เหตุการณ์การช่วยเหลือครั้งนี้ ตั้งแต่ต้นจนจบ ดูราวกับเรื่องขบขันในเวลานี้ จ้าวหลี่ถูกคุมขังในคุก ทั้งแขนขาทั้งสี่ถูกแขวนไว้กับขื่อไม้ ทั่วร่างเต็มไปด้วยรอยแส้บาดแผลที่หน้าอกนั้นเหวอะหวะจนเนื้อและเลือดปริออก ทำให้เขาดูน่าสมเพช แต่แสงในดวงตาของเขายังไม่มอดดับลง เขายังคงรอคอยให้คนของเขามาช่วยเขาอยู่ในขณะนั้นเอง มีการเคลื่อนไหวบางอย่างที่นอกประตู ผู้คุมที่เฝ้าคุกใต้ดินเดินเข้ามาแล้วกระซิบเบา ๆ ข้างหูเขาว่า "ท่านแม่ทัพจ้าว เมื่อครู่จวนเจ้าเมืองเกิดเรื่องขึ้น มีคนบุกเข้ามา...""ผู้ใดกัน?"จ้าวหลี่รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งเขารู้ว่าสองปีของเขานั้นไม่ได้สูญเปล่า ลูกน้องของเขาจะไม่ยอมให้เขาถูกตัดหัวในที่สาธารณะแน่ทว่าผู้คุมกลับทำท่าลังเลที่จะพูดจนกระทั่งผ่านไปชั่วครู่ เขาจึงเอ่ยขึ้นว่า "พวกเขาตายหมดแล้ว""ตายหมดแล้ว!"เสียงของจ้าวหลี่แหบแห้ง แต่ไม่อาจควบคุมให้มันเบาลงได้ดวงตาของเขาเบิกกว้าง ความตระหนกในดวงตาไม่อาจบรรยายได้“ตายไปกี่ศพ!”ผู้คุมยังคงตอบต่อไปว่า “ทุกคนที่เข้ามาล้วนตายหมดแล้ว พวกเขายังไม่ทันได้เอ่ยปากก็ถูกลูกธนูยิงจนร่างพรุ่นไปเสียก่อนแล้ว”คราวนี้เย่เสวียนถิงไม่
เมื่อเห็นเย่เสวียนถิงอยู่ในสภาพเช่นนั้น แม่ทัพใหญ่แห่งแคว้นอู๋ตะวันตกก็พาองค์รัชทายาทที่พอจะมีความกล้าขึ้นบ้างเข้ามาใกล้ ตั้งใจที่จะดูถูกเหยียดหยามเขาต่อหน้ากองทัพนับหมื่นเหยียนจั๋วเป็นคนหยิบค้อนเหล็กขึ้นมาเอง เขาทุบกระดูกขาของข้างหนึ่งของเย่เสวียนถิงจนเลือดเนื้อเละเทะในยามนั้น เขาซ่อนตัวอยู่บนเนินเขาไกลออกไป มองเห็นฉากในสนามรบนี้อย่างชัดเจนชายผู้ที่เคยทำให้ทัพแห่งแคว้นอู๋ตะวันตกรู้สึกหวาดกลัวจนไม่กล้าเคลื่อนพล ผู้ที่มือเขาเปื้อนเลือดของทหารอู๋ตะวันตกจำนวนนับไม่ถ้วน คราวนั้นกระดูกสันหลังของเขาถูกทำลายจนไม่เหลือชิ้นดี และถูกซัดลงกับพื้นผลลัพธ์เช่นนี้แล้ว ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่เย่เสวียนถิงจะสามารถหนีรอดจากกรงล้อมกองทหารหลายหมื่นนายแคว้นอู๋ตะวันตกได้รับชัยชนะอย่างยิ่งใหญ่ในครั้งนั้น มีหรือพวกเขาจะปล่อยตัวการที่สังหารทหารของพวกเขาไปมากมายให้รอดไปได้หลังจากที่เหยียนจั๋วทำให้ขาข้างหนึ่งของเย่เสวียนถิงพิการ องค์รัชทายาทแห่งแคว้นอู๋ตะวันตกที่คิดว่าเขากำลังจะตายและไม่มีทางขัดขืนดิ้นรนได้อีกก็เริ่มให้ความสนใจขึ้นมาเพื่อไม่ให้คนอื่นคิดว่า เขาขลาดกลัวเย่เสวียนถิงจนไม่กล้าต่อสู้กับคนที่ไ
