ซูชิงอู่ต้องการไปที่ชายแดนกับเขาด้วยอย่างมากแต่ตอนนี้นางมีลูกสามคนแล้ว ในฐานะแม่ นางไม่สามารถทำตัวไร้ความรับผิดชอบได้หลังจากเย่เสวียนถิงจากไป จำต้องใช้เวลาอยู่ที่นั่นอย่างน้อยหนึ่งหรือสองปีถึงจะสามารถกลับมาได้ ซึ่งซูชิงอู่จะต้องคอยเลี้ยงดูลูก ๆ ภายในช่วงเวลานี้ซูชิงอู่พูดเสียงเบา “พี่ใหญ่และพี่รองคอยปกป้องข้าอยู่ในเมืองหลวง ท่านอ๋องไม่จำเป็นต้องห่วงข้ากับลูก ๆ เลย อย่างน้อยที่นี่ก็ยังปลอดภัยกว่าชายแดน ยิ่งไปกว่านั้นหากท่านอ๋องไม่สามารถมีชัยเหนือแคว้นอู๋ตะวันตกได้ ภายภาคหน้าเราต้องถูกโจมตีจากทั้งสองฝ่ายอย่างแน่นอน”นี่ก็เป็นสิ่งที่เย่เสวียนถิงกังวลด้วยเช่นกันต้องมีแผ่นดินอาศัยก่อนถึงจะมีบ้านได้เย่เสวียนถิงพยายามอย่างหนักเพื่อนำกองทหารไปต่อสู้ปกป้องชายแดนของแคว้นหนานเย่ จนทำให้สนามรบเปื้อนเลือด ไม่ใช่เพื่อชื่อเสียงและความโด่งดังไปตลอดทุกยุคทุกสมัยแต่เพื่อคนข้างหลังที่เขาต้องการปกป้องหากแคว้นหนานเย่ล่มสลาย พวกเขาจะกลายเป็นกลุ่มเชลยศึก และจะมีเพียงคนที่คิดน้อยเท่านั้นที่จะสมรู้ร่วมคิดกับศัตรูต่างแคว้นเพื่อจัดการกับแผ่นดินของตนเองเป็นความโง่เขลาที่เกินจะเยียวยาเย่เสวียนถิ
ตอนนี้เมืองหลวงของแคว้นหนานเย่ได้เริ่มเตรียมพร้อมสำหรับการทำสงครามแล้วซูชิงอู่มองดูเวลาเพราะเพิ่งได้รับข่าวมาว่าแม่ทัพมู่หรงใกล้จะมาถึงแล้วนางและเย่เสวียนถิงนั่งอยู่ริมหน้าต่างชั้นสองของโรงน้ำชาใกล้ประตูเมือง จากตรงนี้พวกเขาสามารถมองเห็นแม่ทัพมู่หรงเข้ามาในเมืองหลวงได้เย่ชิวหมิงได้จัดขุนนางใหญ่หลายคนไว้รอต้อนรับพวกเขาที่ประตูเมือง นอกจากนี้ องครักษ์ยังได้ทำการกรุยทางให้มีพื้นที่ขนาดใหญ่ เพื่อเป็นการให้เกียรติแม่ทัพมู่หรงเมื่อเวลาผ่านไป เหงื่อบนหน้าผากของเจ้าหน้าที่ทั้งสองที่เฝ้าประตูก็ผุดออกมา พระอาทิตย์ค่อย ๆ เคลื่อนไปทีละน้อย พวกเขารอตั้งแต่เช้ายันบ่ายซูชิงอู่ทั้งดื่มชาทั้งทานอาหาร จากนั้นนางก็นั่งบนเก้าอี้โดยเชิดคางขึ้นแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “มาช้ากว่าที่คาดไว้มาก ดูเหมือนว่าบุตรชายคนโตแห่งตระกูลมู่หรงผู้นี้เองก็คงกังวลมากเช่นกัน”เย่เสวียนถิงยิ้มมุมปาก เขาได้จัดเตรียมองครักษ์ไว้ด้านล่างแล้วเพื่อป้องกันไม่ให้มู่หรงฉางฉวนสร้างปัญหาก่อความวุ่นวายในเมืองหลวงแม้ช่วงนี้เขาจะยุ่งพอสมควร แต่เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่นการปรับตัว การฝึกทหารและม้าก็ได้รับการจัดการโดยรองแม่ทัพของเขาดัง
