พระศพที่ไหม้เกรียมของไทเฮาถูกนำเข้ามาในวังฮองเฮาที่ทรงโกนผมแล้วยังสวมชุดแม่ชีและติดตามกลับมาที่พระราชวังด้วยฮ่องเต้เฒ่าทรงถูกเชิญออกมา พระองค์เสวยยามาสองสามวันแล้ว จนตอนนี้เพระองค์แลดูมีจิตใจแจ่มใส รอยคล้ำใต้ตาหายไป และดวงตาที่ขุ่นมัวก็มีความสดใสมากขึ้นแต่พระองค์ยังคงตัวสั่น มองผู้คนรอบตัวด้วยสายตาที่ระแวดระวัง และทรงอยู่กับขันทีเพียงไม่กี่คนที่ไว้วางพระทัยมากที่สุดเท่านั้นเย่ชิวหมิงที่ได้รับบาดเจ็บและได้เดินขากะเผลกมาที่ร่างของไทเฮาพร้อมกับเย่อวิ๋นถูไทเฮาที่ทรงมีชีวิตที่รุ่งโรจน์มาครึ่งชีวิต แต่สุดท้ายพระนางก็ลงเอยด้วยการสิ้นพระชนม์เช่นนี้ ทำเอาทุกคนที่อยู่รอบ ๆ มีท่าทีโศกเศร้าซูเฟยและเจียวกุ้ยเฟยรีบรุดมาในทันทีเจียวกุ้ยเฟยถามขึ้น “เป็นเช่นนี้ได้อย่างไรเพคะ? เหตุใดจู่ ๆ ถึงเกิดเหตุไฟไหม้ในสำนักชี?”ตอนนี้ฮองเฮาทรงอ่อนแรงซ้ำยังมีรอยไหม้บนใบหน้าพระนางกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า “มีคนจุดไฟ หากหม่อมฉันไม่ได้คนจากข้างนอกเปิดประตูให้ ก็คงได้มีชะตากรรมเดียวกับไทเฮาไปแล้ว ขอฝ่าบาทโปรดทรงจัดการเรื่องนี้ให้หม่อมฉันด้วยนะเพคะ!”เมื่อฮ่องเต้เฒ่าเห็นฮองเฮารีบวิ่งมาหา ก็ทรงรีบถอ
เย่อวิ๋นถูมองไปยังร่างของไทเฮาพลางกัดฟันเล็กน้อย ดวงตาของเขาขุ่นเคืองอย่างยิ่งและเต็มไปด้วยความโกรธไทเฮาสิ้นพระชนม์ และเสด็จแม่เองก็เกือบจะสิ้นพระชนม์สิ่งที่ซูชิงอู่พูดกับเขาในห้องขังเมื่อไม่นานมานี้ฟังดูบังเอิญมากนางรู้ว่ามีคนต้องการฆ่าไทเฮาและฮองเฮา แต่นางไม่ได้บอกเขา!เย่อวิ๋นถูประคองฮองเฮาพลางกระซิบ “เสด็จแม่ เรื่องนี้ต้องเกี่ยวข้องกับซูชิงอู่แน่ นางเป็นคนสังหารไทเฮาพ่ะย่ะค่ะ!”ฮองเฮาทรงตกตะลึงเล็กน้อย “ซูชิงอู่? นางพูดอะไรกับเจ้า?”เย่อวิ๋นถูกัดฟันและพูดว่า “ทุกอย่างเป็นแผนของนาง แผนการสังหารท่านกับไทเฮาก็เป็นฝีมือของนางเช่นกัน นางอยากจะฆ่าพวกเราทุกคนมานานแล้ว!”แม่ลูกสื่อสารกันด้วยเสียงอันแผ่วเบา และเย่อวิ๋นถูก็โทษซูชิงอู่สำหรับทุกสิ่งที่เกิดขึ้น“นางเป็นคนสังหารราชครูด้วยเพราะลูกขอยกเลิกการแต่งงานกับนางและให้นางแต่งงานกับอ๋องเสวียนแทน นางจึงแค้นลูกมากพ่ะย่ะค่ะ!”ม่านตาของฮองเฮาหดตัว และร่างกายของพระนางก็สั่นเพราะความโกรธตอนนี้มหาราชครูมู่หรงถูกจำคุกอยู่ที่จวนอ๋องเสวียน ซึ่งอดไม่ได้ที่จะเพิ่มความเกลียดชังเป็นสองเท่านางกัดฟัน“ข้าต้องฆ่านางให้ได้!”ซูชิงอู่ไม่รู