ชาตินี้เย่เสวียนถิงจะไม่มีวันลืมภาพที่อาอู่รักษาบาดแผลของเขานางกลัวว่าเขาจะกัดลิ้นของตัวเองโดยไม่ตั้งใจเพราะความเจ็บปวด นางจึงให้เขากัดมือของนางแทนเห็นอยู่ว่าอาอู่ของเขาคือคุณหนูจากตระกูลร่ำรวยที่ถูกเลี้ยงดูอย่างเอาอกเอาใจมาตั้งแต่เด็กและไม่เคยเผชิญกับความลำบาก ด้วยเหตุนี้นางจึงเติบโตมาภายใต้การดูแลเอาใจใส่อย่างระมัดระวังของเขา ทว่านางกลับต้องทนทุกข์ทรมานมานับครั้งไม่ถ้วน…เพียงเพราะเขาไร้ประโยชน์และล้มเหลวในการปกป้องนางอาอู่เป็นคนมอบขาข้างนี้คืนให้เขา เขาจะทะนุถนอมและปกป้องนางให้ดีมากกว่าเดิม และมอบทุกสิ่งที่นางต้องการให้แม้แต่โลกทั้งใบเขาก็มอบให้ได้ขอแค่นางเอ่ยปากเย่เสวียนถิงทำเพียงแค่แค่นเสียงอย่างเย็นชา จากนั้นดึงแท่งเหล็กที่อยู่ข้าง ๆ ออกมาอย่างไร้อารมณ์ดวงตาของจ้าวหลี่เบิกกว้าง เสียงของเขาก็สั่นเล็กน้อย ทันใดนั้นเขาก็เข้าใจว่าเย่เสวียนถิงกำลังจะทำอะไร“ท่านอะ...อ๋องเสวียน ท่านทำเช่นนี้กับข้าไม่ได้นะ ข้ามีผู้ใต้บังคับบัญชามากมาย ขอเพียงปล่อยข้าไป ข้ายินดีที่จะมอบอำนาจทางทหารทางชายแดนทั้งหมดให้ ท่านคงไม่อยากลำบากหรอกกระมัง แคว้นอู๋ตะวันตกกำลังส่งกองทหารมา นี่เป็นผลลัพ
การหายใจของจ้าวหลี่ไม่มั่นคงเนื่องจากความเจ็บปวด เขากัดฟันทนต่อความเจ็บปวดพลางพูดว่า “ท่านทราบหรือไม่ว่าเหตุใดตอนแรกข้าถึงทำเช่นนั้น?”เย่เสวียนถิงมองอย่างเย็นชาและพูดว่า “ข้าไม่ได้สนใจอยากรู้ความคิดของเจ้า”คำพูดเหล่านั้นทำให้ท่าทางของจ้าวหลี่ไม่สู้ดียิ่งกว่าเดิม และใบหน้าของเขาก็ซีดลงทว่าเขายังคงพยายามอย่างเต็มที่ที่จะพูดถ่วงเวลา “แม้ท่านจะช่วยข้า รับข้าเข้าร่วมกองทัพ และสอนศิลปะการต่อสู้ให้ข้าด้วยตัวเอง แต่…”เขาหรี่ตาลงและมีประกายแห่งความเกลียดชังในดวงตาของเขา“แต่ท่านกลับเป็นตัวการหลักที่ทำให้ครอบครัวของข้าต้องพังทลาย!”เย่เสวียนถิงหลุบตาลง “พล่ามจบหรือยัง? ข้าไม่อยากฟังเรื่องราวนองเลือดของเจ้า ตอนนี้บอกข้ามาว่าความลับนั้นคืออะไร ไม่เช่นนั้นก็...ทรมานต่อ!”เย่เสวียนถิงหมดความอดทนแล้วจ้าวหลี่ตัวสั่นด้วยความโกรธ เดิมทีเขาอยากเล่าว่าตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาใช้ชีวิตมาอย่างไร เขาอดทนต่อความอัปยศอดสูและใช้ชีวิตภายใต้สายตาของศัตรูอย่างไร และแม้แต่วิธีที่เย่เสวียนถิงฆ่าพ่อแม่และญาติของเขาในตอนนั้น!“ตอนที่ท่านนำกองทหารไปกำราบโจรทางฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือ พ่อแม่ของข้าก็อยู่ในนั้นด้
