ฉงเสว่ปิงแหงนมองบิดา นางผละกายจากร่างสูงใหญ่ แล้วจึงสาวเท้าไปเบื้องหน้าเฉิงเหยา เอ่ยเสียงอ้อมแอ้มพลางทำสีหน้าออดอ้อน "เสด็จแม่เพคะ ท่านรักข้าหรือไม่"
"ปิงเอ๋อร์ เจ้าเป็นอันใดหรือ มีเรื่องไม่สบายใจใด" ผู้เป็นมารดาเอื้อมมือขึ้นลูบศีรษะบุตรธิดาด้วยความห่วงใย
"ท่านตอบข้าก่อน"
"หากพ่อแม่ไม่รักลูกจะให้ไปรักผู้ใดงั้นหรือเด็กโง่"
จากสีหน้าแย้มยิ้ม จู่ ๆ ก็มีน้ำตาพรั่งพรูออกมา เฉิงเหยาตื่นตระหนก ฉงเสว่ปิงรัดกายมารดาแน่นยิ่งขึ้น "เสด็จแม่ ฮึก...ฮือ...ข้าไม่อยากแต่งงานกับชินอ๋องเพคะ"
ฉงเจิ่งหมินและเฉิงเหยาตัวแข็งทื่อ จากนั้นจึงเรียกสติกลับ ฝ่ามือยังคงลูบศีรษะคนในอ้อมกอดเนิบช้า
"ทำไมเล่า ก่อนหน้าเจ้าก็มิได้ขัดอะไร อีกอย่างหากเจ้าไม่แต่งงานออกไปรู้หรือไม่จะเกิดเรื่องราวใหญ่โตเพียงไหน"
ฉงเสว่ปิงพยายามกลืนก้อนสะอื้นลงคอ นางพยักหน้าหงึกหงัก แล้วจึงผละจากอ้อมแขนมารดา "แล้วถ้าหากลูกแต่งออกไป จากนั้นมีคนทำร้ายลูกจนถึงแก่ชีวิต เสด็จแม่และเสด็จพ่อจะทำอย่างไรเพคะ"
ทั้งสองตกใจเบิกตากว้าง ฉงเจิ่งหมินโพล่ง "ปิงเอ๋อร์ เจ้าเอ่ยวาจาอัปมงคลใด หากเป็นเช่นนั้นจริงพ่อหรือจะนิ่งดูดาย"
"ฮึก!..." ฉงเสว่ปิงสะอึกหนึ่งครา ดวงตาของนางแดงก่ำ "เช่นนั้นจะแต่งหรือไม่แต่งก็คงผลลัพธ์เดียวกันกระมัง ข้ายอมตายไม่ยอมอภิเษกกับชินอ๋องเพคะ"
"ปิงเอ๋อร์ พูดอะไรของเจ้า" เฉิงเหยายกมือทาบอก ร่างบอบบางแทบล้มตึง ฉงเจิ่งหมินรีบถลันเข้าประคองร่างชายาตนเอาไว้
"เอาล่ะ ๆ นั่งก่อน กินให้อิ่มแล้วเรามาคุยกัน" ฉงเจิ่งหมินเอ่ยเสียงเรียบเรื่อย พลางประคองกายของเฉิงเหยานั่งบนเก้าอี้สีขาวเหลือบทองคำ นางกำนัลจึงเข้ามาปรนนิบัติพัดวีจนนางได้สติ
ฉงเสว่ปิงพยักหน้า นางค่อย ๆ หย่อนกายลงนั่ง มือเรียวยกตะเกียบขึ้นเนิบนาบ ทว่ายามนี้นางฝืนกินไม่ลงจริง ๆ เรียวมือจึงค้างเติ่งอยู่เช่นนั้น
ฉงเจิ่งหมินถอนหายใจ เมื่อเห็นท่าทางเลื่อนลอยของนาง "ไหนเจ้าบอกพ่อสักหน่อย ว่าเหตุใดจึงไม่ต้องการอภิเษกกับชินอ๋อง"
นัยน์ตาทรงดอกท้อหลุบลง ตะเกียบในมือเขี่ยเม็ดข้าวสีขาวนวลไปมา จากนั้นจึงช้อนดวงตาขึ้น "เสด็จพ่อ เดิมทีแคว้นของเรายึดหลักเรื่องคู่ครองเดียวใช่หรือไม่เพคะ ท่านเองก็ไม่ได้มีสนมแม้สักคน ถึงให้กำเนิดได้เพียงข้าคนเดียวท่านก็ยังมีเพียงเสด็จแม่"
