"ท่านพี่เหยียนเฟิง" ฉงเสว่ปิงลุกพรึบ
จากแววตาเศร้าสร้อยแปรผันเป็นยิ้มร่าดีอกดีใจ ร่างบอบบางถลันเข้าหาบุรุษตัวสูงทันควัน เจ้าของใบหน้าหล่อเหลาส่งยิ้มอบอุ่นดั่งฤดูใบไม้ผลิ ฝ่ามือหยาบกร้านจากการกรำศึกง้างธนูยกขึ้นยีศีรษะอีกฝ่ายแผ่วเบา
"เด็กดื้อ เจ้ากำลังสร้างความลำบากใดให้เสด็จพ่อเสด็จแม่กันเล่า"
ฉงเสว่ปิงนิ่วหน้า "ข้าเปล่าเสียหน่อย"
ตู้เหยียนเฟิงส่ายหน้าพลางอมยิ้มอย่างนึกเอ็นดู
"ปิงเอ๋อร์ วิ่งกระโดกกระเดกเช่นนี้ได้อย่างไร โตเป็นสาวแล้ว ไยจึงเกาะแขนเกาะขาพี่เขาอย่างนั้นเล่า" เฉิงเหยาตำหนิเสียงแผ่ว
"เสด็จแม่อย่าต่อว่านางเลยพ่ะย่ะค่ะ เดิมทีนางกับข้าเราก็สนิทสนมกันตั้งแต่เยาว์" ตู้เหยียนเฟิงกล่าว
"ได้อย่างไร เจ้าเองก็เป็นบุรุษ ควรออกเรือนมีชายาและองค์หญิงองค์ชายน้อยให้แม่กับเสด็จพ่ออุ้มได้แล้ว"
ตู้เหยียนเฟิงค้อมศีรษะ "เสด็จแม่ ช่วงนี้แถบชายแดนยังไม่สงบ เรื่องนี้กระหม่อมยังไม่เร่งร้อนพ่ะย่ะค่ะ"
ผู้เป็นดั่งบิดามารดาแห่งแคว้นสุ่ยเหอต่างระบายลมหายใจอ่อน เสียงทุ้มเอ่ย "เอาเถิด พวกเจ้าสองพี่น้องนิสัยไม่ต่างกันเลย มาแล้วก็พักที่ตำหนักสักหลาย ๆ วัน"
"ขอบพระทัยเสด็จพ่อ" เจ้าของร่างสูงจึงเดินย่างกรายเข้ามาเนิบช้า ข้างกายยังมีองค์หญิงตัวแสบเกาะแขนไม่ห่าง
"ท่านพี่เหยียนเฟิง เมื่อครู่ข้าได้ยินท่านบอกว่าไม่อยากแต่งก็ไม่ต้องแต่ง" ฉงเสว่ปิงยิ้มแฉ่ง เอ่ยท้วงคำกล่าวของอีกฝ่ายด้วยความกระตือรือร้น
"หึ!" ฝ่ามือกว้างเขย่าศีรษะเล็กจนสั่นคลอนไปหนึ่งครา "แน่นอน" จากนั้นทั้งสองจึงนั่งประจำที่ เขาหย่อนกายนั่งกล่าวต่อว่า "เสด็จพ่อ หากปิงเอ๋อร์ไม่อยากแต่งก็อย่าได้บังคับนางเลยพ่ะย่ะค่ะ เดิมทีในพันธสัญญาเคยมีระบุ หากฝ่ายใดไม่เต็มใจอภิเษกจะต้องมอบดินแดนให้แคว้นนั้นหนึ่งส่วนมิใช่หรือ ข้าเห็นว่าชายแดนทางใต้แม้จะอุดมสมบูรณ์แต่ก็ยังสามารถแบ่งให้กับแคว้นไต้เจียได้โดยที่เมืองหลวงไม่ได้รับความเสียหายใด"
ฉงเจิ่งหมินระบายลมหายใจอ่อน "เดิมทีก็ทำได้ แต่ว่าราษฎรแถบนั้นเล่า เจ้าคิดว่าพวกเขาเต็มใจอยากเป็นคนแคว้นอื่นหรือ หากเป็นเจ้าก็คงไม่อยากเปลี่ยนรากฐานบ้านเกิดใช่หรือไม่"
