ฮ่องเต้กลอกตาทอดพระเนตรไปยังทูตของแคว้นอู๋ตะวันตกที่อยู่ด้านล่าง“โอ้?”ผู้นำกลุ่มปรมาจารย์แห่งแคว้นอู๋ตะวันตกรีบกล่าวขึ้นทันที “องค์ชายใหญ่ของพวกข้าถูกองค์ชายสามแห่งแคว้นหนานเย่สังหาร พวกท่านต้องให้คำอธิบายถึงจะถูก!”เย่ชิวหมิงหรี่ตาลงเล็กน้อย “พวกเจ้าบุกรุกสถานที่สำคัญอย่างสุสานหลวงของแคว้นเรา ถูกจับได้คาหนังคาเขาเช่นนี้ยังจะมีหน้ามาเถียงข้าง ๆ คู ๆ อีก ช่างน่าขันเสียจริง!”ใบหน้าของชายฉกรรจ์ร่างใหญ่แข็งกระด้างมีท่าทีดุร้าย “หากพวกเราทุกคนตายอยู่ที่นี่ ฮ่องเต้ของพวกเราไม่มีวันปล่อยแคว้นหนานเย่ไปแน่!”เย่ชิวหมิงแค่นเสียงเย็นเมื่อได้ยินเช่นนั้น “ขนาดพวกเจ้าอยู่ที่นี่ก็ยังคิดที่จะฉวยโอกาสล่วงล้ำแคว้นหนานเย่ให้ได้!”“ไม่ว่าจะพูดอย่างไร องค์ชายของพวกเราก็สิ้นพระชนม์ที่นี่เพราะถูกพวกท่านสังหาร!”คนที่อยู่ข้าง ๆ ตอบกลับมา ใบหน้าของคนเหล่านั้นแสดงสีหน้าของคนที่ยอมตายมากกว่ายอมจำนนเพียงแต่การแสดงออกเช่นนี้ตอนนี้ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ดูน่าขันทว่าเมื่อเปรียบเทียบกับการจัดการความสัมพันธ์ทางการฑูตระหว่างทั้งสองแคว้นแล้ว ความจริงเป็นอย่างไรนั้นไม่สำคัญเลยฮ่องเต้เฒ่าได้ยินอย่างชัดเจนถึ
เย่เสวียนถิงดึงคอเสื้อของชายคนนั้นโดยไม่พูดอะไร จากนั้นก็โยนเขาออกจากพระตำหนักจินหลวน“อ๊าก…”มีเพียงเสียงกรีดร้องและเสียงดังตึง ชายคนนั้นล้มลงกับพื้นด้านนอก เสียงกระดูกหักทำเอาหลายคนพากันหวาดหวั่นการเคลื่อนไหวของเย่เสวียนถิงทำให้บรรดาขุนนางพากันตกตะลึง จากนั้นก็มีคนถามขึ้นมาว่า “ท่านอ๋องเสวียน นี่ท่านทำอะไร!”เย่เสวียนถิงเงยหน้ามองคนอื่น ๆ ด้วยสายตาเย็นชา “โทษฐานดูหมิ่นพระชายา ข้าไม่ดึงลิ้นของเขาออกมาก็ถือว่าดีเพียงใดแล้ว หากครั้งหน้าข้ายังได้ยินใครในหมู่พวกเจ้าพูดจาสามหาวใส่พระชายาอีก ข้าจะตีเรียงตัวเลยคอยดู!”“อ๋องเสวียน ท่าน…”เหล่าขุนนางอดไม่ได้ที่จะกลัวจนหัวหดเมื่อเห็นสายตาดุดันของเย่เสวียนถิงบางคนเงยหน้าขึ้นไปมองฮ่องเต้เฒ่าที่ประทับอยู่ด้านบน แต่กลับพบว่าทรงไม่แยแสและไม่คิดจะตำหนิอ๋องเสวียนแม้แต่น้อยบรรดาขุนนางเฒ่าต่างมองหน้ากันด้วยความสับสน เมื่อคิดได้ว่าแม้แต่มหาราชครูมู่หรงก็ยังอยู่ในกำมือของอ๋องเสวียน ความกล้าหาญที่พวกเขาเพิ่งรวบรวมไว้ก็ถูกเก็บกลับไปทันทีมีคนพูดขึ้นว่า “แม้สิ่งที่พระชายาเสวียนพูดจะเป็นเรื่องจริง แต่ว่า...ในแง่ของอำนาจของแคว้นและความแข็งแกร่งทางก