สิ่งที่จ้าวหลี่พูดก็ดูสมเหตุสมผลเมื่อเปรียบเทียบกับคลังอาวุธขนาดใหญ่เช่นนี้ ชีวิตของเขาก็เหมือนกับหิ่งห้อยตัวน้อย ๆ ตัวหนึ่งเย่เสวียนถิงเก็บท่อนเหล็ก จากนั้นก็หรี่ตามองอีกฝ่ายในที่สุดจ้าวหลี่ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ขณะที่กำลังคิดว่าตนจะหนีไปได้ เขาก็รู้สึกเจ็บปวดอย่างรุนแรงที่ขาเย่เสวียนถิงพูดเสียงเบา “ข้าไม่เอาชีวิตเจ้าก็ได้ แต่ขอแค่เจ้ายังพูดได้และยังมีชีวิตอยู่ก็พอ”จ้าวหลี่ “...”แขนขาของเขาถูกทุบจนบิดเบี้ยว และแล้วจ้าวหลี่ก็หมดสติไปเพราะความเจ็บปวดเย่เสวียนถิงเทยาจากขวดกระเบื้องขนาดเล็กแล้วป้อนให้จ้าวหลี่“ท่านอ๋อง”รองแม่ทัพทำความเคารพโดยไม่ได้มองจ้าวหลี่แม้แต่น้อยเย่เสวียนถิงหรี่ตาลงแล้วถามว่า “จัดการเรื่องทางนั้นไปเป็นอย่างไรบ้าง?”“เรียนท่านอ๋อง มีข่าวกลับมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ ว่ากันว่าผู้ใต้บังคับบัญชาของจ้าวหลี่ ทั้งหมดถูกฆ่าไม่ก็ถูกจับกุม”เมื่อได้ยินว่าการเตรียมการของเขาเป็นไปได้ด้วยดี เย่เสวียนถิงก็พยักหน้าเบา ๆเนื่องจากเขาคาดเดาการเคลื่อนไหวก้าวต่อไปของอีกฝ่ายได้ แน่นอนว่าเขาไม่สามารถปล่อยมันไปได้ ในขณะที่เขากำลังสกัดกั้นและสังหารนักฆ่าที่กล้ามาช่วยจ้าวหลี
อากาศที่ร้อนระอุขึ้นเรื่อย ๆ ทำเอารู้สึกร้อนจนทนแทบไม่ไหวเป็นเวลาหลายเดือนแล้วที่ไม่มีฝนสักหยด ตอนนี้ฤดูร้อนกำลังจะผ่านไปและกำลังเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงต้นเดือนแปดซูซิงอู่เพิ่งได้รับจดหมายที่ส่งกลับมาจากชายแดนซีเป่ย นางกำลังนั่งอยู่ในห้องทำงานของตัวเองและอ่านเนื้อหาทีละตัวอักษรอย่างเงียบ ๆ ในชั่วพริบตา เวลาก็ได้ผ่านไปกว่าสามเดือนแล้วไม่นานหลังจากที่เย่เสวียนถิงนำกองทัพไปยังชายแดน เขาได้เริ่มต่อสู้ประชิดกับแคว้นอู๋ตะวันตกแล้ว ในช่วงสามเดือนที่ผ่านมา มีการทำสงครามน้อยใหญ่อยู่หลายครั้งแม้ซูชิงอู่จะมั่นใจในตัวเย่เสวียนถิงและเชื่อว่าเขาจะไม่พลาดท่าง่าย ๆ แต่นางก็ยังคงทุกข์ทรมานและกังวลอยู่ทุกวันนางอยากจะรีบทะยานไปที่สนามรบเพื่อพบกับบุรุษที่ไม่ได้เจอหน้ามานานซูชิงอู่นวดหว่างคิ้วของตัวเอง จากนั้นก็ใช้นิ้วลูบตัวอักษรที่เขียนอย่างกระชับอันแสนคุ้นเคยนางรู้ว่าสงครามชายแดนเป็นเรื่องเร่งด่วน ดังนั้นจดหมายทุกฉบับที่เย่เสวียนถิงเขียนมาหาจึงไม่ได้มีเนื้อความมากมาย ซึ่งส่วนใหญ่ก็ถามถึงนางด้วยความห่วงใย แต่เมื่อพูดถึงตัวเองกลับใช้ตัวอักษรเพียงไม่กี่ตัวเท่านั้นสบายดี ไม่ต้องคิดมากจะไม่
