อิมิลี่ก้าวลงจากรถแท็กซี่อย่างช้า ๆ ปล่อยให้เสียงประตูปิดลงตามหลัง ราวกับเป็นสัญญาณว่าทางเลือกของเธอได้ถูกตัดสินไปแล้ว "ปัง"เสียงของประตูนั้นช่างหนักแน่นกว่าที่ควรจะเป็น หรือบางทีอาจเป็นเพราะหัวใจของเธอที่เต้นแรงจนทุกอย่างรอบตัวดูชัดเจนเกินไปเธอยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ลมหายใจสะดุดติดอยู่กลางอก ดวงตาจ้องไปยังบ้านสีขาวหลังเดิม บ้านที่เคยเป็นเหมือนโลกทั้งใบของเธอ — โลกที่อบอวลด้วยเสียงหัวเราะ และความอบอุ่นที่โอบล้อมเธอไว้เสมอแสงไฟสีเหลืองนวลที่ส่องลอดผ่านผ้าม่านบาง ๆ เคยให้ความรู้สึกเชื้อเชิญและปลอดภัย ทว่าวันนี้กลับดูห่างเหินจนแปลกตา เสียงพูดคุยแว่วมาเบา ๆ ผสานไปกับเสียงหัวเราะที่ลอยมาตามสายลม เสียงเหล่านั้นควรทำให้เธอรู้สึกสบายใจ แต่กลับกลายเป็นเสียงที่ย้ำเตือนว่าเธอเป็นเพียงคนนอก — คนแปลกหน้าที่ยืนอยู่ผิดที่ผิดทางภาพเงาตะคุ่มของผู้คนเคลื่อนไหวไปมาอย่างมีชีวิตชีวา หากเป็นเมื่อก่อน เธอคงเดินเข้าไปร่วมวงด้วยรอยยิ้ม แต่ตอนนี้ ทุกอย่างดูราวกับกำลังดำเนินต่อไปโดยไม่มีเธอ... ในขณะที่เธอเองกลับยังติดอยู่กับความรู้สึกหนักอึ้งราวกับหินที่ถ่วงหัวใจสายตาของเธอหยุดลงที่ลูกโป่งสีพาสเทลที่ผูกประดับอ
บรรยากาศในห้องครัวอึดอัดเสียจนเหมือนอากาศรอบตัวหนาหนักขึ้นทุกขณะ อิมิลี่ยืนตัวแข็งทื่อ ใบหน้าพยายามเก็บซ่อนความรู้สึก แต่แววตากลับฟ้องชัดถึงความกระอักกระอ่วนที่เอ่อล้นออกมาความเงียบที่ปกคลุมถูกทำลายลงเมื่อเสียงเรียกดังขึ้นจากทางเดิน"อิมิลี่..."เธอหันไปตามเสียง ลูคัสปรากฏตัวขึ้น ดวงตาของเขามองข้ามเธอไปยังเลโอ ก่อนจะตวัดกลับมามองเธออีกครั้ง สีหน้าของเธอเต็มไปด้วยกระวนกระวายที่ปิดไม่มิดลูคัสละสายตากลับมาที่เลโออีกครั้ง ก่อนจะหันกลับไปมองอิมิลี่ใหม่ สายตาของเขาไล่สลับไปมาระหว่างทั้งสองคนช้า ๆ ราวกับกับพยายามประเมินสถานการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้า แล้วเขาก็สัมผัสได้ถึงความตึงเครียดที่แผ่ซ่าน "เออ อิมิลี่..." ในที่สุดลูคัสจึงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงเล็กน้อย ราวกับกำลังพยายามจะทำให้บรรยากาศคลี่คลาย"นี่คือเลโอ... น้องชายผม"คำพูดนั้นทำให้ คิ้วของอิมิลี่ขยับชิดกันแน่น"น้องชาย?" เธอทวนคำเสียงแผ่ว ดวงตาฉายแววงุนงง"ใช่..." ลูคัสพยักหน้าเบา ๆ "เราจากกันตั้งแต่เลโออายุแค่สามขวบ เขาไปอยู่กับญาติที่ต่างประเทศ... เพื่อรักษาตัว"เพื่อรักษาตัว...หัวใจของอิมิลี่กระตุกวูบขึ้นมาทันที ราวกับคำพูด
