริญญาของผม ผมเรียนจบแล้วนะครับ”ณภัทรยืนยิ้มคุยกับกรอบรูป 2 ใบ ที่บุคคลในรูปหนึ่งมีใบหน้าเหมือนตนเองอย่างกับแกะกับอีกรูปที่เป็นภาพวาดของชายหนุ่มคนหนึ่งตั้งเคียงคู่กัน ตั้งแต่ย้ายเข้ามาอยู่ในบ้าน ทุก ๆวันณภัทรจะมาคุยกับบุคคลในรูปนี้เสมอ แม้จะไม่เคยรู้จัก รู้แต่เพียงว่าเป็นเพื่อนเก่าคุณย่าที่เสียชีวิตไปหลายปีแล้ว และถึงแม้ว่าเพื่อน ๆ ที่เคยมาบ้านต่างกลัวรูปทั้งสอง เพราะถูกตั้งไว้บนแท่นไม้ที่มีกระถางธูปตั้งอยู่ตรงกลางประหนึ่งหิ้งบูชารูปบรรพบุรุษ แถมคนในรูปยังหน้าเหมือนกับณภัทรอย่างกับคนเดียวกัน ใครเห็นก็ต้องรู้สึกขนลุกเป็นธรรมดา แต่ณภัทรกลับรู้สึกคุ้นเคยและผูกพันกับรูปตรงหน้าอย่างบอกไม่ถูกปิ๊งป่อง...เสียงกดกริ่งหน้าบ้านทำให้ณภัทรเดินออกไปดูว่าใครมากดเล่น หรือมีคนมาหาเขาจริง ๆ เพราะร้อยวันพันปีไม่เคยมีใครมาหา จะมีก็แต่เพื่อนที่มหาวิทยาลัยเคยมา 1 ครั้งเพราะจำเป็นต้องมาทำงานกลุ่ม แต่หลังจากนั้นก็ไม่มีใครอยากมาอีกเลยเพราะรู้สึกว่าบ้านหลังนี้วังเวงเกินไปประตูหน้าบ้านค่อย ๆ ถูกเปิดออก เผยให้เห็นใบหน้าแขกผู้มาเยือน ความรู้สึกเหมือนโลกหยุดหมุนไ
ณ บ้านสวนหลังใหญ่ ชานเมืองเชียงใหม่ ตัวบ้านถูกล้อมรอบไปด้วยสวนกุหลาบพื้นที่ประมาณ 100 ไร่ แม้จะสร้างจากไม้ทั้งหลัง แต่ก็ดูทันสมัยสวยงามน่าอยู่และร่มรื่นไปด้วยพันธุ์ไม้ใหญ่ที่ปลูกไว้บริเวณรอบ ๆ ตัวบ้าน รถแฟมิลี่คาร์สีดำยี่ห้อหรูแล่นเข้ามาจอดตรงประตูหน้าบ้าน เด็กชายตัวน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มวัย 5 ขวบวิ่งลงจากรถเข้าไปในบ้านด้วยรอยยิ้มสดใส“คุณย่า!!! น้องภีมคิดถึงจังเลย”เด็กชายวิ่งไปหาผู้เป็นย่า พร้อมกับโผเข้ากอดด้วยความคิดถึง“ไม่ต้องมาทำเป็นคิดถึงย่าเลย ได้ข่าวว่าเที่ยวเพลินเลยนะเราน่ะ”“น้องภีมคิดถึงคุณย่าจริงๆ น้า เวลาน้องภีมกินขนมอร่อย ๆ ก็คิดถึงคุณย่า คุณย่าทำอร่อยกว่าตั้งเยอะ เวลาน้องภีมเที่ยวสวนสนุกก็คิดถึงคุณย่า อยากให้คุณย่ามาด้วยฮะ”“ประจบเก่งจริง ๆ เด็กคนนี้ แล้วพ่อกับแม่เราล่ะ”“คุณพ่อคุณแม่กำลังช่วยกันขนของลงจากรถฮะ น้องภีมรีบเข้ามาหาคุณย่าก่อน เพราะคิดถึงม้ากมากกก”ใบหยกลูบหัวผู้เป็นหลานชายด้วยความเอ็นดู ผ่านไปหลายปี ตอนนี้เธอเป็นคุณย่าแล้ว มีหลานชายตัวน้อยน่ารัก 1 คน ชีวิตเธอตอนนี้มีความสุขที่สุด แม้ช่วงแรกที่เพื่อนรักจากไป เธอจะคิดถึงพุดอยู่ตลอดเวลา แต่หลานชายตัวน้อยทำให้เธออ
