ฮ่องเต้เฒ่ามองดูซูชิงอู่อย่างกระตือรือร้นดวงตาของเขาขุ่นมัว แต่เขายังคงมองไปในทิศทางของนางเย่ชิวหมิงรู้สึกยากที่จะอธิบายแม้ว่าเขาจะมีความสงสัยในใจว่าซูชิงอู่ทำอะไรบางอย่างหรือไม่ ไม่เช่นนั้นเสด็จพ่อของเขาจะกลายเป็นแบบนี้ได้อย่างไรเพียงว่าเขาไม่มีความกล้าที่จะถามตอนนี้ท้ายที่สุดแล้วฮ่องเต้เฒ่ายังคงเป็นฮ่องเต้ และมีอำนาจมากมายอยู่ในมือของเขา หากเขาต้องการระดมกองทัพเพื่อจัดการกับใครสักคนมันค่อนข้างง่ายโดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนนี้คำพูดของซูชิงอู่เทียบเท่ากับคำสั่งของฮ่องเต้ทางอ้อมเย่ชิวหมิงทำได้แค่แสดงความเคารพต่อฮ่องเต้เฒ่าแล้วพูดว่า "ดูเหมือนว่าเสด็จพ่อจะไม่ได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ หากไม่มีอะไรอื่นข้าจะออกไปก่อน!"ฮ่องเต้เฒ่าโบกมือโดยไม่ลังเล "พวกเจ้าออกไป!""พ่ะย่ะค่ะ!"เย่ชิวหมิงและคนอื่น ๆ ในวังก็ลุกขึ้นและออกจากพระที่นั่งหย่างซินเตี้ยนด้วยซูชิงอู่และเย่เสวียนถิงมองหน้ากัน แทบไม่พูดอะไรกับภาพตรงหน้าพวกเขานางเดินไปหาฮ่องเต้เฒ่าซึ่งไม่ได้หลบเลี่ยงในครั้งนี้และสีหน้าของเขาก็แตกต่างไปจากฮ่องเต้เฒ่าที่เดิมคอยระวังนางอย่างสิ้นเชิงนางกระซิบ "ฝ่าบาท โปรดให้ชิงอู่ตรวจร่างกายอีก
นางคิดว่าตัวเองเจ้าเล่ห์พอแล้ว แต่ไม่คิดเลยว่าจะมีคนที่เจ้าเล่ห์ยิ่งกว่า!พระราชวังได้ยกเลิกการปิดประตูแล้ว ซูชิงอู่จึงเดินทางออกจากวังหลวงพร้อมกับเย่เสวียนถิงและขึ้นรถม้ากลับงานเลี้ยงฉลองคืนนี้ไม่เป็นที่พอใจจริง ๆ ซูหัวจิ่นและซูเชียนหมิงวิ่งไปที่จวนอ๋องเสวียนกลางดึกและตระกูลของพวกเขาก็เริ่มเฉลิมฉลองกันเป็นการส่วนตัวซูหัวจิ่นนั่งที่โต๊ะอาหารเย็นมองซูชิงอู่ด้วยความตื่นเต้นและรอยยิ้มในดวงตา เขาบอกนางถึงกระบวนการปราบปรามพวกโจรตั้งแต่ต้นจนจบซูเชียนหมิงอดหัวเราะไม่ได้ เขาพูดว่า "เจ้าไม่รู้หรอกน้องหก ตอนพวกโง่เง่าที่ค่ายชิงเฟิงได้ยินเสียงระเบิด พวกมันกลัวจนฉี่ราดเลย พวกคนชั่วทุกคนหนีกันไปหมด!"ซูชิงอู่ฟังพี่ชายสองคนเล่าเรื่องการปราบโจร รู้สึกเหมือนตัวเองได้มีส่วนร่วมด้วยรอยยิ้มในดวงตาของนางลึกซึ้งขึ้นเล็กน้อย"ท่านกับพี่ใหญ่ไม่ได้รับบาดเจ็บใช่ไหม?"ซูเชียนหมิงตบหน้าอกแล้วส่ายหัว "ไม่แน่นอน ข้ากับพี่ใหญ่พบผู้เชี่ยวชาญที่เก่งในการใช้ระเบิด หากไม่มีคำแนะนำของเขา คงเป็นไปไม่ได้ที่จะระเบิดยอดเขาอย่างแม่นยำ ยกเว้นพี่น้องสองสามคนที่บาดเจ็บ คนอื่น ๆ ก็ยังสบายดี พูดตรง ๆ นะ พี่รองไม่เคยรู