อิมิลี่ก้าวออกจากงานเลี้ยงพร้อมลูคัส สายลมยามค่ำคืนพัดวูบเข้ามาปะทะผิวกาย ความเย็นเยือกแทรกซึมจนเธอเผลอยกแขนกอดตัวเองไว้โดยไม่รู้ตัวลูคัสเหลือบมองเธอ ดวงตาเต็มไปด้วยความห่วงใย แม้ริมฝีปากจะปิดสนิทไม่เอ่ยคำใด แต่ท่าทางของเขากลับสื่อความรู้สึกออกมาอย่างชัดเจน เขาเลื่อนมือถอดเสื้อคลุมของตัวเองออก ก่อนจะวางลงบนไหล่ของเธออย่างแผ่วเบา“ขอบคุณค่ะ...” อิมิลี่พูดเสียงแผ่ว รอยยิ้มบาง ๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้า แม้มันจะจางจนแทบมองไม่เห็น แต่ก็พอให้ลูคัสรับรู้ได้ว่าเธอรู้สึกขอบคุณจริง ๆแม้บ้านของอิมิลี่จะอยู่ไม่ไกลนัก แต่ลูคัสก็ยืนยันจะไปส่งให้ถึงที่พักอย่างปลอดภัยแต่ตลอดทางกลับบ้าน ภายในรถเงียบสนิทราวกับทุกอย่างหยุดนิ่ง มีเพียงเสียงเครื่องยนต์ที่ดังแผ่วเบา อิมิลี่นั่งนิ่ง ดวงตาจ้องมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างเหม่อลอย ทว่าสิ่งที่ไหลวนอยู่ในความคิดของเธอกลับวุ่นวายเสียจนไม่อาจหาจุดพักภาพของเลโอผุดขึ้นมาในความคิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า แววตาของเขาในวันนี้เต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมและความลึกลับ — แตกต่างจากวันแรกที่เธอเคยพบเขาโดยสิ้นเชิง ราวกับเป็นคนละคนความคิดวกกลับไปถึงเรื่องการหย่าร้างกับเจมส์ การฟ้องร้องที่กำลังจะ
เจมส์จ้องลูคัสเขม็ง ดวงตาแดงก่ำราวเปลวเพลิงที่พร้อมเผาผลาญทุกสิ่งรอบตัว ลมหายใจของเขากระชั้นถี่ ร่างสูงขยับเข้าประชิดจนลูคัสสัมผัสได้ถึงความร้อนจากร่างที่สั่นสะท้านด้วยแรงโทสะ“มึงจะเอายังไง?” เสียงของเจมส์แข็งกร้าว ราวกับจะท้าทายให้สถานการณ์ลุกลามลูคัสขบกรามแน่น ก่อนจะตัดสินใจผลักเจมส์ออกไปเต็มแรง ร่างนั้นเซถลาไปด้านหลัง แต่ยังไม่ทันตั้งตัว เจมส์ก็กระโจนกลับมาพร้อมหมัดที่พุ่งเข้าใส่ใบหน้าของลูคัสเต็มแรง เสียงกระแทกดังสนั่น ริมฝีปากของลูคัสแตกเป็นทางยาว เลือดสีแดงสดไหลซึมออกมา เขายกหลังมือปาดมันออกอย่างไม่ใส่ใจ ก่อนจะพุ่งสวนกลับด้วยหมัดอัดเข้าชายคางเจมส์อย่างจังเสียงร่างกระแทกพื้นดังสนั่น เจมส์นอนแน่นิ่งไปชั่วขณะก่อนจะดันร่างขึ้นอีกครั้ง"หยุดเถอะ! พอได้แล้ว!" อิมิลี่ร้องเสียงสั่นพลางถลันเข้ามาแทรกกลางระหว่างทั้งคู่ น้ำตาคลอเบ้าด้วยความหวาดหวั่นแต่เจมส์กลับไม่ฟัง เขาปัดมืออิมิลี่ออกอย่างแรงจนเธอเซถอยไป ราวกับแรงโกรธนั้นกำลังแผดเผาสติสัมปชัญญะของเขาจนมอดไหม้ ร่างเขาสั่นสะท้านเหมือนภูเขาไฟที่ปะทุอยู่ภายใน เขาเดินโซเซไปที่รถ กัดฟันแน่นจนกรามขึ้นสันนูน“เจมส์ ได้โปรด…” อิมิลี่อ้อนวอนเส