ซูชิงอู่ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งเมื่อถูกถามเช่นนั้น แต่นางก็ตอบสนองอย่างรวดเร็วนางสงบนิ่งและพูดโดยไม่มีความรู้สึกผิด “อืม ใช่เพคะ”เย่ชิวหมิงทำสีหน้าแปลก ๆ เขามองนางแล้วหันไปมองหน้าของเย่เสวียนถิงแต่เขาพบว่าพี่รองที่ค่อนข้างจะขึ้หึง ในเวลานี้กลับดูนิ่งเฉยมากเขาปิดปากกระแอมไอพลางส่งสายตาทำอะไรไม่ถูก “ที่ข้าถามพระชายาก็เพราะก่อนหน้านี้เขาได้รับบาดเจ็บจากในห้องขัง…”ซูชิงอู่เลิกคิ้ว “หม่อมฉันเป็นคนทำร้ายเขาเอง ทำไมหรือเพคะ?”เย่ชิวหมิง “...”เขาค่อย ๆ เบิกตามองท่าทางของซูชิงอู่ด้วยความตกใจแม้เขาจะพอเดาได้ แต่ซูชิงอู่ที่มีแขนขาบอบบางเช่นนี้เอาชนะเย่อวิ๋นถูได้อย่างไร?ซูชิงอู่ถามต่อ “มีธุอะไรอีกไหมเพคะ?”เย่ชิวหมิงรีบถอนสายตาที่กำลังตกตะลึง “ข้าไม่รู้ว่าพระชายาพูดอะไรกับเขา หลังจากที่เย่อวิ๋นถูออกมา ดูเหมือนเขาจะแตกต่างไปจากเดิม”ซูชิงอู่ลูบคางของนางและจมดิ่งไปในห้วงความคิด “บางทีเขาอาจจะได้รับการกระทบทางจิตใจ”เย่ชิวหมิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง“เมื่อเกิดเรื่องขึ้นกับไทเฮา ฝ่าบาทก็ทรงจงใจปล่อยตัวฮองเฮาและเย่อวิ๋นถูออกมา พระชายาเสวียนต้องระมัดระวังพวกเขาเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกแก้แค้
รอบด้านตกอยู่ในความเงียบ จู่ ๆ เย่เสวียนถิงก็หลับตาและสะบัดนิ้วทันทีหินก้อนหนึ่งที่อยู่ในมือของเขามานานก็ลอยออกไปและพุ่งไปยังทิศทางหนึ่งจู่ ๆ ม่านผ้าโปร่งสีขาวราวหิมะที่อยู่ตรงนั้นก็เคลื่อนไหว เหมือนจะได้ยินเสียงอู้อี้ของคนคนหนึ่งซูชิงอู่ชี้ไปยังจุดหนึ่งทันที “ท่านอ๋อง ตรงนั้น!”หลังจากที่หินอีกก้อนหนึ่งลอยออกไป ก็มีเสียงกรีดร้องดังมาจากอีกด้านหนึ่งทันใดนั้น คนห้าคนก็ปรากฏตัวจากเงามืดในโถงไว้ทุกข์ ยกเว้นคนที่ถูกก้อนหินสองก้อนของเย่เสวียนถิงปาใส่จนล้มลงกับพื้น ตอนนี้ก็เหลือสี่คนชายทั้งสี่คนซึ่งแต่งกายด้วยชุดสีดำและถือดาบในมือ รีบพุ่งไปหาซูชิงอู่และเย่เสวียนถิงหมายจะสังหารพวกเขาฉากนี้เกิดขึ้นอย่างกะทันหันจนแม้แต่ซูชิงอู่ก็ยังไม่ทันได้เตรียมใจทันใดนั้นนางก็คิดว่าความเงียบของโถงไว้ทุกข์ ตำแหน่งของโลงศพ และจุดใต้โลงศพล้วนถูกจัดเตรียมไว้ล่วงหน้าโดยใครบางคนเมื่อแสงเย็น ๆ วาบขึ้นมา เย่เสวียนถิงก็คว้าแขนของคนที่วิ่งเข้ามาข้างหน้าเขาแล้วบิดอย่างแรง ซูชิงอู่ได้ยินเสียงนั้นอย่างชัดเจนผู้ลอบสังหารในชุดดำร้องคร่ำครวญ แต่ก็อดทนต่อความเจ็บปวดและโจมตีต่อไป ซึ่งเป้าหมายในการโจมตีก็คือ