ซูชิงอู่บอกข้อมูลเหล่านี้กับพี่ชายทั้งสองเพราะเหตุผลสองข้อ ข้อแรกคือทั้งสองเป็นคนที่นางไว้ใจที่สุดในเมืองหลวง และข้อสองคือเพื่อให้พวกเขาสะสมผลงานและความดีความชอบนอกจากนี้ก่อนที่จะให้พวกเขาลงมือ ซูชิงอู่ต้องมั่นใจว่าได้ตรวจสอบให้ชัดเจนแล้ว จะต้องไม่มีความเสี่ยงที่คาดไม่ถึงตำแหน่งของซูเชียนหมิงยังไม่สูงนักต้องใช้เวลาอย่างน้อยสองสามปีจึงจะถึงระดับที่สูงขึ้น อย่างไรก็ตามหากเขามีความสำเร็จที่ยอดเยี่ยมในการปราบโจร เขาก็สามารถเลื่อนตำแหน่งได้ถึงสามขั้นในเวลาไม่นานดวงตาของซูเชียนหมิงเต็มไปด้วยประกายแห่งความมุ่งมั่น เขากัดฟันและตบหน้าอกแล้วพูดว่า "เจ้าจัดการได้เลย ข้าจะฟังเจ้าทุกอย่าง"ซูชิงอู่เลิกคิ้วขึ้นและอดหัวเราะไม่ได้“ขอบคุณพี่รองที่ไว้วางใจข้า ไม่ต้องห่วงข้าจะไม่ยอมให้อะไรเกิดขึ้นกับท่านพี่แน่นอน”ซูเชียนหมิงยิ้มอย่างจริงใจ "หากพี่รองไม่เชื่อเจ้า แล้วจะให้เชื่อใคร?"เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ซูชิงอู่รู้สึกเจ็บปวดในอกใช่แล้ว พี่รองของนางยอมสละชีวิตเพื่อนางได้นางมองเขาอย่างลึกซึ้ง ในเมื่อได้ตัดสินใจที่จะกวาดล้างเนื้อร้ายที่ซ่อนอยู่ในแคว้นหนานเย่ออกไปให้หมด ครั้งนี้จะไม่มีทางรามือเด
หัวใจของซูชิงอู่สั่นไหวหากพี่ใหญ่และพี่รองของนางไม่ได้ยืนดูอยู่ตรงนี้ นางก็คงจะทิ้งตัวเข้าไปในอ้อมแขนของเย่เสวียนถิงแล้วคนผู้นี้ช่างแสนดีอะไรปานนั้น!คำพูดของเขาราวกับน้ำที่ผุดจากตาน้ำอันแสนบริสุทธิ์ ทำให้นางรู้สึกเหมือนได้ตื่นรู้อย่างกระจ่างแจ้ง จากนั้นนางก็พูดต่อ “ข้าเขียนตำแหน่งตรงปากภูเขาและข้อมูลไว้เรียบร้อยแล้ว”นางโบกมือสั่งให้อวิ๋นจื่อช่วยนำสมุดเล่มเล็กมานางแสดงแผนที่และเครื่องหมายที่วาดด้วยพู่กันให้พี่ใหญ่และพี่รองดู“มียอดเขาทั้งหมดสิบกว่าลูก แม้จำนวนคนอาจไม่แม่นยำเท่าไร แต่คร่าว ๆ คงจะไม่เกินห้าสิบคน”ซูหัวจิ่นตกตะลึงเมื่อเห็นกลยุทธ์ปราบโจรที่ซูชิงอู่มอบให้“นะ...นี่เจ้าไปเอามาจากไหน?”มุมปากของซูชิงอู่กระตุก เมื่อนางกำลังคิดอย่างรอบคอบเพื่อหาข้อแก้ตัว นางก็ได้ยินเย่เสวียนถิงพูดว่า “ข้าเป็นคนไปสืบมา ทำไมหรือ?”ซูหัวจิ่น “...”เช่นนั้นก็ไม่เป็นไรแล้วละมีเรื่องอะไรอีกไหมที่อ๋องเสวียนทำไม่ได้?ขอเพียงเขาอยากรู้ อ๋องเสวียนก็ย่อมสามารถตรวจสอบปากภูเขาเหล่านั้นได้อย่างชัดเจน ดังนั้นเขาจึงสามารถแก้ไขปัญหาได้ด้วยตัวเองและไม่ต้องให้พวกเขาเป็นคนไปแต่แล้วเมื่อมาคิดดู
