“เราคงต้องขอตัวกลับวังก่อนนะครับ”
ท่านชายหันไปพูดกับคุณชายเล็กพร้อมกับจับมือพุดเดินออกไปโดยไม่สนเลยว่าพุดจะอยากกลับหรือไม่
“ขะ...ขอรับกระหม่อม”
คุณชายเล็กถอนหายใจพร้อมกับส่ายหน้า การเข้าหาพุดเป็นเรื่องที่ยากเย็นเสียเหลือเกิน
“ฝ่าบาท!...ฝ่าบาท!!...พี่ชายพัฒน์!!! เป็นอะไรไป?”
พุดเอ่ยถามท่านชายที่เดินลากแขนตัวเองออกมาจากงานโดยไม่พูดไม่จา
“ถ้าวันนี้ไม่พูด ก็ไม่ต้องมาพูดกันอีกเลย!!!”
พุดพูดออกไปด้วยอารมณ์โมโห และไม่เข้าใจว่าท่านชายพัฒน์ไปกินรังแตนที่ไหนมา ทำไมต้องมาลงที่เขาแบบนี้ ทั้ง ๆ ที่ตัวเองมัวแต่เต้นรำสนุกสนาน และทิ้งให้เขาอยู่คนเดียวแท้ ๆ เขาไม่ชอบบรรยากาศแบบนี้เลย
แต่ตลอดทางจนขับรถกลับมาถึงบ้าน ท่านชายก็ไม่พูดอะไรเลยสักคำ เพียงแค่ส่งพุดเข้าห้องนอนแล้วตัวเองก็กลับห้องไป ต่างคนต่างอาบน้ำและเข้านอน
ภายในห้องนอนของท่านชาย เขานอนเอามือก่ายหน้าผาก เพราะนอนไม่หลับ รู้สึกหงุดหงิด มันร้อนรุ่มในหัวใจ เขานอนพลิกไปพลิกมาหลายตลบจนสุดท้าย…
“เป็นไงเป็นกัน!!!”
ท่านชายตัดสินใจเดินออกจากห้องไปยังจุดหมายด้วยแววตาเด็ดเดี่ยว
ก๊อกๆๆๆ ก๊อกๆๆๆ
พุดที่กำลังจะเคลิ้ม ๆ หลับก็สะดุ้งตื่น เดินงัวเงียไปเปิดประตู
“พี่ชายพัฒน์!!! มีอะไรหรือ?”
พุดงุนงงที่จู่ ๆ ท่านชายก็มาหาดึก ๆ ดื่น ๆ เช่นนี้ ท่านชายผลักพุดเข้าไปในห้องพร้อมกับปิดประตูลงกลอน
“???”
ตอนนี้ท่านชายเริ่มมั่นใจแล้วว่าพุดคิดอย่างไรกับเขา เพราะในงานวันนี้เขาแกล้งคุยกับคุณหญิงวิลาโดยทำเป็นไม่สนใจพุด แล้วพุดก็แสดงออกชัดเจนว่าไม่พอใจ แม้จะไม่ได้โวยวาย แต่อาการชอบเอาของกินเข้าปากรัว ๆ นั้น แสดงว่าพุดกำลังรู้สึกไม่ดีมาก ๆ มันไม่ใช่แค่อาการน้องหวงพี่ชายแน่ ๆ เขาขอเข้าข้างตัวเองก่อนก็แล้วกัน และวันนี้เขาก็รู้สึกหงุดหงิดที่มีชายหนุ่มมาคุยสนิทสนมกับพุด แถมนิสัยดี หน้าตาหล่อเหลาอย่างคุณชายเล็ก แล้วคุณชายเล็กนี่กล้าดียังไงเอามือมาสัมผัสริมฝีปากของพ่อพุด ลางสังหรของเขามันบอกว่าคุณชายเล็กคนนั้นคิดเกินเลยกับพุดแน่นอน ไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่ ไหนจะบรรดาคุณหญิงคุณชายที่เข้าหาพุดวันนี้ แต่ละคนมีจุดประสงค์อะไร ทำไมเขาจะดูไม่ออก เขากลัวเหลือเกิน กลัวว่าเจ้าเด็กดื้อคนนี้จะหวั่นไหวไปกับคนอื่น เขายอมรับว่าไม่พอใจมาก ๆ ความหึงมันขึ้นหน้า เลยรีบพาพุดกลับบ้านเพราะไม่อยากให้ผู้ชายคนไหนมาวุ่นวายใกล้ชิดกับพุดอีก และขืนปล่อยไว้แบบนี้เขาต้องอกแตกตายเสียก่อน เพราะอีกไม่นานเขาต้องห่างพุดไปศึกษาต่อปริญญาโทที่ต่างประเทศ ในวันนี้คงต้องคุยกันให้กระจ่างแจ้ง ไม่เช่นนั้นเขาคงไปด้วยความไม่สบายใจเป็นแน่
“อ๊ะ!!! พี่ชายพัฒน์!!!”
พุดร้องตกใจที่จู่ ๆ ท่านชายก็ดันตนเองชิดผนังห้องแล้วเอาแขนค้ำไว้
“ตอนนี้...พ่อพุด...รู้สึกเช่นไร?”
ท่านชายเอ่ยพร้อมจ้องมองใบหน้าของพุดด้วยแววตาที่ลึกซึ้งเกินกว่าพี่ชายมองน้องชาย โดยไม่ปิดบังความรู้สึกใด ๆ อีก ใบหน้าของเขาโน้มลงมาใกล้จนพุดเริ่มประหม่า
“ระ...รู้สึกอะไรกระหม่อม?”
พุดถามพร้อมกับหลบสายตาคนตรงหน้า ทั้งงุนงงว่าเกิดอะไรขึ้น ทั้งใจเต้นตุ้ม ๆ ต่อม ๆ ได้ใกล้ชิดกันมากขนาดนี้ กลัวเหลือเกิน กลัวว่าท่านพี่ของเขาจะได้ยินเสียงหัวใจที่มันกำลังเต้นดังขึ้นเรื่อย ๆ แล้วความลับที่เก็บมานานจะไม่เป็นความลับอีกต่อไป
“พ่อพุดเขินอายพี่หรือ?”
“ทะ...ท่านพี่ ไยจึงตรัสเช่นนั้นออกมา”
“รู้สึกหวงพี่...รักพี่...ใช่หรือไม่?”
พุดตกใจกับคำถามของท่านชาย ถามคำถามอุกอาจเกินไปแล้ว และในสถานการณ์เช่นนี้ เขาต้องตอบว่าอย่างไรกัน
“ระ...รักสิ ก็ท่านพี่เป็นพี่”
“แล้วถ้าพี่ไม่เป็นพี่ เจ้าจะรักพี่หรือไม่?”
“...”