เสียงดังอึกทึกวุ่นวายกลบการกระทำของผู้ลอบสังหารในชุดดำ แต่น่าเสียดายที่อีกฝ่ายคำนวณผิดในม่านหมอกนั้น ดาบสามเล่มถูกแทงไปในทิศทางที่ต่างกัน เย่เสวียนถิงสกัดกั้นพวกเขาสองคน โดยการบีบพวกเขาด้วยมือทั้งสองข้าง ตั้งค้างในอากาศราวกับคีมเหล็ก จากนั้นสะบัดมือออกไปซูชิงอู่เองก็ไม่ลังเล นางคว้าดาบคมที่เล็งมาหานาง จากนั้นก็ใช้นิ้วออกแรงเล็กน้อยหูทั้งสองข้างได้ยินแต่เสียงดาบหัก...ควรรู้ไว้ว่าดาบที่คมจะต้องถูกตีเป็นหลายร้อยพันครั้ง แม้ว่าอาวุธสองชิ้นจะปะทะกัน แต่ก็ยากที่จะทำลายกันเองอาจกล่าวได้ว่าควรเผยจุดอ่อนบางส่วนให้เห็นทว่าซูชิงอู่กลับทำลายมันด้วยความรุนแรง!แค่นี้ก็คิดได้แล้วว่ามือของนางแข็งแกร่งแค่ไหน!แม้จะใช้ทักษะบางอย่างเพื่อเลือกจุดอ่อนที่สุดของดาบโดยเฉพาะ แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องง่าย...เย่เสวียนถิงแทบจะมองเห็นการเคลื่อนไหวของซูชิงอู่ได้ไม่ชัด เนื่องจากทั้งสองอยู่แนบชิดกันจึงมองเห็นได้เพียงเล็กน้อยเขาแสดงสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย แต่ก็สงบอารมณ์ลงได้อย่างรวดเร็ว พลางคว้ามือของซูชิงอู่แล้วรีบไปที่ประตูชายชุดดำพุ่งเข้ามาอีกครั้งโดยใช้ม่านหมอกเพื่อลอบโจมตี ทว่าทันทีที่พวกเขาปะทะกั
เย่เสวียนถิงสัมผัสรอยขีดข่วนบางส่วนที่ด้านข้างเขาหรี่ตาลงพลางกระซิบ “อาอู่ เจ้าคิดว่าใครเป็นคนทำ?”เย่เสวียนถิงกล่าว “คนที่นำพระศพมาตั้งไว้ที่โถงไว้ทุกข์ก็คือเย่อวิ๋นถู ถึงอย่างไรเขาก็เป็นองค์ชาย แม้ตอนนี้ฝ่าบาทจะทรงไม่ต้อนรับเขา แต่ก็ยังทรงยอมให้เข้ามาจัดแจงงานพระศพของไทเฮา แต่มีสิ่งหนึ่งที่ข้าสงสัย”“สงสัยอะไร?”เย่เสวียนถิงถามกลับดวงตาของเขาขรึมขึ้นเล็กน้อยเย่เสวียนถิงกล่าวว่า “งานพระศพถูกจัดโดยเย่ชิวหมิง มันคงไม่ง่ายเลยที่เย่อวิ๋นถูจะทำการใดใต้จมูกของเขา เว้นแต่...เขาจะยินยอม”ริมฝีปากของเย่เสวียนถิงเม้มแน่น “เจ้าคิดว่าพวกเขาสองคนร่วมมือกันเพื่อใช้โอกาสนี้กำจัดข้า?”ซูชิงอู่ชี้ไปที่ตัวเอง “ข้าด้วย…”เย่เสวียนถิงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะพลางยกมือลูบหัวของนาง “เจ้าน่ะแค่ตัวแถม”เมื่อซูชิงอู่ได้ยินเช่นนั้น นางก็กะพริบตาและพูดด้วยน้ำเสียงเศร้าใจ “ท่านอ๋องพูดเช่นนี้ หมายความว่าท่านดูถูกข้าหรือ?”เย่เสวียนถิงส่ายหัว “เปล่าเลย เจ้าคือไพ่เด็ดของข้าต่างหาก”คำพูดเหล่านั้นทำให้ซูชิงอู่อดยิ้มไม่ได้นางเอื้อมมือไปกอดเอวของเย่เสวียนถิง ดวงตาของนางสดใสดั่งดวงดาว“ท่านอ๋อง ข้าจะปกป้อง
ใบหน้าของเย่อวิ๋นถูซีดเผือด ดูน่าเกลียดอย่างยิ่งเขาพยายามอย่างเต็มที่เพื่อค้นหายอดฝีมือมากมาย ในที่สุดก็คว้าโอกาสนั้นไว้ได้แต่สุดท้ายกลับ...ล้มเหลว!“ท่านอ๋อง โชคดีที่พวกเรากลับมาทันเวลา ไม่อย่างนั้นคงต้องตายอยู่ที่นั่นแน่ ๆ ความแข็งแกร่งของอ๋องเสวียนนั้นไม่อาจหยั่งรู้ได้ มันไม่ใช่อย่างที่ท่านพูดเลย…”เย่อวิ๋นถูหรี่ตา "นั่นก็แปลว่าพวกเจ้าไร้ประโยชน์! พวกไร้ประโยชน์ทั้งนั้น!"