ดวงตาสีเข้มของเย่เสวียนถิงกะพริบเล็กน้อยแต่เสียงของเขายังคงอ่อนโยนและทุ้มต่ำ“ข้าเคยบอกแล้ว ว่าหากเจ้าอยากจะพูดเมื่อไหร่ก็พูดกับข้าได้เลย”จู่ ๆ หัวใจของซูชิงอู่ก็ดูเหมือนจะได้รับการปลดเปลื้องจากภาระทั้งหมดแล้วนางหันมาจับมือของเย่เสวียนถิงเย่เสวียนถิงใช้ฝ่ามือกอบกุมมือน้อย ๆ ของนางเอาไว้พลางทำสีหน้าจริงจัง“ข้าอยากจะพูดตอนนี้เลย”ภายนอกมืดและเงียบสงบ เมื่อประตูจวนอ๋องปิดลง ก็ไม่มีใครรบกวนพวกเขาได้เสียงของซูชิงอู่ไหลเข้าสู่โสตประสาทของเย่เสวียนถิงอย่างช้า ๆ“ท่านอ๋อง ท่านเชื่อเรื่องอดีตชาติหรือไม่?”เย่เสวียนถิงพยักหน้าพลางกระชับมือของเขาขึ้นเล็กน้อย ราวกับต้องการที่จะโอบกอดนางไว้ในฝ่ามือของเขา“เมื่อก่อนข้าไม่เชื่อ แต่ตอนนี้ข้าเชื่อ เพราะมันมาจากปากของเจ้า”คำพูดเหล่านั้นทำให้ซูชิงอู่อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ ดวงตาของนางจ้องมองไปยังใบหน้าของเย่เสวียนถิง และแล้วนางก็พูดความลับที่ซ่อนอยู่ในใจออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำ“ชาติก่อนข้าเคยเจอท่านนะ ท่านอ๋อง...”ประโยคนี้ถูกลมพัดเข้าหูของเย่เสวียนถิงดวงตาของเย่เสวียนถิงเบิกกว้างขึ้นอย่างกะทันหัน ในสายตาของเขาเคลือบไปด้วยความประหลาดใจ
ซูชิงอู่กัดริมฝีปากแล้วพูดว่า “ท่านอ๋องพยายามปลอบใจข้าหรือ?”เย่เสวียนถิงส่ายหัว “เปล่า ข้าพูดจากใจ”เขาอุ้มซูชิงอู่ขึ้นมาแล้วเดินตรงกลับห้อง ในขณะที่เดิน เขาก็พูดต่อ “อาอู่ เจ้าไม่ต้องรู้สึกผิดกับเรื่องที่เกิดขึ้นในอดีตชาติหรอก นั่นเป็นสิ่งที่ข้าเต็มใจทำ…”ซูชิงอู่กระชับวงแขนกอดเอวของเย่เสวียนถิงนางช่างยอดเยี่ยมนักที่ทำให้ใครสักคนดีกับนางทั้งในชาติก่อนและชาตินี้...……เช้าตรู่วันต่อมา ขันทีหนุ่มมาเชิญซูชิงอู่เข้าไปในพระราชวังนางได้มีเวลาเพียงเล็กน้อยเพื่อบอกอวิ๋นจื่อและอวิ๋นชิงให้ดูแลเด็กน้อยทั้งสามให้ดีก่อนที่นางจะตรงเข้าวังตอนนี้ฮ่องเต้เฒ่าเก่ากำลังประชวรหนัก หากนางไม่ใช้ยา อย่างมากภายในเวลาหนึ่งเดือน แสงแห่งพระชนม์ชีพของพระองค์จะค่อย ๆ มอดลงเมื่อคืนที่ผ่านมา ผู้ที่ป่วยได้ถูกจัดให้รวมอยู่ด้วยกัน ประกอบกับทางสำนักหมอหลวงได้ต้มยาให้ทานตามใบสั่งยาของซูชิงอู่ หลังจากพักฟื้นอยู่หนึ่งคืน พวกเขาหลายคนก็อาการดีขึ้นทันทีที่หมอหลวงซุนได้ยินว่าซูชิงอู่มา เขาก็รีบไปพบนางเป็นการส่วนตัวเมื่อเห็นว่าเย่เสวียนถิงไม่ได้อยู่ข้างกายนาง เขาก็ประหลาดใจมาก“ท่านอ๋องล่ะพ่ะย่ะค่ะ?”ซูชิงอ