"เอ่อ...นั่นก็ถูก ทว่าแคว้นไต้เจียก็สงบสุขมาช้านาน แบ่งดินแดนไปหนึ่งส่วนเท่านั้น ราษฎรคงมิได้รับความลำบากใดมิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ"
ฉงเสว่ปิงกะพริบดวงตาถี่ มองหน้าบิดาทีเหลือบมองหน้าบุรุษข้างกายที สลับไปมาแทบเวียนศีรษะ
"เหยียนเฟิง เจ้าคงไม่รู้ว่าการเป็นผู้นำนั้นง่ายนัก ทว่าการจะทำให้ราษฎรรักและศรัทธาช่างไม่ง่ายเลย อีกอย่างหากส่งหนังสือยกเลิกพิธีอภิเษกโดยไร้สาเหตุ แคว้นไต้เจียอาจคิดว่าแคว้นสุ่ยเหอเริ่มไม่เถรตรง วันหนึ่งต้องส่งผลให้บังเกิดทะเลโลหิต เข้าสู่ช่วงกลียุคแห่งแคว้น หากเป็นเช่นนั้นข้ามิอาจทนนิ่งดูดายได้จริง ๆ"
ฉงเสว่ปิงโพล่ง "เสด็จพ่อ ต่อให้ข้าแต่งหรือไม่แต่ง สักวันเพลิงสงครามก็ต้องเกิดขึ้นอยู่ดี คนเช่นชินอ๋องมักใหญ่ใฝ่สูง ทิฐิถือดี ที่ท่านกล่าวมาทั้งหมดคงเป็นเขาที่ไม่ยอมรับว่าตนถูกสตรีถอนหมั้นกระมัง"
"ปิงเอ๋อร์" เฉิงเหยาส่งสายตาปราม
ทว่านางกลับถอนหายใจ ยกมือกอดอกแน่น จากนั้นจึงเบือนหน้าหนี หัวเด็ดตีนขาดนางก็ไม่ยอมกลับไปสู่ประตูนรกแห่งนั้นอีกเป็นแน่
"เอาล่ะ ๆ เช่นนั้นข้าจะลองเจรจาเรื่องนี้กับทางแคว้นไต้เจียดูก่อน" ฉงเจิ่งหมินถอดถอนใจอย่างนึกปลดปลง
ฉงเสว่ปิงหันหน้าขวับ ริมฝีปากกลีบกุหลาบฉีกยิ้มกว้าง ร่างบอบบางวิ่งถลาเข้าซบตักของบิดาทันควัน "เสด็จพ่อ ข้ารู้ว่าถึงอย่างไรท่านก็รักข้าที่สุด เอาอย่างนี้หากท่านต้องการให้ข้าแต่งงาน เช่นนั้นข้าคิดว่าแต่งเข้าแคว้นมิดีกว่าหรือเพคะ ท่านจะได้มีบุตรเขยไว้ช่วยแบ่งเบาราชกิจด้วย"
เสียงทุ้มหัวเราะขัน "บุตรเขยหรือ พูดเช่นนี้หมายความว่าเจ้ามีบุรุษในใจแล้วรึ"
ฉงเสว่ปิงผละศีรษะออก "เปล่าเพคะ เพียงแต่ ข้าไม่ต้องการสวามีที่เก่งกาจหรือบุญหนักศักดิ์ใหญ่ใด ขอเพียงคนผู้นั้นรักข้า และรักพวกท่านเช่นข้าก็เพียงพอแล้ว"
"โถ ปิงเอ๋อร์" เฉิงเหยาดวงตาแดงก่ำ
ฉงเสว่ปิงจึงลุกเดินเข้าไปสวมกอดผู้เป็นมารดา แววตาของนางแปรผันเป็นมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยว "เสด็จแม่ ข้ารักท่าน... หากชินอ๋องต้องการข่มเหงแคว้นสุ่ยเหอ ข้าจะเป็นคนจับดาบง้างธนูประจันหน้ากับเขาเอง"