พุดหน้าขึ้นสีแดงระเรื่อ ใจเต้นแรงจนจะทะลุออกมานอกอก ใช่แล้ว...เขารู้ตัวว่าแอบหลงรักพี่ชายใจดีคนนี้มาตั้งนานแล้ว แม้เสด็จท่านจะรักและเอ็นดู ส่งเสียเลี้ยงดูพุดดุจลูกชายอีกคน แต่กับพระญาติคนอื่น ๆ ล้วนมองพุดด้วยสายตาที่อยู่สูงกว่า เพราะพุดไม่ได้มีสายเลือดของชนชั้นสูงเลย มีเพียงท่านชายที่คอยดูแลปกป้องเขาอย่างใกล้ชิด ทำให้เขาเติบโตมาในสังคมชนชั้นสูงโดยที่ไม่มีใครกล้ารังแกหรือแสดงความเหยียดหยามออกมา แต่ความรู้สึกผูกพันแบบพี่น้อง แปรเปลี่ยนเป็นความรู้สึกที่เกินเลยตั้งแต่เขาเริ่มเติบโตพอที่จะเข้าใจและได้สัมผัสความรักในหลาย ๆ รูปแบบ และเขาก็รับรู้ได้ว่าความรู้สึกที่ท่านชายมีให้เขามันมากกว่าความเป็นพี่ชายน้องชาย เขาไม่ใช่คนโง่ เพียงแต่เขาคิดว่ามันคือรักต้องห้าม เป็นไปไม่ได้ จึงไม่กล้าคิดเกินเลยกว่านั้น แต่แม้จะทำใจไว้แล้วว่าสักวันท่านชายจะต้องแต่งงานมีครอบครัวก็อดปวดใจไม่ได้อยู่ดี ที่เห็นท่านชายเข้าใกล้ผู้หญิงคนอื่น
“อีกไม่นานพี่จะต้องไปเรียนต่อต่างประเทศแล้ว พี่จะไม่ยอมไปทั้ง ๆ ที่เรายังเป็นแบบนี้กัน”
“เป็นแบบนี้ก็ดีแล้วไม่ใช่หรือ...”
“พ่อพุดคิดว่าดีแล้วจริง ๆ หรือ?”
ท่านชายหงุดหงิดกับคนปากแข็ง แกล้งก้มหน้าลงไปแนบชิดจนลมหายใจร้อนปะทะเข้าที่พวงแก้มของคนที่พยายามหันหน้าหนี
“ดะ...ดีสิครับ”
พุดตอบด้วยเสียงเบาที่ไม่มีความมั่นใจเลยสักนิด
“งั้น...มาพิสูจน์กัน”
“พิสูจน์อย่างไ...”
พุดยังเอ่ยถามไม่ทันเสร็จ ท่านชายก็ช้อนท้ายทอยของพุดขึ้นมาจูบอย่างแผ่วเบา ริมฝีปากหนาค่อย ๆ บดริมฝีปากคนน้องด้วยความเนิบช้า พุดเบิกตากว้างกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ใบหน้าเห่อร้อน ใบหูแดงก่ำ สมองขาวโพลนคิดอะไรไม่ออก ถึงจะแอบรักพี่ชายนอกสายเลือดคนนี้มาแสนนาน แต่นี่คือจูบแรกของเขา และมันมาแบบไม่ทันตั้งตัว อาการมือไม้อ่อนไร้การขัดขืนใด ๆ ของพุด ยิ่งทำให้ท่านชายได้ใจสอดเรียวลิ้นเข้าไปพัวพันลิ้นของอีกฝ่ายจนน้ำลายใสชุ่มฉ่ำไหลย้อยลงมาตามมุมปาก ท่านชายไม่รังเกียจใด ๆ กลับไล่โลมเลียจนเกลี้ยง และขบเม้มริมฝีปากบางด้วยความเสน่หา ก่อนที่จะถอนปากออกด้วยสายตาเจ้าเล่ห์
“ไหนว่าเป็นพี่น้องไง แล้วเหตุใดพ่อพุดไม่ขัดขืนพี่ พี่น้องกัน ไม่ทำเช่นนี้กันหรอกนะ”
ท่ายชายเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มร้ายกาจทำให้พุดได้สติพยายามจะดันตัวท่านชายออก
“อย่าปฏิเสธหัวใจตัวเองอีกเลย หากพี่ไปเรียนต่อแล้ว เราต้องจากกันทั้งแบบนี้ เจ้าจะไม่เสียใจหรือ?”
“แต่เรื่องของเรามันเป็นไปไม่ได้”
พุดตอบด้วยเสียงเศร้าหมอง
“เป็นไปได้สิ ในเมื่อพี่รักเจ้า ในเมื่อเรารักกัน”
สิ้นคำบอกรักจากท่านชาย พุดน้ำตาเอ่อคลอ หัวใจอ่อนยวบเหมือนกำแพงที่ตัวเองได้สร้างเอาไว้พังทลายลง
“...”
พุดโน้มคอท่านชายลงมาจูบด้วยความรู้สึกท่วมท้น น้ำตาไหลอาบแก้ม เขาไม่ลังเลอีกต่อไปแล้ว ในเมื่อท่านชายเองยังไม่กลัว เขาก็ไม่จำเป็นต้องกลัวอะไรอีก ไฟพิศวาสจากหัวใจของท่านชายได้ลุกโชนขึ้นจนอยากจะถอยหลังกลับ
“พี่ทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว วันนี้...เป็นของพี่ได้หรือไม่?”
ท่านชายเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงแหบพร่า ความรู้สึกอยากครอบครองที่เก็บไว้มานานได้ล้นทะลักออกมาจนเก็บไว้ไม่อยู่
“...”
“ถ้าพ่อพุดไม่พูด พี่ถือว่าเจ้าตอบรับ...”
พูดจบท่านชายก็ผลักพุดลงไปนอนบนเตียงนุ่มพร้อมกับเอาตัวเองทาบทับตามไป คนใต้ร่างสัมผัสได้ถึงแก่นกลางกายแข็งขืนภายใต้กางเกงผ้าแพร พุดไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อนแต่ใช่ว่าเขาจะไร้เดียงสา เขาก็เด็กผู้ชายทั่วไปที่อยากรู้อยากเห็น เคยฟังเพื่อน ๆ เล่าประสบการณ์ขึ้นครูก็ออกจะบ่อย แม้เรื่องเล่นสวาทจะไม่ได้เปิดเผยในวงกว้าง แต่เรื่องเล่าขานก็มีมากพอที่เขาจะจินตนาการภาพออก
“พะ...พี่ชายพัฒน์...เคยทำกับใครหรือไม่?”
พุดเอยถามด้วยความกระดากอาย แต่เพราะความอยากรู้เลยลองกลั้นใจถามออกไป
“ไม่เคย...”
“จริงหรือ?”
พุดไม่อยากจะเชื่อ ท่านชายก็อายุปาไป 26 ปีแล้ว มีคนเข้าหามากหน้าหลายตา จะเป็นไปได้อย่างไรที่ไม่เคย...
“เจ้าไม่เชื่อพี่?”
ท่านชายพูดพร้อมบดเอวเข้าหาร่างบางที่มีเพียงกางเกงขวางกั้น
“พี่ชายพัฒน์...”