"อืม...พ่อรักแม่ของเจ้าผู้เดียว ที่เจ้าไม่อยากแต่งกับชินอ๋องเพราะเรื่องนี้หรือ"
"เดิมทีก็หลายเรื่อง ทว่าเรื่องนี้ด้วย หากข้าแต่งออกไปเขาก็ต้องมีสนมอยู่ดี แคว้นไต้เจียฮ่องเต้มีสนมนับร้อย แล้วเขาเล่าเป็นรองคนเพียงหนึ่งทว่าอยู่เหนือคนใต้หล้า ท่านว่าธิดาของท่านผู้นี้แต่งเข้าไปจะเป็นอะไรสำหรับเขาหรือ" ฉงเสว่ปิงเอ่ยด้วยแววตาสั่นระริก
ฉงเจิ่งหมินคิ้วขมวด "ปิงเอ๋อร์ เดิมทีบุรุษมีภรรยาได้มากกว่าหนึ่ง อีกอย่างเขาเป็นถึงชินอ๋องผลงานการศึกมากมาย เงินทองล้นเหลือ เจ้าแต่งออกไปพ่อคิดว่าคงได้อยู่สุขสบาย"
"เสด็จพ่อ นั่นนับว่าความสุขหรือเพคะ แล้วไยท่านจึงมีเพียงเสด็จแม่ ท่านกำลังเข้าข้างเขาทั้ง ๆ ที่ยังไม่เคยพบหน้าหรือ"
"เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าพ่อยังไม่เคยพบเขา อีกอย่างนี่เป็นสัญญาของสองแคว้นซึ่งมีมาช้านาน เจ้าแต่งเข้าไปก็เป็นชายาสูงสุดของเขา หากเจ้าไม่แต่งวันข้างหน้าจะต้องเดือดร้อนไปทั่วหย่อมหญ้า"
"เสด็จพ่อ...ท่านทราบหรือไม่ว่าข้าได้เป็นเพียงชายารอง!" ฉงเสว่ปิงเหลืออด เหตุใดบิดาของนางจึงไร้เหตุผลนัก
คิ้วเข้มเคลื่อนเข้าหากันอีกครั้ง "ชายารอง? เจ้าหมายความว่าอย่างไร เขามีชายาเอกมาก่อนหรือ"
ฉงเสว่ปิงส่ายศีรษะ "เปล่าเพคะ"
"เจ้าไปเอาเรื่องพวกนี้มาจากที่ใด ยังไม่เคยพบหน้าเขามิใช่หรือ"
นางจะบอกเช่นไรดี ตอนนี้นางตายแล้วได้มาเกิดใหม่ในช่วงเวลาที่ต่างกันถึงสามครั้งสามครา ย่อมรู้เช่นเห็นชาติของชินอ๋องผู้นี้ดี "ถึงตอนนี้เขายังไม่มีกระทั่งชายาและสนม ข้าก็ไม่แต่ง หากเขาไม่มีข้าผู้เดียวข้าไม่แต่งเพคะ"
ฉงเสว่ปิงทิ้งกายพิงพนักเก้าอี้ลายวิจิตร ใบหน้างามงอง้ำ "เอาล่ะ ๆ ปิงเอ๋อร์ เพียงเรื่องนี้ใช่หรือไม่เงื่อนไขของเจ้า เช่นนั้นพ่อจะลองเจรจาดูก่อน"
ฉงเสว่ปิงหันขวับ "เสด็จพ่อ นี่ท่านยังจะไปเจรจากับเขาอีกหรือเพคะ เรื่องใดก็ช่างข้าไม่แต่ง"
"ไม่แต่งก็ไม่แต่ง" เสียงทุ้มโพล่งจากหน้าโถงทางเข้า ทุกคนต่างหันมองในทิศเดียวกัน
เฉิงเหยาคลี่ยิ้มอบอุ่นเมื่อเห็นว่าใครมาเยือน ฉงเสว่ปิงกะพริบดวงตาถี่
