หญิงสาวมีท่าทีตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัดนางเหงื่อออกมากด้วยความเจ็บปวด และถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “มีอะไรบกพร่องหรือ?”ตอนนี้จับคนได้แล้ว ซูชิงอู่จึงไม่รีบร้อนอีกต่อไปและตอบคำถามของนางอย่างอดทน“เจ้าไม่ติดตามเรื่องนี้ นอกจากเจ้าอยากแสดงความใจกว้างให้เป็นที่ประจักษ์แล้ว เจ้าก็ยังอยากให้ข้าและคนอื่น ๆ ออกจากสำนักชีฮุ่ยชิงโดยเร็วที่สุดเพื่อป้องกันไม่ให้เรื่องของเจ้าถูกเปิดเผย”หลังจากเดาได้ว่านางกำลังคิดอะไรอยู่ สตรีนางนั้นก็เงียบไปทันทีหลังจากหยุดไปชั่วครู่ นางก็กล่าวเสริม “นี่พิสูจน์อะไรไม่ได้ บางทีองค์หญิงจาวหยวนอาจอุทิศตนเพื่อพระพุทธองค์และมีความเมตตากระมัง?”ซูชิงอู่หัวเราะเบา ๆ“น่าเสียดายที่ข้าไม่เชื่อว่าจะมีใครทำเช่นนี้ได้จริง ๆ ”นางได้เห็นความชั่วร้ายสุดขีดในโลกนี้มาแล้วและยังคงกังขาต่อความดีของธรรมชาติของมนุษย์อย่างมากนี่คือเหตุผลสำคัญที่สุดว่าทำไมสตรีตรงหน้านางถึงถูกเปิดเผยยิ่งไปกว่านั้นนางเองก็สามารถปลอมตัวได้ แต่คนอื่น ๆ ไม่สามารถทำได้องค์หญิงปลอมรู้ว่าคราวนี้นางหนีไม่พ้น นางได้จับใบหน้าเหี่ยวย่นเอาไว้ ส่วนมือที่หักก็ยกขึ้นมาครึ่งหนึ่งก่อนที่จะคุกเข่าลงกับพื้น她顶
“อุก…”ยาเม็ดในปากของสตรีนางนั้นละลายทันทีช่วงเวลาต่อมานางก็รู้สึกเป็นตะคริวที่ท้องอย่างรุนแรงสตรีนางนั้นนอนเกลือกกลิ้งอยู่กับพื้น มีเสียงกรีดร้องออกมาจากปากของนาง และไม่นาน ก็มีแอ่งเลือดปรากฏขึ้นใต้ร่างของนางมันก็เป็นแค่กองเลือดเด็กที่ยังไม่มีรูปร่างไม่สามารถเรียกว่าทารกในครรภ์ได้ยิ่งไปกว่านั้น ไม่มีใครคาดคิดว่าเด็กคนนี้จะเกิดมาเดิมทีซูชิงอู่คิดจะมอบสตรีนางนี้ให้กับเย่ชิวหมิง และปล่อยให้เขาจัดการกับนางด้วยตัวเอง แต่มาคิด ๆ ดูแล้วไม่เอาดีกว่าคำพูดของเย่เสวียนถิงช่วยเตือนสตินางการตัดรากถอนโคนยังน่าพึงพอใจมากกว่าเย่ชิวหมิงเป็นคนขี้ใจอ่อนไม่เด็ดขาด หากเจียวกุ้ยเฟยไม่ได้ทำอะไรผิดร้ายแรง เขาคงไม่มีใจที่จะลงมือโจมตีนางในสถานการณ์เช่นนี้ เขาจะต้องเก็บเด็กคนนี้ไว้อย่างแน่นอนแม้ตอนนี้หว่านเอ๋อร์จะตั้งครรภ์ไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าในอนาคตนางจะไม่สามารถตั้งครรภ์ได้ นางกำลังคิดหาวิธีรักษาแผลในช่องท้องของนางอยู่ อีกไม่นานก็จะบรรลุผลเจ้าสำนักชีฮุ่ยซินเฝ้าดูอย่างช่วยอะไรไม่ได้ ขณะที่สตรีผู้มีใบหน้าขององค์หญิงจาวหยวนนอนอยู่บนพื้นและในที่สุดก็ไม่เคลื่อนไหวหนึ่งเม็ด หนึ่งร