“ห้ามทำสายตาแบบนี้กับใครนอกจากพี่”
ท่านชายบดขยี้ริมฝีปากลงไปอีกครั้งด้วยความเร่าร้อนมากขึ้นกว่าเดิม เสียงครางเรียกแผ่วเบาพร้อมกับสายตาหวานที่มองมายิ่งกระตุ้นไฟราคะของเขาให้ลุกโชน พุดเองก็ไม่ต่างกัน ตอนนี้ความต้องการของเขาเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งสองคนต่างปลดกระดุมเสื้อให้กันและกัน เผยให้เห็นแผงอกกว้างกล้ามเนื้อแน่นขาวนวลที่มีเหงื่อชุ่มตัวของท่านชาย พุดประหม่าไม่กล้ามองตรง ๆ ท่านชายยิ้มชอบใจกับอาการของคนตรงหน้า เขาจับมือของพุดขึ้นมาแนบแผงอกของตัวเอง
“พ่อพุดอยากสัมผัสหรือไม่”
“มะ...ไม่”
“แต่พี่อยาก...”
“อ๊ะ...”
ท่านชายก้มลงไปขบเม้มยอดเนินอกสีอ่อนของคนปากแข็ง ก่อนจะค่อย ๆ โลมเลียและดูดดึงราวกับหิวกระหาย มืออีกข้างสอดเข้าไปใต้แผ่นหลังเนียนพร้อมไล้ลงไปขยำก้นนิ่มกลมกลึง ตอนนี้ทั้งสองคนทาบทับกันด้วยร่างกายที่เปลือยเปล่าไม่มีอาภรณ์ใด ๆ ปกปิด
อีกฟากหนึ่งของห้อง พุดยืนตัวแข็งทื่อมาสักพักแล้ว เขาตั้งใจดูเรื่องราวที่เกิดขึ้นตั้งแต่ต้น และบางครั้งก็เริ่มรู้สึกคุ้น ๆ กับเหตุการณ์ที่เห็น แต่ว่าเหตุการณ์ที่กำลังเกิดอยู่ตอนนี้นั้น...
“เอ่อ...ท่านชาย เรา...จะไม่วาร์ปไปที่อื่นเหรอ?”
“จะไปไหนเล่า นี่คือเหตุการณ์สำคัญนะ พี่บอกแล้วว่าจะพามาในช่วงที่จะไม่มีใครมาขัดจังหวะ”
“...”
พุดไปต่อไม่ถูก ได้แต่กลั้นใจดูเหตุการณ์ตรงหน้า เพราะเริ่มรู้สึกว่ามีความทรงจำบางส่วนเชื่อมต่อกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ท่านชายแอบอมยิ้มเบา ๆ เอ็นดูในความเลิ่กลั่กของพุด
“อื้อ...”
เสียงครางของพุดในนิมิตเริ่มดังขึ้นเพราะคนพี่ไล้โลมเลียตั้งแต่ยอดปทุมสีอ่อนลงมาจนถึงกลางหน้าท้องขาวเนียน ทำเอาพุดเรี่ยวแรงอ่อนระทวย น้ำสีขาวขุ่นเริ่มไหลออกมาจากแก่นกายด้านล่างจนเปียกฉ่ำ ท่านชายเอามือกอบกุมแก่นกายสีอ่อนของพุดพร้อมกับเอานิ้วปาดน้ำหล่อลื่นที่ไหลมาชุ่มหัวหยักสีชมพูไปป้ายที่ช่องทางด้านหลังอย่างชำนาญ
“ไหนตรัสว่าไม่เคย...”
“พี่ไม่เคย แต่ใช่จะไม่รู้ความ พี่แค่...อยากทำกับเจ้าเพียงผู้เดียว”
“ร้ายกาจที่สุด...”
“ร้ายกาจที่สุด” พุดเอ่ยออกมาด้วยความหมั่นไส้คนด้านบน“ร้ายก็เพราะรักเจ้า รู้หรือไม่ว่าพี่อยากทำแบบนี้กับเจ้ามานานเพียงใด”ท่านชายเอ่ยเบา ๆ ด้วยน้ำเสียงแหบพร่า แต่ทว่ากลับดูเย้ายวนและน่าหลงใหลมากในสายตาของพุด มือหนาเริ่มรูดรั้งแก่นกายคนตัวเล็กเบา ๆ ลิ้นหนาโลมเลียตั้งแต่โคนจรดปลาย“อื้ออ...สะ...เสียว” “หืม...ว่าอย่างไรนะ พี่ไม่ได้ยิน” ท่านชายเอ่ยแกล้งพร้อมกับรัวลิ้นลงที่ปลายหัวหยักอมชมพูของคนใต้ร่าง ทั้งเลียทั้งดูดเหมือนชิมไอติมแท่งโปรดจนเกิดเสียงน่าอาย“สะ...เสียว พุดเสียว...” เสียงครางกระเส่าเรียกชื่อตัวเองของพุดทำให้ท่านชายสกัดกั้นอารมณ์ไม่ไหว ช่างน่ารักเหลือเกิน พอกันที เขาจะไม่ทนอีกต่อไป...“เอ๊ะ!” จู่ ๆ ท่านชายก็ลุกไปที่โต๊ะเครื่องแป้ง หยิบน้ำมันมะกอกสกัดที่พุดใช้ทาผิวเป็นประจำติดมือกลับมา ยังไม่ทันที่พุดจะได้ถามอะไรก็ต้องสะดุ้งเมื่อท่านชายจับขาของตนแยกออกจากกันพร้อมกับช้อนสะโพกให้สูงขึ้นจนไปชนกับท่อนเอ็นยาวใหญ่ของเขาที่ตอนนี้มันพองขยายตัวตั้งชูชัน พุดตัวสั่นสะท้านทั้งอยากรู้อยากลองและกลัวในเวลาเดียวกัน ท่านชายเทน้ำมันมะกอกใส่มือและละเลงวนที่รูจีบสีหวาน กลิ่นหอมของมันช่วยให้ค