แม้ในใจของเจมส์จะยังคงพร่ำบอกให้ตัวเองมีความหวัง เพื่อเริ่มต้นใหม่กับอิมิลี่อีกครั้งและยอมรับบุตรในครรภ์ แต่ลึก ๆ แล้วเขาก็รู้ดีว่ามันแทบจะไม่มีหวังเลยสักนิด เพราะสายตาของเธอที่มองเขาในวันนี้นั้น...ช่างว่างเปล่าและเย็นชาเกินกว่าจะหวนคืนได้ แต่ถึงกระนั้น ความค้างคาใจในบางเรื่องก็ทำให้เขาอยู่เฉยไม่ได้ เท้าของเจมส์ยังคงกดลงบนคันเร่ง เส้นทางข้างหน้าเลือนรางในม่านหมอก แต่ในอกของเขากลับร้อนรุ่มดั่งเปลวเพลิงมือที่กุมพวงมาลัยสั่นเล็กน้อย แม้เขาจะพยายามทำให้ตัวเองสงบที่สุด แต่หัวใจที่เต้นระรัวกลับไม่ยอมเชื่อฟังทันทีที่รถจอดเทียบ ฟ้ายังไม่ทันสางดี เจมส์ก้าวลงจากรถอย่างเร่งร้อน เขาเดินไปยืนหน้าประตูบ้านด้วยหัวใจที่เต้นโครมคราม ปลายนิ้วจิ้มกริ่งด้วยแรงที่มากกว่าปกติติ๊ง...ต๊อง... ติ่งต้อง...เสียงกริ่งดังก้องไปทั่วบ้าน ความเงียบงันแผ่ปกคลุมอยู่ครู่หนึ่งก่อนเสียงฝีเท้าลากครืดคราดไปตามพื้นดังขึ้นคลิก...ประตูแง้มเปิดออก เผยให้เห็นแอลซ่าในชุดนอนยืนอยู่ตรงหน้า ดวงตาเธอปรือปรอยด้วยอาการสะลึมสะลือ แต่ทันทีที่เห็นใบหน้าของเจมส์ สีหน้าของเธอเปลี่ยนไปทันทีเจมส์ไม่พูดอะไรทั้งนั้น เขาแทรกตัวผ่านประตูอ
สายลมกรรโชกแรงพัดป้ายชื่อ สำนักงานทนายความสมศักดิ์ ให้สั่นไหวไปมา เสียงโลหะเสียดสีกันแผ่วเบา กลิ่นฝนฟุ้งกระจาย อากาศหนักอึ้งราวกับพายุที่กำลังใกล้เข้ามา เมฆครึ้มปกคลุมฟ้า สีเทาหม่นทาบทับบรรยากาศปอยผมบางเส้นปลิวตวัดผ่านแก้มของ อิมิลี่ แต่เธอแทบไม่ใส่ใจ ดวงตาสีเข้มจ้องเข็มนาฬิกาบนข้อมือที่ขยับเข้าใกล้ สิบโมง ทุกที แม้ภายนอกจะดูสงบนิ่ง ทว่าภายในใจของเธอคล้ายมีพายุหมุนอยู่ตลอดเวลาเธอสูดลมหายใจลึก พยายามข่มอาการประหม่า… ทุกอย่างต้องจบในวันนี้มือเรียวเอื้อมไปผลักประตูกริ๊ง…เสียงกระดิ่งดังขึ้นแผ่วเบา ทว่าในความเงียบของสำนักงาน เสียงนั้นกลับดังก้องอยู่ในใจเธอ หัวใจของอิมิลี่เต้นกระหน่ำจนแทบจะได้ยินชัดเจนภายในสำนักงานนั้นเย็นเยียบ หญิงวัยกลางคนใบหน้าตึงเงยหน้าขึ้นทันทีที่เธอก้าวเข้ามา ไม่มีแววประหลาดใจในสายตา… ราวกับเธอถูกคาดการณ์ไว้อยู่แล้ว“สวัสดีค่ะ ดิฉันอิมิลี่ นัดกับทนายไว้ตอนสิบโมง”เสียงของเธอมั่นคง แต่ฝ่ามือที่กำแน่นข้างลำตัวกลับเผยความสั่นไหวที่เธอพยายามเก็บงำสายตาของพนักงานนิ่งเฉียบ มองเธอราวกับกำลังมองทะลุผ่านทุกเกราะกำบัง ทุกบาดแผลที่เธอแบกรับไว้ ความเจ็บปวดที่ถูกซุกซ่อนไว้ใ