ลูกน้องเหล่านี้ถูกด่าจนไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าด้วยซ้ำ แต่พวกเขารู้สึกเสียใจเล็กน้อยฮองเฮาหรี่ตาลงและถามว่า "พวกเจ้าเอาชนะเย่เสวียนถิงไม่ได้ แล้วทำไมไม่ไปเล่นงานซูชิงอู่? นางก็แค่หญิงอ่อนแอที่ไม่มีเรี่ยวแรงจะฆ่าไก่เท่านั้น"เมื่อได้ยินคำพูดดังกล่าว ใบหน้าของคนเหล่านั้นก็ดูน่าเกลียดเล็กน้อย "พวกเราลงมืออย่างที่ท่านบอกแล้ว แต่อ๋องเสวียนปกป้องพระชายาอย่างดีจนเราไม่มีช่องว่างให้ลงมือ ถึงแม้จะใช้หมอกบดบังทัศนวิสัยของเขา แต่เขาก็ยังสามารถต่อสู้กับพวกเราสามคนพร้อมกันได้ด้วยตัวคนเดียวและยังทำลายอาวุธของคนหนึ่งได้ด้วย!”"อะไรนะ?"ฮองเฮาลุกขึ้นจากเก้าอี้ด้วยสีหน้าตกใจ“ขาของเขาพิการไปแล้วไม่ใช่หรือ? เขาจะเก่งขนาดนั้
เมื่อเขาเห็นทั้งสองยังคงนั่งอยู่ที่ประตูโถงไว้ทุกข์ในท่าทางที่ดูสนิทสนมกันยิ่งนัก จึงอดไม่ได้ที่จะไอออกมาเบา ๆ เพื่อทำลายความเงียบ“เจ้าสองคนเหนื่อยแล้วกลับไปพักผ่อนเถอะ ข้าจะจัดการต่อเอง”ซูชิงอู่เงยหน้าขึ้นมอง เมื่อเห็นเย่ชิวหมิงเดินมา นางก็ลุกขึ้นพลางปัดรอยยับบนเสื้อผ้าแล้วถามว่า "เย่ชิวหมิง ท่านเป็นคนให้เย่อวิ๋นถูมาจัดการเรื่องโถงไว้ทุกข์หรือเปล่า?"เย่ชิวหมิงสะดุ้งครู่หนึ่ง แล้วส่ายหัวเล็กน้อย "ข้าไปจัดการเรื่องอื่น เรื่องโถงไว้ทุกข์และการจัดการหีบศพ ข้าได้มอบหมายให้เสด็จแม่ดูแล บางทีอาจจะเป็นนางที่ให้เย่อวิ๋นถูทำ"“ที่แท้ก็เป็นนางนี่เอง”ซูชิงอู่ไม่สงสัยในคำพูดของเย่ชิวหมิงเลยนั่นเพราะชีวิตของเย่ชิวหมิงยังอยู่ในมือของนาง หากนางตาย ก็ไม่มีใครสามารถช่วยกำจัดพิษให้เขาได้แม้ว่าการทำเช่นนี้จะดูน่ารังเกียจไปบ้าง แต่ซูชิงอู่ก็ชอบความรู้สึกที่ได้ควบคุมชีวิตของผู้อื่นนางไม่ค่อยไว้วางใจใคร ยกเว้นเพียงเย่เสวียนถิงและพี่น้องของนางเอง“เกิดอะไรขึ้นหรือ? มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรือไม่?”ซูชิงอู่พยักหน้าเล็กน้อยและไม่คิดจะปิดบังเย่ชิวหมิง นางจึงให้เขาเข้ามาดูทางลับที่ซ่อนอยู่ใต้หีบศ
คนขายเนื้อทำสีหน้าหวาดกลัว “คนผู้นี้เลวทรามถึงเพียงนี้เลยรึ?”“เจ้าคอยระวังตัวเอาไว้ก็ไม่เป็นไรแล้ว ทางนั้นตรวจดูเสร็จรึยัง? ไปกันต่อเถิด!”เมื่อกองกำลังทำการค้นหาเสร็จเรียบร้อย คนขายเนื้อก็ยิ้มมุมปากเบา ๆเขาคิดไม่ถึงเลยว่าคนเหล่านี้จะพบเบาะแสทางตะวันตกของเมืองเร็วถึงเพียงนี้หากเขาไม่ได้เตรียมพร้อมมาก่อนหน้านี้และรีบปลอมตัวโดยไว เขาก็คงจะถูกจับได้ไปแล้วคนขายเนื้อรีบเข้าไปยังพื้นที่ด้านในสุดของร้านเขาเหลือบมองหนอนกู่ที่ซ่อนเอาไว้ในตู้ในหนึ่ง และเมื่อเปิดตู้ใบนั้น ดวงตาของเขาก็ฉายแววน่ากลัวออกมาผ่านมาหลายปี