“อ๊า...สดชื่นนนน สงสัยนอนหลับสนิทเพราะยาคลายเครียดของหมอแน่ ๆ เลย”พุดเข้าออฟฟิศมาด้วยความสดใสเพราะหลับสนิทตลอดคืน วันนี้จึงทำงานด้วยความกระปรี้กระเปร่าเป็นพิเศษ“พุด ๆ พี่ฝากเอาเอกสารไปให้คุณดินหน่อยดิ เที่ยงแล้วพี่นัดกับแฟนไปกินข้าวอะ ถ้าไปช้าโดนบ่นหูชาแน่เลย”“ได้ครับพี่แม็ค”พุดมักจะถูกเอาเปรียบเล็ก ๆ น้อย ๆ จากเพื่อนร่วมงานแบบนี้เสมอ ๆ แต่ด้วยความที่เป็นคนมีน้ำใจไม่คิดเล็กคิดน้อย เขาจึงไม่ได้รู้สึกแย่อะไรก๊อกๆๆๆ“เชิญครับ...”ภายในห้องทำงานของบดินทร์ เขากำลังนั่งดูไอแพดอยู่ที่โซฟาหนังสีดำขนาดใหญ่“ผมเอาเอกสารจากพี่แม็คมาให้ครับ ให้ผมวางไว้ตรงไหนดีครับ”“เอามาให้พี่”บดินทร์รับเอกสารมาโดยที่สายตาแอบเหลือมองคนหน้าหวานแล้วยิ้มบาง ๆ พุดไม่ทันสังเกตและกำลังจะเดินออกไป“เอ่อ...น้องพุด”“ครับ...”“มันมีจุดผิดอยู่ตรงนี้นะ”“คะ...ครับ?”“มานี่ ๆ”บดินทร์เรียกพุดให้มาดูเอกสารใกล้ ๆ พุดเดินเข้าไปดูเอกสารแบบงง ๆ เพราะเอกสารพวกนี้เขาไม่ได้รู้เรื่องด้วย มันเป็นส่วนงานที่เขาไม่ได้ยุ่งเกี่ยว“มาใกล้ ๆ นั่งลง ๆ”คนตัวเล็กถูกดึงลงให้ไปนั่งที่โซฟาแบบไม่ทันได้ตั้งตัว ทำให้ตัวไหลลงไปแนบชิดอีกฝ่ายโด
“อะไรนะ?!! เรือนหอ? ของเรา?”“ใช่...พี่ปลูกเรือนหลังนี้ก่อนที่จะไปเรียนต่อ หวังว่ากลับมาแล้วจะได้อยู่กับพ่อพุดที่เรือนหลังนี้จนถึงบั้นปลายชีวิต”“ท่านชายจะบอกว่าผมกับท่านชายเคยเป็นคนรักกัน?”พุดเอ่ยถามด้วยความไม่อยากจะเชื่อ“ใช่...ทุกเหตุการณ์ที่เจ้าฝัน มันเคยเกิดขึ้นจริงมาก่อน”คำตอบของท่านชายทำให้พุดหน้าเห่อร้อนขึ้นมาดื้อ ๆ เพราะพอคิดถึงเหตุการณ์ที่ท่านชายกับคนชื่อพุดในฝันมีอะไรลึกซึ้งต่อกันแล้วก็รู้สึกอายขึ้นมาเฉย ๆ ท่านชายรู้ทัน จึงก้มหน้าลงมาใกล้ ๆ คนแก้มแดงจนจมูกแทบชนกัน กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของดอกพุดซ้อนกับรอยยิ้มที่อ่อนโยนจากวิญญาณผู้นี้ทำให้พุดรู้สึกคุ้นเคยแบบบอกไม่ถูก“เจ้ากำลังเขินอายหรือ?”“ปะ...ป่าว เอ่อ...แล้วทำไมท่านชายถึงยังอยู่ที่นี่...ผมหมายถึงทำไมไม่ไปเกิดใหม่อะไรแบบนี้?”พุดเฉไฉเปลี่ยนเรื่องคุยเพราะรู้สึกสู้สายตาแวววาวกับรอยยิ้มมุมปากของคนตรงหน้าที่มองมาทางริมฝีปากของเขาไม่ได้ มันสั่นไหวแปลก ๆ“พี่จะไปไหนได้เยี่ยงไร ในเมื่อตลอดมาพี่รอที่จะพบเจ้าอีกครั้ง”คำตอบของท่านชายทำให้เสี้ยววินาทีหนึ่งพุดรู้สึกจี๊ดใน ใจ แต่ก็แค่เสี้ยววินาทีจริง ๆ จนเขาไม่ทันสังเกตตัวเอง เขาคิดอยู่ค
ท่านชายพัฒน์จูงแขนพุดวาร์ปไปในอีกช่วงเวลาหนึ่ง เป็นช่วงเวลาที่ท่านชายในนิมิตเรียนจบกลับมาและได้รับรู้ว่าพุดได้หนีเขาไปไกลแสนไกลแล้ว ตลอดเวลาที่ไปเรียนต่อ เขาไม่ได้ระแคะระคายอะไรเลย เพราะพุดเขียนจดหมายหาเขาทุกเดือน ซึ่งเป็นจดหมายที่พุดได้เตรียมไว้ให้เสด็จพ่อของท่านชายเป็นคนส่งให้แทน เพื่อที่ท่านชายจะได้ตั้งใจเรียนจนจบโดยไม่มีเรื่องใดมากวนใจตลอดเวลา 2 ปีเต็ม ๆ ท่านชายตามหาพุดในทุกที่ที่พุดจะสามารถไปได้ แต่ก็ไม่พบ ท่านชายกลายเป็นคนขี้เหล้า ไม่สุงสิงกับใครจนเสด็จพ่อทุกข์พระทัย พยายามหาหญิงสูงศักดิ์ที่เพียบพร้อมมาให้ทำความรู้จักเพื่อให้ท่านชายลืมพุดไปเสีย ท่านชายก็ไม่ไยดีหญิงใด จนเสด็จพ่อของท่านชายบังคับให้เสกสมรสกับคุณหญิงวิลาเพราะคิดว่าจะทำให้ท่านชายหายสำมะเลเทเมา ท่านชายจึงยิ่งตรอมใจหนักและล้มป่วยลงก่อนวันสมรสไม่กี่วัน ท่านชายกลายเป็นผู้ป่วยนอนติดเตียงอยู่นานนับแรมปี แรก ๆ คุณหญิงวิลาก็ขยันมาเยี่ยม เพราะคิดว่าท่านชายจะหายป่วย แต่ยิ่งนานไปสภาพของท่านชายยิ่งแย่ลง จากใบหน้าหล่อเหลา ผิวพรรณเกลี้ยงเกลา กลายเป็นหน้าตอบ ผอมแห้ง เหลือแต่หนังหุ้มกระดูก คุณหญิงวิลาจึงค่อย ๆ ขาดการติดต่อไป ได้ข่า
เช้าวันต่อมา...พุดเดินมาทำงานด้วยใจที่เหม่อลอยเพราะกำลังคิดถึงเรื่องที่ท่านชายบอกเมื่อคืน‘มนุษย์กับวิญญาณ หากสมสู่กัน พลังวิญญาณของเจ้าจะถูกกลืนกินไปทีละนิด ส่งผลให้อายุขัยสั้นลงเรื่อย ๆ’เขากำลังคิดว่านี่มันเป็นเรื่องที่น่าเศร้าเหลือเกิน เพราะตอนนี้ความรู้สึกของพุดกับท่านชายพัฒน์นั้นลึกซึ้งเหมือนเป็นคู่ชีวิตกันไปแล้ว ความโหยหาที่สั่งสมมาจากอดีตชาติทำให้เขาอยากสัมผัส อยากได้ไออุ่นจากท่านชายมากกว่านี้ ความทรมานจากความชิดใกล้แต่ก็เหมือนยังห่างไกลแบบนี้ ต่อไปมันจะดีหรือร้ายกันแน่‘เราหมกมุ่นเกินไปหรือเปล่าวะ ขอแค่ได้อยู่ด้วยกันก็พอแล้วมั้ย ไม่ต้องทำเรื่องแบบนั้นก็ได้ เอาน่าอย่าไปคิดมาก มันเพิ่งเริ่มต้น ทุกปัญหาย่อมมีทางแก้ไข’“โอ๊ย!!!” พุดเดินชนเข้ากับเจ้านายตัวเอง อีกแล้ว...