ขณะที่ซูชิงอู่กำลังจะพาคนของนางลงจากภูเขา นางก็ได้ยินเสียงทหารของเมืองฉีที่ยืนเฝ้าอยู่ด้านนอกวิ่งเข้ามาทันทีน้ำเสียงของเขาดูกังวลอย่างเห็นได้ชัด และน้ำเสียงของเขาก็เร่งขึ้นมากเช่นกัน “พระชายา...จู่ ๆ ข้างนอกก็มีคนประมาณสองพันปรากฎตัวพ่ะย่ะค่ะ!”ซูชิงอู่มีท่าทีสงสัยเล็กน้อย“สองพันคน…มาจากไหนกัน?”“ไม่ทราบพ่ะย่ะค่ะ แต่ชุดเกราะที่คนเหล่านั้นสวมใส่นั้นแตกต่างจากชุดของกระหม่อมและทหารคุ้มกันเมืองหลวงพ่ะย่ะค่ะ…”จู่ ๆ เย่เสวียนถิงก็พูดอยู่ข้าง ๆ นาง “เป็นคนของตระกูลเจียว”ซูชิงอู่เคยได้ยินมาว่าเจียวกุ้ยเฟยมีพี่สามซึ่งอยู่ข้างนอกและไม่เคยกลับมายังเมืองหลวงเลยดังนั้นเมื่อทุกคนในตระกูลเจียวถูกจับ ก็มีบางคนที่เล็ดลอดผ่านตาข่ายไปได้และครั้งนี้เจียวกุ้ยเฟยหนีออกจากวัง นางต้องได้รับการช่วยเหลือและชี้แนะจากบุคคลนี้ท่าทางของซูชิงอู่เคร่งขรึมเล็กน้อย “คนสองพันคน มีความได้เปรียบในด้านตัวเลข มากกว่าพวกเราถึงสองเท่า”คนอื่น ๆ เองก็เริ่มกังวล และทุกคนก็มองไปที่ซูชิงอู่อย่างเงียบ ๆท่าทีของหลิ่วจ้งอิ๋นค่อนข้างนิ่งเฉย “คนหนึ่งพันต่อสองพันคน จะสู้อย่างไร?”ทันใดนั้น ลูกธนูจำนวนมากก็พุ่งลงมาเฉ
นอกจากนี้จำนวนฝ่ายตรงข้ามยังมากกว่าจำนวนคนฝั่งเราอีกด้วย ไม่ต้องพูดถึงนักธนู ต้องมีศัตรูมาจากด้านล่างเพื่อมารอปิดประตูตีแมวแน่ ๆหลิ่วจ้งอิ๋นประหม่าและหันศีรษะไปมองซูชิงอู่โดยไม่รู้ตัว“พระชายา ท่านคงมีทางแก้ไขแล้วแน่ พวกเราควรทำอย่างไรกันดี?”เมื่อถูกนักธนูยิงกดธนูกดดันเอาไว้ พวกเขาก็ไม่สามารถออกไปได้เลย อีกทั้งทุกคนก็อยู่ในสภาพที่ไม่มีพลังงานพอให้ใช้แม้แต่ฉินชานก็มองนางด้วยเช่นกัน และผู้คนรอบตัวนางก็มีดวงตาที่เปล่งประกายด้วยความคาดหวังซูชิงอู่มองไปที่ดวงตาของทุกคน และทันใดนั้นก็รู้สึกว่าทุกคนได้ฝากความหวังไว้กับนางนางอดไม่ได้ที่จะรู้สึกถึงน้ำหนักบนไหล่ของนางที่ไม่อาจมองข้ามได้เย่เสวียนถิงแอบจับมือนาง ราวกับเขาสังเกตเห็นบางสิ่งแปลก ๆ เกี่ยวกับนางความอบอุ่นจากมือใหญ่ทำให้ซูชิงอู่กลับมามีสติอีกครั้ง นางเงยหน้ามองออกไปข้างนอก ดวงตาของนางเริ่มเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ทันใดนั้นนางก็รู้สึกถึงความสำเร็จอย่างมากตอนนี้นางได้กลายเป็นกระดูกสันหลังของคนหลายพันคน และหนึ่งในการตัดสินใจของนางอาจต้องรับผิดชอบต่อชีวิตและความตายของทุกคนในชีวิตก่อนของนาง นางเป็นเพียงสตรีนางหนึ่งที่อาศัยอยู่ใน
