เมื่อซูชิงอู่เห็นภาพตรงหน้าก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มเยาะ “สู้ไม่ได้ก็บอกว่าสู้ไม่ได้สิ จะมากลัวเสียหน้าทำไม”มู่หรงฉางฉวนจะโจมตีอีกครั้ง นี่คือวิธีการเผชิญหน้ากันบนหลังม้า ทุกอย่างขึ้นอยู่กับว่าในช่วงเวลานั้นร่างกายกับม้าจะร่วมมือกันได้ดีเพียงใดหากสามารถร่วมมือกันได้ดี พวกเขาก็จะแข็งแกร่งขึ้นหลายเท่าโดยเฉพาะอย่างยิ่งแรงโจมตีนั้นจะมากกว่าตอนที่ตัวคนยืนอยู่บนพื้นหลายเท่าคราวนี้ไม่มีใครพยายามหลบและสกัดกั้น หอกทั้งสองเข้าโรมรันกันในทันทีเย่เสวียนถิงใช้แรงช่วงเอวกดแขนลงและใช้ประโยชน์จากแรงที่ม้าชนกัน เขาได้ยินเสียงดังเป๊าะ เป็นหอกในมือของมู่หรงฉางฉวนที่หักกระจาย!มันถูกหักออกเป็นสามส่วน!ก่อนที่มู่หรงฉางฉวนจะได้โต้ตอบ เขาก็ถูกเตะเข้าที่หน้าอกและหล่นลงจากหลังม้ามู่หรงฉางฉวนกลิ้งตัวเพื่อลดโอกาสบาดเจ็บ เขากลิ้งตัวอยู่บนพื้นหลายตลบ แต่เมื่อเขาลุกขึ้นปลายหอกก็ถูกกดมาที่คอแล้วเหตุการณ์นั้นตกทำให้รอบข้างอยู่ในความเงียบทันใดนั้น องครักษ์ทุกคนก็ตะโกนออกมาอย่างตื่นเต้นในเวลาเดียวกัน“เยี่ยม!”“ท่านอ๋องช่างไร้เทียมทาน!”เสียงกู่ร้องที่ชวนให้หูหนวกเหล่านั้นทำเอามู่หรงฉางฉวนหน้าซีดบรรดาท
จะไม่คุกเข่าก็ไม่ได้ เพราะเหล่าทหารของเขาทั้งหมดตกอยู่ในกำมือของคู่ต่อสู้แล้วเย่เสวียนถิงเก็บหอกแล้วพูดกับเซียวเฝิงที่ติดตามมา “เจ้าให้คนนำเหล่าทหารและม้าไปไว้ที่ฮวยเฉิงแล้วรอข่าวจากข้า”“รับบัญชาพ่ะย่ะค่ะ!”เซียวเฝิงรับคำสั่งทันทีเขาลงมือสั่งคนประมาณร้อยคน จากนั้นจึงขี่ม้าไปต่อหน้าคนเหล่านั้น “ขึ้นมาแล้วมุ่งหน้าไปยังฐานประจำการในฮวยเฉิง!"“ขอรับ!”ทหารและม้านับหมื่นที่มู่หรงฉางฉวนนำมาทั้งหมดถูกเซียวเฝิงคุมตัวไป กองทัพที่แข็งแกร่งค่อย ๆ เคลื่อนตัวออกไป และเงาร่างแห่งความมืดก็ค่อย ๆ เคลื่อนตัวออกจากเมืองหลวงมุมปากของมู่หรงฉางฉวนกระตุก เขาลุกขึ้นยืนอย่างไม่แยแส คาดไม่ถึงว่าการกลับมาในครั้งนี้ เขาจะไม่เพียงล้มเหลวในการสร้างอำนาจของตนเท่านั้น แต่ยังต้องมอบคนเหล่านั้นทั้งหมดให้กับเย่เสวียนถิงด้วยเมื่อเห็นทุกคนรอบตัวเขาจากไป มู่หรงฉางฉวนก็ไม่คิดที่จะต่อต้าน เขาเดินตามเจ้าหน้าที่เข้าวังไปด้วยสีหน้าเย็นชาซูชิงอู่ที่เฝ้าดูการแสดงใหญ่ที่ชั้นบนเผยรอยยิ้มกว้างมากขึ้นเรื่อย ๆ นางจิบชาแล้วลุกเดินลงไปยังชั้นล่างเย่เสวียนถิงกำลังรอนางอยู่ที่ประตูซูชิงอู่ยิ้มและกล่าวว่า “เมื่อครู่ท่าน