“...”“เดินไม่ดูตาม้าตาเรือ ซุ่มซ่ามขนาดนี้จะไปทำงานอย่างอื่นได้ยังไง”เสียงตะคอกจากบดินทร์ทำเอาพุดงุนงงกับท่าทีของเขาที่เปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ คนที่ควรโกรธมันควรเป็นเขาไม่ใช่หรือ? ความจริงเขาคิดว่าวันนี้บดินทร์คงจะมาขอโทษเขาแล้วบอกว่าไม่ได้ตั้งใจ อารมณ์ชั่ววูบ เมา หรืออะไรก็แล้วแต่ที่แสดงความรู้สึกผิดบ้าง
“กลับมาแล้วหรือ?”ท่านชายปรกณ์ณพัฒน์เอ่ยถามพุดด้วยความเป็นห่วง เพราะวันนี้พุดกลับบ้านค่อนข้างดึก“กลับ..มา...ล้าวววว”เสียงพูดยานคางของพุดทำให้ท่านชายรู้ว่าพุดดื่มแอลกอฮอลล์มา จึงเดินไปประคองพุดให้นั่งลงบนโซฟาพร้อมกับห้าผ้าชุบน้ำมาเช็ดหน้าให้“เมาหรือ?”ท่านชายถามพลางเช็ดหน้าให้พุดไปพลาง“ไม่มาววว แต่ไม่เหมือนเดิมมมม”พุดพูดยานคางพร้อมกับส่ายหัวไปมา ท่าทางทะเล้นของพุดทำให้ท่านชายปรกณ์ณพัฒน์เอ็นดูแกมหมั่นไส้ เลยเอานิ้วดีดหน้าผากพุดไปหนึ่งที“งึ!!!..ท่านพี่อะ ดีดหน้าผากพุดทำไม”พุดหน้ามุ่ยเอามือลูบหน้าผากตัวเอง“เจ้าหิวหรือไม่? กินอะไรมาหรือยัง?”เสียงเอ่ยถามอย่างอ่อนโยนทำให้ใจพุดอุ่นวาบ เพียงแค่คำถามเรียบง่าย แต่เป็นคำถามที่พุดไม่เคยได้จากครอบครัวตัวเองเลย พอได้ฟังจากปากของท่านชาย น้ำตาก็พลันไหลออกมาอาบแก้ม“เจ้าร้องไห้ทำไม? คนดีของพี่ มีอะไรอัดอั้นตันใจก็ระบายให้พี่ฟังเถิด”ท่านชายเอ่ยถามพร้อมเอามือปาดน้ำตาของคนน้องออกด้วยความเบามือ พุดเอื้อมมือไปกุมมือของท่านชายพร้อมกับแนบแก้มของตัวเองรับสัมผัสที่อ่อนโยนนั้น ความรู้สึกที่เหนื่อยล้าทั้งกายและใจเพราะเจอเรื่องบั่นทอนจิตใจหลายเรื่องราวใน
เช้าวันต่อมา...พุดนอนซม ไข้ขึ้นสูงจากสงครามรักเมื่อคืน พอรู้ว่าเพื่อนรักป่วย ใบหยกจึงรีบบึ่งรถมาหาแต่ก็พบว่าพุดเช็ดตัวเสร็จเรียบร้อยและไข้ค่อย ๆ ลดลงแล้ว เลยได้แต่ป้อนโจ๊กให้ ใบหยกคิดว่าพุดคงจะเครียดเรื่องงานเมื่อวานเลยทำให้ป่วย“แกบอกมีเรื่องจะบอกเราไม่ใช่เหรอหยก?”“ตอนแรกก็มี แต่พอเห็นแกป่วยแบบนี้ เอาไว้ให้แกหายก่อนดีกว่า”“เฮ้ย...ไม่เป็นไร แค่เป็นไข้นิดหน่อยเอง เหลามาเลยนะ อย่ามาทำให้อยากแล้วจากไป” พุดกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่แกล้งข่มขู่เพื่อนสาวแต่ทว่าก็อยากรู้จริง ๆ“คือ...ไอ้เจ้านายเก่าแกมันใช้เส้นสายและตำแหน่งหน้าที่ร่อนอีเมลไปตามบริษัทต่าง ๆ บอกว่าแกคือบุคคลอันตราย ถูกไล่ออกเพราะทำร้ายร่างกายเจ้านายอะ เราว่า...แกน่าจะหางานยากแล้ว”“อืม...เราคิดไว้แล้วว่ามันต้องเป็นแบบนี้”“แล้วแกจะทำยังไงต่อ”“ยังคิดไม่ออก”พุดสีหน้าหนักใจขึ้นมาจนใบหยกต้องรีบพูดปลอบเพื่อน“ไม่เป็นไร ๆ อย่าเพิ่งคิดมาก แกดูแลตัวเอง พักผ่อนเยอะ ๆ รอให้หายก่อน เดี๋ยวเรามาช่วยกัน มันต้องมีสักที่ที่ให้โอกาสคนดี ๆ มีความสามารถแบบแกสิ”“อื้ม!!!” พุดพยักหน้ายิ้มรับพร้อมกับตั้งหน้าตั้งตาทานโจ๊กจนหมดเกลี้ยงหลังจากที่ใบห
“ในที่สุดก็จะเสร็จสิ้นภารกิจเสียที” “คุณตาว่าอะไรนะครับ” “เอ่อ...ไม่มีอะไรหรอกไอ้หนู แต่ตาว่าไม่ต้องทำสัญญาเช่าแล้ว เซ็นสัญญาโอนบ้านเลยแล้วกัน” “ห๊า....คุณตาว่าอะไรนะครับ” “ตาบอกว่าช่วยเซ็นรับบ้านหลังนี้ไปทีนะ ตาจะโอนให้” ขณะที่พุดกำลังงุนงงกับคำพูดของคุณตาเจ้าของบ้าน วิญญาณของท่านชายก็มากระซิบข้างหูพุด “รับไว้เถิด มันเป็นของเจ้า” โดยที่มีเพียงพุดที่ได้ยิน “ตาไม่รู้จะอธิบายยังไง แต่บ้านหลังนี้มันเป็นของหนู ช่วยเซ็นรับเพื่อให้ตาได้ปลดภาระอันยาวนานนี้เสียทีเถอะนะ” จากวันนั้นพุดก็ได้เป็นเจ้าของบ้านหลังนี้แบบเต็มตัว และพุดมาเข้าใจแจ่มแจ้งทีหลังว่าท่านชายรู้อยู่แล้วว่าคุณตาเจ้าของบ้านมีหน้าตาเหมือนกับเสด็จพ่อของตัวเอง ซึ่งก็คือพระองค์เจ้าพงษ์จักรพรรณมาเกิดใหม่เป็นรุ่นลูกหลานของตระกูลรัชนีพงษ์ แต่ที่ไม่ได้เล่าให้พุดฟัง เพราะมันคือวิบากกรรมที่เสด็จพ่อของเขาได้ผูกไว้กับพุด ซึ่งท่านจะต้องแก้ไขกับพุดเองตามโชคชะตาและวาสนานำพา ส่วนตัวท่านชายกับเสด็จพ่อ ไม่มีสิ่งใดติดค้างกันแล้ว เพราะเสด็จพ่