ความมืดทำให้พวกเขามีที่กำบังที่ดีแม้บางคนจะสังเกตเห็นว่ามีบางอย่างผิดปกติ แต่พวกเขาก็ไม่สามารถมองเห็นหนอนกู่ตัวเล็ก ๆ เช่นนี้ได้เย่เสวียนถิงคว้าดาบมาจากที่ไหนก็ไม่รู้ พลางโอบซูชิงอู่ไว้ในมือข้างหนึ่ง และอีกมือหนึ่งก็สกัดกั้นลูกธนูที่พุ่งเข้ามาหลังจากที่ซูชิงอู่ขว้างขวดไป เขาก็พานางไปที่กำแพงอีกฝั่งหนึ่งที่ค่อนข้างปกปิดได้ดี และต่อต้านการโจมตีของนักธนูที่อยู่ด้านบนไปด้วยขณะนี้ ทหารของในตระกูลเจียวที่บุกเข้ามาจากประตูวัดรู้สึกปั่นปวนและไม่สบายใจเพราะแมงมุมม่ายสวรรค์ซูชิงอู่เลิกคิ้วเล็กน้อย มองผู้คนเหล่านั้นที่วิ่งหนีไปราวกับพวกเขาเห็นผี นางก็ยิ้มมุมปากโดยอัตโนมัติทว่าคนที่อยู่ตรงนั้นก็มีปฏิกิริยาเช่นกัน และคนที่เป็นผู้นำก็ตะโกนเสียงดังทันที “จดจ่อกับการป้องกันและสังหารคนสองคนที่ออกมาเมื่อครู่นี้เสีย!”ผู้ที่ไม่ได้ถูกแมงมุมม่ายสวรรค์กัดตายก็เข้ามาหาทันทีโชคดีที่ขึ้นไปบนภูเขาได้ทันท่วงที และเส้นทางแคบจึงมีคนไม่มากนักที่จะขึ้นมาได้ในคราวเดียวเย่เสวียนถิงยืนขวางทางอยู่เพียงคนเดียวคู่กับดาบหนึ่งเล่ม เหมือนกับบุรุษผู้หนึ่งที่ยืนอยู่ตรงหน้าศัตรูนับหมื่น一夫当关万夫莫开的架势บรรดาผู้ที่ร
คนมากกว่าหนึ่งพันคนก็กลายเป็นม่านดำหนาทึบ แม้พวกเขาจะพบกับสถานการณ์ที่วุ่นวาย แต่พวกเขาก็มีเวลาจัดการเหลือเฟือทว่าในขณะที่เย่เสวียนถิงโยนลูกปัดอสนีบาตเข้าไปในฝูงชน และผู้คนยังคงถูกโจมตีอย่างโหดร้าย ทหารของตระกูลเจียวที่เดิมต้องการเร่งรุดไปข้างหน้าก็เริ่มถอยหนีอย่างรวดเร็วเย่เสวียนถิงสามารถบังคับให้คนเหล่านั้นล่าถอยไปได้ด้วยความแข็งแกร่งของเขาไม่มีใครอยากตายโดยไม่รู้ตัว เพราะอาวุธที่ซูชิงอู่หยิบออกมานั้นเกินความคาดหมายของทุกคน“มีอันตราย ถอยออกไปเร็ว!”ใครบางคนในฝูงชนตะโกนเสียงดัง และรูปขบวนทั้งหมดก็หยุดชะงักหลิ่วจ้งอิ๋นและคนอื่น ๆ รู้สึกว่าบรรยากาศภายนอกเปลี่ยนไป พวกเขาจึงเอื้อมมือออกไปและเปิดประตูด้านหน้าออก “ทุกคน ออกไปฆ่ามัน!”ตอนนี้เป็นโอกาสของพวกเขาที่จะลงมือนี่คือโอกาสที่ท่านอ๋องและพระชายาสร้างขึ้นเพื่อทำการตอบโต้!แม้คนเหล่านี้จะมีความสามารถไม่มากนัก แต่ตอนนี้พวกเขาเกือบตายในอารามนี้แล้ว และทุกคนก็เก็บความหวาดหวั่นไว้ในใจเพื่อเป็นพลังเสียงตะโกนแห่งการสังหารยังคงดำเนินต่อไป และคนของตระกูลเจียวเหล่านั้นต่างได้รับบาดเจ็บสาหัส ประกอบกับการจู่โจมที่น่าเกรงขามของหลิ่วจ
“เสวียนถิง ท่านมองข้าสิ”ม่านตาของเย่เสวียนถิงสั่นไหวเล็กน้อย เขาคว้าข้อมือของซูชิงอู่ไว้ดาบในมือของเขาหล่นลงกับพื้นทั้งที่ยังคงเปื้อนเลือด“ไม่ต้องห่วง ข้าจะไม่ทิ้งท่านไปไหนอีก”ซูชิงอู่ตอบอย่างจริงจัง น้ำเสียงของนางมั่นคงหนักแน่นนางจะไม่ทำให้ตัวเองต้องเสียใจทีหลังอีก“ดูสิ ตอนนี้ข้าสามารถปกป้องตัวเองได้แล้ว ท่านกลับจากชายแดนเมื่อไร ช่วยสอนวรยุทธให้ข้าได้หรือไม่?”