บรรยากาศในห้องประชุมใหญ่ของบริษัทอสังหาริมทรัพย์เคร่งขรึมกว่าทุกครั้ง ทุกคนจ้องไปที่เอกสารกองโตตรงหน้า เสียงสนทนาเกี่ยวกับหัวข้อการฟ้องร้องค่าเสียหายจากลูกบ้านดังขึ้นเป็นระยะ เพื่อเตรียมรับมือก่อนถึงวันพิจารณาคดีที่กำลังใกล้เข้ามาหัวหน้าฝ่ายกฎหมายขมวดคิ้วแน่น น้ำเสียงจริงจัง ทุกคำพูดของเขาถูกจดบันทึกไว้เป็นหลักฐานเพื่อใช้ในชั้นศาล แต่ในมุมหนึ่งของห้องประชุม…เจมส์และแอลซ่าแทบไม่ได้ยินอะไรเลยพวกเขานั่งตัวตรง หน้าตาเรียบนิ่งเหมือนคนมีสมาธิ แต่ภายในใจกลับปั่นป่วนราวกับพายุโหมกระหน่ำเสียงโทรศัพท์สั่นถี่ในกระเป๋า การแจ้งเตือนเด้งขึ้นมาไม่หยุด โลกออนไลน์… กำลังเดือดดาลแอลซ่ารู้สึกถึงแรงกดดันรอบตัวมันหนักจนแทบหายใจไม่ออก เสียงเอกสารที่พลิกไปมา… เสียงข้อโต้แย้งที่ถกเถียงกัน… ทุกคำพูดแทรกเข้ามาในหูเธอ ราวกับเป็น เสียงของสังคมด้านนอก เสียงของคนทั้งโลก… ที่กำลังขุดลึกถึงอดีตของเธออดีต… ที่เธอพยายามก้าวข้ามมาโดยตลอด อดีต… ที่เธอทำทุกอย่างเพื่อให้มีที่ยืนในสังคมจนถึงวันนี้แต่ตอนนี้... เธอกำลังทำลายทุกอย่างลงด้วยมือของตัวเอง เพียงเพราะความลุ่มหลงมัวเมาที่กลืนกินสติ สิ่งที่เธอเคยสร้าง
ภายในสำนักงานทนายความในห้องของ ทนายสมศักดิ์ บรรยากาศเย็นเฉียบจากเครื่องปรับอากาศตัดกับความร้อนรนที่ก่อตัวขึ้นในใจ อิมิลี่เธอนั่งตรงข้ามทนาย สนทนากันได้สักพัก ความกดดันที่เคยบีบรัดเริ่มคลายลง ลมหายใจที่เคยติดขัดค่อยๆ กลับมาเป็นปกติ แต่ถึงกระนั้น ลึกลงไปในใจ... มันกลับไม่สงบตามร่างกายเธอเอื้อมมือล้วงเข้าไปในกระเป๋าสะพาย ปลายนิ้วสัมผัสกับแผ่นกระดาษยับยู่ยี่—เบอร์โทรของแอลซ่ามันไม่ใช่กระดาษธรรมดา มันผ่านเหตุการณ์ที่เธออยากลืม... วันที่ถูก หญิงสองคนทำร้าย เบอร์นี้เคยหล่นกระแทกพื้นเช่นเดียวกับตัวเธอ แต่เธอเก็บมันขึ้นมา เพราะมันคือ จิ๊กซอว์อีกหนึ่งตัวของความจริงแต่เมื่อปลายนิ้วสัมผัสกองเอกสารและข้อมูลอื่นๆ ภาพบางอย่างก็พุ่งทะลวงเข้ามาในหัว ราวกับกระสุนแห่งอดีตที่ยิงทะลุความทรงจำร่างของเธอสะดุด...ภาพของเจมส์—อดีตสามีภาพใบหน้าที่บิดเบี้ยวไปด้วยโทสะ มือหนาของเขากระชากเธอจน มือถือหลุดจากมือ กระแทกลงบนพื้นแข็งเสียงมันร่วงดัง "เพล้ง!" ยังดังก้องอยู่ในความทรงจำ แต่ในตอนนั้น เธอไม่มีแม้แต่เสี้ยววินาทีที่จะก้มลงเก็บ...เธอลืมมันไปเลย...มือของเธอที่สัมผัสเอกสารหลักฐานเริ่มสั่นเล็กน้อย ดวงตาไ
เสียงล้อรถเสียดสีกับกรวดหน้าบ้านพักดังขึ้นเบา ๆ ก่อนที่รถจะหยุดสนิท ลูคัสไม่รอให้เครื่องดับ เขาผลักประตูออกแล้วก้าวพรวดลงจากรถอย่างร้อนใจ"เลโอล่ะ?" เสียงเขาเต็มไปด้วยความกระวนกระวายใจ คำถามถูกปล่อยออกไปทันทีที่เขาเห็น กลุ่มลูกน้องยืนรวมกันอยู่ตรงระเบียงบ้าน เนื้อตัวมอมแมมด้วยคราบเขม่าควันและรอยเปื้อนดำจากเหตุไฟไหม้ร้านขายอุปกรณ์ตกปลาเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนลูกน้องเหลือบตามองกันเลิ่กลั่ก ก่อนที่คนหนึ่งจะตอบด้วยน้ำเสียงขื่นขม “ไม่รู้ครับ อยู่ดีๆ ก็หายไปเลย”คำตอบนั้นเหมือนค้อนทุบซ้ำลงกลางอก ลูคัสกัดฟันกรอด ดวงตาแข็งกร้าวราวกับเหล็กเย็น เขาไม่พูดอะไรอีก หันหลังเดินนำไปยังทางลับที่มุ่งสู่ห้องใต้ดิน เหล่าลูกน้องรีบลุกขึ้นเดินตามอย่างไม่มีใครกล้าเอ่ยคำบรรยากาศในบ้านพักเงียบงันจนได้ยินเสียงลมหายใจตัวเอง ผนังเก่าข้างบันไดที่ทอดลงสู่ชั้นล่าง ดูคล้ายจะกลืนซ่อนเสียงกระซิบจากอดีตไว้ใต้ฝุ่นและกาลเวลา ลูคัสดันประตูเหล็กเปิดออก เสียงบานพับเก่า ๆ ครางเบา ๆ ขณะเขาก้าวลงไปแสงจากหลอดไฟดวงเล็กฉายเงาทาบบนใบหน้าของเขา เงาที่เต็มไปด้วยแรงกดดัน และความตึงเครียดที่ยากจะกลั้นในห้องใต้ดิน อาวุธหลากหลายชนิดวา
ทนายเจมส์ขับรถหรูเทียบจอดหน้า ศาลประจำจังหวัดเสียงเครื่องยนต์เงียบสนิทในขณะที่รถสปอร์ตสีดำมันวาวจอดหน้าอาคารราวกับภาพในภาพยนตร์ เช้าวันนี้... ท้องฟ้าเมฆหนาครึ้มปกคลุมราวกับบอกลางร้าย บรรยากาศคล้ายลมหายใจของใครบางคนที่อัดแน่นไปด้วยแรงกดดัน เมฆหนาทึบแผ่ซ่านทั่วอาคารคอนกรีตสีซีด พื้นผิวเย็นเฉียบราวกับไม่มีชีวิตเสียงผู้คนจอแจหน้าอาคารศาลดังก้อง ความคุกรุ่นของความคาดหวังและความเครียดปะปนกันในอากาศรอบตัว ราวกับแม้แต่ออกซิเจนก็ถูกชำแหละด้วยสายตาและคำถามที่ยังไม่มีคำตอบสายตาหลายคู่จ้องมายังถนนทางเข้า ราวกับรอคอย "ใครบางคน" วันนี้คือวันตัดสินคดี คดีที่เป็นข่าวฉาวของสังคม เขา...ในฐานะ ทนายฝ่ายจำเลย ยืนอยู่กึ่งกลางระหว่างความจริงและความหวังของผู้คน ถูกกลุ่มลูกบ้านรวมตัวกันฟ้องร้องอย่างเอาเป็นเอาตาย กล่าวหา เสียดแทงแต่เขาไม่สั่นไหว... ไม่เคยเลยและวันนี้—ศาลจะชี้ขาด ไม่ใช่แค่ชะตากรรมของลูกความ แต่รวมถึงชื่อเสียงของเขา...ฝูงนักข่าวยืนดักรอราวกับฝูงหมาป่าล้อมเหยื่อ มือกำไมค์แน่น กล้องตั้งเรียงราย คำถามพร้อมถูกปล่อยทันทีที่เห็นเป้าหมายแต่เจมส์ยังไม่ลงจากรถ เขานั่งนิ่ง นิ่งจนภายในรถ
“จัดการได้เลย...” เสียงคำสั่งแผ่วต่ำแต่เปี่ยมด้วยอำนาจ แทรกผ่านสัญญาณไร้สาย ส่งตรงถึงเงามืดใต้ต้นไม้ใหญ่หน้า ร้าน แอลฟิชชิ่งช้อป ในความมืดนั้น ร่างสูงในชุดดำแนบสนิทกับเงา ดวงตาเขาเย็นเฉียบ จ้องเป้าหมายตรงหน้าไม่กะพริบ ไม่มีความลังเล ไม่มีคำถาม มีแต่ "คำสั่ง" ที่ต้องทำให้เสร็จภายนอก...ดูเงียบงันเหมือนป่าที่ไร้ลม แต่ภายในร่างชายชุดดำ ไฟแค้นลุกไหม้ราวภูเขาไฟใกล้ระเบิด หัวใจเต้นเป็นจังหวะรอการลงมือ เขารอเวลานี้มานาน... เวลาที่จะลบศัตรูทั้งร้านนี้ไปจากแผนที่ไฟแช็กอยู่ในมือ เชื้อเพลิงวางเรียงรายรอบร้านและลังสินค้า ระเบิดตั้งเวลาแอบไว้หลังถังแก๊สคืนนี้...มันจะกลายเป็นแค่ซากเถ้าถ่านแต่ทันใดนั้น—เสียงฝีเท้าแผ่วเบาดังขึ้นจากปลายถนน ในความเงียบของยามเช้ามืด เสียงรองเท้ากระทบกับพื้นคอนกรีตชื้นจากน้ำค้าง กลายเป็นจังหวะที่ฟังดู...ไม่ธรรมดา กึก... กึก... กึก...เลโอ เดินกลับมา แสงไฟถนนสลัวสีส้มทอดเงาเขายาวเหยียดบนทางเท้า อากาศเย็นเฉียบ ราวกับลมหายใจของเมืองกำลังกลั้นไว้บางอย่างเขาหรี่ตามองไปข้างหน้า เห็นเงาร่างหนึ่งยืนหลบมุมใกล้ร้าน ชายคนหนึ่ง... ท่าทางไม่คุ้น ยืนนิ่งเหมือนก
“ด่วนเลยค่ะ ไปสนามบินด่วนค่ะ” เธอย้ำอีกครั้งด้วยน้ำเสียงสั่นนิดๆ แต่หนักแน่นพอที่จะทำให้คนขับไม่ถามอะไรอีกทันทีที่รถเคลื่อนตัว อากาศในรถก็เหมือนจะหยุดนิ่ง ทุกอย่างเงียบเฉียบจนน่าขนลุก เสียงลมหายใจของแอลซ่าเบาแต่หนักอึ้ง คล้ายกับความกังวลที่ก่อตัวในอก ………….เธอมองออกไปนอกหน้าต่าง ถนนที่รถกำลังแล่นผ่านดูแปลกตา… ไม่ใช่เส้นทางที่ควรจะไปสนามบินแน่ๆหัวใจของเธอกระตุกวูบ มือที่วางบนตักกำแน่นจนเล็บจิกผิว “ไม่ใช่ทางนี้นิ...” เธอพูดเสียงแผ่ว แต่ชัดเจนพอให้คนขับได้ยินไม่มีคำตอบเธอขยับตัวนิดหน่อย มองไปยังกระจกหน้าอีกครั้ง ถนนยังคงทอดยาวไปในทางที่เธอไม่รู้จัก “ไป...ทางนั้นสิ” เธอพยายามควบคุมน้ำเสียง ไม่ให้สั่นไหวรถยังคงแล่นต่อ โดยไม่มีการชะลอหรือเปลี่ยนทิศทาง“ฉันบอกให้จอด!” ครั้งนี้เสียงของเธอเข้มขึ้น แฝงด้วยความหวาดกลัวและสัญชาตญาณเอาตัวรอดเงียบ...ความเงียบที่ตามมาทำให้ทุกอย่างดูอันตรายขึ้นทันตา ความเย็นวาบไหลผ่านสันหลังของเธอ ราวกับเธอกำลังก้าวเข้าสู่บางสิ่งที่ไม่มีทางย้อนกลับชายคนนั้นยังคงเงียบสนิท เขาไม่พูด ไม่ตอบแม้แต่คำเดียวรถแล่นผ่านทางแยกที่ควรจะเลี้ยวไปสนามบิน...แต่เขากลั
รถกระบะจอดนิ่งอยู่หน้าร้าน แอลฟิชชิ่ง ช็อป แสงไฟหน้ารถสาดสะท้อนกระจกหน้าร้านเป็นเงาวูบวาบไหวไปมาในความมืด แต่เลโอไม่แม้แต่จะเหลือบตามองเข้าไปในร้านขายอุปกรณ์ตกปลาแห่งนั้นเลยสักนิดเขาเปิดประตูรถด้วยท่าทางร้อนรน ลมกลางคืนพัดวูบพาไอเย็นกระทบผิวกาย กลิ่นชื้นของทะเลลอยแผ่วมากับลม แต่เขาไม่หยุดสูด กลับเดินมุ่งหน้าตรงไปยังบ้านหลังหนึ่ง ที่เขาแน่ใจ—หรืออย่างน้อยก็หวัง—ว่ามันคือบ้านของอิมิลี่ก้าวเท้าหนักแน่นแต่แฝงความลังเล ทุกย่างก้าวดังชัดเจนในความเงียบงัน หัวใจเขาเต้นถี่แรงเหมือนจะระเบิดออกจากอก ความรู้สึกบางอย่างบีบคั้นอยู่ในอก ทั้งกลัว ทั้งหวัง ทั้งเจ็บเขาหยุดอยู่ตรงหน้าประตูบ้าน ยกมือขึ้นเคาะประตูแผ่วเบา—ครั้งหนึ่ง แล้วอีกครั้งไร้เสียงตอบรับ