ณ บ้านทรงไทยกึ่งยุโรปที่คุ้นตา“วันนี้เป็นวันรับปริญญาของผม ผมเรียนจบแล้วนะครับ”ณภัทรยืนยิ้มคุยกับกรอบรูป 2 ใบ ที่บุคคลในรูปหนึ่งมีใบหน้าเหมือนตนเองอย่างกับแกะกับอีกรูปที่เป็นภาพวาดของชายหนุ่มคนหนึ่งตั้งเคียงคู่กัน ตั้งแต่ย้ายเข้ามาอยู่ในบ้าน ทุก ๆวันณภัทรจะมาคุยกับบุคคลในรูปนี้เสมอ แม้จะไม่เคยรู้จัก รู้แต่เพียงว่าเป็นเพื่อนเก่าคุณย่าที่เสียชีวิตไปหลายปีแล้ว และถึงแม้ว่าเพื่อน ๆ ที่เคยมาบ้านต่างกลัวรูปทั้งสอง เพราะถูกตั้งไว้บนแท่นไม้ที่มีกระถางธูปตั้งอยู่ตรงกลางประหนึ่งหิ้งบูชารูปบรรพบุรุษ แถมคนในรูปยังหน้าเหมือนกับณภัทรอย่างกับคนเดียวกัน ใครเห็นก็ต้องรู้สึกขนลุกเป็นธรรมดา แต่ณภัทรกลับรู้สึกคุ้นเคยและผูกพันกับรูปตรงหน้าอย่างบอกไม่ถูกปิ๊งป่อง...เสียงกดกริ่งหน้าบ้านทำให้ณภัทรเดินออกไปดูว่าใครมากดเล่น หรือมีคนมาหาเขาจริง ๆ เพราะร้อยวันพันปีไม่เคยมีใครมาหา จะมีก็แต่เพื่อนที่มหาวิทยาลัยเคยมา 1 ครั้งเพราะจำเป็นต้องมาทำงานกลุ่ม แต่หลังจากนั้นก็ไม่มีใครอยากมาอีกเลยเพราะรู้สึกว่าบ้านหลังนี้วังเวงเกินไปประตูหน้าบ้านค่อย ๆ ถูกเปิดออก เผยให้เห็นใบหน้าแขกผู้มาเยือน ความรู้สึกเหมือนโลกหยุดหมุนไ
ณ บ้านสวนหลังใหญ่ ชานเมืองเชียงใหม่ ตัวบ้านถูกล้อมรอบไปด้วยสวนกุหลาบพื้นที่ประมาณ 100 ไร่ แม้จะสร้างจากไม้ทั้งหลัง แต่ก็ดูทันสมัยสวยงามน่าอยู่และร่มรื่นไปด้วยพันธุ์ไม้ใหญ่ที่ปลูกไว้บริเวณรอบ ๆ ตัวบ้าน รถแฟมิลี่คาร์สีดำยี่ห้อหรูแล่นเข้ามาจอดตรงประตูหน้าบ้าน เด็กชายตัวน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มวัย 5 ขวบวิ่งลงจากรถเข้าไปในบ้านด้วยรอยยิ้มสดใส“คุณย่า!!! น้องภีมคิดถึงจังเลย”เด็กชายวิ่งไปหาผู้เป็นย่า พร้อมกับโผเข้ากอดด้วยความคิดถึง“ไม่ต้องมาทำเป็นคิดถึงย่าเลย ได้ข่าวว่าเที่ยวเพลินเลยนะเราน่ะ”“น้องภีมคิดถึงคุณย่าจริงๆ น้า เวลาน้องภีมกินขนมอร่อย ๆ ก็คิดถึงคุณย่า คุณย่าทำอร่อยกว่าตั้งเยอะ เวลาน้องภีมเที่ยวสวนสนุกก็คิดถึงคุณย่า อยากให้คุณย่ามาด้วยฮะ”“ประจบเก่งจริง ๆ เด็กคนนี้ แล้วพ่อกับแม่เราล่ะ”“คุณพ่อคุณแม่กำลังช่วยกันขนของลงจากรถฮะ น้องภีมรีบเข้ามาหาคุณย่าก่อน เพราะคิดถึงม้ากมากกก”ใบหยกลูบหัวผู้เป็นหลานชายด้วยความเอ็นดู ผ่านไปหลายปี ตอนนี้เธอเป็นคุณย่าแล้ว มีหลานชายตัวน้อยน่ารัก 1 คน ชีวิตเธอตอนนี้มีความสุขที่สุด แม้ช่วงแรกที่เพื่อนรักจากไป เธอจะคิดถึงพุดอยู่ตลอดเวลา แต่หลานชายตัวน้อยทำให้เธออ
“ในที่สุดก็จะเสร็จสิ้นภารกิจเสียที” “คุณตาว่าอะไรนะครับ” “เอ่อ...ไม่มีอะไรหรอกไอ้หนู แต่ตาว่าไม่ต้องทำสัญญาเช่าแล้ว เซ็นสัญญาโอนบ้านเลยแล้วกัน” “ห๊า....คุณตาว่าอะไรนะครับ” “ตาบอกว่าช่วยเซ็นรับบ้านหลังนี้ไปทีนะ ตาจะโอนให้” ขณะที่พุดกำลังงุนงงกับคำพูดของคุณตาเจ้าของบ้าน วิญญาณของท่านชายก็มากระซิบข้างหูพุด “รับไว้เถิด มันเป็นของเจ้า” โดยที่มีเพียงพุดที่ได้ยิน “ตาไม่รู้จะอธิบายยังไง แต่บ้านหลังนี้มันเป็นของหนู ช่วยเซ็นรับเพื่อให้ตาได้ปลดภาระอันยาวนานนี้เสียทีเถอะนะ” จากวันนั้นพุดก็ได้เป็นเจ้าของบ้านหลังนี้แบบเต็มตัว และพุดมาเข้าใจแจ่มแจ้งทีหลังว่าท่านชายรู้อยู่แล้วว่าคุณตาเจ้าของบ้านมีหน้าตาเหมือนกับเสด็จพ่อของตัวเอง ซึ่งก็คือพระองค์เจ้าพงษ์จักรพรรณมาเกิดใหม่เป็นรุ่นลูกหลานของตระกูลรัชนีพงษ์ แต่ที่ไม่ได้เล่าให้พุดฟัง เพราะมันคือวิบากกรรมที่เสด็จพ่อของเขาได้ผูกไว้กับพุด ซึ่งท่านจะต้องแก้ไขกับพุดเองตามโชคชะตาและวาสนานำพา ส่วนตัวท่านชายกับเสด็จพ่อ ไม่มีสิ่งใดติดค้างกันแล้ว เพราะเสด็จพ่
เช้าวันต่อมา...พุดนอนซม ไข้ขึ้นสูงจากสงครามรักเมื่อคืน พอรู้ว่าเพื่อนรักป่วย ใบหยกจึงรีบบึ่งรถมาหาแต่ก็พบว่าพุดเช็ดตัวเสร็จเรียบร้อยและไข้ค่อย ๆ ลดลงแล้ว เลยได้แต่ป้อนโจ๊กให้ ใบหยกคิดว่าพุดคงจะเครียดเรื่องงานเมื่อวานเลยทำให้ป่วย“แกบอกมีเรื่องจะบอกเราไม่ใช่เหรอหยก?”“ตอนแรกก็มี แต่พอเห็นแกป่วยแบบนี้ เอาไว้ให้แกหายก่อนดีกว่า”“เฮ้ย...ไม่เป็นไร แค่เป็นไข้นิดหน่อยเอง เหลามาเลยนะ อย่ามาทำให้อยากแล้วจากไป” พุดกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่แกล้งข่มขู่เพื่อนสาวแต่ทว่าก็อยากรู้จริง ๆ“คือ...ไอ้เจ้านายเก่าแกมันใช้เส้นสายและตำแหน่งหน้าที่ร่อนอีเมลไปตามบริษัทต่าง ๆ บอกว่าแกคือบุคคลอันตราย ถูกไล่ออกเพราะทำร้ายร่างกายเจ้านายอะ เราว่า...แกน่าจะหางานยากแล้ว”“อืม...เราคิดไว้แล้วว่ามันต้องเป็นแบบนี้”“แล้วแกจะทำยังไงต่อ”“ยังคิดไม่ออก”พุดสีหน้าหนักใจขึ้นมาจนใบหยกต้องรีบพูดปลอบเพื่อน“ไม่เป็นไร ๆ อย่าเพิ่งคิดมาก แกดูแลตัวเอง พักผ่อนเยอะ ๆ รอให้หายก่อน เดี๋ยวเรามาช่วยกัน มันต้องมีสักที่ที่ให้โอกาสคนดี ๆ มีความสามารถแบบแกสิ”“อื้ม!!!” พุดพยักหน้ายิ้มรับพร้อมกับตั้งหน้าตั้งตาทานโจ๊กจนหมดเกลี้ยงหลังจากที่ใบห
“กลับมาแล้วหรือ?”ท่านชายปรกณ์ณพัฒน์เอ่ยถามพุดด้วยความเป็นห่วง เพราะวันนี้พุดกลับบ้านค่อนข้างดึก“กลับ..มา...ล้าวววว”เสียงพูดยานคางของพุดทำให้ท่านชายรู้ว่าพุดดื่มแอลกอฮอลล์มา จึงเดินไปประคองพุดให้นั่งลงบนโซฟาพร้อมกับห้าผ้าชุบน้ำมาเช็ดหน้าให้“เมาหรือ?”ท่านชายถามพลางเช็ดหน้าให้พุดไปพลาง“ไม่มาววว แต่ไม่เหมือนเดิมมมม”พุดพูดยานคางพร้อมกับส่ายหัวไปมา ท่าทางทะเล้นของพุดทำให้ท่านชายปรกณ์ณพัฒน์เอ็นดูแกมหมั่นไส้ เลยเอานิ้วดีดหน้าผากพุดไปหนึ่งที“งึ!!!..ท่านพี่อะ ดีดหน้าผากพุดทำไม”พุดหน้ามุ่ยเอามือลูบหน้าผากตัวเอง“เจ้าหิวหรือไม่? กินอะไรมาหรือยัง?”เสียงเอ่ยถามอย่างอ่อนโยนทำให้ใจพุดอุ่นวาบ เพียงแค่คำถามเรียบง่าย แต่เป็นคำถามที่พุดไม่เคยได้จากครอบครัวตัวเองเลย พอได้ฟังจากปากของท่านชาย น้ำตาก็พลันไหลออกมาอาบแก้ม“เจ้าร้องไห้ทำไม? คนดีของพี่ มีอะไรอัดอั้นตันใจก็ระบายให้พี่ฟังเถิด”ท่านชายเอ่ยถามพร้อมเอามือปาดน้ำตาของคนน้องออกด้วยความเบามือ พุดเอื้อมมือไปกุมมือของท่านชายพร้อมกับแนบแก้มของตัวเองรับสัมผัสที่อ่อนโยนนั้น ความรู้สึกที่เหนื่อยล้าทั้งกายและใจเพราะเจอเรื่องบั่นทอนจิตใจหลายเรื่องราวใน
เช้าวันต่อมา...พุดเดินมาทำงานด้วยใจที่เหม่อลอยเพราะกำลังคิดถึงเรื่องที่ท่านชายบอกเมื่อคืน‘มนุษย์กับวิญญาณ หากสมสู่กัน พลังวิญญาณของเจ้าจะถูกกลืนกินไปทีละนิด ส่งผลให้อายุขัยสั้นลงเรื่อย ๆ’เขากำลังคิดว่านี่มันเป็นเรื่องที่น่าเศร้าเหลือเกิน เพราะตอนนี้ความรู้สึกของพุดกับท่านชายพัฒน์นั้นลึกซึ้งเหมือนเป็นคู่ชีวิตกันไปแล้ว ความโหยหาที่สั่งสมมาจากอดีตชาติทำให้เขาอยากสัมผัส อยากได้ไออุ่นจากท่านชายมากกว่านี้ ความทรมานจากความชิดใกล้แต่ก็เหมือนยังห่างไกลแบบนี้ ต่อไปมันจะดีหรือร้ายกันแน่‘เราหมกมุ่นเกินไปหรือเปล่าวะ ขอแค่ได้อยู่ด้วยกันก็พอแล้วมั้ย ไม่ต้องทำเรื่องแบบนั้นก็ได้ เอาน่าอย่าไปคิดมาก มันเพิ่งเริ่มต้น ทุกปัญหาย่อมมีทางแก้ไข’“โอ๊ย!!!” พุดเดินชนเข้ากับเจ้านายตัวเอง อีกแล้ว...“...”“เดินไม่ดูตาม้าตาเรือ ซุ่มซ่ามขนาดนี้จะไปทำงานอย่างอื่นได้ยังไง”เสียงตะคอกจากบดินทร์ทำเอาพุดงุนงงกับท่าทีของเขาที่เปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ คนที่ควรโกรธมันควรเป็นเขาไม่ใช่หรือ? ความจริงเขาคิดว่าวันนี้บดินทร์คงจะมาขอโทษเขาแล้วบอกว่าไม่ได้ตั้งใจ อารมณ์ชั่ววูบ เมา หรืออะไรก็แล้วแต่ที่แสดงความรู้สึกผิดบ้าง