“ฝ่าบาท กระหม่อมยินดีสละชีพเพื่อแคว้นหนานเย่และปกป้องชายแดนของแคว้นหนานเย่พ่ะย่ะค่ะ!”“ข้าเข้าใจเจ้า แต่ข้าตัดสินใจเรื่องนี้แล้ว ดังนั้นเจ้าไม่จำเป็นต้องพูดอะไรไปมากกว่านี้”มู่หรงฉางฉวนรู้สึกขนลุกไปชั่วขณะหนึ่งแม้เขาจะเตรียมใจไว้แล้วก่อนที่จะกลับมา แต่ตอนนี้เมื่อเขาได้ยินฮ่องเต้เฒ่าตรัสคำดังกล่าวด้วยสองหูของตัวเอง แววตาของเขาก็สั่นสะท้านโดยไม่สมัครใจ“ฝ่าบาท กระหม่อม...”“เจ้าจะไม่ให้หรือ?”ทันใดนั้นฮ่องเต้เฒ่าก็ตรัสถามกลับ น้ำเสียงของพระองค์เต็มไปด้วยแววอันตรายมู่หรงฉางฉวนสับสนและรีบโน้มตัวลงทำความเคารพทันที “ให้พ่ะย่ะค่ะ แต่เรื่องที่สำคัญคือตอนนี้ตราพยัคฆ์ไม่ได้อยู่ที่กระหม่อม โปรดขอเวลาให้กระหม่อม แล้วกระหม่อมจะนำตราพยัคฆ์มามอบให้ภายในสามวันอย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”ฮ่องเต้เฒ่าทรงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพยักหน้าเล็กน้อย “ได้ เช่นนั้นข้าจะให้เวลาเจ้าสามวัน”มู่หรงฉางฉวนโค้งคำนับทำความเคารพ “หากไม่มีอะไรแล้ว กระหม่อมขอทูลลาพ่ะย่ะค่ะ”“ไปเถิด”ฮ่องเต้เฒ่าทรงมีท่าทีร้อนรนมู่หรงฉางฉวนถอยกลับไปที่ประตูพระตำหนักจินหลวน จากนั้นก็หมุนตัวเดินออกไป ในที่สุดความรู้สึกหดหู่อันรุนแรง
แน่นอนว่าเย่เสวียนถิงเข้าใจว่าซูชิงอู่หมายถึงอะไร ไม่นานมานี้นางได้เล่าทุกอย่างเกี่ยวกับตัวเอง ในเมื่อนางรู้ นั่นหมายความว่านางต้องรู้เรื่องนี้มาจากชีวิตชาติก่อนเป็นความจริงอย่างแน่นอนและคำพูดของนางก็ทำให้คนฟังเข้าใจใจความสำคัญได้อย่างง่าย ๆ ทำให้พวกเขาสามารถเตรียมการล่วงหน้าได้แม้ข้อมูลนี้จะมีประโยชน์มาก แต่เย่เสวียนถิงก็ไม่อยากให้ซูชิงอู่จำชีวิตชาติก่อนได้เขารู้สึกเป็นทุกข์เสมอเมื่อได้ยินและเขายังรู้สึกเสียใจที่ไม่สามารถปกป้องซูชิงอู่ได้อย่างเหมาะสมเย่เสวียนถิงรู้ดีว่าแม้อาอู่จะซ่อนอะไรหลายอย่างไว้และไม่บอกเขา แต่นางก็ต้องทนทุกข์ทรมานอย่างมากมาย และเหตุผลของเรื่องทั้งหมดนี้คือ...เขาไม่มีกำลังมากพอ...เนื่องจากเขาไม่มีกำลังเขาจึงถูกฆ่าเนื่องจากเขาไม่แข็งแกร่งพอ เขาจึงไม่สามารถปกป้องนางได้สิ่งเหล่านั้นที่เขาทำได้ไม่ดีในชาติก่อนจะต้องทำอย่างระมัดระวังมากขึ้นในชาตินี้ และเขาจะไม่มีวันทำให้ตัวเองต้องเสียใจอีกครั้งเย่เสวียนถิงหลุบตาลง ดวงตาของเขาขรึมขึ้นเรื่อย ๆ และเขาพูดอย่างเคร่งเครียด “ไปส่งจดหมายถึงเจ้าเมืองให้ข้าหน่อย”องครักษ์ลำดับที่สิบเจ็ดตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากน
เขาหัวเราะแล้วพูดว่า “มันดึกแล้ว ข้าจะผลัดผ้าให้พระชายาน่ะ”“???”ซูชิงอู่คาดไม่ถึงว่าจะได้ยินประโยคเช่นนี้ แก้มของนางจึงกลายเป็นสีแดงทันทีแม้ซูชิงอู่จะรู้ว่าเย่เสวียนถิงจงใจเปลี่ยนเรื่อง แต่นางก็ไม่ต้องการที่จะพูดเกี่ยวกับเรื่องงานต่อไปแน่นอนว่านางเต็มใจที่จะให้ความร่วมมือ และนางก็เต็มใจอย่างยิ่งที่จะช่วยเขาบรรเทาความกดดันในใจนางรู้อยู่เสมอว่าเย่เสวียนถิงต้องการปกป้องนางกับลูก ๆ และทำงานอย่างหนักเพื่อสร้างเกราะป้องกันสำหรับพวกเขาซูชิงอู่ใช้มือทั้งสองข้างกอดคอของเขาเอาไว้ แม้แก้มของนางจะแดงจนเหมือนเลือดจะหยด แต่นางก็รวบรวมความกล้าที่จะเงยหน้าและโต้ตอบอย่างกระตือรือร้น……ท้องฟ้ามืดมิดราวกับหมึกสีเข้ม ฮ่องเต้เฒ่าทรงประทับอยู่บนเตียงแล้วขณะนั้น ขันทีหนุ่มคนหนึ่งเดินก้มหน้าเข้ามาจากประตูแล้วพูดด้วยความเคารพไปทางด้านในว่า “ฝ่าบาท กุ้ยเฟยขอเข้าเฝ้าพระองค์ นางกล่าวว่า...ว่ามีบางสิ่งที่สำคัญมากพ่ะย่ะค่ะ”ฮ่องเต้เฒ่าดูเหมือนจะได้ยินดังนั้นจึงหันไปเล็กน้อยพระเนตรของพระองค์ขุ่นมัวและฟุ้งซ่านเล็กน้อยหลังจากได้ยินการเคลื่อนไหว ทรงเลิกคิ้วเบา ๆ“เรื่องสำคัญอะไร? ให้นางเข้ามา”“พ่
แม้ในตอนแรกนางจะคิดว่าฮ่องเต้เฒ่ากำลังแสร้งทำ ไม่คาดคิดเลยว่าจะเป็นเรื่องจริงฮ่องเต้เฒ่าคลุ้มคลั่งและขว้างกาน้ำชาใส่นาง ทำให้เจียวกุ้ยเฟยตกใจมากจนนางต้องรีบออกจากห้องไป หลังนางออกมาได้ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกเพียงแต่เดินได้ไม่กี่ก้าว นางก็ตัวแข็งทื่อซูเฟยพร้อมนางกำนัลอาวุโสสองสามคนกำลังเดินไปที่พระที่นั่งหย่างซินเตี้ยน พร้อมกล่องอาหารในมือซูเฟยตกใจเล็กน้อย เมื่อเห็นเจียวกุ้ยเฟยออกมาด้วยท่าทีรีบร้อนและเปื้อนไปด้วยคราบชา จึงเลิกคิ้วขึ้น“กุ้ยเฟย ดึกขนาดนี้แล้ว ท่านมาเยี่ยมฝ่าบาทหรือ?”เจียวกุ้ยเฟยรีบจัดเสื้อผ้าของตนและพยายามรักษาอริยาบถให้สง่าที่สุด "ทำไมหรือ น้องหญิงมาเยี่ยมฝ่าบาทได้ แล้วข้าทำไม่ได้หรือ?"เมื่อได้ยินสิ่งนี้ซูเฟยก็หรี่ตาลงเล็กน้อยแล้วยิ้ม “แน่นอนว่าไม่ใช่เช่นนั้น เพียงแต่เห็นกุ้ยเฟยดูยุ่งเหยิงเพียงนี้ แม้แต่เสื้อผ้าก็ยังเปียกโชก แปลว่าฮ่องเต้ทรงไม่พอพระทัย ท่านรู้ดีว่าช่วงนี้ฮ่องเต้ทรงประชวร กุ้ยเฟยอย่าทำให้พระวรกายยิ่งทรุดลงไปอีกเลย”เปลือกตาของเจียวกุ้ยเฟยกระตุก นางขี้เกียจเกินกว่าจะเสวนากับซูเฟยเช่นนั้นนางจึงยืดตัวตรงและเดินออกไปทันทีซูเฟยไม่ได้หยุดนาง