เมื่อได้ยินเช่นนั้น หมอหลวงซุนก็รีบพูดอย่างรวดเร็ว “พระชายา มีบางอย่างผิดปกติจริง ๆ พ่ะย่ะค่ะ หลายวันมานี้ทรงตรัสถึงชิ่นเอ๋อร์ตลอด อีกทั้งทรงไม่ยอมเสวยโอสถ อาการประชวรของฝ่าบาทก่อนหน้านี้ก็ยังไม่หายดี ครั้งนี้คง…”ซูชิงอู่เข้าใจแล้วฮ่องเต้เฒ่าคงเสียสติแล้วจริง ๆที่กลายเป็นเช่นนี้เพราะถูกกระตุ้นจนทำให้อาการแย่ลงนางหลุบตาลงแล้วพูดว่า “พวกท่านออกไปก่อน”เย่ชิวหมิงเหลือบมองนางและไม่พูดอะไร เขาแค่โบกมือสั่งให้ทุกคนในห้องออกไปจนเหลือนางอยู่คนเดียวในห้อง นางก็หยิบเข็มเงินที่หมอหลวงซุนและคนอื่น ๆ ถือเข้ามาด้วยทันที และเริ่มทำการรักษาฮ่องเต้เฒ่าเข็มหลายเล่มถูกสอดลึกเข้าไปในจุดฝังเข็มบนศีรษะของฮ่องเต้เฒ่าด้วยทักษะพิเศษ เมื่อเวลาผ่านไปหนึ่งก้านธูป ฮ่องเต้เฒ่าที่หมดสติในตอนแรกก็ลืมตาขึ้นคราแรกดวงตาของเขาขุ่นมัว แต่ก็กลับมาแจ่มชัดอย่างรวดเร็ว เมื่อหันไปมองด้านข้าง เขาก็เห็นใบหน้าของซูชิงอู่ร่างกายของฮ่องเต้เฒ่ารู้สึกชาเล็กน้อย และเป็นเรื่องยากที่ขณะนี้ฮ่องเต้เฒ่าจะมีสติชัดเจน เขาเงียบไปครู่หนึ่ง และทันใดนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง“ประคองข้าหน่อย”ซูชิงอู่ทำตามที่อีกฝ่ายบอกนางพ
หากซูชิงอู่ได้ยานั่นมาจริง ๆ นางจะไม่ให้ลูกของตัวเองกินก่อนได้อย่างไร?เหตุผลที่นางทูลฮ่องเต้เฒ่าไปตรง ๆ ก็เพราะซูชิงอู่ต้องการรีดผลประโยชน์สุดท้ายจากเขาเขาครองบัลลังก์ปกครองแคว้นหนานเย่มาหลายปีถึงเพียงนี้ เป็นไปไม่ได้เลยที่จะไม่เหลืออะไรทิ้งไว้ให้คนรุ่นหลัง คงมีความลับบางอย่างที่มีเพียงฮ่องเต้เท่านั้นที่รู้หากฮ่องเต้เฒ่าเสียสติไปแล้ว แม้เขาจะเชื่อฟัง แต่สมองก็คงเลอะเลือนจนและลืมทุกสิ่งไปหมดและหลังจากฟื้นขึ้นมา ฮ่องเต้เฒ่าก็จะไม่ยอมเชื่อใจใครง่าย ๆเพราะนิสัยหวาดระแวงของฮ่องเต้เฒ่าได้ถูกสลักลึกลงไปในกระดูกแล้วซูชิงอู่ค่อย ๆ เงยหน้ามอง “แค่ฝ่าบาทตรัสมาก็เพียงพอแล้วเพคะ ชิงอู่เต็มใจที่จะช่วยพระองค์ให้ได้มี...พระชนม์ชีพที่ยืนยาว”ฮ่องเต้เฒ่าพูดเสียงทุ้ม “เจ้าต้องการให้ข้าทำอะไร?”ซูชิงอู่กล่าวว่า “ฝ่าบาทติดต่อกับภูเขาศักดิ์สิทธิ์มาหลายปี คงจะทรงรู้บางอย่างเกี่ยวกับพวกเขาอยู่ไม่น้อย ตอนนั้นท่านราชครูใช้เรื่องนี้มาควบคุมความเป็นความตายของฝ่าบาท เพื่อให้พระองค์ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเชื่อฟังที่พวกเขาสั่งไม่ใช่หรือเพคะ?”ฮ่องเต้เฒ่าหรี่ตาลง “เจ้ารู้เรื่องนี้มาจากที่ไหน?”ซูชิงอู