ฮ่องเต้เฒ่าตะโกนด้วยความตื่นเต้น และท่าทางของเขาก็เปลี่ยนไปจากหลังมือเป็นหน้ามือทันทีเจียวกุ้ยเฟยล้มลงกับพื้นจนได้รับบาดเจ็บที่ขาโดยไม่ทันระวัง เมื่อมีคนช่วยประคองนางลุกขึ้นจากพื้น ที่เข่าของนางก็เกิดเผยให้เห็นรอยฟกช้ำเช่นกันสีหน้าของนางดูไม่ดีนักเมื่อเห็นฮ่องเต้เฒ่าทรงพูดคุยกับซูชิงอู่ด้วยน้ำเสียงที่เป็นมิตรอย่างมาก “ยาที่เจ้าสั่งให้ข้าเมื่อวานข้ากินจนหมดเลย เจ้าตรวจให้ข้าหน่อยสิว่าอาการของข้าดีขึ้นแล้วหรือยัง?” ทรงเหยียดแขนยื่นไปตรงหน้าซูชิงอู่ซูชิงอู่ไม่ได้ตรวจชีพจรให้ฮ่องเต้เฒ่า เพียงแต่ปลอบใจพระองค์ “หลังจากที่เสวยโอสถแล้วฝ่าบาทต้องพักผ่อนบรรทมให้มาก อาการถึงจะดีขึ้นอย่างรวดเร็วได้เพคะ”“ที่เจ้าพูดก็ถูก”พระองค์ทรงขยี้ผมที่ค่อนข้างยุ่งของตัวเอง พลางโยกตัวไปมาแล้วกลับไปยังที่บรรทมซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก จากนั้นจึงทรงนอนลงและหลับตาเจียวกุ้ยเฟยตกตะลึงเมื่อเห็นภาพตรงหน้าแม้นางจะรู้ว่าฮ่องเต้ทรงประชวรมาสองวันแล้ว แต่นางก็ไม่รู้ว่าอาการป่วยนั้นเป็นอย่างไรเขาเอาแต่ตะโกนว่ามีคนจะทำร้ายเขา!ทว่าผลลัพธ์กลับกลายเป็นฮ่องเต้เฒ่าผู้ปฏิเสธที่จะให้ใครเข้าใกล้และดื้อรั้นอย่างมาก ถูกซู่ช
ซูชิงอู่รับรู้ความหมายที่ซ่อนอยู่ในคำพูดของเจียวกุ้ยเฟยนางกลัวว่าตนจะใช้ฮ่องเต้เพื่อทำสิ่งที่เป็นอันตรายต่อตระกูลเจียวของนางซูชิงอู่หัวเราะเบา ๆ และขัดจังหวะเจียวกุ้ยเฟย “กุ้ยเฟยอิจฉาหรือเพคะ?”เจียวกุ้ยเฟยเม้มริมฝีปากพลางมองท่าทางที่เหมือนจะยิ้มแย้มของซูชิงอู่ จากนั้นนางก็รู้สึกกังวลขึ้นมานางรู้ว่าสตรีผู้นี้น่ากลัว อีกทั้งยังพยายามอย่างเต็มที่เพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะกับนางมาโดยตลอด แต่ตัวนางไม่สามารถทนดูอีกฝ่ายกอบโกยทุกสิ่งทุกอย่างไปอยู่ในมือได้จึงได้แต่พยายามกดความโอหังของซูชิงอู่เอาไว้“ข้าพูดเช่นนี้ก็เพื่อพระชายา หากตอนนี้ฝ่าบาททรงเลอะเลือนเพราะอาการประชวรและทรงทำอะไรผิดไปก็จะต้องเดือดร้อนมาถึงเจ้าอย่างแน่นอน”ซูชิงอู่พยักหน้า “ขอบพระคุณในความห่วงใยของกุ้ยเฟย แต่หม่อมฉันไม่เก็บเรื่องนั้นมาใส่ใจหรอกเพคะ”เจียวกุ้ยเฟยเม้มปากพลางถลึงตามองอีกฝ่ายจากนั้นก็ได้ยินซูชิงอู่พูดต่อ “หม่อมฉันมีหน้าที่รับผิดชอบรักษาอาการประชวรของฝ่าบาท ในฐานะที่เป็นผู้ดูแลเต็มตัวหม่อมฉันสามารถบอกทุกคนได้ว่าฝ่าบาททรงมีพลานามัยที่แข็งแรง มีจิตสำนึกที่ชัดเจน ไม่มีปัญหาใดใดทั้งสิ้นเพคะ”หัวใจของเจียวกุ