"ท่านอยากลงทัณฑ์ข้าก็ลงมือเถิด ไยต้องทรมานกันถึงเพียงนี้" สุ้มเสียงที่เคยสดใสสั่นเครือแหบพร่า ฉงเสว่ปิงพยายามกล้ำกลืนก้อนสะอื้นและเสียงครวญครางซึ่งจุกอยู่ในลำคอไม่ให้เล็ดลอดออกมา อาภรณ์งดงามถูกฉีกทึ้งขาดวิ่นไม่เหลือชิ้นดี แท่งทวนขนาดใหญ่เปียกชื้นกระทั้นเข้าออกในโพรงบุปผาอย่างไม่ปรานีซ้ำแล้วซ้ำเล่า มือหยาบกร้านดึงรั้งแขนเล็กไพล่หลัง ร่างกำยำโน้มลงแนบชิดกายขาวเนียนดุจหยกเนื้อดี บุรุษผู้ควบคุมแรงปรารถนาเบื้องบนเปล่งเสียงกระเส่าระคนดุดัน "เจ้าเป็นชายารองของข้า ทว่าแอบคบชู้สู่ชาย ก่อนข้าส่งเจ้าไปลงปรโลก ข้ายังใจดีมอบความสุขครั้งสุดท้ายให้ ยังไม่คิดขอบคุณอีกหรือ" ใบหน้างามซับสีแดงระเรื่อเบี่ยงมองด้านข้าง ฟันเรียงสวยขบแน่นจนกายสั่นระริก "ชินอ๋อง ข้าไม่เคยต้องการสักนิด อีกอย่างลีลาของท่านนั้นมันไม่ได้เรื่อง! ข้าหรือจะมีความสุข หากใคร่อยากนักควรไปลงกับสนมของท่าน ในเมื่อเชื่อในคำพูดของนางแต่ไม่รับฟังข้า ก็รีบส่งข้าไปปรโลกเถอะ คนอำมหิต!" ไต้ฮ่าวเฉินกัดฟันกรอด ยิ่งได้ยินวาจาประชดประชันความโกรธเกรี้ยวก็ยิ่งปะทุเป็นทบทวีคูณ เขาเพิ่มแรงกระแทกบดอัดอาวุธร้ายของบุรุษเข้าไปอย่างดุดันเสียจนอีกฝ่ายร้อง
ฉงเสว่ปิงถอนหายใจอย่างนึกปลดปลง จะพิสูจน์ความจริงว่าตนยังไม่เกินเลยกับบุรุษแปลกหน้าก็ทำไม่ได้ ในเมื่อแต้มพรหมจรรย์ของนางมลายหายไปตั้งแต่วันแรกที่เข้าหอกับชินอ๋องแล้วนี่อย่างไร หนำซ้ำชายผู้นี้ยังปากแข็งเสียด้วย ดูเหมือนคงพร้อมสละชีพแล้วจริง ๆ ไม่รู้ว่าสนมซินทำอย่างไรจึงสามารถยืมดาบฆ่าคนได้เฉียบขาดเพียงนี้ "เอาล่ะท่านอ๋อง ข้าเบื่อหน่ายเต็มทน หากครั้งนี้ข้ายังไม่ตายข้าจะไม่ยอมแพ้อีกต่อไป ท่านเอาสุราพิษมาเถิด" ฉงเสว่ปิงกล่าวเนิบนาบ ท่าทางของนางไม่อนาทรร้อนใจ สีหน้าเรียบเฉยเช่นนี้ส่งผลให้คนมองรู้สึกกรุ่นโกรธยิ่งนัก นางทำราวกับเป็นเรื่องเล็กน้อยก็เท่านั้น คิ้วเข้มขมวดฉับ ไต้ฮ่าวเฉินกัดฟันกรอด ฝ่ามือกว้างคว้าหมับบริเวณข้อมือเล็ก เขากระชากกายของนางลอยหวือติดมือ จากนั้นจึงยกร่างบอบบางขึ้นพาดบ่าด้วยความกราดเกรี้ยว"อ๊ะ!...ท่านอ๋อง ปล่อยหม่อมฉัน" "อยู่นิ่ง ๆ ก่อนข้าจะหมดความอดทนกับเจ้า!" ทว่าฉงเสว่ปิงไม่เกรงกลัวเขา ถึงอย่างไรอีกไม่กี่ชั่วยามนางก็ต้องได้รับเหล้าพิษตายอีกหนอยู่ดี เพียงแต่ครานี้นางจะไม่ยินยอมให้เขาข่มเหงรังแกเช่นสองครั้งที่ผ่านมาแล้ว "ปล่อยข้า ท่านเอาสุราพิษมา!" เพียะ!ฉงเสว่
