“จะไม่มีปัญหาภายหลังหรือ” ปู่จ้าวเอ่ยถามอย่างลังเล เพราะฐานะที่ต่างกันทำให้ใช้ชีวิตร่วมกันลำบาก จึงอดที่จะห่วงใยหลานสาวไม่ได้ “ไม่น่าจะมีอะไรค่ะ หนูเคยเห็นพ่อกับแม่พี่เย่คุนข่าย พวกเขานิสัยค่อนข้างดีมากค่ะ บิดาเป็นทหารส่วนแม่เขาเปิดร้านเสื้อซึ่งเป็นร้านที่หนูทำงานอยู่ด้วยค่ะ” จ้าวหลินอีเอ่ยบอกอย่างตรงไปตรงมาเพราะอย่างไรพวกเขาก็ถือว่าเป็นคนในครอบครัว ที่สำคัญเพื่อให้พวกเขาสบายใจได้ “เรื่องของความรักปู่กับย่าไม่ได้บังคับ เพียงแค่อย่าปล่อยตัวจนเกินงามก็พอ” “หนูทราบแล้วค่ะ จะไม่มีเรื่องเสื่อมเสียแบบนั้นก่อนหนูเรียนจบอย่างแน่นอนค่ะ” เธอรู้ดีว่าพวกเขาห่วงเรื่องเธอจะท้องก่อนแต่งจนเป็นที่อับอายชาวบ้าน ซึ่งเธอไม่คิดจะให้ตนเองท้องก่อนแต่งแน่นอน อีกอย่างถ้ามีเรื่องอย่างว่าจริงในยุคสมัยนี้มียาคุมกำเนิดขายอย่างน้อยก็สามารถป้องกันตัวในระดับหนึ่ง แต่นั่นเป็นเรื่องของหัวใจอีกที เพราะตอนนี้เธอแค่หวังว่าเรียนให้จบมีงานการที่ดีและทำให้ครอบครัวร่ำรวยจนตระกูลกู้อิจจาตาร้อนไปเลย “เอาเถอะกลับบ้านได้แล้วเริ่มมืดแล้ว” จ้าวหลินอีพยักหน้ารับก่อนจะบอกลาปู่กับย่าและลุงใหญ่ที่ยังอยู่หน้าบ้านเหมือนเดิมน่าจะร
พวกเขานั่งเล่นและทานอาหารกันจนตะวันเริ่มตกดิน ทุ่งดอกไม้ที่ผลิบานในปีละครั้งเหมือนแสดงความยินดีให้ความรักของจ้าวหลินอีจึงได้เริ่มบานในเวลานี้ พวกเขาต่างซึมซับบรรยากาศแสนหวานก่อนจะพากันกลับบ้าน วันนี้พวกเขาเที่ยวเล่นในป่าทั้งวันพอตกเย็นจึงได้พากันนอนแต่หัวค่ำ คงจะมีคนที่มีความรักเท่านั้นที่มานั่งคุยกันอยู่หน้าบ้านใต้ต้นไม้ “พี่ชอบดูดาวไหมคะ” จ้าวหลินอีเอ่ยถามคนข้างตัวขณะที่เงยหน้ามองดวงดาวบนท้องฟ้าที่สว่างจนพราวระยับ ที่นี่สามารถดูได้ว่าดาวเหนือ หรือดาวศุกร์อยู่ไหน ต่างจากในเมืองที่แต่แสงสีแทน “ชอบครับ ทางกองทัพต้องสอนเรื่องนี้ ที่นี่จะเห็นดาวชัดกว่าที่ค่ายทหารมากจึงสังเกตได้ง่าย” เย่คุนข่ายตอบรับพร้อมเล่าเรื่องในกองทัพให้คนรักได้ฟัง เรื่องดวงดาวก็เป็นพื้นฐานของกองทัพ เวลาออกรบหากไม่มีเข็มทิศจะได้ไม่หลงทาง “พี่ชอบดาวอะไรบ้างคะ” จ้าวหลินอีฟังคำบอกเล่าอย่างตั้งใจก่อนจะเอ่ยถามอย่างสนใจ เพราะชาติก่อนแค่มีเวลากินข้าวก็ดีมากแล้วจะไปมีเวลาทำความรู้จักดวงดาวบนท้องฟ้าได้อย่างไร เพียงแต่เมื่อได้เรียนมหาวิทยาลัยแล้วจึงได้มีการสอนสิ่งนี้ทำให้เธอมีความรู้ทางนี้เพิ่ม “พี่ชอบดาวเหนือเพราะทำให้พี