“ในที่สุดก็จะเสร็จสิ้นภารกิจเสียที” “คุณตาว่าอะไรนะครับ” “เอ่อ...ไม่มีอะไรหรอกไอ้หนู แต่ตาว่าไม่ต้องทำสัญญาเช่าแล้ว เซ็นสัญญาโอนบ้านเลยแล้วกัน” “ห๊า....คุณตาว่าอะไรนะครับ” “ตาบอกว่าช่วยเซ็นรับบ้านหลังนี้ไปทีนะ ตาจะโอนให้” ขณะที่พุดกำลังงุนงงกับคำพูดของคุณตาเจ้าของบ้าน วิญญาณของท่านชายก็มากระซิบข้างหูพุด “รับไว้เถิด มันเป็นของเจ้า” โดยที่มีเพียงพุดที่ได้ยิน “ตาไม่รู้จะอธิบายยังไง แต่บ้านหลังนี้มันเป็นของหนู ช่วยเซ็นรับเพื่อให้ตาได้ปลดภาระอันยาวนานนี้เสียทีเถอะนะ” จากวันนั้นพุดก็ได้เป็นเจ้าของบ้านหลังนี้แบบเต็มตัว และพุดมาเข้าใจแจ่มแจ้งทีหลังว่าท่านชายรู้อยู่แล้วว่าคุณตาเจ้าของบ้านมีหน้าตาเหมือนกับเสด็จพ่อของตัวเอง ซึ่งก็คือพระองค์เจ้าพงษ์จักรพรรณมาเกิดใหม่เป็นรุ่นลูกหลานของตระกูลรัชนีพงษ์ แต่ที่ไม่ได้เล่าให้พุดฟัง เพราะมันคือวิบากกรรมที่เสด็จพ่อของเขาได้ผูกไว้กับพุด ซึ่งท่านจะต้องแก้ไขกับพุดเองตามโชคชะตาและวาสนานำพา ส่วนตัวท่านชายกับเสด็จพ่อ ไม่มีสิ่งใดติดค้างกันแล้ว เพราะเสด็จพ่
เช้าวันต่อมา...พุดนอนซม ไข้ขึ้นสูงจากสงครามรักเมื่อคืน พอรู้ว่าเพื่อนรักป่วย ใบหยกจึงรีบบึ่งรถมาหาแต่ก็พบว่าพุดเช็ดตัวเสร็จเรียบร้อยและไข้ค่อย ๆ ลดลงแล้ว เลยได้แต่ป้อนโจ๊กให้ ใบหยกคิดว่าพุดคงจะเครียดเรื่องงานเมื่อวานเลยทำให้ป่วย“แกบอกมีเรื่องจะบอกเราไม่ใช่เหรอหยก?”“ตอนแรกก็มี แต่พอเห็นแกป่วยแบบนี้ เอาไว้ให้แกหายก่อนดีกว่า”“เฮ้ย...ไม่เป็นไร แค่เป็นไข้นิดหน่อยเอง เหลามาเลยนะ อย่ามาทำให้อยากแล้วจากไป” พุดกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่แกล้งข่มขู่เพื่อนสาวแต่ทว่าก็อยากรู้จริง ๆ“คือ...ไอ้เจ้านายเก่าแกมันใช้เส้นสายและตำแหน่งหน้าที่ร่อนอีเมลไปตามบริษัทต่าง ๆ บอกว่าแกคือบุคคลอันตราย ถูกไล่ออกเพราะทำร้ายร่างกายเจ้านายอะ เราว่า...แกน่าจะหางานยากแล้ว”“อืม...