ดูเหมือนโลกภายนอกจะลืมความน่ากลัวของภูเขาศักดิ์สิทธิ์ไปแล้ว เริ่มแรกนั้นพวกเขาได้ครอบครองตำแหน่งระดับสูงของราชวงศ์ในแคว้นต่าง ๆ ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงตำแหน่งในนามแต่มันสามารถแทรกแซงแคว้นนั้น ๆ และพลิกสถานการณ์ได้ตอนนี้เรื่องที่สำคัญที่สุดคือการแอบเข้าไปในพระราชวังเพื่อช่วยเหลือเจียงเฟยเอ๋อร์หากต้องการเข้าไปในพระราชวังมีการคุ้มกันอย่างแน่นหนาได้ก็ต้องใช้วิธีที่ต่างออกไปบุรุษผู้นั้นออกจากร้านขายเนื้อหมูที่ถูกตรวจค้นเรียบร้อยแล้ว พร้อมกับปิดประตูร้านแสร้งทำเป็นออกไปทำธุร
หลังจากซูชิงอู่ส่งชิงอวี่ออกไปก็ยังคงตื่นเต้นอยู่เล็กน้อยซูชิงอู่หาคนมาวาดภาพเหมือนเจ้าอาวาสในปีที่แล้วและส่งต่อให้คนอื่น ๆ เพื่อช่วยกันค้นหา ซึ่งมันก็ผ่านมานานมากแล้ว และมีเพียงชิงอวี่เท่านั้นที่นำข่าวที่ได้รับการยืนยันกลับมาแจ้งนางแม้จะยังไม่ได้เจอคนผู้นั้น แต่ก็หมายความว่านางจะได้รู้ความจริงของการตายของท่านแม่เสียทีหลังจากสงบสติอารมณ์ได้ ซูชิงอู่ก็ตัดสินใจเดินทางไปทันทีนางอยากไปเจอจิ้งซินผู้นั้นด้วยตนเองและถามเขาว่าเหตุใดตอนนั้นเขาถึงฆ่าท่านแม่ของนาง!คืนเดียวกันนั้นซูชิงอู่ได้พูดคุยเรื่องนี้กับเย่เสวียนถิงเมื่อเย่เสวียนถิงได้รับรู้เรื่องราวก็พยักหน้าเบา ๆ และตัดสินใจอย่างทันทีว่า “ข้าจะส่งคนไปจับเขามาให้เจ้า”ซูชิงอู่ได้ยินอีกฝ่ายตอบง่าย ๆ และห้วนก็อดไม่ได้ที่จะตะลึงและหัวเราะ“ได้”ตอนนี้มีศิษย์พี่ของเจียงเฟยเอ๋อร์คอยจับตาดูอยู่ในเมืองหลวง ซูชิงอู่จึงไม่สามารถไปหาคนผู้นั้นพร้อมกับชิงอวี่ได้บรรยากาศในเมืองหลวงเริ่มตึงเครียดขึ้นเรื่อย ๆแม้แต่ฮ่องเต้เช่นเย่ชิวหมิงก็สังเกตเห็นสัญญาณของเหตุการณ์ร้ายแรงบางอย่างที่กำลังจะตามมาเขาเคยได้ยินซูชิงอู่พูดว่าศัตรูที่ซ่อนตัวอ
ไป๋เฟิงก้มหัวลงอย่างเชื่อฟัง ราวกับมันได้กลายเป็นแมวตัวใหญ่ไปแล้วซูชิงอู่อดหัวเราะไม่ได้ “เจ้าคงเหนื่อยแย่ วันนี้ทำได้ดีมาก”ในที่สุดก็ได้ใช้ประโยชน์จากไป๋เฟิง สมกับที่เลี้ยงมันมานานไป๋เฟิงยืนขึ้นและอ้าปากหาว ส่วนสิงโตขนทองคำที่อยู่ข้าง ๆ ย่องเข้ามาทางด้านหลังซูชิงอู่ และใช้หัวถูเอวของนางดูเหมือนว่ามันต้องการให้ซูชิงอู่ลูบมันด้วยคนอื่น ๆ มองไปยังซูชิงอู่ที่มีร่างกายบอบบางยืนอยู่ตรงหน้าสัตว์ดุร้ายทั้งสอง พวกเขาทั้งหมดก็พูดไม่ออกอยู่นานนี่มัน...ร้ายกาจเกินไปแล้ว!แม้แต่กลุ่มบุรุษร่างใหญ่เช่นพวกเขาก็ยังไม่กล้าเข้าใกล้สัตว์ดุร้ายทั้งสองแม้แต่ครึ่งก้าว ทว่าซูชิงอู่กลับสามารถมีปฏิสัมพันธ์กับพวกมันได้อย่างกลมกลืนเหมือนพวกมันเป็นสัตว์เลี้ยงของนางเมื่อไม่ถูกยุงกัดและกินยาสมุนไพรที่ผสมไว้แล้ว ม้าทุกตัวในสนามฝึกก็สงบลงและกลับสู่ภาวะปกติทันทีที่ซูชิงอู่กลับมาถึงตำหนัก ก็เห็นหรงหย่าวิ่งเข้ามา“พระชายา เมื่อครู่มีคนมาพบท่านและบอกว่ามีเรื่องด่วนต้องรายงาน”“มีเรื่องด่วนอะไรรึ?”หรงหย่าส่ายหัว “ข้าก็ไม่รู้เช่นกัน ท่านไปดูก่อนเถิด”ซูชิงอู่สั่งให้คนพาผู้ส่งข่าวเข้ามาทันทีนางจ้อง