นางปลอบประโลมอารมณ์ในดวงตาของเย่เสวียนถิงได้เขาใช้นิ้วลูบหลังมือของนางเบา ๆ“เอาล่ะ อาอู่ หนอนกู่พวกนั้นก็อันตรายมากเช่นกัน จากนี้เจ้าไม่…”ซูชิงอู่หัวเราะเบา ๆ พลางก้มหน้า “กู่เหล่านั้นเป็นวิธีที่ข้าใช้ปกป้องตัวเอง อีกทั้งท่านอ๋องก็ไม่สามารถอยู่เคียงข้างข้าได้ตลอด หากข้าไม่สามารถปกป้องตัวเองได้ ท่านจะเป็นห่วงข้ามากกว่าเดิมหรือไม่?”เมื่อได้ยินเช่นนั้น เย่เสวียนถิงก็เลิกคิ้วและพยักหน้าเขารู้สึกไม่ชอบใจที่ตัวเขาไร้ประโยชน์ทั้งยังทำให้อาอู่ตกอยู่ในอันตรายหากเขาอยู่เคียงข้างนาง เขายังสามารถจับตาดูนางได้ แต่เมื่อเขาต้องจากที่นี่ไปยังสนามรบชายแดน ถึงตอนนั้น…เย่เสวียนถิงไม่กล้านึกถึงความฝันที่เขาพูดถึงเหตุผลท
ทันใดนั้นก็มีเสื้อคลุมอีกตัวหนึ่งคลุมตัวของนางไว้ความหนาวเย็นบนร่างกายของนางถูกขจัดออกไปในทันที และจู่ ๆ เย่เสวียนถิง ก็โน้มตัวลงมาและดึงนางให้ลุกขึ้นยืน“อาอู่ มากับข้าสิ”ซูชิงอู่ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงยืนขึ้นต่อหน้าทุกคน กองไฟตรงหน้านางยังคงปะทุอยู่ และผู้คนที่นั่งรอกันอย่างเบื่อหน่ายก็มองตรงไปยังทิศทางที่พวกเขาทั้งสองจากไปทุกคนยังคงหิวอยู่ ตอนนี้ดึกมากแล้ว แม้กระทั่งการกินข้าวจึงกลายเป็นปัญหา หลินอิงย่างกระต่ายป่าที่นางเพิ่งจับได้และมอบให้นายน้อยของนางอย่างระมัดระวัง“นายน้อย ทานสิเจ้าคะ”หลิ่วจ้งอิ๋นเหลือบมองหลินอิง เดิมทีเขาต้องการทิ้งเด็กคนนี้ไว้ที่บ้านเพื่อดูแลคนชรา แต่นางไม่ยอม จึงกลายเป็นว่ามีสตรีติดตามเขาไปทุกที่เขารับกระต่ายขึ้นมาแล้วมองสายตาของเด็กน้อยที่แอบมองเขา แต่ก็ลังเลที่จะพูด จากนั้นเขาก็ยื่นขากระต่ายทั้งสองข้างให้นางแม้หลินอิงจะไม่ได้พูดตลอดการเดินทาง แต่ในระหว่างการต่อสู้ไม่นานมานี้ นางซึ่งเป็นสตรีคนหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้าเขาพร้อมดาบในมือ สิ่งนี้ทำให้เขาดูเป็นคนใจร้าย และนั่นก็ค่อนข้างน่าสะเทือนใจในฐานะนายน้อยตระกูลหลิ่ว เขามีชีวิตที่ราบรื่นและได
คนขายเนื้อทำสีหน้าหวาดกลัว “คนผู้นี้เลวทรามถึงเพียงนี้เลยรึ?”“เจ้าคอยระวังตัวเอาไว้ก็ไม่เป็นไรแล้ว ทางนั้นตรวจดูเสร็จรึยัง? ไปกันต่อเถิด!”เมื่อกองกำลังทำการค้นหาเสร็จเรียบร้อย คนขายเนื้อก็ยิ้มมุมปากเบา ๆเขาคิดไม่ถึงเลยว่าคนเหล่านี้จะพบเบาะแสทางตะวันตกของเมืองเร็วถึงเพียงนี้หากเขาไม่ได้เตรียมพร้อมมาก่อนหน้านี้และรีบปลอมตัวโดยไว เขาก็คงจะถูกจับได้ไปแล้วคนขายเนื้อรีบเข้าไปยังพื้นที่ด้านในสุดของร้านเขาเหลือบมองหนอนกู่ที่ซ่อนเอาไว้ในตู้ในหนึ่ง และเมื่อเปิดตู้ใบนั้น ดวงตาของเขาก็ฉายแววน่ากลัวออกมาผ่านมาหลายปี ดูเหมือนโลกภายนอกจะลืมความน่ากลัวของภูเขาศักดิ์สิทธิ์ไปแล้ว