“พวกคุณมาก่อกวนและบุกรุกบ้านคนอื่น และยังมีเรื่องการค้าขายมนุษย์ด้วย อีกสักตำรวจจะมาช่วยรอไปโรงพักด้วยครับ ผมโทรแจ้งความเรียบร้อยแล้วครับ” เมื่อเห็นบ้านแม่ยายถูกรังแกหลายครั้งหลายคราเย่คุนข่ายจึงได้ลงมือเอง หวังจะคนพวกนี้ได้รู้จักกฎหมายที่แท้จริงกันบ้าง “โกหก ตำรวจจะมาได้อย่างไร พวกหล่อนก็ยืนอยู่นี่หมด” สะใภ้ใหญ่รีบตอบโต้อย่างรวดเร็ว หล่อนไม่ได้โง่จนถูกพวกมันหลอกได้ แต่เมื่ออีกฝ่ายโชว์เครื่องสี่เหลี่ยมในมือก็มองอย่างไม่เข้าใจจนบุตรสาวสะกิดแล้วเอ่ยบอกด้วยตาเป็นประกาย “แม่นั่นโทรศัพท์มือถือ เครื่องละเกือบสองพันเลยนะคะ หนูอยากได้แบบนั้นบ้าง” อินหงลี่เอ่ยบอกมารดาตนแล้วมองจ้าวหลินอีอย่างอิจฉาถ้าเขารักหล่อนแต่งงานกับหล่อนชีวิตนี้จะต้องสบายมากแน่ ๆ คำพูดของทหารหนุ่มทำให้น้ำตาผู้เฒ่าหลิวน้ำตาหยุดไหลราวกับสั่งได้ ร่างผอมบางรีบผุดลุกขึ้นยืนทันที “นี่เป็นเรื่องของครอบครัว คนนอกอย่างแก่มายุ่งอะไรด้วย” แม้จะกลัวตำรวจมาจริงแต่ก็อดที่จะต่อว่าชายหนุ่มที่ไม่รู้จักคนนี้อย่างเดือดดาล “แม่สามีคนนี้เป็นทหารที่ฉันเล่าให้ฟัง” สะใภ้ใหญ่หลิวที่เป็นเครือญาติห่างๆ กันและมาเป็นสะใภ้ใหญ่ตระกูลอินเอ่ยเตือนเ
“ขี้หวงจริง ขอดูหน่อยไม่ได้หรือไง” จ้าวหลินอีมองทั้งคู่เหมือนจะรู้จักกันจึงยิ้มอย่างเก้อเขิน อีกทั้งถูกเรียกน้องสะใภ้ที่ไม่คุ้นหูทำให้ไม่ชินเท่าไหร่ “อย่างไรก็ต้องขอบคุณคุณตำรวจมากนะคะที่มาช่วยแต่ไม่ได้อะไรกลับไปเลย” พ่อกับแม่ของจ้าวหลินอีรีบเอ่ยขอบคุณตำรวจหนุ่มด้วยความรู้สึกเกรงใจ เพราะพวกเขาไม่ได้ผลงานกลับไปทำให้มาเสียเที่ยว “อย่าคิดมากครับคุณป้า ผมเป็นสหายของคุนข่ายผ่านมาทางนี้เลยแวะมาเยี่ยมเท่านั้น เรื่องอื่นเป็นเรื่องเล็กน้อยครับ แต่หากมีเรื่องเดือนร้อนไปหาผมที่อำเภอได้ครับ” “อย่างนั้นเข้าไปข้างในก่อนดีกว่าค่ะ” “ไม่เป็นไรครับผมมีธุระต้องไปต่อ” ตำรวจหนุ่มเอ่ยตอบอย่างมีมารยาท เมื่อเห็นแบบนั้นคนตระกูลจ้าวก็ไม่ได้บีบบังคับ หลังจากที่ชาวบ้านแยกย้ายกันไปแล้วจึงได้พากันเข้าบ้าน ส่วนตำรวจหนุ่มคุยกับสหายด้านนอกเพียงครู่ก็จากไป นับว่าวันนี้จึงจบเรื่องวุ่นวายลงด้วยดี และต้องยกความดีความชอบให้เย่คุนข่ายที่มีเส้นสายช่วยเหลือทำให้เรื่องนี้จบลงด้วยดี เย่คุนข่ายลางานได้ยี่สิบวัน เพียงพริบตาเดียวก็ถึงวันต้องกลับไปทำงาน จ้าวหลินอีจึงได้กลับไปพร้อมเขาเพราะอยู่ที่บ้านนานก็ขาดรายได้ อีกทั้งใ
“ก็อย่างที่พวกคุณเห็น เรื่องหมั้นหมายพวกเราไม่เคยรู้มาก่อน อีกอย่างเรื่องของคนรักลูก ๆ พวกเราไม่เคยบังคับครับ” เย่เต๋อหมิงที่เงียบมานานเอ่ยขึ้น เขาอยู่กับลูกมานานจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าลูกชายคิดอะไรอยู่ อีกอย่างครอบครัวเขาไม่เคยบังคับเรื่องคู่ครอง การที่พวกเขามาพร้อมหนังสือหมั้นหมายเขาเองก็ช่วยอะไรไม่ได้ เรื่องนี้พ่อกับแม่เขาก็ไม่เคยพูดถึงเช่นกัน “เรื่องแต่งงานเป็นเรื่องของพ่อแม่จัดการ จะไปตามใจแบบนั้นได้อย่างไร แล้วผู้หญิงคนนั้นเป็นใครมีหัวนอนปลายเท้าหรือเปล่า คุณน้องคุณต้องจัดการเรื่องนี้ให้ดีนะ” “ครอบครัวเราไม่เคยบังคับลูกๆ ค่ะ” แม่เย่ตอบกลับอย่างไม่พอใจ อีกอย่างจ้าวหลินอีถึงจะเป็นเด็กชนบทแต่เธอก็มีความรู้ความสามารถ ไม่ใช่ลูกสาวบางคนไปเรียนอยู่เมืองนอกกลับมาไม่เห็นจะได้ดีเลย และยังทำอะไรไม่เป็นชิ้นเป็นอันสักอย่างแล้วแบบนี้ยังมีหน้าไปต่อว่าคนอื่นอีก “หนูขอตัวก่อนนะคะ” เย่ซินหรานบอกพ่อกับแม่ก่อนจะเดินขึ้นห้องไปไม่สนใจแขก ครอบครัวนี้มาทีไรก็พูดแต่เรื่องไม่น่าฟัง และยังเอาเธอไปเปรียบเทียบลูกสาวคนดีของหล่อนมาตลอดทำให้เธอไม่อยากอยู่สนทนาด้วยนัก และยิ่งพวกหล่อนดูถูกสหายเธอแล้วยิ่งทำให้
จ้าวหลินอีมองตามรถของคนรักจนลับสายตาก่อนจะเดินกลับหอพัก ซึ่งใกล้จะเปิดเทอมแล้วนักศึกษาหลายคนที่กลับมาจากบ้านเหมือนเธอเดินผ่านไปมา และยังมีนักศึกษาที่ไม่ได้กลับบ้านชนบทที่ห่างไกลเพราะทำงานหาเงินเพื่อเรียนต่อไปด้วย ชีวิตนักศึกษามีหลายสิ่งหลายอย่างให้ทำ บ้านที่ฐานะยากจนก็ดิ้นรนเพื่อมีชีวิตที่ดีเหมือนเธอห้องพักสำหรับสี่คนเธอมาถึงคนแรก คนอื่นๆ ยังไม่ได้กลับมาจึงได้เริ่มทำความสะอาดไว้รอพวกสหายทั้งสามคน แม้ภายในใจเธอจะไม่ได้คิดจะอยู่ที่นี่แล้วก็ตาม เธอคิดจะไปเช่าร้านปิดร้านขายเสื้อผ้าและจ้างพนักงานดูแลระหว่างที่เธอติดเรียนหลังจากทำความสะอาดห้องเสร็จจึงได้อาบน้ำและหาอะไรกินแบบง่ายๆ ที่ใกล้มหาวิทยาลัย ก่อนจะกลับหอพัก จ้าวหลินอีวาดแบบเสื้อผ้าที่ทันสมัยและขายดีในความทรงจำจากชาติก่อน และวาดเสริมปรับแต่งเป็นเอกลักษณ์โดยปักแบรนด์เสื้อตัวเองลงปกคอเสื้อ จ้าวหลินอีวาดสี่ห้าแบบไว้ก่อนจะปิดไฟนอนเพื่อพรุ่งนี้เช้าจะได้ไปหาเช่าห้อง ครั้งนี้เธอไม่ได้บอกเย่ซินหรานที่บ้านตระกูลเย่ดีกับเธอมากจนรู้สึกเกรงใจ เธอจะรู้สึกมั่นใจตัวเองมากกว่าหากสร้างฐานะได้มั่นคงด้วยตนเอง ตนเป็นที่พึ่งแห่งตนดีที่สุด เธอดีใจที่พวก
“ห้าร้อยหยวนต่อเดือนครับคุณผู้หญิง” ชายวัยกลางแซ่ซ่งขมวดคิ้วก่อนจะตอบด้วยสีหน้าตายด้าน ซึ่งทำให้จ้าวหลินอียกมือปิดปากกลั้นรอยยิ้มเอาไว้ นี่ละมั้งที่เรียกว่าเลือกผู้เช่าเอง“ได้ยังไง นี่ปล้นกันใช่ไหม พื้นที่เล็ก ๆ แบบนี้แค่สิบหยวนก็เกินไปแล้ว” “เหอะ สิบหยวนไปหาเช่าที่อื่นไม่ต้องมาก่อกวนที่นี่” ชายวัยกลางคนแซ่ซ่งชักสีหน้าอย่างไม่พอใจเมื่อหล่อนคิดจะมาหาเรื่อง แต่เขารู้ดีว่าราคาที่ตนเองเสนอเพื่อไล่หล่อนออกไปเท่านั้น เขาเป็นคนที่ซื่อสัตย์และจริงใจย่อมให้คนที่มาก่อนเช่าก่อน “แพงขนาดนั้นใครจะเอาเงินมาเททิ้ง ยัยหนูหล่อนถูกหลอกแล้วล่ะ เขตนี้ค่าเช่าไม่กี่หยวนเอง” หญิงวัยกลางคนตอบกลับอย่างอารมณ์เสียก่อนจะหันไปบอกหญิงสาวคนนั้นอย่างมีเมตตา ซึ่งไม่ได้ทำให้จ้าวหลินอีลังเลแต่อย่างไร เธอเกิดมาสองชาติภพแล้วจึงรู้ดีว่าค่าเงินและค่าเช่าแต่ละพื้นที่ราคาเท่าไหร่“ขอบคุณค่ะป้า แต่ฉันชอบที่นี่ค่ะ”“เหอะ! ไม่รักดีจริงๆ แล้วใครป้าหล่อนกัน!” ว่าแล้วเจ้าหล่อนก็เดินจากไปอย่างอารมณ์เสียเหมือนแค่เข้ามาก่อความวุ่นวายเท่านั้น “อย่าไปสนใจหล่อนเลย หล่อนเป็นเมียทหารแถวนี้แหละ ว่างมากจนหาเรื่องคนไปทั่วแหละ” ชายวัยกลาง
“ได้สิค่ะ” จ้าวหลินอีตอบรับด้วยรอยยิ้ม เธอไม่ได้รังเกียจที่หล่อนมีลูกสาวมาทำงานด้วย เพราะมู่เหม่ยหลิงทำให้เธอนึกถึงตัวเองเมื่อชาติก่อนแต่เหม่ยหลิงโชคดีกว่าเธอคือได้ลูกสาวมาอยู่ด้วย“ขอบคุณมากๆค่ะคุณจ้าว ต่อไปเรียกฉันว่าพี่เหม่ยหลิงก็พอค่ะ ไม่ต้องเรียกคุณมู่อย่างสุภาพแบบนั้นก็ได้ค่ะ” หญิงสาวเอ่ยบอกด้วยรอยยิ้มกว้างด้วยความยินดี เธอหางานมาหลายที่แม้จะมีฝีมือแต่นายจ้างไม่ยอมรับให้ลูกสาวเธอมาทำงานด้วย ทำให้เธอว่างงานมาถึงตรงนี้“ได้ค่ะพี่เหม่ยหลิง” จ้าวหลินอีตอบรับอย่างว่าง่าย ชื่อก็แค่เป็นการเรียกเท่านั้น หลังจากพูดคุยเรื่องค่าแรงและเวลางาน ทั้งสองก็ตกลงกันได้ มู่เหม่ยหลิงจะมาช่วยงานในร้านตั้งแต่เช้าถึงบ่าย ส่วนจ้าวหลินอีจะมาดูแลในช่วงเย็นหลังเลิกเรียนสองสัปดาห์ต่อมาร้านตัดเย็บเสื้อผ้าของจ้าวหลินอีเริ่มเป็นรูปเป็นร่าง เธอตั้งชื่อร้านว่า ลี่หรงถัง ซึ่งแปลว่าห้องแห่งความงามของผ้าไหม และได้ทำป้ายหน้าร้านใหม่อย่างสวยงาม “ฉันไม่คิดเลยว่าเราจะเริ่มต้นได้เร็วขนาดนี้” จ้าวหลินอีพูดพลางมองดูผลงานที่จัดแสดงอยู่หน้าร้าน มีชุดกระโปรงเรียบง่ายแต่ดูสง่างาม และเสื้อเชิ้ตที่ออกแบบมาให้เหมาะกับทุกเพศทุ
“เดี๋ยวลูกไปเล่นที่หลังร้านก่อนนะ เดี๋ยวบ่ายๆ เรากลับบ้านกันจะได้ไปเตรียมอาหารเย็น”“ได้ค่ะ” เด็กหญิงตอบรับก่อนจะลากน้องชายไปด้วย ครั้งนี้เธอยอมเล่นฟันดาบกับเขา ทำให้ใบหน้าบูดบึ้งของน้องชายยิ้มออกมาได้ ยิ่งรู้ว่าตอนเย็นมีของชอบด้วยยิ่งทำให้สองฝาแฝดเล่นกันอย่างสนุกสนานจ้าวหลินอีรีบตัดเย็บชุดครอบครัวอย่างรวดเร็วเธอไม่ได้ให้ลูกจ้างคนอื่นช่วยเพราะอยากทำด้วยตนเอง ตอนนี้ร้านค้าทั้งสามสาขาของเธอกิจการดีมากและยังได้ผลกำไลเยอะขึ้นทุกปีและได้การตอบรับจากลูกค้ามากยิ่งขึ้น ยิ่งได้ดาราดังมาช่วยเป็นนางแบบทำให้ร้านลี่หรงถังโด่งดังทั่วปักกิ่งเลยทีเดียว และเธอเคยส่งงานเข้าร่วมประกวดจนได้รางวัลการออกแบบดีเด่นมาประดับร้านอีกด้วยหลังจากตัดเย็บจนได้เวลาทำอาหารจ้าวหลินอีจึงได้เดินทางกลับบ้าน ส่วนวัตถุดิบเธอให้เด็กที่ร้านออกไปซื้อเตรียมไว้ให้แล้ว ซึ่งเธอก็ได้มอบทิปน้ำใจให้เป็นการตอบแทนด้วย และการกระทำแบบนี้ทำให้ลูกจ้างที่ร้านลี่หรงถังต่างชอบนายจ้างแบบเธอมากและไม่มีใครลาออกจากงานสักคนเดียว งานดี เงินดีและยังมีเจ้านายที่แสนดีพวกหล่อนจึงกอดขาทองคำไ
ฉึก!!กู้เหวินเฟยเบิกตากว้างด้วยความตกใจ เขาก้มมองภรรยาอย่างไม่อยากเชื่อสายตา แต่กลับมองเห็นแววตาแห่งความบ้าคลั่งของตู่จื่อเฟยถึงกลับทำให้เขาตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว เมื่อก้มมองตรงอกข้างซ้ายของตัวเองที่มีมีดปลายแหลมคมปักอยู่ ซึ่งเป็นมีดที่ตู่จื่อหย่าพกติดตัวตลอดตั้งแต่ถูกกู้เฉินฮุ่ยลวนลามเมื่อครั้งก่อน เธอเอาไว้ป้องกันตัวไม่คิดเลยว่าวันนี้จะได้ใช้มันกับคนที่เธอรักมากปึก!กรี๊ดดดด ทันใดนั้นเสียงกรีดร้องก็ดังขึ้นลั่นบ้าน จากนั้นก็เกิดความวุ่นวายขึ้นแต่น่าเสียดายที่ยุคสมัยนี้ยังไม่พัฒนาเรื่องการแพทย์และไม่มีรถส่วนตัวที่จะหามส่งโรงพยาบาลได้ทัน เวลาต่อมากู้เหวินเฟยจึงได้เสียชีวิตลง เรื่องนี้ทำให้ชาวบ้านที่มาพบเห็นเหตุการณ์ต่างตื่นตระหนกหลังจากที่มีเหตุการณ์ฆ่ากันตายตู่จื่อหย่าไม่ได้หนีความผิด เธอเดินกลับเข้าห้องไปอย่างสงบและสุดท้ายก็จบชีวิตลูกน้อยด้วยน้ำตา ดวงตาที่มีแต่ความแค้นและความเกลียดชังมองไปยังบ้านกู้ก่อนจะจุดไฟเผาด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็จบชีวิตตัวเองตามไปด้วย เพราะรู้ดีว่าหากเธอไม่ตายก็ต้องติดคุ
แต่ชาตินี้เธอท้องกลับมีคนดูแลแทบจะไม่ได้เดินเองเลย ร้านค้าก็มีคนช่วยดูแลและนำเอกสารการเงินมาให้ดูถึงบ้าน และมาเล่ารายงานให้ฟังสองสามวันต่อครั้ง ความแตกต่างกันนี้ทำให้เธอรู้สึกอยากขอบคุณสวรรค์ที่ให้ย้อนเวลากลับมาเธอจะใช้ชีวิตนี้ให้คุ้มค่ากับการที่ได้มาเลยทีเดียวขณะที่จ้าวหลินอีถูกประคบประหงมราวกับไข่ในหิน ทางด้านตู่จื่อหย่าถูกคนบ้านตระกูลกู้จิกหัวใช้ราวกับทาส คลอดลูกออกมาก็เป็นลูกสาวยิ่งทำให้แม่สามีชิงชังมากกว่าเดิมทุกวันนี้ร่างกายเธอผอมแห้งดวงตามีแต่ความเครียดแค้นชิงชัง ไม่รู้ว่าทำไมชีวิตที่ดีของเธอต้องมาลงเอ่ยแบบนี้ พ่อที่เคยตามใจและหนุนหลังกลับติดคุก แม่ที่เคยตามใจเธอกลับหนีตามผู้ชายคนใหม่พี่ชายก็ไม่รู้หนีหายไปไหนสุดท้ายเธอจึงเหลือตัวคนเดียวทำให้คนบ้านกู้ต่างดูถูกต่าง ๆ นา ๆ อีกทั้งยังมีผู้ชายสารเลวอย่างกู้เฉินฮุ่ยที่คอยแอบเข้าหาและลวนลามเธอเวลาไม่มีคนอยู่ ทำให้เธอน้ำท่วมปากไม่สามารถป่าวตะโกนออกไปได้ส่วนสามีที่เธอคิดฝากฝังชีวิตกลับไม่ได้มาที่บ้านตั้งแต่รู้ว่าเธอคลอดลูกสาวแล้ว เมื่อก่อนเป็นเธอและครอบครัวที่ส่งเสียเ
ทว่าเวลาต่อมาจ้าวหลินอีจึงได้รู้ซึ้งแล้วว่า มาเก๊าเป็นสถานที่กินคนอย่างแท้จริง พวกคนงานถูกใช้งานยิ่งทาส ค่าครองชีพก็สูงเป็นอย่างมาก อีกทั้งผู้หญิงที่มาที่นี่ก็ถูกจับเข้าซ่องโสเภณีเสียส่วนใหญ่ หากไม่มีคนหนุนหลัง แม้กระทั่งคู่รักที่รักปานจะกลืนกินเมื่อมาที่มาเก๊าความรักก็จางหายมีแต่ความเห็นแก่ตัวให้เห็นเท่านั้น เพราะพวกเขาแม้กระทั่งขายผู้หญิงที่ตัวเองบอกว่ารักมากให้กับชายอื่นเพื่อเงินเพื่อมีชีวิตต่อไปสิ่งที่เห็นในมาเก๊าทำให้จ้าวหลินอีรู้สึกหดหู่เป็นอย่างมาก อยู่ปักกิ่งดีที่สุดแล้ว เมืองใหญ่ที่การแข่งขันสูงแต่ก็หาเงินได้คล่องและไม่ได้เบียดเบียนชีวิตใครแต่ถึงมาเก๊าจะมีสิ่งไม่ดีให้เห็นแต่ก็มีสิ่งสวยงามที่เย้ายวนให้ผู้คนเดินทางมามากมาย ที่นี่เหมือนไม่มีเวลากลางคืน มีแสงสว่างตลอดเวลาและมีความครึกครื่นเป็นอย่างมากโดยเฉพาะคาสิโนที่มีนักพนันมากมายมาเสี่ยงดวงที่นี่ บางคนเล่นหนักถึงกับเสียมือเสียเท้าไปเลยทีเดียวแต่นั่นเป็นความละโมบของพวกเขา จ้าวหลินอีเริ่มมองผู้คนด้วยความสงบนิ่งมากขึ้นไม่ได้มีแววตาตื่นตระหนกเหมือนวันแรกที่มาเยือน อีกทั้งข้างกายมีสามีอย่างเย่คุนข่
หลังจากแต่งงานได้สามวัน จ้าวหลินอีจึงได้กลับปักกิ่งอีกครั้งเพราะเธอยังเป็นห่วงร้านลี่หรงถัง และยังมีงานแต่งงานเมืองหลวงอีกรอบ พ่อกับแม่ของสามีอยากประกาศให้คนที่นี่รู้ว่าเธอเป็นลูกสะใภ้ ซึ่งได้จองโรงแรมไว้อย่างยิ่งใหญ่ คนที่มาร่วมงานก็เป็นเหล่าทหารในค่ายทหารและเหล่าแม่บ้านเพื่อให้จ้าวหลินอีได้รู้จักภรรยาของทหารกล้าทั้งหลายด้วยซึ่งการกระทำแบบนี้ค่อนข้างสิ้นเปลือง แต่จ้าวหลินอีกลับรู้สึกดีใจเป็นอย่างมากเพราะนั่นเป็นการให้เกียรติเธอ อีกทั้งตอนนี้เธอไม่ใช่แค่เด็กบ้านนอกทีไร้การศึกษาและยากจนอีกต่อไป แม้ฐานะเธอจะสู้ข้าราชการไม่ได้แต่เธอก็ภูมิใจในงานของตัวเองเป็นอย่างมากงานแต่งงานที่ถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ แม้จะมีคนมาก่อความวุ่นวายเพราะความไม่พอใจอยู่บ้าง แต่ก็ผ่านมาได้อย่างดี ซึ่งคนที่ก่อกวนไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นครอบครัวตระกูลจินที่อ้างว่ามีสัญญาหมั้นหมายไว้เมื่อครั้งก่อนที่จ้าวหลินได้เจอ แต่สุดท้ายลูกสาวของพวกเขากลับตั้งครรภ์โดยไม่มีพ่อ พวกเขาจึงอยากให้เย่คุนข่ายรับเป็นพ่อของเด็กในท้องจึงได้วางแผนเรื่องนี้ขึ้นมา“ยินดีด้วยนะคะลูกสะใภ้สวยมากเลยค่
เย่คุนข่ายได้ฟังดังนั้นก็ยิ้มออกมาเบา ๆ ก่อนจะเข้าไปสวมกอดเจ้าสาวของเขาอย่างเบามือ เมื่อนัยน์ตาสบประสาน ทั้งสองก็เคลื่อนใบหน้าเข้าหากันอย่างเนิบช้า ริมฝีปากสัมผัสแผ่วเบาเข้าที่อวัยวะเดียวกัน จากความอ่อนโยนจนอุ่นซ่านไปทั้งใจ ก็เริ่มขบเม้มไล้เลียเข้าหากันไปมาอย่างเร่าร้อนชุดที่สวมใส่ถูกถอดออกอย่างไม่รู้ตัว เพราะความสนใจทั้งหมดจดจ่ออยู่ที่รสจูบร้อนแรง ลิ้นชื้นสอดแทรกสำรวจไปตามโพรงปากอย่างหิวโหย เสียงแลกเปลี่ยนน้ำลายดังขึ้นอย่างลามก ในตอนที่ใบหน้าหล่อเหลาผละออกก็มีน้ำใสสีเงินเชื่อมที่มุมปาก เป็นภาพที่ชวนให้ทั้งสองใบหน้าขึ้นสีระเรื่อได้อย่างง่ายดายพร้อมกับหัวใจที่เต้นถี่รัวกว่าทุกทีเขาดันภรรยาให้นอนราบลงบนเตียง ตามด้วยคร่อมกายหนาลงไปอย่างไม่รีรอ ใบหน้าหล่อเหลาซุกไซ้ไปตามลำคอระหง กลิ่นหอมเฉพาะตัวทำเอาเขาอดใจไม่ไหวไล้จมูกสูดดมจนเสียงดังฟอด กระตุ้นให้จ้าวหลินอีหายใจติดขัดด้วยความรู้สึกวาบหวาม ก่อนจะสะดุ้งเกร็งเมื่อถูกปลายลิ้นลากผ่านสัมผัสเข้าที่ปลายยอดถัน สัมผัสแผ่วเบาทว่าสั่นสะท้านไปทั้งกาย เส้นความอดทนขาดผึงลงอย่างง่ายดายร่างหนาลุกยืนเต็มความสูงก่อนจะปลดเปลื้องเสื้อผ้าของตนทิ้งไปอย่างไม่
“ได้ยังไง ของบริจาคก็ต้องมาแจกให้หมดสิ จะมากลับคำได้ยังไง” เจิ้งฮวาเท้าสะเอวตอบโต้อย่างไม่พอใจ บรรดาลูกๆ และลูกสะใภ้ต่างก็ดึงหมวกมาปิดหน้าเอาไว้ด้วยความอับอาย “ของพวกเราอยากจะแจกใครก็ได้ครับ” เย่คุนข่ายที่เห็นว่าหล่อนสร้างปัญหาไม่เลิกก็พูดขึ้นอย่างไม่พอใจ ดวงตาคมกริบกวาดสายตามองไปยังชาวบ้านรอบๆ ซึ่งทำให้พวกหล่อนหดคอด้วยความกลัว จากนั้นก็มีคนลากเจิ้งฮวาออกไปเพราะกลัวว่าคุณนายจะโมโหจนเลิกแจกสิ่งของ “พวกแกทำอย่างนี้ไม่ได้นะ ทำมันจะไปเอาไม่ได้ของเยอะขนาดนั้นจะหวงทำไม!” เสียงกรีดร้องโวยวายของเจิ้งฮวาไม่มีใครสนใจอีก เมื่อนำตัวปัญหาสร้างเรื่องออกไปการแจกของจึงกลับมาสงบอีกครั้ง คนที่ได้รับก็ยิ้มด้วยความดีใจ เพราะสิ่งของเป็นถุงใหญ่ซึ่งพวกเขาได้ทั้ง ผ้าห่ม เสื้อผ้า ข้าวสารอาหารแห้งและยังมีน้ำมันที่หายากด้วย ซึ่งทุกคนที่ได้รับก็ยิ้มอย่างมีความสุขเพราะของเหล่านี้มีค่าพวกเขายากจนจึงไม่ได้ซื้อบ่อยนัก อย่างเช่นผ้าผืนใหญ่ที่สามารถนำมาตัดชุดได้อีกหลายตัว การแจกสิ่งของจบลงตอนเย็น ซึ่งสร้างความยินดีให้กับผู้รับ ทุกคนต่างยิ้มอย่างมีความสุขและยังพูดคุยเรื่องนี้กันอย่างครึกครื้น ทุกคนต่างพูดชื่นชมจ้าว
“นั่นสิไปกันเถอะ” ก่อนจะเดินไปพวกเขาต่างมองบ้านตระกูลกู้ด้วยสายตาดูแคลน คนตระกูลกู้ไม่มีใครดีสักคนไม่รู้ว่าทำตู่จื่อหย่าถึงได้ตาบอดมาชอบผู้ชายแมงดาอย่างกู้เหวินเฟยไปได้ เจิ้งฮวามองตามกลุ่มคนไปอย่างไม่พอใจ ก่อนจะหันกลับไปลากสะใภ้ที่บ้านไปรับของแจกด้วย หล่อนก็เป็นคนในหมู่บ้านย่อมต้องมีสิทธิ์รับของแจกได้เหมือนกัน “แม่ ฉันไม่ไป!” ตู่จื่อหย่าร้องเสียงหลง เธอพึ่งแต่งงานมาเป็นสะใภ้เต็มตัว แต่กลับถูกใช้งานเยี่ยงทาส อีกอย่างทำไมคนอย่างเธอต้องไปรับของเหลือเดนจากจ้าวหลินอีด้วย! “ไม่ไปไม่ได้ หล่อนก็มีสิทธิ์ได้ของเหมือนกัน สะใภ้ใหญ่หล่อนก็ไปเอาถุงใบใหญ่ไปด้วยเราจะไปกันทั้งบ้านนี่แหละ” เจิ้งฮวาจัดแจงอย่างไม่สนใจใคร บ้านนี้หล่อนเป็นใหญ่ทุกคนต้องเชื่อฟังหล่อนคนเดียวเท่านั้น “แม่ฉันอายคนอื่นทำไมบ้านเราต้องไปเอาของบริจาคเหมือนขอทานด้วย” กู้จินเย่พูดขึ้นอย่างไม่ใจ หล่อนดูถูกเหยียดหยามจ้าวหลินอีมาโดยตลอด ทำไมต้องไปของบริจาคจากคนที่หล่อนด้อยค่าแบบนั้นด้วย “ไม่ได้ ของในเมืองหลวงมีแต่ดีๆ ทั้งนั้นเราจะเสียโอกาสไม่ได้” เจิ้งฮวาไม่เห็นด้วยกับคำพูดของลูกสาวก่อนจะลากทุกคนในบ้านไปรับของบริจาคด้วยก
“มันเยอะเกินไป พวกเรารับไม่ได้หรอกพวกเราไม่ได้ขายลูกกินแค่อยากให้เธอแต่งงานกับคนที่รักและดูแลเธออย่างดีก็พอแล้ว”“มากมายอะไรกัน อย่าไปคิดมากสิค่ะคุณน้อง ตอนนี้คุนข่ายได้เลื่อนขั้นเป็นนายพลแล้วอีกอย่างฉันเองก็รักหลินอีเหมือนลูกสาวคนหนึ่ง ต้องจัดงานแต่งงานให้เธออย่างสมเกียรติค่ะ”“ใช่ครับ อย่าทำให้พวกเราเสียความตั้งใจเลยครับ” ท่านนายพลเย่เต๋อหมิงที่พูดไม่ค่อยเก่งยังต้องพูดรองรับเหตุผลเพิ่มอีกหนึ่งคน เมื่อเห็นสองคนผัวเมียเต็มใจยกสินสอดมากมายให้ลูกสาวแบบนี้อินเยว่เจียถึงกลับน้ำตาซึมด้วยซึ้งใจ เพราะนั่นหมายถึงลูกสาวแต่งงานออกไปจะไม่มีวันที่จะถูกรังแกจากพ่อแม่สามีอย่างครอบครัวอื่นแน่นอน“คุณพ่อกับคุณแม่รับไว้เถอะครับ ผมสัญญาว่าจะรักและดูแลจ้าวหลินอีคนเดียวตลอดไปครับ” เย่คุนข่ายออกปากยืนยันความตั้งใจด้วยความหนักแน่นมั่นคง ดวงตาคู่คมมองคนรักที่ใบหน้าแดงระเรื่ออย่างเขินอายอยู่ข้าง ๆ ด้วยสายตาลึกซึ้ง“ถ้าอย่างนั้นก็ตกลง เดี๋ยวพวกเราค่อยมาปรึกษาฤกษ์แต่งงานกันอีกที” พ่อจ้าวที่นั่งฟังมานานออกปากพูดขึ้น“ฉันได้นำชื่อของทั้งคู่ไปดูฤกษ์ยามแล้ว ซึ่งก็อีกสองเดือนข้างหน้า หากพวกคุณไม่รังเกียจสามารถใช้ฤก