เลือดของแมลงวันติดอยู่ที่มือของซูชิงอู่ส่งกลิ่นแปลก ๆ ออกมาเมื่อซูชิงอู่มองชัด ๆ นางก็ได้รู้ว่ามันไม่ใช่แมลงวันแต่เป็น…แมลงมีปีกชนิดหนึ่งที่มีลักษณะคล้ายแมลงวันปากของแมลงมีความคมมาก สามารถเจาะทะลุขนของสัตว์บางชนิดได้ง่าย ทว่าแมลงมีปีกชนิดนี้ไม่สนใจมนุษย์และจะกัดเฉพาะสัตว์เท่านั้นที่แท้นี่คือสาเหตุหลักที่ทำให้สัตว์ในเมืองหลวงบ้าคลั่งในช่วงหลายวันนี้!ซูชิงอู่ยังสังเกตเห็นว่ายุงเหล่านี้ถูกพิษและเมื่อพวกมันแพร่พันธุ์ ในไข่ก็มีสารพิษดังกล่าวติดไปด้วยขอเพียงแมลงเหล่านี้ยังกัดสัตว์ต่อไป สารพิษก็จะค่อย ๆ สะสมทีละน้อยสุดท้ายก็ถึงขั้นทำให้เสียสติ!คนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้มีเจตนาชั่วร้ายหากนางไม่ค้นพบสิ่งนี้ก่อน เกรงว่าม้าศึกทั้งหมดจะต้องตายไปด้วยความบ้าคลั่งอีกทั้งยังไม่อาจทราบสาเหตุได้แน่นอนว่าม้าศึกเป็นส่วนสำคัญในกองทัพ หากทหารม้าเสียม้าไป ก็คงไม่ต่างไปจากคนอ่อนแอไร้ค่า...ซูชิงอู่ตัดสินใจอย่างรวดเร็ว“นำม้าทุกตัวไปไว้ในที่ปิดและหาทางฆ่าแมลงมีปีกเหล่านี้ให้สิ้นเสีย”รองแม่ทัพที่ติดตามนางมารีบจำคำสั่งนี้เอาไว้ทันที“รับทราบพ่ะย่ะค่ะพระชายา!”เขาก็รีบกระจายคำสั่งออก
เมื่อเย่เสวียนถิงได้ยินสิ่งที่ซูชิงอู่พูด สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นเยือกเย็น “ข้าจะส่งคนไปตรวจสอบ”ซูชิงอู่ส่ายหัวทันที “ยาพิษนี้คงไม่ได้อยู่ในอาหารสัตว์ อีกทั้งเมื่อมาลองคิดดู สัตว์ป่าจำนวนมากที่อยู่ใกล้เมืองหลวง รวมไปถึงม้าศึกล้วนติดพิษกันหมด มีเพียงมนุษย์เท่านั้นที่ไม่เป็นอะไร นี่เป็นเรื่องที่แปลกมาก และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือไม่มีใครสามารถวางยาพิษม้าศึกในเมืองหลวงได้อย่างเงียบ ๆ ”การวิเคราะห์ของซูชิงอู่นั้นสมเหตุสมผลมาก แม้แต่เย่เสวียนถิงเองก็ขมวดคิ้วขึ้นมาหากหาสาเหตุไม่พบก็แก้ปัญหาไม่ได้แม้จะรักษาม้าหนึ่งในนั้นจนหายขาด แต่ก็จะกลับมามีอาการเดิมในอีกไม่ช้าไม่ไกลกันนักก็มีนายทหารระดับสูงนายหนึ่งวิ่งเข้ามาเขาหอบหายใจและกล่าวว่า “ท่านอ๋อง ทำการตรวจสอบเสบียงอาหารแล้วไม่พบสิ่งผิดปกติพ่ะย่ะค่ะ”“น้ำล่ะ?”“ตรวจสอบน้ำแล้วเช่นกัน ไม่มีร่องรอยของการวางยาพิษเลยพ่ะย่ะค่ะ”เมื่อได้ยินรายงาน เย่เสวียนถิงก็ขมวดคิ้วหนักกว่าเก่าคราวนี้แย่แล้วสิซูชิงอู่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ช่วยทำให้ม้าทุกตัวสงบลงก่อนได้หรือไม่ เดี๋ยวข้าจะเข้าไปดูรางอาหารม้าเอง”“ได้พ่ะย่ะค่ะพระชายา กรุณารอสักครู่ ก
