สายลมกรรโชกแรงพัดป้ายชื่อ สำนักงานทนายความสมศักดิ์ ให้สั่นไหวไปมา เสียงโลหะเสียดสีกันแผ่วเบา กลิ่นฝนฟุ้งกระจาย อากาศหนักอึ้งราวกับพายุที่กำลังใกล้เข้ามา เมฆครึ้มปกคลุมฟ้า สีเทาหม่นทาบทับบรรยากาศปอยผมบางเส้นปลิวตวัดผ่านแก้มของ อิมิลี่ แต่เธอแทบไม่ใส่ใจ ดวงตาสีเข้มจ้องเข็มนาฬิกาบนข้อมือที่ขยับเข้าใกล้ สิบโมง ทุกที แม้ภายนอกจะดูสงบนิ่ง ทว่าภายในใจของเธอคล้ายมีพายุหมุนอยู่ตลอดเวลาเธอสูดลมหายใจลึก พยายามข่มอาการประหม่า… ทุกอย่างต้องจบในวันนี้มือเรียวเอื้อมไปผลักประตูกริ๊ง…เสียงกระดิ่งดังขึ้นแผ่วเบา ทว่าในความเงียบของสำนักงาน เสียงนั้นกลับดังก้องอยู่ในใจเธอ หัวใจของอิมิลี่เต้นกระหน่ำจนแทบจะได้ยินชัดเจนภายในสำนักงานนั้นเย็นเยียบ หญิงวัยกลางคนใบหน้าตึงเงยหน้าขึ้นทันทีที่เธอก้าวเข้ามา ไม่มีแววประหลาดใจในสายตา… ราวกับเธอถูกคาดการณ์ไว้อยู่แล้ว“สวัสดีค่ะ ดิฉันอิมิลี่ นัดกับทนายไว้ตอนสิบโมง”เสียงของเธอมั่นคง แต่ฝ่ามือที่กำแน่นข้างลำตัวกลับเผยความสั่นไหวที่เธอพยายามเก็บงำสายตาของพนักงานนิ่งเฉียบ มองเธอราวกับกำลังมองทะลุผ่านทุกเกราะกำบัง ทุกบาดแผลที่เธอแบกรับไว้ ความเจ็บปวดที่ถูกซุกซ่อนไว้ใ
บรรยากาศในห้องประชุมใหญ่ของบริษัทอสังหาริมทรัพย์เคร่งขรึมกว่าทุกครั้ง ทุกคนจ้องไปที่เอกสารกองโตตรงหน้า เสียงสนทนาเกี่ยวกับหัวข้อการฟ้องร้องค่าเสียหายจากลูกบ้านดังขึ้นเป็นระยะ เพื่อเตรียมรับมือก่อนถึงวันพิจารณาคดีที่กำลังใกล้เข้ามาหัวหน้าฝ่ายกฎหมายขมวดคิ้วแน่น น้ำเสียงจริงจัง ทุกคำพูดของเขาถูกจดบันทึกไว้เป็นหลักฐานเพื่อใช้ในชั้นศาล แต่ในมุมหนึ่งของห้องประชุม…เจมส์และแอลซ่าแทบไม่ได้ยินอะไรเลยพวกเขานั่งตัวตรง หน้าตาเรียบนิ่งเหมือนคนมีสมาธิ แต่ภายในใจกลับปั่นป่วนราวกับพายุโหมกระหน่ำเสียงโทรศัพท์สั่นถี่ในกระเป๋า การแจ้งเตือนเด้งขึ้นมาไม่หยุด โลกออนไลน์… กำลังเดือดดาลแอลซ่ารู้สึกถึงแรงกดดันรอบตัวมันหนักจนแทบหายใจไม่ออก เสียงเอกสารที่พลิกไปมา… เสียงข้อโต้แย้งที่ถกเถียงกัน… ทุกคำพูดแทรกเข้ามาในหูเธอ ราวกับเป็น เสียงของสังคมด้านนอก เสียงของคนทั้งโลก… ที่กำลังขุดลึกถึงอดีตของเธออดีต… ที่เธอพยายามก้าวข้ามมาโดยตลอด อดีต… ที่เธอทำทุกอย่างเพื่อให้มีที่ยืนในสังคมจนถึงวันนี้แต่ตอนนี้... เธอกำลังทำลายทุกอย่างลงด้วยมือของตัวเอง เพียงเพราะความลุ่มหลงมัวเมาที่กลืนกินสติ สิ่งที่เธอเคยสร้าง