"องค์หญิง องค์หญิงเพคะ" อีกแล้วหรือ เสียงผู้ใดกัน ครานี้เรียกข้าองค์หญิงรึแพขนตางอนไหวระริก เปลือกตาบางขยับแผ่ว ดวงตากลมโตเปิดปรือเชื่องช้า ดูเหมือนครานี้นางไม่รู้สึกตื่นเต้นใดแล้ว ปรโลกไม่ต้องการ สวรรค์กลั่นแกล้ง หรือการจบชีวิตโดยวิธีกรอกสุราไม่อาจทำให้นางตายได้จริง ๆ กันเล่า"องค์หญิง ตื่นบรรทมเถิดเพคะ" ฉงเสว่ปิงผินหน้ามองอีกฝ่าย ดวงตากลมโตกะพริบขึ้นลงปริบ ๆ "มู่หลิน เจ้าเองหรือ" "หม่อมฉันเองเพคะ ตะวันทอแสงแล้วฝ่าบาทและพระชายารอองค์หญิงที่ห้องเสวยแล้วเพคะ" ฉงเสว่ปิงเลิกคิ้ว พลางกวาดสายตามองไปรอบห้อง ดวงตากลมโตเป็นทุนเดิมเบิกกว้างตื่นตะลึง "นะ...นี่..." "นี่อะไรหรือเพคะ" มู่หลินกะพริบตางุนงง ฉงเสว่ปิงหันหน้าขวับ "มู่หลิน ข้าแต่งงานหรือยัง!" "องค์หญิง ท่านยังไม่ได้อภิเษกนะเพคะ ถึงจะมีสัญญาหมั้นหมายกับชินอ๋อง แต่ว่ากำหนดวันอภิเษกคืออีกหนึ่งเดือนข้างหน้าเพคะ" ฉงเสว่ปิงฉีกยิ้มลิงโลด "หนึ่งเดือนข้างหน้า มู่หลินบอกข้าทีว่าตอนนี้ข้าอยู่ในตำหนักปิงสุ่ย" มู่หลินพยักหน้าหงึกหงัก "เพคะ ยามนี้องค์หญิงอยู่ตำหนักปิงสุ่ยแคว้นสุ่ยเหอขององค์หญิงและฝ่าบาทเพคะ" ฉงเสว่ปิงลุกพรวด ร่างบอบบางกระ
ฉงเสว่ปิงแหงนมองบิดา นางผละกายจากร่างสูงใหญ่ แล้วจึงสาวเท้าไปเบื้องหน้าเฉิงเหยา เอ่ยเสียงอ้อมแอ้มพลางทำสีหน้าออดอ้อน "เสด็จแม่เพคะ ท่านรักข้าหรือไม่""ปิงเอ๋อร์ เจ้าเป็นอันใดหรือ มีเรื่องไม่สบายใจใด" ผู้เป็นมารดาเอื้อมมือขึ้นลูบศีรษะบุตรธิดาด้วยความห่วงใย"ท่านตอบข้าก่อน""หากพ่อแม่ไม่รักลูกจะให้ไปรักผู้ใดงั้นหรือเด็กโง่"จากสีหน้าแย้มยิ้ม จู่ ๆ ก็มีน้ำตาพรั่งพรูออกมา เฉิงเหยาตื่นตระหนก ฉงเสว่ปิงรัดกายมารดาแน่นยิ่งขึ้น "เสด็จแม่ ฮึก...ฮือ...