ภายในห้องนอนที่เงียบงัน แสงจากโคมไฟหัวเตียงส่องสว่างเพียงเล็กน้อย เงาของเฟอร์นิเจอร์ทอดยาวบนผนังราวกับคอยเฝ้ามองความเงียบของค่ำคืนเลโอ นั่งกุมขมับอยู่ปลายเตียงคิ้วขมวดแน่น ดวงตาหนักอึ้งจากความเหนื่อยล้า — เพราะไม่อาจสลัดความกังวลออกจากใจได้ เรื่องของอิมิลี่เมื่อวันก่อนยังวนเวียนไม่จางหาย ยิ่งเวลาผ่านไป ความรู้สึกไม่สบายใจก็ยิ่งทวีคูณเขาเดินช้า ๆ ออกไปยังห้องทำงานเล็ก ๆ ที่ลูคัสใช้เป็นฐานวางแผน ภายในห้องมีเพียงแสงสลัวจากไฟเหนือโต๊ะทำงาน และเสียงกระดาษพลิกเบา ๆ ลูคัสนั่งนิ่ง จ้องแผนงานตรงหน้าราวกับใช้มันเป็นกำแพงกั้นโลกภายนอกเลโอหยุดยืนอยู่ตรงขอบโต๊ะ สูดหายใจลึก ก่อนเอ่ยขึ้นเสียงเบาแต่ชัด “เลโอ มีอะไรเหรอ?” ลูคัสถาม โดยที่สายตายังไม่ละจากแผน“ทำไมนายไม่พักผ่อนล่ะ อีกไม่กี่ชั่วโมงก็ต้องไปที่ร้าน ลูกน้องก็รออยู่”เลโอไม่ตอบทันที เขาเงียบ... แววตาลังเล แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจเอ่ยออกมา“นายคิดยังไงกับอิมิลี่... กับเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น?”คำถามนั้นแขวนค้างกลางอากาศ ราวกับทำให้ห้องทั้งห้องเงียบกริบไปชั่วขณะลูคัสชะงัก ปลายนิ้วที่แตะแผนงานแน่นขึ้นเล็กน้อย ก่อนตอบเสียงเรียบ “มันเป็น... อ
ตรู๊ด… ตรู๊ด… ตรู๊ด… เสียงรอสายดังขึ้นท่ามกลางความเงียบทนายสมศักดิ์ยกมือถือแนบหู ดวงตาเต็มไปด้วยแรงกดดันที่ยังไม่คลาย เขาต่อสายหาทนายเจมส์ — สามีของอิมิลี่ และคนเดียวที่อาจรู้ว่าเธออยู่ที่ไหน แต่ปลายสายกลับนิ่งงัน ไร้การตอบรับที่บาร์หรูใจกลางเมืองเจมส์นั่งอยู่เพียงลำพัง แสงไฟโทนส้มสะท้อนลงบนใบหน้าเคร่งเครียด เสียงแจ๊สคลอเบา ๆ จากลำโพงในมุมห้อง เขาจ้องแก้ววิสกี้ตรงหน้าอย่างไร้จุดหมาย โทรศัพท์มือถือบนโต๊ะสั่นเบา ๆ เมื่อเบอร์แปลกปรากฏขึ้นบนหน้าจอ แต่เจมส์ไม่ได้แม้แต่จะเหลือบมอง ดวงตาเขาแดงก่ำ ราวกับไม่ได้หลับมาเป็นคืนที่สามแล้ว เขาสูดลมหายใจลึก — เหมือนพยายามยึดตัวเองไว้กับความเป็นจริง แต่ภายในหัว... วนเวียนอยู่กับสิ่งเดียว"พรุ่งนี้... ที่ศาล"วันตัดสิน ไม่ว่าจะเป็นชัยชนะหรือจุดจบเขายกแก้วขึ้นจิบช้า ๆ ปล่อยให้รสขมไหลลงคอราวกับกลืนคำโกหกที่เขาสร้างขึ้นทีละชั้นมือถือยังคงสั่น... แต่เขาแค่เหลือบตามอง ก่อนปล่อยให้มันเงียบหายไปในที่สุด …แต่ในขณะที่เวลานี้ อิมิลี่ ยังจมอยู่กับความมืดมิด กลิ่นอับชื้นของโกดังเก่าและฝุ่นผงตลบอบอวล อองเดรศัตรูของลูคัส ลากอิมิลีเข้ามาในความเงียบอันเย็นเย
ที่หัวมุมถนนชายคนหนึ่งยืนเงียบอยู่ห่างออกไปจากสายตาผู้คน ร่างสูงในเสื้อโค้ทยาวสีดำสนิทนิ่งราวรูปปั้นในความมืด ใบหน้าเรียบเฉยไร้ชีวิตจิตใจ เหมือนหน้ากากหิน ดวงตาคมกริบซ่อนอยู่หลังแว่นกันแดดสีชา เขาไม่จำเป็นต้องขยับตัวเพื่อให้รู้ว่าเธอกำลังจะออกมา ทุกก้าว ทุกเวลา ถูกคำนวณไว้หมดแล้วนิ้วเรียวยาวยกขึ้นแตะหูฟังที่แนบแน่นข้างหู เสียงกระซิบที่แผ่วเบาจนแทบกลืนไปกับลมหายใจดังลอดออกมา“เธอกำลังออกมาแล้ว... เดินกลับลำพัง”ปลายสายเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงแห้งเย็น ราบเรียบราวใบมีดเหล็กเฉือนผ่านโลหะ“ติดตามไป — อย่าให้คลาดสายตา”เขาไม่พูดอะไรตอบกลับ แค่ขยับเท้าอย่างเงียบกริบ ฝีเท้าคำนวนมาอย่างพิถีพิถัน ห่างพอไม่ให้สะดุดตา แต่ใกล้พอจะ “จัดการ” ได้ในเสี้ยววินาที หากมีคำสั่งตกลงมาเขาไม่พูด ไม่เผลอแสดงอารมณ์ ไม่แม้แต่หายใจแรง แค่เดิน แค่เฝ้ามอง ด้วยสายตาเย็นเฉียบของนักล่าที่มั่นใจว่าเหยื่อไม่มีวันหนีรอดในมือของเขา หน้าจอโทรศัพท์เรืองแสงจาง ๆ แสดงภาพถ่ายหญิงสาวคนหนึ่ง พร้อมเวลา ตำแหน่ง และข้อความที่ติดแท็กไว้ชัดเจน“เป้าหมายสำคัญ — ห้ามทำร้าย จนกว่าจะได้รับคำสั่งจากอองเดร”เข
อิมิลี่จ้องลูคัสนิ่ง แววตาเธอเต็มไปด้วยคำถามที่ยังรอคำตอบ แต่เขาเงียบ เงียบจนหัวใจเธอแทบได้ยินเสียงตัวเองเต้นเธอค่อย ๆ เลื่อนสายตาไปยังลังไม้ที่ตั้งเรียงรายอยู่ข้างหลัง กล่องพวกนั้นพร้อมจะถูกขนย้ายในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า บางอย่างในท่าทางของลูคัส... ทำให้เธอรู้ มันไม่ใช่แค่การขนของธรรมดาทันใดนั้น ลูคัสเหลียวไป ลูกน้องของเขาเดินออกมาจากมุมเงามืด ใบหน้าตึงเครียด น้ำเสียงเร่งรีบ“ลูคัส... สายของเรารายงานว่า มีสายสืบซุ่มอยู่ใกล้ท่าเรือ เราอาจต้องเปลี่ยนแผน”ลูคัสพยักหน้าเพียงเล็กน้อย แต่ อิมิลี่ได้ยินทุกอย่างชัดเจน แม้เขาจะยังไม่พูดตรง ๆ แต่เธอเข้าใจแล้ว ว่าเขากำลังพาตัวเองเข้าไปในธุรกิจที่อันตราย... และมันจริงกว่าที่เธอเคยกลัว“เธอต้องกลับไปนะ อิมิลี่ อย่าเข้ามายุ่งกับเรื่องนี้เลย” ลูคัสพูดขึ้นในที่สุด เสียงของเขาไม่ใช่การไล่... แต่เป็นการปกป้องอิมิลี่ขยับเข้าไปเพียงก้าวเดียว แววตาแข็งกร้าวกว่าเดิม “คุณเคยสัญญาแล้วไม่ใช่เหรอ... ว่าจะไม่กลับไปยุ่งกับธุรกิจพวกนี้อีก”เขาเงียบไปอึดใจ แล้วเบือนสายตาหนี คำตอบของเขาคือความเงียบ และมันเจ็บยิ่งกว่าคำพูดใด“คุณต้องกลับไปนะ อยู่ห่าง