สายพระเนตรของฮ่องเต้เฒ่าจับจ้องไปยังใบหน้าของเซียวเฝิง ทรงจำได้ว่าผู้นี้คือจอหงวนฝ่ายบู๊คนปัจจุบันแม้แรกเริ่มตำแหน่งของเขาจะไม่สูง แต่เขาก็ประสบความสำเร็จอย่างมากในช่วงเวลาสั้น ๆ โดยอาศัยความสามารถของตัวเอง และเมื่อไม่นานมานี้ เขาได้นำคนไปช่วยเหลือองค์รัชทายาทและสังหารนักฆ่าไปมากมายมีบุคลิกนิ่งสงบให้ความรู้สึกเหมือนแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่ และได้รับการเลื่อนตำแหน่งโดยเย่เสวียนถิงตอนนี้เขาเป็นผู้นำของกองกำลังเล็ก ๆทรงพยักหน้าเล็กน้อยแล้วตรัสว่า “ได้”เมื่อเสี่ยวเฟิงได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของเขาก็มีความประหลาดใจเล็กน้อยแต่หลังจากได้ยินคำพูดของฮ่องเต้เฒ่า ขุนนางทั้งบุ๋นและบู๊ในราชสำนักก็ส่งเสียงเซ็งแซ่ขึ้นมาทันที“ได้อย่างไรกัน หากเราเป็นฝ่ายเริ่มโจมตีแคว้นอู๋ตะวันตกจะไม่เท่ากับรนหาที่ตายหรือ?”“เหตุใดจู่ ๆ ฝ่าบาททรงตอบรับ!”“เราไม่มีเสบียงและทหารทำสงคราม จะเอาอะไรไปสู้?”การทำสงครามต้องเตรียมอะไรมากมายไม่ว่าจะเป็นเงินเดือนให้กับทหารและเสบียง หรือการรับสมัครทหารและซื้อม้าล่วงหน้า ซึ่งต้องใช้เวลานานพอสมควรนอกจากนี้ห้ามเผยแพร่ข่าวสารออกไป หากมีคนภายนอกทราบนั่นคงจะแย่มากหากพวกเขาไม
บัดนี้ชายผู้นี้จะกลับเข้าสู่สนามรบอีกครั้งหรือ?ซูชิงอู่รู้ว่าเย่เสวียนถิงกำลังคิดอะไรอยู่ เขาไม่เคยอยากเป็นสัตว์ร้ายที่ถูกขัง แต่อยากเป็นราชสีห์ที่ต่อสู้ในสนามรบ!การนำกองทหารและเหล่าแม่ทัพไปทำลายล้างกองทหารศัตรูเป็นสิ่งที่เขาทำมายาวนานและเขาทำได้ดีมากเทพเจ้าแห่งสงครามผู้สง่างามซึ่งสั่งการกองทัพนับแสนคนจะเอาแต่ถูกกักบริเวณได้อย่างไร...ในฐานะพระชายา ซูชิงอู่จะไม่สนับสนุนเขาได้หรือนางจะไม่ทำให้เขาต้องกังวลกับสิ่งใด!ซูชิงอู่มองไปยังฮ่องเต้เฒ่าแล้วพูดอีกครั้ง “ฝ่าบาท ที่ท่านอ๋องเสวียนขอพระราชทานอนุญาตขอกองกำลังก็เพื่อประโยชน์ของแคว้นหนานเย่เพคะ”ดวงตาของฮ่องเต้เฒ่าขุ่นมัวเล็กน้อย และทรงพยักหน้าอย่างรวดเร็ว “ข้าอนุญาตให้เจ้านำกองทหารสองแสนนายไปโจมตีแคว้นอู๋ตะวันตก!”เสียงของพระองค์สงบมาก จากนั้นก็ทรงหยิบพระราชโองการออกมาจากโต๊ะข้าง ๆ และส่งให้ขันทีหนุ่มเป็นผู้เขียนถ่ายทอด“อ๋องเสวียนฟังรับสั่ง!”เย่เสวียนถิงเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย สายตาของเขาจ้องมองไปยังฮ่องเต้เฒ่าเขาก้าวไปข้างหน้าและคุกเข่ารับคำสั่งต่อหน้าทุกคน“ลูกรับพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ!”เมื่อมีการอ่านพระราชโองการของฮ่องเต้ท
ช่วงนี้จิตใจของฮ่องเต้เฒ่าไม่ค่อยมั่นคง ในวันปกติดูเหมือนจะสับสนเล็กน้อยแต่ทรงจำสิ่งหนึ่งได้ ซึ่งก็คือการฟังคำพูดของซูชิงอู่ซูชิงอู่พยักหน้าเล็กน้อยพลางเหลือบมองขันทีหนุ่มที่ติดตามฮ่องเต้เฒ่ามาด้วยขันทีหนุ่มก้มหน้าขอตัวจากไปทันทีบริเวณรอบ ๆ ไม่มีใครอยู่ อีกทั้งท้องฟ้าด้านนอกก็มืดครึ้ม ดังนั้นบรรยากาศจึงดูเปลี่ยวเล็กน้อย“ฝ่าบาททรงทำดีมากเพคะ”ทันใดนั้นฮ่องเต้เฒ่าก็หัวเราะ ดูเหมือนจะมีประกายในดวงตาพร่าด้วยความชราของเขา“ข้ารู้ว่าชิงอู่จะไม่ทำร้ายข้า”เมื่อซูชิงอู่ได้ยินฮ่องเต้ตรัสถึงเรื่องนั้น นางก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเหมือนถูกประชด“ฝ่าบาท โปรดทรงช่วยชิงอู่อีกเรื่องหนึ่ง…”ฮ่องเต้เฒ่าเริ่มจริงจังทันที “พูดมา ไม่ว่าเจ้าพูดอะไรข้าก็ย่อมทำตามอย่างแน่นอน…”ไม่พูดไม่ได้ว่าตั้งแต่ที่ฮ่องเต้เฒ่าประชวรและมีอาการเลอะเลือนก็กลายเป็นคนที่น่ารักขึ้นมาก ทว่าซูชิงอู่ก็ไม่ได้ตั้งใจที่จะทำให้เขามีสภาพเช่นนี้แม้ตอนนี้จะทรงแสร้งทำ แต่อีกไม่นานมันก็จะกลายเป็นจริง“ขอทรงออกรับสั่งให้บุตรชายคนโตของตระกูลมู่หรงเข้าเมืองหลวงเพคะ!”ในฐานะผู้บังคับบัญชากองทัพ หากไม่มีเหตุการณ์สำคัญก็ห้ามเข้าเ
ซูชิงอู่ต้องการไปที่ชายแดนกับเขาด้วยอย่างมากแต่ตอนนี้นางมีลูกสามคนแล้ว ในฐานะแม่ นางไม่สามารถทำตัวไร้ความรับผิดชอบได้หลังจากเย่เสวียนถิงจากไป จำต้องใช้เวลาอยู่ที่นั่นอย่างน้อยหนึ่งหรือสองปีถึงจะสามารถกลับมาได้ ซึ่งซูชิงอู่จะต้องคอยเลี้ยงดูลูก ๆ ภายในช่วงเวลานี้ซูชิงอู่พูดเสียงเบา “พี่ใหญ่และพี่รองคอยปกป้องข้าอยู่ในเมืองหลวง ท่านอ๋องไม่จำเป็นต้องห่วงข้ากับลูก ๆ เลย อย่างน้อยที่นี่ก็ยังปลอดภัยกว่าชายแดน ยิ่งไปกว่านั้นหากท่านอ๋องไม่สามารถมีชัยเหนือแคว้นอู๋ตะวันตกได้ ภายภาคหน้าเราต้องถูกโจมตีจากทั้งสองฝ่ายอย่างแน่นอน”นี่ก็เป็นสิ่งที่เย่เสวียนถิงกังวลด้วยเช่นกันต้องมีแผ่นดินอาศัยก่อนถึงจะมีบ้านได้เย่เสวียนถิงพยายามอย่างหนักเพื่อนำกองทหารไปต่อสู้ปกป้องชายแดนของแคว้นหนานเย่ จนทำให้สนามรบเปื้อนเลือด ไม่ใช่เพื่อชื่อเสียงและความโด่งดังไปตลอดทุกยุคทุกสมัยแต่เพื่อคนข้างหลังที่เขาต้องการปกป้องหากแคว้นหนานเย่ล่มสลาย พวกเขาจะกลายเป็นกลุ่มเชลยศึก และจะมีเพียงคนที่คิดน้อยเท่านั้นที่จะสมรู้ร่วมคิดกับศัตรูต่างแคว้นเพื่อจัดการกับแผ่นดินของตนเองเป็นความโง่เขลาที่เกินจะเยียวยาเย่เสวียนถิ
ตอนนี้เมืองหลวงของแคว้นหนานเย่ได้เริ่มเตรียมพร้อมสำหรับการทำสงครามแล้วซูชิงอู่มองดูเวลาเพราะเพิ่งได้รับข่าวมาว่าแม่ทัพมู่หรงใกล้จะมาถึงแล้วนางและเย่เสวียนถิงนั่งอยู่ริมหน้าต่างชั้นสองของโรงน้ำชาใกล้ประตูเมือง จากตรงนี้พวกเขาสามารถมองเห็นแม่ทัพมู่หรงเข้ามาในเมืองหลวงได้เย่ชิวหมิงได้จัดขุนนางใหญ่หลายคนไว้รอต้อนรับพวกเขาที่ประตูเมือง นอกจากนี้ องครักษ์ยังได้ทำการกรุยทางให้มีพื้นที่ขนาดใหญ่ เพื่อเป็นการให้เกียรติแม่ทัพมู่หรงเมื่อเวลาผ่านไป เหงื่อบนหน้าผากของเจ้าหน้าที่ทั้งสองที่เฝ้าประตูก็ผุดออกมา พระอาทิตย์ค่อย ๆ เคลื่อนไปทีละน้อย พวกเขารอตั้งแต่เช้ายันบ่ายซูชิงอู่ทั้งดื่มชาทั้งทานอาหาร จากนั้นนางก็นั่งบนเก้าอี้โดยเชิดคางขึ้นแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “มาช้ากว่าที่คาดไว้มาก ดูเหมือนว่าบุตรชายคนโตแห่งตระกูลมู่หรงผู้นี้เองก็คงกังวลมากเช่นกัน”เย่เสวียนถิงยิ้มมุมปาก เขาได้จัดเตรียมองครักษ์ไว้ด้านล่างแล้วเพื่อป้องกันไม่ให้มู่หรงฉางฉวนสร้างปัญหาก่อความวุ่นวายในเมืองหลวงแม้ช่วงนี้เขาจะยุ่งพอสมควร แต่เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่นการปรับตัว การฝึกทหารและม้าก็ได้รับการจัดการโดยรองแม่ทัพของเขาดัง
เขายกมือขึ้นแล้วพูดว่า “ตามข้าเข้าเมืองมา!”เหล่าทหารและกองม้าที่อยู่ด้านหลังเตรียมพร้อมที่จะออกเดินในทันที โดยจ้องมองไปที่ประตูเมืองหลวงอย่างดุดันเจ้าหน้าที่ทั้งสองมองหน้ากันและรีบขวางพวกเขาทันที “ท่านแม่ทัพ หากปราศจากคำสั่งของฝ่าบาท กองกำลังใดใดก็ตามที่ท่านพามาไม่สามารถเข้าไปในเมืองหลวงได้ หากท่านฝ่าฝืนคำสั่งนี้ ก็อาจจะ…”ครู่ต่อมา จู่ ๆ เขาก็ควบม้าไปข้างหน้าสองสามก้าว มาหยุดอยู่ตรงหน้าเจ้าหน้าที่ที่เป็นผู้พูด พลางวางหอกในมือให้ตรงกับคอของอีกฝ่าย“จะเกิดอะไรขึ้นหากข้าผู้นี้ฝ่าฝืนคำสั่งรึ?”“ก็…”เจ้าหน้าที่ผู้นั้นตกใจมากจนไม่สามารถพูดประโยคที่สมบูรณ์ได้ในเวลานี้เมื่อเห็นความขี้ขลาดของอีกฝ่าย มู่หรงฉางฉวนก็แค่นเสียงเย็น “เป็นเพียงคนไร้ประโยชน์ แต่กลับกล้ามาขวางทางข้าผู้นี้!”เขากำลังจะออกคำสั่งอีกครั้ง แต่ทันใดนั้นกลุ่มองครักษ์ที่เย่เสวียนถิงได้เตรียมไว้ล่วงหน้าก็มาขวางทางเขาเอาไว้แม้จะมีคนไม่มากนัก แต่รัศมีของคนเหล่านี้ก็ไม่ได้ดูอ่อนแอซึ่งแตกต่างจากจินตนาการของมู่หรงฉางฉวนที่คิดเกี่ยวกับองครักษ์ที่อาศัยอยู่ในเมืองหลวงคนเหล่านี้มีพลังกายที่ยอดเยี่ยม ทั้งยังไม่มีความกลั