"ถวายบังคมเสด็จพ่อ ถวายบังคมเสด็จแม่พ่ะย่ะค่ะ" บุรุษสวมเสื้อเกราะร่างสูงสง่ายอบกายลงพลางค้อมศีรษะเล็กน้อย
ฉงเจิ่งหมินเอ่ย "เหยียนเฟิง มาแล้วหรือ เจ้าลุกขึ้นเถิด"
"ท่านอยากลงทัณฑ์ข้าก็ลงมือเถิด ไยต้องทรมานกันถึงเพียงนี้" สุ้มเสียงที่เคยสดใสสั่นเครือแหบพร่า ฉงเสว่ปิงพยายามกล้ำกลืนก้อนสะอื้นและเสียงครวญครางซึ่งจุกอยู่ในลำคอไม่ให้เล็ดลอดออกมา อาภรณ์งดงามถูกฉีกทึ้งขาดวิ่นไม่เหลือชิ้นดี แท่งทวนขนาดใหญ่เปียกชื้นกระทั้นเข้าออกในโพรงบุปผาอย่างไม่ปรานีซ้ำแล้วซ้ำเล่า มือหยาบกร้านดึงรั้งแขนเล็กไพล่หลัง ร่างกำยำโน้มลงแนบชิดกายขาวเนียนดุจหยกเนื้อดี บุรุษผู้ควบคุมแรงปรารถนาเบื้องบนเปล่งเสียงกระเส่าระคนดุดัน "เจ้าเป็นชายารองของข้า ทว่าแอบคบชู้สู่ชาย ก่อนข้าส่งเจ้าไปลงปรโลก ข้ายังใจดีมอบความสุขครั้งสุดท้ายให้ ยังไม่คิดขอบคุณอีกหรือ" ใบหน้างามซับสีแดงระเรื่อเบี่ยงมองด้านข้าง ฟันเรียงสวยขบแน่นจนกายสั่นระริก "ชินอ๋อง ข้าไม่เคยต้องการสักนิด อีกอย่างลีลาของท่านนั้นมันไม่ได้เรื่อง! ข้าหรือจะมีความสุข หากใคร่อยากนักควรไปลงกับสนมของท่าน ในเมื่อเชื่อในคำพูดของนางแต่ไม่รับฟังข้า ก็รีบส่งข้าไปปรโลกเถอะ คนอำมหิต!" ไต้ฮ่าวเฉินกัดฟันกรอด ยิ่งได้ยินวาจาประชดประชันความโกรธเกรี้ยวก็ยิ่งปะทุเป็นทบทวีคูณ เขาเพิ่มแรงกระแทกบดอัดอาวุธร้ายของบุรุษเข้าไปอย่างดุดันเสียจนอีกฝ่ายร้อง
ฉงเสว่ปิงถอนหายใจอย่างนึกปลดปลง จะพิสูจน์ความจริงว่าตนยังไม่เกินเลยกับบุรุษแปลกหน้าก็ทำไม่ได้ ในเมื่อแต้มพรหมจรรย์ของนางมลายหายไปตั้งแต่วันแรกที่เข้าหอกับชินอ๋องแล้วนี่อย่างไร หนำซ้ำชายผู้นี้ยังปากแข็งเสียด้วย ดูเหมือนคงพร้อมสละชีพแล้วจริง ๆ ไม่รู้ว่าสนมซินทำอย่างไรจึงสามารถยืมดาบฆ่าคนได้เฉียบขาดเพียงนี้ "เอาล่ะท่านอ๋อง ข้าเบื่อหน่ายเต็มทน หากครั้งนี้ข้ายังไม่ตายข้าจะไม่ยอมแพ้อีกต่อไป ท่านเอาสุราพิษมาเถิด" ฉงเสว่ปิงกล่าวเนิบนาบ ท่าทางของนางไม่อนาทรร้อนใจ สีหน้าเรียบเฉยเช่นนี้ส่งผลให้คนมองรู้สึกกรุ่นโกรธยิ่งนัก นางทำราวกับเป็นเรื่องเล็กน้อยก็เท่านั้น คิ้วเข้มขมวดฉับ ไต้ฮ่าวเฉินกัดฟันกรอด ฝ่ามือกว้างคว้าหมับบริเวณข้อมือเล็ก เขากระชากกายของนางลอยหวือติดมือ จากนั้นจึงยกร่างบอบบางขึ้นพาดบ่าด้วยความกราดเกรี้ยว"อ๊ะ!...