เราคิดไว้แล้วว่ามันต้องเป็นแบบนี้”“แล้วแกจะทำยังไงต่อ”“ยังคิดไม่ออก”พุดสีหน้าหนักใจขึ้นมาจนใบหยกต้องรีบพูดปลอบเพื่อน“ไม่เป็นไร ๆ อย่าเพิ่งคิดมาก แกดูแลตัวเอง พักผ่อนเยอะ ๆ รอให้หายก่อน เดี๋ยวเรามาช่วยกัน มันต้องมีสักที่ที่ให้โอกาสคนดี ๆ มีความสามารถแบบแกสิ”“อื้ม!!!” พุดพยักหน้ายิ้มรับพร้อมกับตั้งหน้าตั้งตาทานโจ๊กจนหมดเกลี้ยงหลังจากที่ใบห
“กลับมาแล้วหรือ?”ท่านชายปรกณ์ณพัฒน์เอ่ยถามพุดด้วยความเป็นห่วง เพราะวันนี้พุดกลับบ้านค่อนข้างดึก“กลับ..มา...ล้าวววว”เสียงพูดยานคางของพุดทำให้ท่านชายรู้ว่าพุดดื่มแอลกอฮอลล์มา จึงเดินไปประคองพุดให้นั่งลงบนโซฟาพร้อมกับห้าผ้าชุบน้ำมาเช็ดหน้าให้“เมาหรือ?”ท่านชายถามพลางเช็ดหน้าให้พุดไปพลาง“ไม่มาววว แต่ไม่เหมือนเดิมมมม”พุดพูดยานคางพร้อมกับส่ายหัวไปมา ท่าทางทะเล้นของพุดทำให้ท่านชายปรกณ์ณพัฒน์เอ็นดูแกมหมั่นไส้ เลยเอานิ้วดีดหน้าผากพุดไปหนึ่งที“งึ!!!..ท่านพี่อะ ดีดหน้าผากพุดทำไม”พุดหน้ามุ่ยเอามือลูบหน้าผากตัวเอง“เจ้าหิวหรือไม่? กินอะไรมาหรือยัง?”เสียงเอ่ยถามอย่างอ่อนโยนทำให้ใจพุดอุ่นวาบ เพียงแค่คำถามเรียบง่าย แต่เป็นคำถามที่พุดไม่เคยได้จากครอบครัวตัวเองเลย พอได้ฟังจากปากของท่านชาย น้ำตาก็พลันไหลออกมาอาบแก้ม“เจ้าร้องไห้ทำไม? คนดีของพี่ มีอะไรอัดอั้นตันใจก็ระบายให้พี่ฟังเถิด”ท่านชายเอ่ยถามพร้อมเอามือปาดน้ำตาของคนน้องออกด้วยความเบามือ พุดเอื้อมมือไปกุมมือของท่านชายพร้อมกับแนบแก้มของตัวเองรับสัมผัสที่อ่อนโยนนั้น ความรู้สึกที่เหนื่อยล้าทั้งกายและใจเพราะเจอเรื่องบั่นทอนจิตใจหลายเรื่องราวใน
เช้าวันต่อมา...พุดเดินมาทำงานด้วยใจที่เหม่อลอยเพราะกำลังคิดถึงเรื่องที่ท่านชายบอกเมื่อคืน‘มนุษย์กับวิญญาณ หากสมสู่กัน พลังวิญญาณของเจ้าจะถูกกลืนกินไปทีละนิด ส่งผลให้อายุขัยสั้นลงเรื่อย ๆ’เขากำลังคิดว่านี่มันเป็นเรื่องที่น่าเศร้าเหลือเกิน เพราะตอนนี้ความรู้สึกของพุดกับท่านชายพัฒน์นั้นลึกซึ้งเหมือนเป็นคู่ชีวิตกันไปแล้ว ความโหยหาที่สั่งสมมาจากอดีตชาติทำให้เขาอยากสัมผัส อยากได้ไออุ่นจากท่านชายมากกว่านี้ ความทรมานจากความชิดใกล้แต่ก็เหมือนยังห่างไกลแบบนี้ ต่อไปมันจะดีหรือร้ายกันแน่‘เราหมกมุ่นเกินไปหรือเปล่าวะ ขอแค่ได้อยู่ด้วยกันก็พอแล้วมั้ย ไม่ต้องทำเรื่องแบบนั้นก็ได้ เอาน่าอย่าไปคิดมาก มันเพิ่งเริ่มต้น ทุกปัญหาย่อมมีทางแก้ไข’“โอ๊ย!!!” พุดเดินชนเข้ากับเจ้านายตัวเอง อีกแล้ว...“...”“เดินไม่ดูตาม้าตาเรือ ซุ่มซ่ามขนาดนี้จะไปทำงานอย่างอื่นได้ยังไง”เสียงตะคอกจากบดินทร์ทำเอาพุดงุนงงกับท่าทีของเขาที่เปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ คนที่ควรโกรธมันควรเป็นเขาไม่ใช่หรือ? ความจริงเขาคิดว่าวันนี้บดินทร์คงจะมาขอโทษเขาแล้วบอกว่าไม่ได้ตั้งใจ อารมณ์ชั่ววูบ เมา หรืออะไรก็แล้วแต่ที่แสดงความรู้สึกผิดบ้าง
ท่านชายพัฒน์จูงแขนพุดวาร์ปไปในอีกช่วงเวลาหนึ่ง เป็นช่วงเวลาที่ท่านชายในนิมิตเรียนจบกลับมาและได้รับรู้ว่าพุดได้หนีเขาไปไกลแสนไกลแล้ว ตลอดเวลาที่ไปเรียนต่อ เขาไม่ได้ระแคะระคายอะไรเลย เพราะพุดเขียนจดหมายหาเขาทุกเดือน ซึ่งเป็นจดหมายที่พุดได้เตรียมไว้ให้เสด็จพ่อของท่านชายเป็นคนส่งให้แทน เพื่อที่ท่านชายจะได้ตั้งใจเรียนจนจบโดยไม่มีเรื่องใดมากวนใจตลอดเวลา 2 ปีเต็ม ๆ ท่านชายตามหาพุดในทุกที่ที่พุดจะสามารถไปได้ แต่ก็ไม่พบ ท่านชายกลายเป็นคนขี้เหล้า ไม่สุงสิงกับใครจนเสด็จพ่อทุกข์พระทัย พยายามหาหญิงสูงศักดิ์ที่เพียบพร้อมมาให้ทำความรู้จักเพื่อให้ท่านชายลืมพุดไปเสีย ท่านชายก็ไม่ไยดีหญิงใด จนเสด็จพ่อของท่านชายบังคับให้เสกสมรสกับคุณหญิงวิลาเพราะคิดว่าจะทำให้ท่านชายหายสำมะเลเทเมา ท่านชายจึงยิ่งตรอมใจหนักและล้มป่วยลงก่อนวันสมรสไม่กี่วัน ท่านชายกลายเป็นผู้ป่วยนอนติดเตียงอยู่นานนับแรมปี แรก ๆ คุณหญิงวิลาก็ขยันมาเยี่ยม เพราะคิดว่าท่านชายจะหายป่วย แต่ยิ่งนานไปสภาพของท่านชายยิ่งแย่ลง จากใบหน้าหล่อเหลา ผิวพรรณเกลี้ยงเกลา กลายเป็นหน้าตอบ ผอมแห้ง เหลือแต่หนังหุ้มกระดูก คุณหญิงวิลาจึงค่อย ๆ ขาดการติดต่อไป ได้ข่า
“อะไรนะ?!! เรือนหอ? ของเรา?”“ใช่...พี่ปลูกเรือนหลังนี้ก่อนที่จะไปเรียนต่อ หวังว่ากลับมาแล้วจะได้อยู่กับพ่อพุดที่เรือนหลังนี้จนถึงบั้นปลายชีวิต”“ท่านชายจะบอกว่าผมกับท่านชายเคยเป็นคนรักกัน?”พุดเอ่ยถามด้วยความไม่อยากจะเชื่อ“ใช่...ทุกเหตุการณ์ที่เจ้าฝัน มันเคยเกิดขึ้นจริงมาก่อน”คำตอบของท่านชายทำให้พุดหน้าเห่อร้อนขึ้นมาดื้อ ๆ เพราะพอคิดถึงเหตุการณ์ที่ท่านชายกับคนชื่อพุดในฝันมีอะไรลึกซึ้งต่อกันแล้วก็รู้สึกอายขึ้นมาเฉย ๆ ท่านชายรู้ทัน จึงก้มหน้าลงมาใกล้ ๆ คนแก้มแดงจนจมูกแทบชนกัน กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของดอกพุดซ้อนกับรอยยิ้มที่อ่อนโยนจากวิญญาณผู้นี้ทำให้พุดรู้สึกคุ้นเคยแบบบอกไม่ถูก“เจ้ากำลังเขินอายหรือ?”“ปะ...ป่าว เอ่อ...แล้วทำไมท่านชายถึงยังอยู่ที่นี่...ผมหมายถึงทำไมไม่ไปเกิดใหม่อะไรแบบนี้?”พุดเฉไฉเปลี่ยนเรื่องคุยเพราะรู้สึกสู้สายตาแวววาวกับรอยยิ้มมุมปากของคนตรงหน้าที่มองมาทางริมฝีปากของเขาไม่ได้ มันสั่นไหวแปลก ๆ“พี่จะไปไหนได้เยี่ยงไร ในเมื่อตลอดมาพี่รอที่จะพบเจ้าอีกครั้ง”คำตอบของท่านชายทำให้เสี้ยววินาทีหนึ่งพุดรู้สึกจี๊ดใน ใจ แต่ก็แค่เสี้ยววินาทีจริง ๆ จนเขาไม่ทันสังเกตตัวเอง เขาคิดอยู่ค
“อ๊า...สดชื่นนนน สงสัยนอนหลับสนิทเพราะยาคลายเครียดของหมอแน่ ๆ เลย”พุดเข้าออฟฟิศมาด้วยความสดใสเพราะหลับสนิทตลอดคืน วันนี้จึงทำงานด้วยความกระปรี้กระเปร่าเป็นพิเศษ“พุด ๆ พี่ฝากเอาเอกสารไปให้คุณดินหน่อยดิ เที่ยงแล้วพี่นัดกับแฟนไปกินข้าวอะ ถ้าไปช้าโดนบ่นหูชาแน่เลย”“ได้ครับพี่แม็ค”พุดมักจะถูกเอาเปรียบเล็ก ๆ น้อย ๆ จากเพื่อนร่วมงานแบบนี้เสมอ ๆ แต่ด้วยความที่เป็นคนมีน้ำใจไม่คิดเล็กคิดน้อย เขาจึงไม่ได้รู้สึกแย่อะไรก๊อกๆๆๆ“เชิญครับ...”ภายในห้องทำงานของบดินทร์ เขากำลังนั่งดูไอแพดอยู่ที่โซฟาหนังสีดำขนาดใหญ่“ผมเอาเอกสารจากพี่แม็คมาให้ครับ ให้ผมวางไว้ตรงไหนดีครับ”“เอามาให้พี่”บดินทร์รับเอกสารมาโดยที่สายตาแอบเหลือมองคนหน้าหวานแล้วยิ้มบาง ๆ พุดไม่ทันสังเกตและกำลังจะเดินออกไป“เอ่อ...น้องพุด”“ครับ...”“มันมีจุดผิดอยู่ตรงนี้นะ”“คะ...ครับ?”“มานี่ ๆ”บดินทร์เรียกพุดให้มาดูเอกสารใกล้ ๆ พุดเดินเข้าไปดูเอกสารแบบงง ๆ เพราะเอกสารพวกนี้เขาไม่ได้รู้เรื่องด้วย มันเป็นส่วนงานที่เขาไม่ได้ยุ่งเกี่ยว“มาใกล้ ๆ นั่งลง ๆ”คนตัวเล็กถูกดึงลงให้ไปนั่งที่โซฟาแบบไม่ทันได้ตั้งตัว ทำให้ตัวไหลลงไปแนบชิดอีกฝ่ายโด