เริ่มแรก เขาสงสัยในเรื่องที่ซูชิงอู่เคยพูดจนเกิดความคิดจินตนาการบางส่วนขึ้นมา เรียกได้ว่าตอนกลางวันก็เอาแต่นึกถึง ตกกลางคืนก็เก็บมาฝันอีกแต่เขาไม่เคยได้ยินซูชิงอู่พูดถึงเรื่องนี้มาก่อนเลยจริง ๆเนื่องจากความฝันนั้นมันดูเพ้อเจ้อเกินไป เย่เสวียนถิงจึงไม่พูดออกมา เพราะกลัวว่ามันจะเป็นการเพิ่มภาระให้กับซูชิงอู่อย่างไม่มีเหตุผลหลายวันมานี้ซูชิงอู่อาศัยอยู่กับลูกน้อยทั้งสามของนางเพื่อชดเชยช่วงเวลาที่นางห่างพวกเขาไปนานเด็ก ๆ ที่เพิ่งจะอายุได้ไม่กี่เดือนแต่กลับต้องห่างจากอ้อมอกของพ่อแม่ นั่นทำให้ซูชิงอู่รู้สึกผิดขึ้นมาดังนั้นนางจึงไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องภายนอกมากนักทันใดนั้นนางก็นึกอะไรออกและถามว่า “เสวียนถิง ช่วงนี้หมาป่าเหล่านั้นที่อยู่ข้างนอกเป็นอย่างไรบ้าง?”เย่เสวียนถิงเงยหน้าขึ้นและพูดว่า “ไม่ได้มีเพียงสัตว์ร้าย แต่ยังกระทบไปถึงม้าศึกด้วย ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงเริ่มไม่เชื่อฟังคำสั่งกัน”“เดี๋ยวข้าจะไปตรวจสอบเรื่องนี้เสียหน่อย”ซูชิงอู่รู้สึกได้โดยไม่รู้ตัวว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องเกี่ยวกับเรื่องนี้แม้เรื่องจะดูเป็นเรื่องเล็กน้อยและไม่มีผลกระทบกับมนุษย์มากนัก แต่นางก็รู้สึกอ
ทันใดนั้นหมอหลวงซุนก็เหมือนจะคิดอะไรออก “เหมือนกับตอนที่พระชายาใช้ดอกไม้ชนิดหนึ่งเพื่อทำให้ม้าพยศคลั่งใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”“อืม ทำนองนั้นแหละ”สิ่งเหล่านั้นเป็นสิ่งที่นางพบในเภสัชตำรับ และหากใช้มัน ผลลัพธ์ที่ได้จะน่าทึ่งมากแม้ลงมือไปอย่างกะทันหัน แต่ก็ไม่มีใครจับได้ปรมาจารย์มือวางพิษที่แท้จริงคือผู้ที่วางยาพิษโดยไม่ทิ้งหลักฐานใด ๆ เอาไว้“ขอบพระทัยพระชายาสำหรับคำชี้แนะ หลังจากที่ได้พูดคุยกับท่าน กระหม่อมก็เข้าใจอย่างกระจ่างแจ้งแล้วพ่ะย่ะค่ะ”ซูชิงอู่ปิดเภสัชตำรับ “ข้าท่องเภสัชตำรับนี้จนจำขึ้นใจ และเข้าใจเนื้อหาด้านในได้คร่าว ๆ เพียงแต่ยังไม่พบวิธีที่จะไขความลับที่อยู่ในนั้น หวังว่าท่านจะช่วยเรื่องนี้ได้”คราวนี้ ทุกคนเชื่อมั่นในคำพูดของซูชิงอู่สิ่งที่พวกเขาไม่ได้สนใจ แต่พระชายากลับนำมาใช้งานได้ถึงขั้นนี้ ยังมีอะไรที่ต้องพูดกันอีกหรือ?ตาแก่เช่นพวกเขาที่อาศัยว่าตนอายุมากทำตัวอาวุโสดูถูกผู้อื่นนั้นเทียบเทียมพระชายาไม่ได้เลย!หลังจากที่ซูชิงอู่อธิบายเรื่องนี้จบ นางก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกและแอบหลบออกมาทางประตูใหญ่นางกลัวว่าคนเหล่านั้นจะถามนางว่านางศึกษาเรียนรู้ทักษะทางการ
หมอหลวงซุนขมวดคิ้วเล็กน้อย“อย่าพูดไร้สาระ นั่นจะเป็นไปได้อย่างไร? พระชายาไม่จำเป็นต้องโกหกพวกเราเลย โกหกพวกเราไปแล้วนางจะได้ประโยชน์อะไร?”คำพูดนี้ก็ถือว่ามีเหตุผลทุกคนต่างพูดไม่ออกทำได้แค่นั่งเงียบ ๆ แล้วพลิกหน้าอ่านต่อไปพลิกหน้ากระดาษตั้งแต่เช้าจรดค่ำ และอ่านจนถึงเช้าวันรุ่งขึ้นตำราทั้งเล่มถูกอ่านจนจบอย่างรวดเร็ว ทุกคนในสำนักหมอหลวงไม่ได้นอนมาสองวันสองคืน และตอนนี้ทุกคนดูเหนื่อยและมีสีหน้าทรุดโทรมเมื่ออ่านหน้าจนถึงสุดท้าย แม้แต่หมอหลวงซุนก็ตกอยู่ในความเงียบเพราะเภสัชตำรับเล่มนี้บันทึกเฉพาะโรคและวัตถุดิบยาที่ธรรดาทั่วไปมาก ๆ บางส่วนเท่านั้นข้อแตกต่างเพียงหนึ่งเดียวคือผู้อาวุโสเช่นพวกเขาได้เรียนรู้เกี่ยวกับวัตถุดิบยาหลายประเภทและพัฒนาแนวคิดใหม่ ๆแม้จะไม่ไร้ประโยชน์ แต่ความคาดหวังกับผลลัพธ์ก็แตกต่างกันมากเลยทีเดียวถึงขั้นทำให้พวกเขาขาดความมั่นใจและอดไม่ได้ที่จะคิดว่านี่น่ะหรือคือเภสัชตำรับที่ตระกูลฟางเฝ้าหวงแหนมานานหลายปี?ดวงตาของหมอหลวงซุนเต็มไปด้วยสีแดงก่ำที่เกิดจากการอดนอน“ในเมื่อเภสัชตำรับของตระกูลฟางไร้ประโยชน์ เช่นนั้นพระชายาไปเรียนรู้ทักษะด้านการแพทย์มา
“นี่คือวัตถุดิบยาและปริมาณที่คนผู้นั้นทำการวางยา ที่สำนักหมอหลวงของพวกท่านมีสิ่งนี้อยู่แล้ว หากจะทำยาถอนพิษก็คงไม่ใช่เรื่องยากกระมัง”“ไม่ยากพ่ะย่ะค่ะ ไม่ยาก!”หมอหลวงซุนยิ้มร่าราวกับได้รับสมบัติเขามองซูชิงอู่ที่ยังอยู่ในวัยหนุ่มสาว แต่กลับเก่งกาจกว่าเหล่าคนชราเช่นพวกเขาเมื่อรวมกับเภสัชตำรับของตระกูลฟางที่ซูชิงอู่พูดถึง หมอหลวงเฒ่าก็ดีใจจนเนื้อเต้นหากได้เรียนรู้และกลายเป็นคนที่เก่งกาจเหมือนพระชายา ระดับความรู้ของเขาก็จะเพิ่มขึ้นไปด้วยหรือไม่?แต่หมอหลวงซุนไม่เคยรู้เลยว่าทุกสิ่งที่ซูชิงอู่เรียนรู้ไม่ได้มาจากเภสัชตำรับของตระกูลฟางในเภสัชตำรับเล่มนั้นมีความแตกต่างตรงจุดไหน ตัวซูชิงอู่ในตอนนี้ก็ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำแม้ตอนตายไปในชาติก่อน เภสัชตำรับก็ถูกทำลายและไม่มีใครเห็นความลับที่ซ่อนอยู่ในนั้นจุดเด่นเพียงหนึ่งเดียวของเภสัชตำรับเล่มนั้นคือบันทึกข้อมูลวัตถุดิบยาจำนวนมากที่คนทั่วไปไม่ทราบและสรรพคุณลับบางส่วนบรรดาผู้อาวุโสของสำนักหมอหลวงพากันมาช่วยคิดค้นยาถอนพิษเพื่อที่จะได้อ่านเภสัชตำรับนั้นเร็ว ๆในที่สุดเช้าวันรุ่งขึ้นยาที่สามารถฟื้นฟูสติของสัตว์ร้ายได้ก็ถูกส่งมาให้ฮ่องเต้