ท่านชายพัฒน์จูงแขนพุดวาร์ปไปในอีกช่วงเวลาหนึ่ง เป็นช่วงเวลาที่ท่านชายในนิมิตเรียนจบกลับมาและได้รับรู้ว่าพุดได้หนีเขาไปไกลแสนไกลแล้ว ตลอดเวลาที่ไปเรียนต่อ เขาไม่ได้ระแคะระคายอะไรเลย เพราะพุดเขียนจดหมายหาเขาทุกเดือน ซึ่งเป็นจดหมายที่พุดได้เตรียมไว้ให้เสด็จพ่อของท่านชายเป็นคนส่งให้แทน เพื่อที่ท่านชายจะได้ตั้งใจเรียนจนจบโดยไม่มีเรื่องใดมากวนใจตลอดเวลา 2 ปีเต็ม ๆ ท่านชายตามหาพุดในทุกที่ที่พุดจะสามารถไปได้ แต่ก็ไม่พบ ท่านชายกลายเป็นคนขี้เหล้า ไม่สุงสิงกับใครจนเสด็จพ่อทุกข์พระทัย พยายามหาหญิงสูงศักดิ์ที่เพียบพร้อมมาให้ทำความรู้จักเพื่อให้ท่านชายลืมพุดไปเสีย ท่านชายก็ไม่ไยดีหญิงใด จนเสด็จพ่อของท่านชายบังคับให้เสกสมรสกับคุณหญิงวิลาเพราะคิดว่าจะทำให้ท่านชายหายสำมะเลเทเมา ท่านชายจึงยิ่งตรอมใจหนักและล้มป่วยลงก่อนวันสมรสไม่กี่วัน ท่านชายกลายเป็นผู้ป่วยนอนติดเตียงอยู่นานนับแรมปี แรก ๆ คุณหญิงวิลาก็ขยันมาเยี่ยม เพราะคิดว่าท่านชายจะหายป่วย แต่ยิ่งนานไปสภาพของท่านชายยิ่งแย่ลง จากใบหน้าหล่อเหลา ผิวพรรณเกลี้ยงเกลา กลายเป็นหน้าตอบ ผอมแห้ง เหลือแต่หนังหุ้มกระดูก คุณหญิงวิลาจึงค่อย ๆ ขาดการติดต่อไป ได้ข่า
“อะไรนะ?!! เรือนหอ? ของเรา?”“ใช่...พี่ปลูกเรือนหลังนี้ก่อนที่จะไปเรียนต่อ หวังว่ากลับมาแล้วจะได้อยู่กับพ่อพุดที่เรือนหลังนี้จนถึงบั้นปลายชีวิต”“ท่านชายจะบอกว่าผมกับท่านชายเคยเป็นคนรักกัน?”พุดเอ่ยถามด้วยความไม่อยากจะเชื่อ“ใช่...ทุกเหตุการณ์ที่เจ้าฝัน มันเคยเกิดขึ้นจริงมาก่อน”คำตอบของท่านชายทำให้พุดหน้าเห่อร้อนขึ้นมาดื้อ ๆ เพราะพอคิดถึงเหตุการณ์ที่ท่านชายกับคนชื่อพุดในฝันมีอะไรลึกซึ้งต่อกันแล้วก็รู้สึกอายขึ้นมาเฉย ๆ ท่านชายรู้ทัน จึงก้มหน้าลงมาใกล้ ๆ คนแก้มแดงจนจมูกแทบชนกัน กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของดอกพุดซ้อนกับรอยยิ้มที่อ่อนโยนจากวิญญาณผู้นี้ทำให้พุดรู้สึกคุ้นเคยแบบบอกไม่ถูก“เจ้ากำลังเขินอายหรือ?”“ปะ...ป่าว เอ่อ...แล้วทำไมท่านชายถึงยังอยู่ที่นี่...ผมหมายถึงทำไมไม่ไปเกิดใหม่อะไรแบบนี้?”พุดเฉไฉเปลี่ยนเรื่องคุยเพราะรู้สึกสู้สายตาแวววาวกับรอยยิ้มมุมปากของคนตรงหน้าที่มองมาทางริมฝีปากของเขาไม่ได้ มันสั่นไหวแปลก ๆ“พี่จะไปไหนได้เยี่ยงไร ในเมื่อตลอดมาพี่รอที่จะพบเจ้าอีกครั้ง”คำตอบของท่านชายทำให้เสี้ยววินาทีหนึ่งพุดรู้สึกจี๊ดใน ใจ แต่ก็แค่เสี้ยววินาทีจริง ๆ จนเขาไม่ทันสังเกตตัวเอง เขาคิดอยู่ค
“อ๊า...สดชื่นนนน สงสัยนอนหลับสนิทเพราะยาคลายเครียดของหมอแน่ ๆ เลย”พุดเข้าออฟฟิศมาด้วยความสดใสเพราะหลับสนิทตลอดคืน วันนี้จึงทำงานด้วยความกระปรี้กระเปร่าเป็นพิเศษ“พุด ๆ พี่ฝากเอาเอกสารไปให้คุณดินหน่อยดิ เที่ยงแล้วพี่นัดกับแฟนไปกินข้าวอะ ถ้าไปช้าโดนบ่นหูชาแน่เลย”“ได้ครับพี่แม็ค”พุดมักจะถูกเอาเปรียบเล็ก ๆ น้อย ๆ จากเพื่อนร่วมงานแบบนี้เสมอ ๆ แต่ด้วยความที่เป็นคนมีน้ำใจไม่คิดเล็กคิดน้อย เขาจึงไม่ได้รู้สึกแย่อะไรก๊อกๆๆๆ“เชิญครับ...”ภายในห้องทำงานของบดินทร์ เขากำลังนั่งดูไอแพดอยู่ที่โซฟาหนังสีดำขนาดใหญ่“ผมเอาเอกสารจากพี่แม็คมาให้ครับ ให้ผมวางไว้ตรงไหนดีครับ”“เอามาให้พี่”บดินทร์รับเอกสารมาโดยที่สายตาแอบเหลือมองคนหน้าหวานแล้วยิ้มบาง ๆ พุดไม่ทันสังเกตและกำลังจะเดินออกไป“เอ่อ...น้องพุด”“ครับ...”“มันมีจุดผิดอยู่ตรงนี้นะ”“คะ...ครับ?”“มานี่ ๆ”บดินทร์เรียกพุดให้มาดูเอกสารใกล้ ๆ พุดเดินเข้าไปดูเอกสารแบบงง ๆ เพราะเอกสารพวกนี้เขาไม่ได้รู้เรื่องด้วย มันเป็นส่วนงานที่เขาไม่ได้ยุ่งเกี่ยว“มาใกล้ ๆ นั่งลง ๆ”คนตัวเล็กถูกดึงลงให้ไปนั่งที่โซฟาแบบไม่ทันได้ตั้งตัว ทำให้ตัวไหลลงไปแนบชิดอีกฝ่ายโด