เริ่มแรกนั้นพวกเขาได้ครอบครองตำแหน่งระดับสูงของราชวงศ์ในแคว้นต่าง ๆ ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงตำแหน่งในนามแต่มันสามารถแทรกแซงแคว้นนั้น ๆ และพลิกสถานการณ์ได้ตอนนี้เรื่องที่สำคัญที่สุดคือการแอบเข้าไปในพระราชวังเพื่อช่วยเหลือเจียงเฟยเอ๋อร์หากต้องการเข้าไปในพระราชวังมีการคุ้มกันอย่างแน่นหนาได้ก็ต้องใช้วิธีที่ต่างออกไปบุรุษผู้นั้นออกจากร้านขายเนื้อหมูที่ถูกตรวจค้นเรียบร้อยแล้ว พร้อมกับปิดประตูร้านแสร้งทำเป็นออกไปทำธุร
หลังจากซูชิงอู่ส่งชิงอวี่ออกไปก็ยังคงตื่นเต้นอยู่เล็กน้อยซูชิงอู่หาคนมาวาดภาพเหมือนเจ้าอาวาสในปีที่แล้วและส่งต่อให้คนอื่น ๆ เพื่อช่วยกันค้นหา ซึ่งมันก็ผ่านมานานมากแล้ว และมีเพียงชิงอวี่เท่านั้นที่นำข่าวที่ได้รับการยืนยันกลับมาแจ้งนางแม้จะยังไม่ได้เจอคนผู้นั้น แต่ก็หมายความว่านางจะได้รู้ความจริงของการตายของท่านแม่เสียทีหลังจากสงบสติอารมณ์ได้ ซูชิงอู่ก็ตัดสินใจเดินทางไปทันทีนางอยากไปเจอจิ้งซินผู้นั้นด้วยตนเองและถามเขาว่าเหตุใดตอนนั้นเขาถึงฆ่าท่านแม่ของนาง!คืนเดียวกันนั้นซูชิงอู่ได้พูดคุยเรื่องนี้กับเย่เสวียนถิงเมื่อเย่เสวียนถิงได้รับรู้เรื่องราวก็พยักหน้าเบา ๆ และตัดสินใจอย่างทันทีว่า “ข้าจะส่งคนไปจับเขามาให้เจ้า”ซูชิงอู่ได้ยินอีกฝ่ายตอบง่าย ๆ และห้วนก็อดไม่ได้ที่จะตะลึงและหัวเราะ“ได้”ตอนนี้มีศิษย์พี่ของเจียงเฟยเอ๋อร์คอยจับตาดูอยู่ในเมืองหลวง ซูชิงอู่จึงไม่สามารถไปหาคนผู้นั้นพร้อมกับชิงอวี่ได้บรรยากาศในเมืองหลวงเริ่มตึงเครียดขึ้นเรื่อย ๆแม้แต่ฮ่องเต้เช่นเย่ชิวหมิงก็สังเกตเห็นสัญญาณของเหตุการณ์ร้ายแรงบางอย่างที่กำลังจะตามมาเขาเคยได้ยินซูชิงอู่พูดว่าศัตรูที่ซ่อนตัวอ
ไป๋เฟิงก้มหัวลงอย่างเชื่อฟัง ราวกับมันได้กลายเป็นแมวตัวใหญ่ไปแล้วซูชิงอู่อดหัวเราะไม่ได้ “เจ้าคงเหนื่อยแย่ วันนี้ทำได้ดีมาก”ในที่สุดก็ได้ใช้ประโยชน์จากไป๋เฟิง สมกับที่เลี้ยงมันมานานไป๋เฟิงยืนขึ้นและอ้าปากหาว ส่วนสิงโตขนทองคำที่อยู่ข้าง ๆ ย่องเข้ามาทางด้านหลังซูชิงอู่ และใช้หัวถูเอวของนางดูเหมือนว่ามันต้องการให้ซูชิงอู่ลูบมันด้วยคนอื่น ๆ มองไปยังซูชิงอู่ที่มีร่างกายบอบบางยืนอยู่ตรงหน้าสัตว์ดุร้ายทั้งสอง พวกเขาทั้งหมดก็พูดไม่ออกอยู่นานนี่มัน...ร้ายกาจเกินไปแล้ว!แม้แต่กลุ่มบุรุษร่างใหญ่เช่นพวกเขาก็ยังไม่กล้าเข้าใกล้สัตว์ดุร้ายทั้งสองแม้แต่ครึ่งก้าว ทว่าซูชิงอู่กลับสามารถมีปฏิสัมพันธ์กับพวกมันได้อย่างกลมกลืนเหมือนพวกมันเป็นสัตว์เลี้ยงของนางเมื่อไม่ถูกยุงกัดและกินยาสมุนไพรที่ผสมไว้แล้ว ม้าทุกตัวในสนามฝึกก็สงบลงและกลับสู่ภาวะปกติทันทีที่ซูชิงอู่กลับมาถึงตำหนัก ก็เห็นหรงหย่าวิ่งเข้ามา“พระชายา เมื่อครู่มีคนมาพบท่านและบอกว่ามีเรื่องด่วนต้องรายงาน”“มีเรื่องด่วนอะไรรึ?”หรงหย่าส่ายหัว “ข้าก็ไม่รู้เช่นกัน ท่านไปดูก่อนเถิด”ซูชิงอู่สั่งให้คนพาผู้ส่งข่าวเข้ามาทันทีนางจ้อง