ข้าไม่อยากแต่งงานกับชินอ๋องเพคะ"ฉงเจิ่งหมินและเฉิงเหยาตัวแข็งทื่อ จากนั้นจึงเรียกสติกลับ ฝ่ามือยังคงลูบศีรษะคนในอ้อมกอดเนิบช้า"ทำไมเล่า ก่อนหน้าเจ้าก็มิได้ขัดอะไร อีกอย่างหากเจ้าไม่แต่งงานออกไปรู้หรือไม่จะเกิดเรื่องราวใหญ่โตเพียงไหน"ฉงเสว่ปิงพยายามกลืนก้อนสะอื้นลงคอ นางพยักหน้าหงึกหงัก แล้วจึงผละจากอ้อมแขนมารดา "แล้วถ้าหากลูกแต่งออกไป จากนั้นมีคนทำร้ายลูกจนถึงแก่ชีวิต เสด็จแม่และเสด็จพ่อจะทำอย่างไรเพคะ"ทั้งสองตกใจเบิกตากว้าง ฉงเจิ่งหมินโพล่ง "ปิงเอ๋อร์ เจ้าเอ่ยวาจาอัปมงคลใด หากเป็นเช่นนั้นจริงพ่อหรือจะนิ่งดูดาย""ฮึก!..." ฉงเสว่ปิงสะอึกหนึ่งครา
"ท่านพี่เหยียนเฟิง" ฉงเสว่ปิงลุกพรึบจากแววตาเศร้าสร้อยแปรผันเป็นยิ้มร่าดีอกดีใจ ร่างบอบบางถลันเข้าหาบุรุษตัวสูงทันควัน เจ้าของใบหน้าหล่อเหลาส่งยิ้มอบอุ่นดั่งฤดูใบไม้ผลิ ฝ่ามือหยาบกร้านจากการกรำศึกง้างธนูยกขึ้นยีศีรษะอีกฝ่ายแผ่วเบา"เด็กดื้อ เจ้ากำลังสร้างความลำบากใดให้เสด็จพ่อเสด็จแม่กันเล่า"ฉงเสว่ปิงนิ่วหน้า "ข้าเปล่าเสียหน่อย"ตู้เหยียนเฟิงส่ายหน้าพลางอมยิ้มอย่างนึกเอ็นดู"ปิงเอ๋อร์ วิ่งกระโดกกระเดกเช่นนี้ได้อย่างไร โตเป็นสาวแล้ว ไยจึงเกาะแขนเกาะขาพี่เขาอย่างนั้นเล่า" เฉิงเหยาตำหนิเสียงแผ่ว"เสด็จแม่อย่าต่อว่านางเลยพ่ะย่ะค่ะ เดิมทีนางกับข้าเราก็สนิทสนมกันตั้งแต่เยาว์" ตู้เหยียนเฟิงกล่าว"ได้อย่างไร เจ้าเองก็เป็นบุรุษ ควรออกเรือนมีชายาและองค์หญิงองค์ชายน้อยให้แม่กับเสด็จพ่ออุ้มได้แล้ว"ตู้เหยียนเฟิงค้อมศีรษะ "เสด็จแม่ ช่วงนี้แถบชายแดนยังไม่สงบ เรื่องนี้กระหม่อมยังไม่เร่งร้อนพ่ะย่ะค่ะ"ผู้เป็นดั่งบิดามารดาแห่งแคว้นสุ่ยเหอต่างระบายลมหายใจอ่อน เสียงทุ้มเอ่ย "เอาเถิด พวกเจ้าสองพี่
ฉงเสว่ปิงแหงนมองบิดา นางผละกายจากร่างสูงใหญ่ แล้วจึงสาวเท้าไปเบื้องหน้าเฉิงเหยา เอ่ยเสียงอ้อมแอ้มพลางทำสีหน้าออดอ้อน "เสด็จแม่เพคะ ท่านรักข้าหรือไม่""ปิงเอ๋อร์ เจ้าเป็นอันใดหรือ มีเรื่องไม่สบายใจใด" ผู้เป็นมารดาเอื้อมมือขึ้นลูบศีรษะบุตรธิดาด้วยความห่วงใย"ท่านตอบข้าก่อน""หากพ่อแม่ไม่รักลูกจะให้ไปรักผู้ใดงั้นหรือเด็กโง่"จากสีหน้าแย้มยิ้ม จู่ ๆ ก็มีน้ำตาพรั่งพรูออกมา เฉิงเหยาตื่นตระหนก ฉงเสว่ปิงรัดกายมารดาแน่นยิ่งขึ้น "เสด็จแม่ ฮึก...ฮือ...ข้าไม่อยากแต่งงานกับชินอ๋องเพคะ"ฉงเจิ่งหมินและเฉิงเหยาตัวแข็งทื่อ จากนั้นจึงเรียกสติกลับ ฝ่ามือยังคงลูบศีรษะคนในอ้อมกอดเนิบช้า"ทำไมเล่า ก่อนหน้าเจ้าก็มิได้ขัดอะไร อีกอย่างหากเจ้าไม่แต่งงานออกไปรู้หรือไม่จะเกิดเรื่องราวใหญ่โตเพียงไหน"ฉงเสว่ปิงพยายามกลืนก้อนสะอื้นลงคอ นางพยักหน้าหงึกหงัก แล้วจึงผละจากอ้อมแขนมารดา "แล้วถ้าหากลูกแต่งออกไป จากนั้นมีคนทำร้ายลูกจนถึงแก่ชีวิต เสด็จแม่และเสด็จพ่อจะทำอย่างไรเพคะ"ทั้งสองตกใจเบิกตากว้าง ฉงเจิ่งหมินโพล่ง "ปิงเอ๋อร์ เจ้าเอ่ยวาจาอัปมงคลใด หากเป็นเช่นนั้นจริงพ่อหรือจะนิ่งดูดาย""ฮึก!..." ฉงเสว่ปิงสะอึกหนึ่งครา
"องค์หญิง องค์หญิงเพคะ" อีกแล้วหรือ เสียงผู้ใดกัน ครานี้เรียกข้าองค์หญิงรึแพขนตางอนไหวระริก เปลือกตาบางขยับแผ่ว ดวงตากลมโตเปิดปรือเชื่องช้า ดูเหมือนครานี้นางไม่รู้สึกตื่นเต้นใดแล้ว ปรโลกไม่ต้องการ สวรรค์กลั่นแกล้ง หรือการจบชีวิตโดยวิธีกรอกสุราไม่อาจทำให้นางตายได้จริง ๆ กันเล่า"องค์หญิง ตื่นบรรทมเถิดเพคะ" ฉงเสว่ปิงผินหน้ามองอีกฝ่าย ดวงตากลมโตกะพริบขึ้นลงปริบ ๆ "มู่หลิน เจ้าเองหรือ" "หม่อมฉันเองเพคะ ตะวันทอแสงแล้วฝ่าบาทและพระชายารอองค์หญิงที่ห้องเสวยแล้วเพคะ" ฉงเสว่ปิงเลิกคิ้ว พลางกวาดสายตามองไปรอบห้อง ดวงตากลมโตเป็นทุนเดิมเบิกกว้างตื่นตะลึง "นะ...นี่..." "นี่อะไรหรือเพคะ" มู่หลินกะพริบตางุนงง ฉงเสว่ปิงหันหน้าขวับ "มู่หลิน ข้าแต่งงานหรือยัง!" "องค์หญิง ท่านยังไม่ได้อภิเษกนะเพคะ ถึงจะมีสัญญาหมั้นหมายกับชินอ๋อง แต่ว่ากำหนดวันอภิเษกคืออีกหนึ่งเดือนข้างหน้าเพคะ" ฉงเสว่ปิงฉีกยิ้มลิงโลด "หนึ่งเดือนข้างหน้า มู่หลินบอกข้าทีว่าตอนนี้ข้าอยู่ในตำหนักปิงสุ่ย" มู่หลินพยักหน้าหงึกหงัก "เพคะ ยามนี้องค์หญิงอยู่ตำหนักปิงสุ่ยแคว้นสุ่ยเหอขององค์หญิงและฝ่าบาทเพคะ" ฉงเสว่ปิงลุกพรวด ร่างบอบบางกระ
ฉงเสว่ปิงถอนหายใจอย่างนึกปลดปลง จะพิสูจน์ความจริงว่าตนยังไม่เกินเลยกับบุรุษแปลกหน้าก็ทำไม่ได้ ในเมื่อแต้มพรหมจรรย์ของนางมลายหายไปตั้งแต่วันแรกที่เข้าหอกับชินอ๋องแล้วนี่อย่างไร หนำซ้ำชายผู้นี้ยังปากแข็งเสียด้วย ดูเหมือนคงพร้อมสละชีพแล้วจริง ๆ ไม่รู้ว่าสนมซินทำอย่างไรจึงสามารถยืมดาบฆ่าคนได้เฉียบขาดเพียงนี้ "เอาล่ะท่านอ๋อง ข้าเบื่อหน่ายเต็มทน หากครั้งนี้ข้ายังไม่ตายข้าจะไม่ยอมแพ้อีกต่อไป ท่านเอาสุราพิษมาเถิด" ฉงเสว่ปิงกล่าวเนิบนาบ ท่าทางของนางไม่อนาทรร้อนใจ สีหน้าเรียบเฉยเช่นนี้ส่งผลให้คนมองรู้สึกกรุ่นโกรธยิ่งนัก นางทำราวกับเป็นเรื่องเล็กน้อยก็เท่านั้น คิ้วเข้มขมวดฉับ ไต้ฮ่าวเฉินกัดฟันกรอด ฝ่ามือกว้างคว้าหมับบริเวณข้อมือเล็ก เขากระชากกายของนางลอยหวือติดมือ จากนั้นจึงยกร่างบอบบางขึ้นพาดบ่าด้วยความกราดเกรี้ยว"อ๊ะ!...ท่านอ๋อง ปล่อยหม่อมฉัน" "อยู่นิ่ง ๆ ก่อนข้าจะหมดความอดทนกับเจ้า!" ทว่าฉงเสว่ปิงไม่เกรงกลัวเขา ถึงอย่างไรอีกไม่กี่ชั่วยามนางก็ต้องได้รับเหล้าพิษตายอีกหนอยู่ดี เพียงแต่ครานี้นางจะไม่ยินยอมให้เขาข่มเหงรังแกเช่นสองครั้งที่ผ่านมาแล้ว "ปล่อยข้า ท่านเอาสุราพิษมา!" เพียะ!ฉงเสว่
"ท่านอยากลงทัณฑ์ข้าก็ลงมือเถิด ไยต้องทรมานกันถึงเพียงนี้" สุ้มเสียงที่เคยสดใสสั่นเครือแหบพร่า ฉงเสว่ปิงพยายามกล้ำกลืนก้อนสะอื้นและเสียงครวญครางซึ่งจุกอยู่ในลำคอไม่ให้เล็ดลอดออกมา อาภรณ์งดงามถูกฉีกทึ้งขาดวิ่นไม่เหลือชิ้นดี แท่งทวนขนาดใหญ่เปียกชื้นกระทั้นเข้าออกในโพรงบุปผาอย่างไม่ปรานีซ้ำแล้วซ้ำเล่า มือหยาบกร้านดึงรั้งแขนเล็กไพล่หลัง ร่างกำยำโน้มลงแนบชิดกายขาวเนียนดุจหยกเนื้อดี บุรุษผู้ควบคุมแรงปรารถนาเบื้องบนเปล่งเสียงกระเส่าระคนดุดัน "เจ้าเป็นชายารองของข้า ทว่าแอบคบชู้สู่ชาย ก่อนข้าส่งเจ้าไปลงปรโลก ข้ายังใจดีมอบความสุขครั้งสุดท้ายให้ ยังไม่คิดขอบคุณอีกหรือ" ใบหน้างามซับสีแดงระเรื่อเบี่ยงมองด้านข้าง ฟันเรียงสวยขบแน่นจนกายสั่นระริก "ชินอ๋อง ข้าไม่เคยต้องการสักนิด อีกอย่างลีลาของท่านนั้นมันไม่ได้เรื่อง! ข้าหรือจะมีความสุข หากใคร่อยากนักควรไปลงกับสนมของท่าน ในเมื่อเชื่อในคำพูดของนางแต่ไม่รับฟังข้า ก็รีบส่งข้าไปปรโลกเถอะ คนอำมหิต!" ไต้ฮ่าวเฉินกัดฟันกรอด ยิ่งได้ยินวาจาประชดประชันความโกรธเกรี้ยวก็ยิ่งปะทุเป็นทบทวีคูณ เขาเพิ่มแรงกระแทกบดอัดอาวุธร้ายของบุรุษเข้าไปอย่างดุดันเสียจนอีกฝ่ายร้อง