ท่านอ๋อง ปล่อยหม่อมฉัน" "อยู่นิ่ง ๆ ก่อนข้าจะหมดความอดทนกับเจ้า!" ทว่าฉงเสว่ปิงไม่เกรงกลัวเขา ถึงอย่างไรอีกไม่กี่ชั่วยามนางก็ต้องได้รับเหล้าพิษตายอีกหนอยู่ดี เพียงแต่ครานี้นางจะไม่ยินยอมให้เขาข่มเหงรังแกเช่นสองครั้งที่ผ่านมาแล้ว "ปล่อยข้า ท่านเอาสุราพิษมา!" เพียะ!ฉงเสว่
"องค์หญิง องค์หญิงเพคะ" อีกแล้วหรือ เสียงผู้ใดกัน ครานี้เรียกข้าองค์หญิงรึแพขนตางอนไหวระริก เปลือกตาบางขยับแผ่ว ดวงตากลมโตเปิดปรือเชื่องช้า ดูเหมือนครานี้นางไม่รู้สึกตื่นเต้นใดแล้ว ปรโลกไม่ต้องการ สวรรค์กลั่นแกล้ง หรือการจบชีวิตโดยวิธีกรอกสุราไม่อาจทำให้นางตายได้จริง ๆ กันเล่า"องค์หญิง ตื่นบรรทมเถิดเพคะ" ฉงเสว่ปิงผินหน้ามองอีกฝ่าย ดวงตากลมโตกะพริบขึ้นลงปริบ ๆ "มู่หลิน เจ้าเองหรือ" "หม่อมฉันเองเพคะ ตะวันทอแสงแล้วฝ่าบาทและพระชายารอองค์หญิงที่ห้องเสวยแล้วเพคะ" ฉงเสว่ปิงเลิกคิ้ว พลางกวาดสายตามองไปรอบห้อง ดวงตากลมโตเป็นทุนเดิมเบิกกว้างตื่นตะลึง "นะ...นี่..." "นี่อะไรหรือเพคะ" มู่หลินกะพริบตางุนงง ฉงเสว่ปิงหันหน้าขวับ "มู่หลิน ข้าแต่งงานหรือยัง!" "องค์หญิง ท่านยังไม่ได้อภิเษกนะเพคะ ถึงจะมีสัญญาหมั้นหมายกับชินอ๋อง แต่ว่ากำหนดวันอภิเษกคืออีกหนึ่งเดือนข้างหน้าเพคะ" ฉงเสว่ปิงฉีกยิ้มลิงโลด "หนึ่งเดือนข้างหน้า มู่หลินบอกข้าทีว่าตอนนี้ข้าอยู่ในตำหนักปิงสุ่ย" มู่หลินพยักหน้าหงึกหงัก "เพคะ ยามนี้องค์หญิงอยู่ตำหนักปิงสุ่ยแคว้นสุ่ยเหอขององค์หญิงและฝ่าบาทเพคะ" ฉงเสว่ปิงลุกพรวด ร่างบอบบางกระ
ฉงเสว่ปิงแหงนมองบิดา นางผละกายจากร่างสูงใหญ่ แล้วจึงสาวเท้าไปเบื้องหน้าเฉิงเหยา เอ่ยเสียงอ้อมแอ้มพลางทำสีหน้าออดอ้อน "เสด็จแม่เพคะ ท่านรักข้าหรือไม่""ปิงเอ๋อร์ เจ้าเป็นอันใดหรือ มีเรื่องไม่สบายใจใด" ผู้เป็นมารดาเอื้อมมือขึ้นลูบศีรษะบุตรธิดาด้วยความห่วงใย"ท่านตอบข้าก่อน""หากพ่อแม่ไม่รักลูกจะให้ไปรักผู้ใดงั้นหรือเด็กโง่"จากสีหน้าแย้มยิ้ม จู่ ๆ ก็มีน้ำตาพรั่งพรูออกมา เฉิงเหยาตื่นตระหนก ฉงเสว่ปิงรัดกายมารดาแน่นยิ่งขึ้น "เสด็จแม่ ฮึก...