นางปรนนิบัติฮ่องเต้เฒ่าให้นอนหลับ สายตาเหลือบไปเห็นเศษกระเบื้องที่แตกอยู่บนพื้น ขณะนั้นมีขันทีน้อยเข้ามาทำความสะอาดพอดีเม็ดยารอบ ๆ ขวดเครื่องเคลือบถูกบดจนแหลก และขันทีน้อยได้กวาดขึ้นมาแล้ว ซูเฟยฉุกคิดบางอย่างขึ้นมาได้ จึงหยุดขันทีคนนั้นไว้ และก้มตัวใช้ผ้าเช็ดหน้ารวบรวมผงยาบางส่วนขึ้นมาขันทีน้อยสับสน "ซูเฟย..."ซูเฟยกล่าวว่า "ไม่เป็นไร ออกไปเถอะ""พ่ะย่ะค่ะ!"ขันทีน้อยออกจากห้อง และซูเฟยก็นำผ้าเช็ดหน้ากลับไปยังตำหนักของนางทันทีเย่เสวียนถิงและซูชิงอู่บังเอิญอยู่ในวังหลวงในคืนนี้พอดี นางจึงส่งคนไปตามให้พวกเขามาที่ตำหนักของนางหลังจากรับฟังเรื่องจากนางกำนัล ซูชิงอู่และเย่เสวียนถิงก็มาถึงตำหนักจิ้งอี๋ของซูเฟยอย่างรวดเร็วที่นึ่เงียบและสงบเช่นเคย และไม่มีอะไรไรแตกต่างไปจากเมื่อก่อน ซูชิงอู่นั่งตรงข้ามกับซูเฟยและถามขึ้นเบา ๆ "ซูเฟยเรียกหม่อมฉันกับท่านอ๋องมาด้วยเหตุใดหรือเพคะ?"ซูเฟยไม่เสียเวลา วางผ้าเช็ดหน้าที่มีผงยาลงบนโต๊ะ "ชิงอู่ นี่เป็นยาชนิดใดหรือ? ข้าพบมันในห้องของฮ่องเต้ ก่อนหน้านั้นพระองค์ได้พบกับกุ้ยเฟยพอดี"เมื่อได้ยินเกี่ยวข้องกับกุ้ยเฟย ซูชิงอู่ก็ยกมือรับผ้าเช็ดหน้า
คำพูดของเย่เสวียนถิงทำให้ซูชิงอู่และซูเฟยอดไม่ได้ที่จะหันมามองเขาซูชิงอู่รู้ดีว่าเย่เสวียนถิงไม่เคยเป็นคนที่จะนั่งรอความตายอยู่เฉย ๆ ยิ่งกว่านั้น ช่องทางในการได้รับข่าวสารของเขายังมากกว่านางเสียอีกปกติแล้วนางจะใช้ความทรงจำจากชาติที่แล้วและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชาตินี้ในการวิเคราะห์ ส่วนเรื่อง อื่นๆ ก็ได้มาจากการสืบสวนขององครักษ์เงาสิบเจ็ดเช่นนั้น เย่เสวียนถิงจึงต้องรู้ความจริงเร็วกว่านางแน่นอนยังไม่ทันที่ซูชิงอู่จะถาม เย่เสวียนถิงก็ตอบคำถามของนางแล้วเขาเอ่ยขึ้นอย่างแผ่วเบา "เป็นองค์ชายสามจากแคว้นฉีตะวันออกน่ะ"ซูชิงอู่คิดไม่ถึงเลยจริง ๆ นางเบิกตากว้างขึ้นเล็กน้อยด้วยความประหลาดใจและมองไปที่เย่เสวียนถิง "ท่านหมายถึงฉีเทียนหยวนหรือ?"เย่เสวียนถิงพยักหน้าเล็กน้อยและอธิบายอย่างไม่รีบร้อนว่า "เขานั่นแหละ"ซูชิงอู่สงสัยว่า "เขาไม่ได้มาจากแคว้นหนานเย่แล้วเหตุใดเขาถึงเข้ามาแทรกแซงการต่อสู้ภายในของแคว้นหนานเย่เล่า ยิ่งกว่านั้นเขาควบคุมเจียวกุ้ยเฟยได้อย่างไร"นางเคยพบกับฉีเทียนหยวนมาก่อน และไม่ได้สนใจเขามากนักแต่การได้ยินเย่เสวียนถิงเอ่ยถึงชื่อของเขาในวันนี้ ทำให้นางรู้สึกกังวล