ภายในสำนักงานทนายความในห้องของ ทนายสมศักดิ์ บรรยากาศเย็นเฉียบจากเครื่องปรับอากาศตัดกับความร้อนรนที่ก่อตัวขึ้นในใจ อิมิลี่เธอนั่งตรงข้ามทนาย สนทนากันได้สักพัก ความกดดันที่เคยบีบรัดเริ่มคลายลง ลมหายใจที่เคยติดขัดค่อยๆ กลับมาเป็นปกติ แต่ถึงกระนั้น ลึกลงไปในใจ... มันกลับไม่สงบตามร่างกายเธอเอื้อมมือล้วงเข้าไปในกระเป๋าสะพาย ปลายนิ้วสัมผัสกับแผ่นกระดาษยับยู่ยี่—เบอร์โทรของแอลซ่ามันไม่ใช่กระดาษธรรมดา มันผ่านเหตุการณ์ที่เธออยากลืม... วันที่ถูก หญิงสองคนทำร้าย เบอร์นี้เคยหล่นกระแทกพื้นเช่นเดียวกับตัวเธอ แต่เธอเก็บมันขึ้นมา เพราะมันคือ จิ๊กซอว์อีกหนึ่งตัวของความจริงแต่เมื่อปลายนิ้วสัมผัสกองเอกสารและข้อมูลอื่นๆ ภาพบางอย่างก็พุ่งทะลวงเข้ามาในหัว ราวกับกระสุนแห่งอดีตที่ยิงทะลุความทรงจำร่างของเธอสะดุด...ภาพของเจมส์—อดีตสามีภาพใบหน้าที่บิดเบี้ยวไปด้วยโทสะ มือหนาของเขากระชากเธอจน มือถือหลุดจากมือ กระแทกลงบนพื้นแข็งเสียงมันร่วงดัง "เพล้ง!" ยังดังก้องอยู่ในความทรงจำ แต่ในตอนนั้น เธอไม่มีแม้แต่เสี้ยววินาทีที่จะก้มลงเก็บ...เธอลืมมันไปเลย...มือของเธอที่สัมผัสเอกสารหลักฐานเริ่มสั่นเล็กน้อย ดวงตาไ
อิมิลี่ก้าวเท้ายาวเร่งรีบไปตามถนนเลียบทะเล ลมเย็นพัดปะทะหน้า แต่ไม่อาจดับไฟในใจเธอได้ เสียงฝีเท้าดังไล่หลังมาเร็วกว่าคลื่นกระแทกฝั่ง“อิมิลี่! หยุดก่อน!” เสียงของเลโอแทรกเข้ามาในความว่างเปล่ารอบตัวเธอได้ยิน... แต่กลับเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น แผลกระสุนที่ต้นแขนยังไม่หายดี เธอประคองแขนข้างนั้นไว้แน่น ความเจ็บปวดแผ่ซ่าน... แต่ไม่เจ็บเท่าหัวใจที่เหมือนถูกแทงซ้ำ“อิมิลี่! หยุดเดี๋ยวนี้!” เสียงเข้มและเร่งร้อนแล้วเขาก็ตามทัน มือของเลโอคว้าหาแขนของเธอ—แขนที่ยังมีผ้าพันแผลพันอยู่“โอ๊ย!” เธอร้องออกมาอย่างห้ามไม่ทัน ใบหน้าเหยเกด้วยความเจ็บเลโอผงะ สีหน้าตื่นตระหนก “ขอโทษ... ผม... ผมไม่ได้ตั้งใจ! เกิดอะไรขึ้นกับคุณ?”เธอเบือนหน้าหนี หลุบตาต่ำ พยายามกลั้นใจไม่ให้เสียงสะอื้นเล็ดลอด แต่หยดน้ำตาก็เริ่มไหลช้าๆ อย่างไม่อาจห้ามได้ ปลายนิ้วเธอสั่นเครือขณะกำชายเสื้อแน่นราวกับยึดเกาะสุดท้ายไว้ไม่ให้ใจแตกสลายแล้วเธอก็เงยหน้าขึ้นสบตาเขา แววตาคู่นั้นราวกับทะเลคลั่ง เต็มไปด้วยความเจ็บปวดที่สะสมมานานจนแทบระเบิดออกมา ความเงียบรอบตัวหนาวเยียบ บรรยากาศแน่นตึงทุกอย่างนิ่งงัน เหมือนโลกหยุดหมุนในวินาทีนั้นเสียงของเ