ฮือ...ข้าไม่อยากแต่งงานกับชินอ๋องเพคะ"ฉงเจิ่งหมินและเฉิงเหยาตัวแข็งทื่อ จากนั้นจึงเรียกสติกลับ ฝ่ามือยังคงลูบศีรษะคนในอ้อมกอดเนิบช้า"ทำไมเล่า ก่อนหน้าเจ้าก็มิได้ขัดอะไร อีกอย่างหากเจ้าไม่แต่งงานออกไปรู้หรือไม่จะเกิดเรื่องราวใหญ่โตเพียงไหน"ฉงเสว่ปิงพยายามกลืนก้อนสะอื้นลงคอ นางพยักหน้าหงึกหงัก แล้วจึงผละจากอ้อมแขนมารดา "แล้วถ้าหากลูกแต่งออกไป จากนั้นมีคนทำร้ายลูกจนถึงแก่ชีวิต เสด็จแม่และเสด็จพ่อจะทำอย่างไรเพคะ"ทั้งสองตกใจเบิกตากว้าง ฉงเจิ่งหมินโพล่ง "ปิงเอ๋อร์ เจ้าเอ่ยวาจาอัปมงคลใด หากเป็นเช่นนั้นจริงพ่อหรือจะนิ่งดูดาย""ฮึก!..." ฉงเสว่ปิงสะอึกหนึ่งครา
"องค์หญิง องค์หญิงเพคะ" อีกแล้วหรือ เสียงผู้ใดกัน ครานี้เรียกข้าองค์หญิงรึแพขนตางอนไหวระริก เปลือกตาบางขยับแผ่ว ดวงตากลมโตเปิดปรือเชื่องช้า ดูเหมือนครานี้นางไม่รู้สึกตื่นเต้นใดแล้ว ปรโลกไม่ต้องการ สวรรค์กลั่นแกล้ง หรือการจบชีวิตโดยวิธีกรอกสุราไม่อาจทำให้นางตายได้จริง ๆ กันเล่า"องค์หญิง ตื่นบรรทมเถิดเพคะ" ฉงเสว่ปิงผินหน้ามองอีกฝ่าย ดวงตากลมโตกะพริบขึ้นลงปริบ ๆ "มู่หลิน เจ้าเองหรือ" "หม่อมฉันเองเพคะ ตะวันทอแสงแล้วฝ่าบาทและพระชายารอองค์หญิงที่ห้องเสวยแล้วเพคะ" ฉงเสว่ปิงเลิกคิ้ว พลางกวาดสายตามองไปรอบห้อง ดวงตากลมโตเป็นทุนเดิมเบิกกว้างตื่นตะลึง "นะ...นี่..." "นี่อะไรหรือเพคะ" มู่หลินกะพริบตางุนงง ฉงเสว่ปิงหันหน้าขวับ "มู่หลิน ข้าแต่งงานหรือยัง!" "องค์หญิง ท่านยังไม่ได้อภิเษกนะเพคะ ถึงจะมีสัญญาหมั้นหมายกับชินอ๋อง แต่ว่ากำหนดวันอภิเษกคืออีกหนึ่งเดือนข้างหน้าเพคะ" ฉงเสว่ปิงฉีกยิ้มลิงโลด "หนึ่งเดือนข้างหน้า มู่หลินบอกข้าทีว่าตอนนี้ข้าอยู่ในตำหนักปิงสุ่ย" มู่หลินพยักหน้าหงึกหงัก "เพคะ ยามนี้องค์หญิงอยู่ตำหนักปิงสุ่ยแคว้นสุ่ยเหอขององค์หญิงและฝ่าบาทเพคะ" ฉงเสว่ปิงลุกพรวด ร่างบอบบางกระ