เขายกมือขึ้นแล้วพูดว่า “ตามข้าเข้าเมืองมา!”เหล่าทหารและกองม้าที่อยู่ด้านหลังเตรียมพร้อมที่จะออกเดินในทันที โดยจ้องมองไปที่ประตูเมืองหลวงอย่างดุดันเจ้าหน้าที่ทั้งสองมองหน้ากันและรีบขวางพวกเขาทันที “ท่านแม่ทัพ หากปราศจากคำสั่งของฝ่าบาท กองกำลังใดใดก็ตามที่ท่านพามาไม่สามารถเข้าไปในเมืองหลวงได้ หากท่านฝ่าฝืนคำสั่งนี้ ก็อาจจะ…”ครู่ต่อมา จู่ ๆ เขาก็ควบม้าไปข้างหน้าสองสามก้าว มาหยุดอยู่ตรงหน้าเจ้าหน้าที่ที่เป็นผู้พูด พลางวางหอกในมือให้ตรงกับคอของอีกฝ่าย“จะเกิดอะไรขึ้นหากข้าผู้นี้ฝ่าฝืนคำสั่งรึ?”“ก็…”เจ้าหน้าที่ผู้นั้นตกใจมากจนไม่สามารถพูดประโยคที่สมบูรณ์ได้ในเวลานี้เมื่อเห็นความขี้ขลาดของอีกฝ่าย มู่หรงฉางฉวนก็แค่นเสียงเย็น “เป็นเพียงคนไร้ประโยชน์ แต่กลับกล้ามาขวางทางข้าผู้นี้!”เขากำลังจะออกคำสั่งอีกครั้ง แต่ทันใดนั้นกลุ่มองครักษ์ที่เย่เสวียนถิงได้เตรียมไว้ล่วงหน้าก็มาขวางทางเขาเอาไว้แม้จะมีคนไม่มากนัก แต่รัศมีของคนเหล่านี้ก็ไม่ได้ดูอ่อนแอซึ่งแตกต่างจากจินตนาการของมู่หรงฉางฉวนที่คิดเกี่ยวกับองครักษ์ที่อาศัยอยู่ในเมืองหลวงคนเหล่านี้มีพลังกายที่ยอดเยี่ยม ทั้งยังไม่มีความกลั
สิ่งที่มู่หรงฉางฉวนทำคือความพยายามที่จะก่อกบฏหากไม่แสดงอำนาจบอกให้เขารู้ถึงความร้ายแรง เกรงว่าเขาอาจจะทำให้สถานการณ์ในเมืองหลวงพลิกผันขึ้นมาได้มู่หรงฉางฉวนใบหน้าเปลี่ยนสีเมื่อได้ยินคำยั่วยุของเย่เสวียนถิงเขาได้ยินเกี่ยวกับชื่อเสียงของเย่เสวียนถิงและหวาดกลัวในกิตติศัพท์เทพเจ้าแห่งสงครามเล็กน้อยแต่เมื่อนึกถึงอาการบาดเจ็บที่ขาจนกลายเป็นความพิการของอีกฝ่าย ซึ่งคงจะทำให้อ่อนแอลงกว่าเดิมอย่างแน่นอน นอกจากนี้เย่เสวียนถิงยังได้รับการประคบประหงมในเมืองหลวงมานานแล้วและอาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าควรจับดาบอย่างไร...เมื่อคิดได้เช่นนั้น อารมณ์ของเขาก็ค่อย ๆ สงบลง และเขาก็จับหอกไว้มั่นอีกครั้ง “เอาล่ะ ให้ข้าได้สัมผัสกับพลังของท่านอ๋องเสวียนเสียหน่อย!”ยามที่กองทัพต่อสู้กัน แม่ทัพจากทั้งสองฝั่งจะต่อสู้กันเพียงลำพัง และคนอื่น ๆ จะต้องไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวนี่คือการต่อสู้แห่งศักดิ์ศรีของแม่ทัพทั้งสองบรรดาคนที่อยู่ด้านหลังมู่หรงฉางฉวนถอยออกไปเล็กน้อย ส่วนเหล่าองครักษ์ก็ขยับขยายพื้นที่ตรงหน้าประตูเมืองเพื่อให้มีที่เพียงพอสำหรับทั้งสองคนขณะที่เย่เสวียนถิงถือหอกอยู่ในมือ สายตาของเขาเย็นชาและคมปลาบ ไ