แม้พระอาทิตย์จะสาดแสงสีส้มทองละเลียดขอบฟ้า แต่ทะเลในวันนี้กลับนิ่งเงียบผิดปกติ เงียบเสียจนเหมือนธรรมชาติกำลังกลั้นหายใจ ราวกับมันรู้… ว่ากำลังจะมีบางอย่างเกิดขึ้นอิมิลี่ไม่ยอมละสายตาจากเส้นทางที่เธอคุ้นเคย เธอเดินช้า ๆ ด้วยความมุ่งมั่น มุ่งหน้าไปยัง แอลฟิชชิ่งช้อป — ร้านของลูคัส ร้านที่เพิ่งเปิดเผยความจริงอันน่าตกตะลึง… จากปากของลินแต่ทันทีที่เธอไปถึง บรรยากาศที่หน้าร้านกลับบอกเป็นอย่างอื่นปิดทำการ — เงียบ… ว่างเปล่า ไม่มีแม้แต่แสงไฟลอดออกจากภายใน ป้ายชื่อร้านสั่นไหวเบา ๆ ไปตามแรงลมทะเล แต่ไม่มีใครอยู่ตรงนั้นเลยอิมิลี่ยืนชะเง้อมองอยู่นาน สายตากวาดหาลูคัส… หรือใครก็ตามที่เธอจะถามได้ แต่กลับไม่มีแม้เงาเคลื่อนไหวเธอไม่รู้เลยว่า... ด้านหลังร้าน ลูคัสกำลังควบคุมการขนส่งลอตใหญ่ของไวน์เถื่อนและสุราหนีภาษี เสียงไม้กระทบไม้ดังเบา ๆ คล้ายจะกลืนหายไปกับเสียงคลื่นยามเย็น แววตาของเขานิ่งเฉียบ ท่าทางเยือกเย็น ราวกับชายที่เคยชินกับการทำสิ่งผิด... จนมันกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตอิมิลี่ขยับตัวอีกนิด เธอสังเกตเห็นชายแปลกหน้า 2–3 คนยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามถนน พวกเขาไม่ได้มองมาทางเธอโดยตรง.
เช้ามืด... ท้องฟ้ายังไม่ทันสว่างดี มีเพียงแสงจางๆ ที่เรื่อราวหมอกสีเงินพาดผ่านขอบฟ้าอิมิลี่ลืมตาตื่นทั้งที่แทบไม่ได้หลับตลอดคืน ความอึดอัดในอกเหมือนสิ่งที่ตอกย้ำไม่หยุด เธอเดิน ออกมายังระเบียง สูดลมหายใจลึกๆ ที่เต็มไปด้วยกลิ่นอากาศชื้นของยามเช้า บรรยากาศทั้งหมดยังคงเงียบสนิทสายตาเธอมองไปยังร้านอุปกรณ์ตกปลาที่อยู่หัวมุมถนน ที่นั่น... ที่ที่ เขา อยู่แม้จะไม่มีแสงใดเปิดอยู่ เธอกลับรู้สึกได้ถึงแรงบางอย่างที่ฉุดใจให้จ้องมองไม่วางตา ความรู้สึกเป็นห่วงลูคัสยังไม่เคยจาง ยิ่งรู้ว่าเขากำลังก้าวเข้าสู่โลกที่เต็มไปด้วยความเสี่ยง เธอยิ่งรู้สึกเหมือนถูกบีบด้วยมือที่มองไม่เห็นอิมิลี่เหลียวมองไปรอบตัวอีกครั้ง ทุกอย่างยังนิ่งสนิท ไม่มีผู้คน ไม่มีเสียงรถ ไม่แม้แต่เสียงนกร้อง — เหมือนทั้งโลกยังหลับใหล ยกเว้นเธอในความเงียบนั้น เธอตัดสินใจ...มือเรียวหยิบเสื้อคลุมขึ้นมาสวมอย่างรวดเร็ว ใส่รองเท้า แล้วรีบก้าวออกประตูไปอย่างเงียบเชียบ หัวใจเต้นแรงในอก ไม่รู้ว่าเพราะกลัว หรือเพราะกล้าจนเกินควรเธอกำลังมุ่งหน้าไปยัง แอลฟิชชิ่งช็อป ไม่ใช่เพราะคิดว่าจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้ — แต่เพราะเธอไม่อาจทนอยู่นิ่งเฉยอีกต