ฉงเสว่ปิงถอนหายใจอย่างนึกปลดปลง จะพิสูจน์ความจริงว่าตนยังไม่เกินเลยกับบุรุษแปลกหน้าก็ทำไม่ได้ ในเมื่อแต้มพรหมจรรย์ของนางมลายหายไปตั้งแต่วันแรกที่เข้าหอกับชินอ๋องแล้วนี่อย่างไร หนำซ้ำชายผู้นี้ยังปากแข็งเสียด้วย ดูเหมือนคงพร้อมสละชีพแล้วจริง ๆ ไม่รู้ว่าสนมซินทำอย่างไรจึงสามารถยืมดาบฆ่าคนได้เฉียบขาดเพียงนี้ "เอาล่ะท่านอ๋อง ข้าเบื่อหน่ายเต็มทน หากครั้งนี้ข้ายังไม่ตายข้าจะไม่ยอมแพ้อีกต่อไป ท่านเอาสุราพิษมาเถิด" ฉงเสว่ปิงกล่าวเนิบนาบ ท่าทางของนางไม่อนาทรร้อนใจ สีหน้าเรียบเฉยเช่นนี้ส่งผลให้คนมองรู้สึกกรุ่นโกรธยิ่งนัก นางทำราวกับเป็นเรื่องเล็กน้อยก็เท่านั้น คิ้วเข้มขมวดฉับ ไต้ฮ่าวเฉินกัดฟันกรอด ฝ่ามือกว้างคว้าหมับบริเวณข้อมือเล็ก เขากระชากกายของนางลอยหวือติดมือ จากนั้นจึงยกร่างบอบบางขึ้นพาดบ่าด้วยความกราดเกรี้ยว"อ๊ะ!...ท่านอ๋อง ปล่อยหม่อมฉัน" "อยู่นิ่ง ๆ ก่อนข้าจะหมดความอดทนกับเจ้า!" ทว่าฉงเสว่ปิงไม่เกรงกลัวเขา ถึงอย่างไรอีกไม่กี่ชั่วยามนางก็ต้องได้รับเหล้าพิษตายอีกหนอยู่ดี เพียงแต่ครานี้นางจะไม่ยินยอมให้เขาข่มเหงรังแกเช่นสองครั้งที่ผ่านมาแล้ว "ปล่อยข้า ท่านเอาสุราพิษมา!" เพียะ!ฉงเสว่
"ท่านอยากลงทัณฑ์ข้าก็ลงมือเถิด ไยต้องทรมานกันถึงเพียงนี้" สุ้มเสียงที่เคยสดใสสั่นเครือแหบพร่า ฉงเสว่ปิงพยายามกล้ำกลืนก้อนสะอื้นและเสียงครวญครางซึ่งจุกอยู่ในลำคอไม่ให้เล็ดลอดออกมา อาภรณ์งดงามถูกฉีกทึ้งขาดวิ่นไม่เหลือชิ้นดี แท่งทวนขนาดใหญ่เปียกชื้นกระทั้นเข้าออกในโพรงบุปผาอย่างไม่ปรานีซ้ำแล้วซ้ำเล่า มือหยาบกร้านดึงรั้งแขนเล็กไพล่หลัง ร่างกำยำโน้มลงแนบชิดกายขาวเนียนดุจหยกเนื้อดี บุรุษผู้ควบคุมแรงปรารถนาเบื้องบนเปล่งเสียงกระเส่าระคนดุดัน "เจ้าเป็นชายารองของข้า ทว่าแอบคบชู้สู่ชาย ก่อนข้าส่งเจ้าไปลงปรโลก ข้ายังใจดีมอบความสุขครั้งสุดท้ายให้ ยังไม่คิดขอบคุณอีกหรือ" ใบหน้างามซับสีแดงระเรื่อเบี่ยงมองด้านข้าง ฟันเรียงสวยขบแน่นจนกายสั่นระริก "ชินอ๋อง ข้าไม่เคยต้องการสักนิด อีกอย่างลีลาของท่านนั้นมันไม่ได้เรื่อง! ข้าหรือจะมีความสุข หากใคร่อยากนักควรไปลงกับสนมของท่าน ในเมื่อเชื่อในคำพูดของนางแต่ไม่รับฟังข้า ก็รีบส่งข้าไปปรโลกเถอะ คนอำมหิต!" ไต้ฮ่าวเฉินกัดฟันกรอด ยิ่งได้ยินวาจาประชดประชันความโกรธเกรี้ยวก็ยิ่งปะทุเป็นทบทวีคูณ เขาเพิ่มแรงกระแทกบดอัดอาวุธร้ายของบุรุษเข้าไปอย่างดุดันเสียจนอีกฝ่ายร้อง