เมื่อซูชิงอู่เห็นภาพตรงหน้าก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มเยาะ “สู้ไม่ได้ก็บอกว่าสู้ไม่ได้สิ จะมากลัวเสียหน้าทำไม”มู่หรงฉางฉวนจะโจมตีอีกครั้ง นี่คือวิธีการเผชิญหน้ากันบนหลังม้า ทุกอย่างขึ้นอยู่กับว่าในช่วงเวลานั้นร่างกายกับม้าจะร่วมมือกันได้ดีเพียงใดหากสามารถร่วมมือกันได้ดี พวกเขาก็จะแข็งแกร่งขึ้นหลายเท่าโดยเฉพาะอย่างยิ่งแรงโจมตีนั้นจะมากกว่าตอนที่ตัวคนยืนอยู่บนพื้นหลายเท่าคราวนี้ไม่มีใครพยายามหลบและสกัดกั้น หอกทั้งสองเข้าโรมรันกันในทันทีเย่เสวียนถิงใช้แรงช่วงเอวกดแขนลงและใช้ประโยชน์จากแรงที่ม้าชนกัน เขาได้ยินเสียงดังเป๊าะ เป็นหอกในมือของมู่หรงฉางฉวนที่หักกระจาย!มันถูกหักออกเป็นสามส่วน!ก่อนที่มู่หรงฉางฉวนจะได้โต้ตอบ เขาก็ถูกเตะเข้าที่หน้าอกและหล่นลงจากหลังม้ามู่หรงฉางฉวนกลิ้งตัวเพื่อลดโอกาสบาดเจ็บ เขากลิ้งตัวอยู่บนพื้นหลายตลบ แต่เมื่อเขาลุกขึ้นปลายหอกก็ถูกกดมาที่คอแล้วเหตุการณ์นั้นตกทำให้รอบข้างอยู่ในความเงียบทันใดนั้น องครักษ์ทุกคนก็ตะโกนออกมาอย่างตื่นเต้นในเวลาเดียวกัน“เยี่ยม!”“ท่านอ๋องช่างไร้เทียมทาน!”เสียงกู่ร้องที่ชวนให้หูหนวกเหล่านั้นทำเอามู่หรงฉางฉวนหน้าซีดบรรดาท
จะไม่คุกเข่าก็ไม่ได้ เพราะเหล่าทหารของเขาทั้งหมดตกอยู่ในกำมือของคู่ต่อสู้แล้วเย่เสวียนถิงเก็บหอกแล้วพูดกับเซียวเฝิงที่ติดตามมา “เจ้าให้คนนำเหล่าทหารและม้าไปไว้ที่ฮวยเฉิงแล้วรอข่าวจากข้า”“รับบัญชาพ่ะย่ะค่ะ!”เซียวเฝิงรับคำสั่งทันทีเขาลงมือสั่งคนประมาณร้อยคน จากนั้นจึงขี่ม้าไปต่อหน้าคนเหล่านั้น “ขึ้นมาแล้วมุ่งหน้าไปยังฐานประจำการในฮวยเฉิง!"“ขอรับ!”ทหารและม้านับหมื่นที่มู่หรงฉางฉวนนำมาทั้งหมดถูกเซียวเฝิงคุมตัวไป กองทัพที่แข็งแกร่งค่อย ๆ เคลื่อนตัวออกไป และเงาร่างแห่งความมืดก็ค่อย ๆ เคลื่อนตัวออกจากเมืองหลวงมุมปากของมู่หรงฉางฉวนกระตุก เขาลุกขึ้นยืนอย่างไม่แยแส คาดไม่ถึงว่าการกลับมาในครั้งนี้ เขาจะไม่เพียงล้มเหลวในการสร้างอำนาจของตนเท่านั้น แต่ยังต้องมอบคนเหล่านั้นทั้งหมดให้กับเย่เสวียนถิงด้วยเมื่อเห็นทุกคนรอบตัวเขาจากไป มู่หรงฉางฉวนก็ไม่คิดที่จะต่อต้าน เขาเดินตามเจ้าหน้าที่เข้าวังไปด้วยสีหน้าเย็นชาซูชิงอู่ที่เฝ้าดูการแสดงใหญ่ที่ชั้นบนเผยรอยยิ้มกว้างมากขึ้นเรื่อย ๆ นางจิบชาแล้วลุกเดินลงไปยังชั้นล่างเย่เสวียนถิงกำลังรอนางอยู่ที่ประตูซูชิงอู่ยิ้มและกล่าวว่า “เมื่อครู่ท่าน