เลือดของแมลงวันติดอยู่ที่มือของซูชิงอู่ส่งกลิ่นแปลก ๆ ออกมาเมื่อซูชิงอู่มองชัด ๆ นางก็ได้รู้ว่ามันไม่ใช่แมลงวันแต่เป็น…แมลงมีปีกชนิดหนึ่งที่มีลักษณะคล้ายแมลงวันปากของแมลงมีความคมมาก สามารถเจาะทะลุขนของสัตว์บางชนิดได้ง่าย ทว่าแมลงมีปีกชนิดนี้ไม่สนใจมนุษย์และจะกัดเฉพาะสัตว์เท่านั้นที่แท้นี่คือสาเหตุหลักที่ทำให้สัตว์ในเมืองหลวงบ้าคลั่งในช่วงหลายวันนี้!ซูชิงอู่ยังสังเกตเห็นว่ายุงเหล่านี้ถูกพิษและเมื่อพวกมันแพร่พันธุ์ ในไข่ก็มีสารพิษดังกล่าวติดไปด้วยขอเพียงแมลงเหล่านี้ยังกัดสัตว์ต่อไป สารพิษก็จะค่อย ๆ สะสมทีละน้อยสุดท้ายก็ถึงขั้นทำให้เสียสติ!คนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้มีเจตนาชั่วร้ายหากนางไม่ค้นพบสิ่งนี้ก่อน เกรงว่าม้าศึกทั้งหมดจะต้องตายไปด้วยความบ้าคลั่งอีกทั้งยังไม่อาจทราบสาเหตุได้แน่นอนว่าม้าศึกเป็นส่วนสำคัญในกองทัพ หากทหารม้าเสียม้าไป ก็คงไม่ต่างไปจากคนอ่อนแอไร้ค่า...ซูชิงอู่ตัดสินใจอย่างรวดเร็ว“นำม้าทุกตัวไปไว้ในที่ปิดและหาทางฆ่าแมลงมีปีกเหล่านี้ให้สิ้นเสีย”รองแม่ทัพที่ติดตามนางมารีบจำคำสั่งนี้เอาไว้ทันที“รับทราบพ่ะย่ะค่ะพระชายา!”เขาก็รีบกระจายคำสั่งออก
เมื่อเย่เสวียนถิงได้ยินสิ่งที่ซูชิงอู่พูด สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นเยือกเย็น “ข้าจะส่งคนไปตรวจสอบ”ซูชิงอู่ส่ายหัวทันที “ยาพิษนี้คงไม่ได้อยู่ในอาหารสัตว์ อีกทั้งเมื่อมาลองคิดดู สัตว์ป่าจำนวนมากที่อยู่ใกล้เมืองหลวง รวมไปถึงม้าศึกล้วนติดพิษกันหมด มีเพียงมนุษย์เท่านั้นที่ไม่เป็นอะไร นี่เป็นเรื่องที่แปลกมาก และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือไม่มีใครสามารถวางยาพิษม้าศึกในเมืองหลวงได้อย่างเงียบ ๆ ”การวิเคราะห์ของซูชิงอู่นั้นสมเหตุสมผลมาก แม้แต่เย่เสวียนถิงเองก็ขมวดคิ้วขึ้นมาหากหาสาเหตุไม่พบก็แก้ปัญหาไม่ได้แม้จะรักษาม้าหนึ่งในนั้นจนหายขาด แต่ก็จะกลับมามีอาการเดิมในอีกไม่ช้าไม่ไกลกันนักก็มีนายทหารระดับสูงนายหนึ่งวิ่งเข้ามาเขาหอบหายใจและกล่าวว่า “ท่านอ๋อง ทำการตรวจสอบเสบียงอาหารแล้วไม่พบสิ่งผิดปกติพ่ะย่ะค่ะ”“น้ำล่ะ?”“ตรวจสอบน้ำแล้วเช่นกัน ไม่มีร่องรอยของการวางยาพิษเลยพ่ะย่ะค่ะ”เมื่อได้ยินรายงาน เย่เสวียนถิงก็ขมวดคิ้วหนักกว่าเก่าคราวนี้แย่แล้วสิซูชิงอู่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ช่วยทำให้ม้าทุกตัวสงบลงก่อนได้หรือไม่ เดี๋ยวข้าจะเข้าไปดูรางอาหารม้าเอง”“ได้พ่ะย่ะค่ะพระชายา กรุณารอสักครู่ ก
เริ่มแรก เขาสงสัยในเรื่องที่ซูชิงอู่เคยพูดจนเกิดความคิดจินตนาการบางส่วนขึ้นมา เรียกได้ว่าตอนกลางวันก็เอาแต่นึกถึง ตกกลางคืนก็เก็บมาฝันอีกแต่เขาไม่เคยได้ยินซูชิงอู่พูดถึงเรื่องนี้มาก่อนเลยจริง ๆเนื่องจากความฝันนั้นมันดูเพ้อเจ้อเกินไป เย่เสวียนถิงจึงไม่พูดออกมา เพราะกลัวว่ามันจะเป็นการเพิ่มภาระให้กับซูชิงอู่อย่างไม่มีเหตุผลหลายวันมานี้ซูชิงอู่อาศัยอยู่กับลูกน้อยทั้งสามของนางเพื่อชดเชยช่วงเวลาที่นางห่างพวกเขาไปนานเด็ก ๆ ที่เพิ่งจะอายุได้ไม่กี่เดือนแต่กลับต้องห่างจากอ้อมอกของพ่อแม่ นั่นทำให้ซูชิงอู่รู้สึกผิดขึ้นมาดังนั้นนางจึงไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องภายนอกมากนักทันใดนั้นนางก็นึกอะไรออกและถามว่า “เสวียนถิง ช่วงนี้หมาป่าเหล่านั้นที่อยู่ข้างนอกเป็นอย่างไรบ้าง?”เย่เสวียนถิงเงยหน้าขึ้นและพูดว่า “ไม่ได้มีเพียงสัตว์ร้าย แต่ยังกระทบไปถึงม้าศึกด้วย ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงเริ่มไม่เชื่อฟังคำสั่งกัน”“เดี๋ยวข้าจะไปตรวจสอบเรื่องนี้เสียหน่อย”ซูชิงอู่รู้สึกได้โดยไม่รู้ตัวว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องเกี่ยวกับเรื่องนี้แม้เรื่องจะดูเป็นเรื่องเล็กน้อยและไม่มีผลกระทบกับมนุษย์มากนัก แต่นางก็รู้สึกอ
ทันใดนั้นหมอหลวงซุนก็เหมือนจะคิดอะไรออก “เหมือนกับตอนที่พระชายาใช้ดอกไม้ชนิดหนึ่งเพื่อทำให้ม้าพยศคลั่งใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”“อืม ทำนองนั้นแหละ”สิ่งเหล่านั้นเป็นสิ่งที่นางพบในเภสัชตำรับ และหากใช้มัน ผลลัพธ์ที่ได้จะน่าทึ่งมากแม้ลงมือไปอย่างกะทันหัน แต่ก็ไม่มีใครจับได้ปรมาจารย์มือวางพิษที่แท้จริงคือผู้ที่วางยาพิษโดยไม่ทิ้งหลักฐานใด ๆ เอาไว้“ขอบพระทัยพระชายาสำหรับคำชี้แนะ หลังจากที่ได้พูดคุยกับท่าน กระหม่อมก็เข้าใจอย่างกระจ่างแจ้งแล้วพ่ะย่ะค่ะ”ซูชิงอู่ปิดเภสัชตำรับ “ข้าท่องเภสัชตำรับนี้จนจำขึ้นใจ และเข้าใจเนื้อหาด้านในได้คร่าว ๆ เพียงแต่ยังไม่พบวิธีที่จะไขความลับที่อยู่ในนั้น หวังว่าท่านจะช่วยเรื่องนี้ได้”คราวนี้ ทุกคนเชื่อมั่นในคำพูดของซูชิงอู่สิ่งที่พวกเขาไม่ได้สนใจ แต่พระชายากลับนำมาใช้งานได้ถึงขั้นนี้ ยังมีอะไรที่ต้องพูดกันอีกหรือ?ตาแก่เช่นพวกเขาที่อาศัยว่าตนอายุมากทำตัวอาวุโสดูถูกผู้อื่นนั้นเทียบเทียมพระชายาไม่ได้เลย!หลังจากที่ซูชิงอู่อธิบายเรื่องนี้จบ นางก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกและแอบหลบออกมาทางประตูใหญ่นางกลัวว่าคนเหล่านั้นจะถามนางว่านางศึกษาเรียนรู้ทักษะทางการ
หมอหลวงซุนขมวดคิ้วเล็กน้อย“อย่าพูดไร้สาระ นั่นจะเป็นไปได้อย่างไร? พระชายาไม่จำเป็นต้องโกหกพวกเราเลย โกหกพวกเราไปแล้วนางจะได้ประโยชน์อะไร?”คำพูดนี้ก็ถือว่ามีเหตุผลทุกคนต่างพูดไม่ออกทำได้แค่นั่งเงียบ ๆ แล้วพลิกหน้าอ่านต่อไปพลิกหน้ากระดาษตั้งแต่เช้าจรดค่ำ และอ่านจนถึงเช้าวันรุ่งขึ้นตำราทั้งเล่มถูกอ่านจนจบอย่างรวดเร็ว ทุกคนในสำนักหมอหลวงไม่ได้นอนมาสองวันสองคืน และตอนนี้ทุกคนดูเหนื่อยและมีสีหน้าทรุดโทรมเมื่ออ่านหน้าจนถึงสุดท้าย แม้แต่หมอหลวงซุนก็ตกอยู่ในความเงียบเพราะเภสัชตำรับเล่มนี้บันทึกเฉพาะโรคและวัตถุดิบยาที่ธรรดาทั่วไปมาก ๆ บางส่วนเท่านั้นข้อแตกต่างเพียงหนึ่งเดียวคือผู้อาวุโสเช่นพวกเขาได้เรียนรู้เกี่ยวกับวัตถุดิบยาหลายประเภทและพัฒนาแนวคิดใหม่ ๆแม้จะไม่ไร้ประโยชน์ แต่ความคาดหวังกับผลลัพธ์ก็แตกต่างกันมากเลยทีเดียวถึงขั้นทำให้พวกเขาขาดความมั่นใจและอดไม่ได้ที่จะคิดว่านี่น่ะหรือคือเภสัชตำรับที่ตระกูลฟางเฝ้าหวงแหนมานานหลายปี?ดวงตาของหมอหลวงซุนเต็มไปด้วยสีแดงก่ำที่เกิดจากการอดนอน“ในเมื่อเภสัชตำรับของตระกูลฟางไร้ประโยชน์ เช่นนั้นพระชายาไปเรียนรู้ทักษะด้านการแพทย์มา
“นี่คือวัตถุดิบยาและปริมาณที่คนผู้นั้นทำการวางยา ที่สำนักหมอหลวงของพวกท่านมีสิ่งนี้อยู่แล้ว หากจะทำยาถอนพิษก็คงไม่ใช่เรื่องยากกระมัง”“ไม่ยากพ่ะย่ะค่ะ ไม่ยาก!”หมอหลวงซุนยิ้มร่าราวกับได้รับสมบัติเขามองซูชิงอู่ที่ยังอยู่ในวัยหนุ่มสาว แต่กลับเก่งกาจกว่าเหล่าคนชราเช่นพวกเขาเมื่อรวมกับเภสัชตำรับของตระกูลฟางที่ซูชิงอู่พูดถึง หมอหลวงเฒ่าก็ดีใจจนเนื้อเต้นหากได้เรียนรู้และกลายเป็นคนที่เก่งกาจเหมือนพระชายา ระดับความรู้ของเขาก็จะเพิ่มขึ้นไปด้วยหรือไม่?แต่หมอหลวงซุนไม่เคยรู้เลยว่าทุกสิ่งที่ซูชิงอู่เรียนรู้ไม่ได้มาจากเภสัชตำรับของตระกูลฟางในเภสัชตำรับเล่มนั้นมีความแตกต่างตรงจุดไหน ตัวซูชิงอู่ในตอนนี้ก็ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำแม้ตอนตายไปในชาติก่อน เภสัชตำรับก็ถูกทำลายและไม่มีใครเห็นความลับที่ซ่อนอยู่ในนั้นจุดเด่นเพียงหนึ่งเดียวของเภสัชตำรับเล่มนั้นคือบันทึกข้อมูลวัตถุดิบยาจำนวนมากที่คนทั่วไปไม่ทราบและสรรพคุณลับบางส่วนบรรดาผู้อาวุโสของสำนักหมอหลวงพากันมาช่วยคิดค้นยาถอนพิษเพื่อที่จะได้อ่านเภสัชตำรับนั้นเร็ว ๆในที่สุดเช้าวันรุ่งขึ้นยาที่สามารถฟื้นฟูสติของสัตว์ร้ายได้ก็ถูกส่งมาให้ฮ่องเต้