อิมิลี่จ้องลูคัสนิ่ง แววตาเธอเต็มไปด้วยคำถามที่ยังรอคำตอบ แต่เขาเงียบ เงียบจนหัวใจเธอแทบได้ยินเสียงตัวเองเต้นเธอค่อย ๆ เลื่อนสายตาไปยังลังไม้ที่ตั้งเรียงรายอยู่ข้างหลัง กล่องพวกนั้นพร้อมจะถูกขนย้ายในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า บางอย่างในท่าทางของลูคัส... ทำให้เธอรู้ มันไม่ใช่แค่การขนของธรรมดาทันใดนั้น ลูคัสเหลียวไป ลูกน้องของเขาเดินออกมาจากมุมเงามืด ใบหน้าตึงเครียด น้ำเสียงเร่งรีบ“ลูคัส... สายของเรารายงานว่า มีสายสืบซุ่มอยู่ใกล้ท่าเรือ เราอาจต้องเปลี่ยนแผน”ลูคัสพยักหน้าเพียงเล็กน้อย แต่ อิมิลี่ได้ยินทุกอย่างชัดเจน แม้เขาจะยังไม่พูดตรง ๆ แต่เธอเข้าใจแล้ว ว่าเขากำลังพาตัวเองเข้าไปในธุรกิจที่อันตราย... และมันจริงกว่าที่เธอเคยกลัว“เธอต้องกลับไปนะ อิมิลี่ อย่าเข้ามายุ่งกับเรื่องนี้เลย” ลูคัสพูดขึ้นในที่สุด เสียงของเขาไม่ใช่การไล่... แต่เป็นการปกป้องอิมิลี่ขยับเข้าไปเพียงก้าวเดียว แววตาแข็งกร้าวกว่าเดิม “คุณเคยสัญญาแล้วไม่ใช่เหรอ... ว่าจะไม่กลับไปยุ่งกับธุรกิจพวกนี้อีก”เขาเงียบไปอึดใจ แล้วเบือนสายตาหนี คำตอบของเขาคือความเงียบ และมันเจ็บยิ่งกว่าคำพูดใด“คุณต้องกลับไปนะ อยู่ห่าง
ที่หัวมุมถนนชายคนหนึ่งยืนเงียบอยู่ห่างออกไปจากสายตาผู้คน ร่างสูงในเสื้อโค้ทยาวสีดำสนิทนิ่งราวรูปปั้นในความมืด ใบหน้าเรียบเฉยไร้ชีวิตจิตใจ เหมือนหน้ากากหิน ดวงตาคมกริบซ่อนอยู่หลังแว่นกันแดดสีชา เขาไม่จำเป็นต้องขยับตัวเพื่อให้รู้ว่าเธอกำลังจะออกมา ทุกก้าว ทุกเวลา ถูกคำนวณไว้หมดแล้วนิ้วเรียวยาวยกขึ้นแตะหูฟังที่แนบแน่นข้างหู เสียงกระซิบที่แผ่วเบาจนแทบกลืนไปกับลมหายใจดังลอดออกมา“เธอกำลังออกมาแล้ว... เดินกลับลำพัง”ปลายสายเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงแห้งเย็น ราบเรียบราวใบมีดเหล็กเฉือนผ่านโลหะ“ติดตามไป — อย่าให้คลาดสายตา”เขาไม่พูดอะไรตอบกลับ แค่ขยับเท้าอย่างเงียบกริบ ฝีเท้าคำนวนมาอย่างพิถีพิถัน ห่างพอไม่ให้สะดุดตา แต่ใกล้พอจะ “จัดการ” ได้ในเสี้ยววินาที หากมีคำสั่งตกลงมาเขาไม่พูด ไม่เผลอแสดงอารมณ์ ไม่แม้แต่หายใจแรง แค่เดิน แค่เฝ้ามอง ด้วยสายตาเย็นเฉียบของนักล่าที่มั่นใจว่าเหยื่อไม่มีวันหนีรอดในมือของเขา หน้าจอโทรศัพท์เรืองแสงจาง ๆ แสดงภาพถ่ายหญิงสาวคนหนึ่ง พร้อมเวลา ตำแหน่ง และข้อความที่ติดแท็กไว้ชัดเจน“เป้าหมายสำคัญ — ห้ามทำร้าย จนกว่าจะได้รับคำสั่งจากอองเดร”เข
เสียงล้อรถเสียดสีกับกรวดหน้าบ้านพักดังขึ้นเบา ๆ ก่อนที่รถจะหยุดสนิท ลูคัสไม่รอให้เครื่องดับ เขาผลักประตูออกแล้วก้าวพรวดลงจากรถอย่างร้อนใจ"เลโอล่ะ?" เสียงเขาเต็มไปด้วยความกระวนกระวายใจ คำถามถูกปล่อยออกไปทันทีที่เขาเห็น กลุ่มลูกน้องยืนรวมกันอยู่ตรงระเบียงบ้าน เนื้อตัวมอมแมมด้วยคราบเขม่าควันและรอยเปื้อนดำจากเหตุไฟไหม้ร้านขายอุปกรณ์ตกปลาเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนลูกน้องเหลือบตามองกันเลิ่กลั่ก ก่อนที่คนหนึ่งจะตอบด้วยน้ำเสียงขื่นขม “ไม่รู้ครับ อยู่ดีๆ ก็หายไปเลย”คำตอบนั้นเหมือนค้อนทุบซ้ำลงกลางอก ลูคัสกัดฟันกรอด ดวงตาแข็งกร้าวราวกับเหล็กเย็น เขาไม่พูดอะไรอีก หันหลังเดินนำไปยังทางลับที่มุ่งสู่ห้องใต้ดิน เหล่าลูกน้องรีบลุกขึ้นเดินตามอย่างไม่มีใครกล้าเอ่ยคำบรรยากาศในบ้านพักเงียบงันจนได้ยินเสียงลมหายใจตัวเอง ผนังเก่าข้างบันไดที่ทอดลงสู่ชั้นล่าง ดูคล้ายจะกลืนซ่อนเสียงกระซิบจากอดีตไว้ใต้ฝุ่นและกาลเวลา ลูคัสดันประตูเหล็กเปิดออก เสียงบานพับเก่า ๆ ครางเบา ๆ ขณะเขาก้าวลงไปแสงจากหลอดไฟดวงเล็กฉายเงาทาบบนใบหน้าของเขา เงาที่เต็มไปด้วยแรงกดดัน และความตึงเครียดที่ยากจะกลั้นในห้องใต้ดิน อาวุธหลากหลายชนิดวา
ทนายเจมส์ขับรถหรูเทียบจอดหน้า ศาลประจำจังหวัดเสียงเครื่องยนต์เงียบสนิทในขณะที่รถสปอร์ตสีดำมันวาวจอดหน้าอาคารราวกับภาพในภาพยนตร์ เช้าวันนี้... ท้องฟ้าเมฆหนาครึ้มปกคลุมราวกับบอกลางร้าย บรรยากาศคล้ายลมหายใจของใครบางคนที่อัดแน่นไปด้วยแรงกดดัน เมฆหนาทึบแผ่ซ่านทั่วอาคารคอนกรีตสีซีด พื้นผิวเย็นเฉียบราวกับไม่มีชีวิตเสียงผู้คนจอแจหน้าอาคารศาลดังก้อง ความคุกรุ่นของความคาดหวังและความเครียดปะปนกันในอากาศรอบตัว ราวกับแม้แต่ออกซิเจนก็ถูกชำแหละด้วยสายตาและคำถามที่ยังไม่มีคำตอบสายตาหลายคู่จ้องมายังถนนทางเข้า ราวกับรอคอย "ใครบางคน" วันนี้คือวันตัดสินคดี คดีที่เป็นข่าวฉาวของสังคม เขา...ในฐานะ ทนายฝ่ายจำเลย ยืนอยู่กึ่งกลางระหว่างความจริงและความหวังของผู้คน ถูกกลุ่มลูกบ้านรวมตัวกันฟ้องร้องอย่างเอาเป็นเอาตาย กล่าวหา เสียดแทงแต่เขาไม่สั่นไหว... ไม่เคยเลยและวันนี้—ศาลจะชี้ขาด ไม่ใช่แค่ชะตากรรมของลูกความ แต่รวมถึงชื่อเสียงของเขา...ฝูงนักข่าวยืนดักรอราวกับฝูงหมาป่าล้อมเหยื่อ มือกำไมค์แน่น กล้องตั้งเรียงราย คำถามพร้อมถูกปล่อยทันทีที่เห็นเป้าหมายแต่เจมส์ยังไม่ลงจากรถ เขานั่งนิ่ง นิ่งจนภายในรถ
“จัดการได้เลย...” เสียงคำสั่งแผ่วต่ำแต่เปี่ยมด้วยอำนาจ แทรกผ่านสัญญาณไร้สาย ส่งตรงถึงเงามืดใต้ต้นไม้ใหญ่หน้า ร้าน แอลฟิชชิ่งช้อป ในความมืดนั้น ร่างสูงในชุดดำแนบสนิทกับเงา ดวงตาเขาเย็นเฉียบ จ้องเป้าหมายตรงหน้าไม่กะพริบ ไม่มีความลังเล ไม่มีคำถาม มีแต่ "คำสั่ง" ที่ต้องทำให้เสร็จภายนอก...ดูเงียบงันเหมือนป่าที่ไร้ลม แต่ภายในร่างชายชุดดำ ไฟแค้นลุกไหม้ราวภูเขาไฟใกล้ระเบิด หัวใจเต้นเป็นจังหวะรอการลงมือ เขารอเวลานี้มานาน... เวลาที่จะลบศัตรูทั้งร้านนี้ไปจากแผนที่ไฟแช็กอยู่ในมือ เชื้อเพลิงวางเรียงรายรอบร้านและลังสินค้า ระเบิดตั้งเวลาแอบไว้หลังถังแก๊สคืนนี้...มันจะกลายเป็นแค่ซากเถ้าถ่านแต่ทันใดนั้น—เสียงฝีเท้าแผ่วเบาดังขึ้นจากปลายถนน ในความเงียบของยามเช้ามืด เสียงรองเท้ากระทบกับพื้นคอนกรีตชื้นจากน้ำค้าง กลายเป็นจังหวะที่ฟังดู...ไม่ธรรมดา กึก... กึก... กึก...เลโอ เดินกลับมา แสงไฟถนนสลัวสีส้มทอดเงาเขายาวเหยียดบนทางเท้า อากาศเย็นเฉียบ ราวกับลมหายใจของเมืองกำลังกลั้นไว้บางอย่างเขาหรี่ตามองไปข้างหน้า เห็นเงาร่างหนึ่งยืนหลบมุมใกล้ร้าน ชายคนหนึ่ง... ท่าทางไม่คุ้น ยืนนิ่งเหมือนก
“ด่วนเลยค่ะ ไปสนามบินด่วนค่ะ” เธอย้ำอีกครั้งด้วยน้ำเสียงสั่นนิดๆ แต่หนักแน่นพอที่จะทำให้คนขับไม่ถามอะไรอีกทันทีที่รถเคลื่อนตัว อากาศในรถก็เหมือนจะหยุดนิ่ง ทุกอย่างเงียบเฉียบจนน่าขนลุก เสียงลมหายใจของแอลซ่าเบาแต่หนักอึ้ง คล้ายกับความกังวลที่ก่อตัวในอก ………….เธอมองออกไปนอกหน้าต่าง ถนนที่รถกำลังแล่นผ่านดูแปลกตา… ไม่ใช่เส้นทางที่ควรจะไปสนามบินแน่ๆหัวใจของเธอกระตุกวูบ มือที่วางบนตักกำแน่นจนเล็บจิกผิว “ไม่ใช่ทางนี้นิ...” เธอพูดเสียงแผ่ว แต่ชัดเจนพอให้คนขับได้ยินไม่มีคำตอบเธอขยับตัวนิดหน่อย มองไปยังกระจกหน้าอีกครั้ง ถนนยังคงทอดยาวไปในทางที่เธอไม่รู้จัก “ไป...ทางนั้นสิ” เธอพยายามควบคุมน้ำเสียง ไม่ให้สั่นไหวรถยังคงแล่นต่อ โดยไม่มีการชะลอหรือเปลี่ยนทิศทาง“ฉันบอกให้จอด!” ครั้งนี้เสียงของเธอเข้มขึ้น แฝงด้วยความหวาดกลัวและสัญชาตญาณเอาตัวรอดเงียบ...ความเงียบที่ตามมาทำให้ทุกอย่างดูอันตรายขึ้นทันตา ความเย็นวาบไหลผ่านสันหลังของเธอ ราวกับเธอกำลังก้าวเข้าสู่บางสิ่งที่ไม่มีทางย้อนกลับชายคนนั้นยังคงเงียบสนิท เขาไม่พูด ไม่ตอบแม้แต่คำเดียวรถแล่นผ่านทางแยกที่ควรจะเลี้ยวไปสนามบิน...แต่เขากลั
รถกระบะจอดนิ่งอยู่หน้าร้าน แอลฟิชชิ่ง ช็อป แสงไฟหน้ารถสาดสะท้อนกระจกหน้าร้านเป็นเงาวูบวาบไหวไปมาในความมืด แต่เลโอไม่แม้แต่จะเหลือบตามองเข้าไปในร้านขายอุปกรณ์ตกปลาแห่งนั้นเลยสักนิดเขาเปิดประตูรถด้วยท่าทางร้อนรน ลมกลางคืนพัดวูบพาไอเย็นกระทบผิวกาย กลิ่นชื้นของทะเลลอยแผ่วมากับลม แต่เขาไม่หยุดสูด กลับเดินมุ่งหน้าตรงไปยังบ้านหลังหนึ่ง ที่เขาแน่ใจ—หรืออย่างน้อยก็หวัง—ว่ามันคือบ้านของอิมิลี่ก้าวเท้าหนักแน่นแต่แฝงความลังเล ทุกย่างก้าวดังชัดเจนในความเงียบงัน หัวใจเขาเต้นถี่แรงเหมือนจะระเบิดออกจากอก ความรู้สึกบางอย่างบีบคั้นอยู่ในอก ทั้งกลัว ทั้งหวัง ทั้งเจ็บเขาหยุดอยู่ตรงหน้าประตูบ้าน ยกมือขึ้นเคาะประตูแผ่วเบา—ครั้งหนึ่ง แล้วอีกครั้งไร้เสียงตอบรับ
ภายในห้องนอนที่เงียบงัน แสงจากโคมไฟหัวเตียงส่องสว่างเพียงเล็กน้อย เงาของเฟอร์นิเจอร์ทอดยาวบนผนังราวกับคอยเฝ้ามองความเงียบของค่ำคืนเลโอ นั่งกุมขมับอยู่ปลายเตียงคิ้วขมวดแน่น ดวงตาหนักอึ้งจากความเหนื่อยล้า — เพราะไม่อาจสลัดความกังวลออกจากใจได้ เรื่องของอิมิลี่เมื่อวันก่อนยังวนเวียนไม่จางหาย ยิ่งเวลาผ่านไป ความรู้สึกไม่สบายใจก็ยิ่งทวีคูณเขาเดินช้า ๆ ออกไปยังห้องทำงานเล็ก ๆ ที่ลูคัสใช้เป็นฐานวางแผน ภายในห้องมีเพียงแสงสลัวจากไฟเหนือโต๊ะทำงาน และเสียงกระดาษพลิกเบา ๆ ลูคัสนั่งนิ่ง จ้องแผนงานตรงหน้าราวกับใช้มันเป็นกำแพงกั้นโลกภายนอกเลโอหยุดยืนอยู่ตรงขอบโต๊ะ สูดหายใจลึก ก่อนเอ่ยขึ้นเสียงเบาแต่ชัด “เลโอ มีอะไรเหรอ?” ลูคัสถาม โดยที่สายตายังไม่ละจากแผน“ทำไมนายไม่พักผ่อนล่ะ อีกไม่กี่ชั่วโมงก็ต้องไปที่ร้าน ลูกน้องก็รออยู่”เลโอไม่ตอบทันที เขาเงียบ... แววตาลังเล แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจเอ่ยออกมา“นายคิดยังไงกับอิมิลี่... กับเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น?”คำถามนั้นแขวนค้างกลางอากาศ ราวกับทำให้ห้องทั้งห้องเงียบกริบไปชั่วขณะลูคัสชะงัก ปลายนิ้วที่แตะแผนงานแน่นขึ้นเล็กน้อย ก่อนตอบเสียงเรียบ “มันเป็น... อ
ตรู๊ด… ตรู๊ด… ตรู๊ด… เสียงรอสายดังขึ้นท่ามกลางความเงียบทนายสมศักดิ์ยกมือถือแนบหู ดวงตาเต็มไปด้วยแรงกดดันที่ยังไม่คลาย เขาต่อสายหาทนายเจมส์ — สามีของอิมิลี่ และคนเดียวที่อาจรู้ว่าเธออยู่ที่ไหน แต่ปลายสายกลับนิ่งงัน ไร้การตอบรับที่บาร์หรูใจกลางเมืองเจมส์นั่งอยู่เพียงลำพัง แสงไฟโทนส้มสะท้อนลงบนใบหน้าเคร่งเครียด เสียงแจ๊สคลอเบา ๆ จากลำโพงในมุมห้อง เขาจ้องแก้ววิสกี้ตรงหน้าอย่างไร้จุดหมาย โทรศัพท์มือถือบนโต๊ะสั่นเบา ๆ เมื่อเบอร์แปลกปรากฏขึ้นบนหน้าจอ แต่เจมส์ไม่ได้แม้แต่จะเหลือบมอง ดวงตาเขาแดงก่ำ ราวกับไม่ได้หลับมาเป็นคืนที่สามแล้ว เขาสูดลมหายใจลึก — เหมือนพยายามยึดตัวเองไว้กับความเป็นจริง แต่ภายในหัว... วนเวียนอยู่กับสิ่งเดียว"พรุ่งนี้... ที่ศาล"วันตัดสิน ไม่ว่าจะเป็นชัยชนะหรือจุดจบเขายกแก้วขึ้นจิบช้า ๆ ปล่อยให้รสขมไหลลงคอราวกับกลืนคำโกหกที่เขาสร้างขึ้นทีละชั้นมือถือยังคงสั่น... แต่เขาแค่เหลือบตามอง ก่อนปล่อยให้มันเงียบหายไปในที่สุด …แต่ในขณะที่เวลานี้ อิมิลี่ ยังจมอยู่กับความมืดมิด กลิ่นอับชื้นของโกดังเก่าและฝุ่นผงตลบอบอวล อองเดรศัตรูของลูคัส ลากอิมิลีเข้ามาในความเงียบอันเย็นเย
ที่หัวมุมถนนชายคนหนึ่งยืนเงียบอยู่ห่างออกไปจากสายตาผู้คน ร่างสูงในเสื้อโค้ทยาวสีดำสนิทนิ่งราวรูปปั้นในความมืด ใบหน้าเรียบเฉยไร้ชีวิตจิตใจ เหมือนหน้ากากหิน ดวงตาคมกริบซ่อนอยู่หลังแว่นกันแดดสีชา เขาไม่จำเป็นต้องขยับตัวเพื่อให้รู้ว่าเธอกำลังจะออกมา ทุกก้าว ทุกเวลา ถูกคำนวณไว้หมดแล้วนิ้วเรียวยาวยกขึ้นแตะหูฟังที่แนบแน่นข้างหู เสียงกระซิบที่แผ่วเบาจนแทบกลืนไปกับลมหายใจดังลอดออกมา“เธอกำลังออกมาแล้ว... เดินกลับลำพัง”ปลายสายเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงแห้งเย็น ราบเรียบราวใบมีดเหล็กเฉือนผ่านโลหะ“ติดตามไป — อย่าให้คลาดสายตา”เขาไม่พูดอะไรตอบกลับ แค่ขยับเท้าอย่างเงียบกริบ ฝีเท้าคำนวนมาอย่างพิถีพิถัน ห่างพอไม่ให้สะดุดตา แต่ใกล้พอจะ “จัดการ” ได้ในเสี้ยววินาที หากมีคำสั่งตกลงมาเขาไม่พูด ไม่เผลอแสดงอารมณ์ ไม่แม้แต่หายใจแรง แค่เดิน แค่เฝ้ามอง ด้วยสายตาเย็นเฉียบของนักล่าที่มั่นใจว่าเหยื่อไม่มีวันหนีรอดในมือของเขา หน้าจอโทรศัพท์เรืองแสงจาง ๆ แสดงภาพถ่ายหญิงสาวคนหนึ่ง พร้อมเวลา ตำแหน่ง และข้อความที่ติดแท็กไว้ชัดเจน“เป้าหมายสำคัญ — ห้ามทำร้าย จนกว่าจะได้รับคำสั่งจากอองเดร”เข
อิมิลี่จ้องลูคัสนิ่ง แววตาเธอเต็มไปด้วยคำถามที่ยังรอคำตอบ แต่เขาเงียบ เงียบจนหัวใจเธอแทบได้ยินเสียงตัวเองเต้นเธอค่อย ๆ เลื่อนสายตาไปยังลังไม้ที่ตั้งเรียงรายอยู่ข้างหลัง กล่องพวกนั้นพร้อมจะถูกขนย้ายในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า บางอย่างในท่าทางของลูคัส... ทำให้เธอรู้ มันไม่ใช่แค่การขนของธรรมดาทันใดนั้น ลูคัสเหลียวไป ลูกน้องของเขาเดินออกมาจากมุมเงามืด ใบหน้าตึงเครียด น้ำเสียงเร่งรีบ“ลูคัส... สายของเรารายงานว่า มีสายสืบซุ่มอยู่ใกล้ท่าเรือ เราอาจต้องเปลี่ยนแผน”ลูคัสพยักหน้าเพียงเล็กน้อย แต่ อิมิลี่ได้ยินทุกอย่างชัดเจน แม้เขาจะยังไม่พูดตรง ๆ แต่เธอเข้าใจแล้ว ว่าเขากำลังพาตัวเองเข้าไปในธุรกิจที่อันตราย... และมันจริงกว่าที่เธอเคยกลัว“เธอต้องกลับไปนะ อิมิลี่ อย่าเข้ามายุ่งกับเรื่องนี้เลย” ลูคัสพูดขึ้นในที่สุด เสียงของเขาไม่ใช่การไล่... แต่เป็นการปกป้องอิมิลี่ขยับเข้าไปเพียงก้าวเดียว แววตาแข็งกร้าวกว่าเดิม “คุณเคยสัญญาแล้วไม่ใช่เหรอ... ว่าจะไม่กลับไปยุ่งกับธุรกิจพวกนี้อีก”เขาเงียบไปอึดใจ แล้วเบือนสายตาหนี คำตอบของเขาคือความเงียบ และมันเจ็บยิ่งกว่าคำพูดใด“คุณต้องกลับไปนะ อยู่ห่าง