“ฝ่าบาท กระหม่อมยินดีสละชีพเพื่อแคว้นหนานเย่และปกป้องชายแดนของแคว้นหนานเย่พ่ะย่ะค่ะ!”“ข้าเข้าใจเจ้า แต่ข้าตัดสินใจเรื่องนี้แล้ว ดังนั้นเจ้าไม่จำเป็นต้องพูดอะไรไปมากกว่านี้”มู่หรงฉางฉวนรู้สึกขนลุกไปชั่วขณะหนึ่งแม้เขาจะเตรียมใจไว้แล้วก่อนที่จะกลับมา แต่ตอนนี้เมื่อเขาได้ยินฮ่องเต้เฒ่าตรัสคำดังกล่าวด้วยสองหูของตัวเอง แววตาของเขาก็สั่นสะท้านโดยไม่สมัครใจ“ฝ่าบาท กระหม่อม...”“เจ้าจะไม่ให้หรือ?”ทันใดนั้นฮ่องเต้เฒ่าก็ตรัสถามกลับ น้ำเสียงของพระองค์เต็มไปด้วยแววอันตรายมู่หรงฉางฉวนสับสนและรีบโน้มตัวลงทำความเคารพทันที “ให้พ่ะย่ะค่ะ แต่เรื่องที่สำคัญคือตอนนี้ตราพยัคฆ์ไม่ได้อยู่ที่กระหม่อม โปรดขอเวลาให้กระหม่อม แล้วกระหม่อมจะนำตราพยัคฆ์มามอบให้ภายในสามวันอย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”ฮ่องเต้เฒ่าทรงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพยักหน้าเล็กน้อย “ได้ เช่นนั้นข้าจะให้เวลาเจ้าสามวัน”มู่หรงฉางฉวนโค้งคำนับทำความเคารพ “หากไม่มีอะไรแล้ว กระหม่อมขอทูลลาพ่ะย่ะค่ะ”“ไปเถิด”ฮ่องเต้เฒ่าทรงมีท่าทีร้อนรนมู่หรงฉางฉวนถอยกลับไปที่ประตูพระตำหนักจินหลวน จากนั้นก็หมุนตัวเดินออกไป ในที่สุดความรู้สึกหดหู่อันรุนแรง
แน่นอนว่าเย่เสวียนถิงเข้าใจว่าซูชิงอู่หมายถึงอะไร ไม่นานมานี้นางได้เล่าทุกอย่างเกี่ยวกับตัวเอง ในเมื่อนางรู้ นั่นหมายความว่านางต้องรู้เรื่องนี้มาจากชีวิตชาติก่อนเป็นความจริงอย่างแน่นอนและคำพูดของนางก็ทำให้คนฟังเข้าใจใจความสำคัญได้อย่างง่าย ๆ ทำให้พวกเขาสามารถเตรียมการล่วงหน้าได้แม้ข้อมูลนี้จะมีประโยชน์มาก แต่เย่เสวียนถิงก็ไม่อยากให้ซูชิงอู่จำชีวิตชาติก่อนได้เขารู้สึกเป็นทุกข์เสมอเมื่อได้ยินและเขายังรู้สึกเสียใจที่ไม่สามารถปกป้องซูชิงอู่ได้อย่างเหมาะสมเย่เสวียนถิงรู้ดีว่าแม้อาอู่จะซ่อนอะไรหลายอย่างไว้และไม่บอกเขา แต่นางก็ต้องทนทุกข์ทรมานอย่างมากมาย และเหตุผลของเรื่องทั้งหมดนี้คือ...เขาไม่มีกำลังมากพอ...เนื่องจากเขาไม่มีกำลังเขาจึงถูกฆ่าเนื่องจากเขาไม่แข็งแกร่งพอ เขาจึงไม่สามารถปกป้องนางได้สิ่งเหล่านั้นที่เขาทำได้ไม่ดีในชาติก่อนจะต้องทำอย่างระมัดระวังมากขึ้นในชาตินี้ และเขาจะไม่มีวันทำให้ตัวเองต้องเสียใจอีกครั้งเย่เสวียนถิงหลุบตาลง ดวงตาของเขาขรึมขึ้นเรื่อย ๆ และเขาพูดอย่างเคร่งเครียด “ไปส่งจดหมายถึงเจ้าเมืองให้ข้าหน่อย”องครักษ์ลำดับที่สิบเจ็ดตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากน