นี่แหละที่ทำให้ฮ่องเต้เฒ่าคิดจะเรียกซูชิงอู่มาถามเพียงลำพังยิ่งไปกว่านั้นซูชิงอู่เป็นเพียงสตรี นางเพิ่งให้กำเนิดลูกเมื่อไม่นานมานี้ ไม่ว่านางจะฉลาดแค่ไหน นางก็ไม่สามารถทนต่อแรงกดดันและต้องเผยบางสิ่งออกมาแน่อย่างไรก็ตามเมื่อฮ่องเต้เฒ่ามองดูการแสดงออกของซูชิงอู่ เขากลับพบว่าหญิงสาวมีสีหน้าเย็นชาและมีใบหน้าที่เป็นธรรมชาติ ไม่มีความเกรงกลัวแม้แต่น้อยแม้ว่าเขาจะสงสัย แต่ความโกรธในสีหน้าของเขาก็ดูไม่เสแสร้ง“ถ้าฝ่าบาทไม่เชื่อหม่อมฉัน ต่อไปหม่อมฉันจะไม่เข้าร่วมในการปรึกษาเกี่ยวกับอาการป่วยของฝ่าบาทอีก ส่วนที่ฝ่าบาทบอกว่าหม่อมฉันทำร้ายฝ่าบาทนั้น มันเป็นเรื่องไร้สาระ หมอหลวงจำนวนมากอยู่รอบตัวฝ่าบาท แม้หม่อมฉันจะต้องการทำร้ายฝ่าบาท ก็ไม่มีโอกาสเลยมิใช่หรือเพคะ?”ซูชิงอู่กล่าวอย่างมั่นใจ จนฮ่องเต้ผู้มีอำนาจเหนือกว่าถึงกลับพูดไม่ออกฮ่องเต้เฒ่ารู้สึกอึดอัดในอก นวดหน้าผากที่เต้นกระหน่ำแล้วพูดอีกครั้งว่า “ไม่ว่าอย่างไร วิธีการรักษาโรคของข้าในตอนนี้ส่วนใหญ่เป็นสิ่งที่เจ้าสอนให้กับหมอหลวงซุน โรคของข้าทุกวันนี้ยิ่งหนักขึ้น เจ้าก็มีส่วนต้องรับผิดชอบ”ซูชิงอู่กะพริบตา นั่นหมายถึงนางเข้าใจแล้ว
เมื่อเห็นซูชิงอู่หยุดมอง ฮ่องเต้เฒ่าก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย "มีอะไรผิดปกติหรือ?"จู่ ๆ ซูชิงอู่ก็ถามว่า "หมอหลวงไม่มาดูรอยตุ่มบนร่างกายของฝ่าบาทบ้างเลยหรือเพคะ?""ดูแล้ว แต่บอกว่าเกิดจากยาที่ข้าดื่ม ไม่เจ็บไม่คัน ไม่มีปัญหาอะไรใหญ่โต"รอยตุ่มนี้คล้ายกับปฏิกิริยาจากยาบางชนิด แต่ใช้เวลาไม่นานตุ่มก็จะกระจายไปทั่วร่างกายก่อนที่จะแตกออกจนหมดเมื่อถึงเวลานั้นผู้ป่วยจะเจ็บปวดอย่างมาก ผิวหนังจะเน่าเปื่อย และมีเลือดออกทั่วร่างกาย ไม่มีทางรักษาได้โรคนี้ในระยะแรกจะดูไม่รุนแรง แต่เมื่อเข้าสู่ระยะสุดท้ายจะเผยความน่ากลัวออกมาแม้ว่าจะไม่ติดต่อเหมือนโรคระบาด แต่ก็ยังมีอันตรายถึงชีวิตได้ซูชิงอู่หรี่ตาลง "ฝ่าบาททราบหรือไม่ ว่ามีคนในวังป่วยตายบ้างหรือเปล่า?"ฮ่องเต้เฒ่าเลิกคิ้วเล็กน้อย "ในวังหลังนี้มีคนตายทุกวัน แต่ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมามีคนป่วยตายจริง ๆ"ซูชิงอู่พยักหน้าเล็กน้อย"หากหม่อมฉันดูไม่ผิด ความเจ็บป่วยของฮ่องเต้ไม่ใช่ผลข้างเคียงที่เกิดจากยาใด ๆ แต่เป็นโรคระบาดเพคะ"ดวงตาของฮ่องเต้เฒ่ากลอกอย่างเห็นได้ชัดเขามองซูชิงอู่ด้วยสายตาครุ่นคิด "เจ้ามั่นใจหรือ..."ซูชิงอู่ยิ้ม "ฝ่าบาทสงสัยว่า
นางจับมือเขาแล้วพูดว่า "ข้าจะไม่ติดโรคแน่"เย่เสวียนถิงขมวดคิ้ว "อะไรก็เกิดขึ้นได้ ฮ่องเต้ป่วยแล้วควรพักผ่อนในวัง เจ้าพึ่งคลอดลูก ร่างกายยังอ่อนแอ ควรอยู่ให้ห่างจากเขา"น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความไม่พอใจต่อฮ่องเต้เฒ่าซูชิงอู่เห็นเขาแสดงท่าทีรังเกียจฮ่องเต้ก็นึกขำในใจ แต่ก็รู้ว่าเขากำลังเป็นห่วงตนเองส่วนฮ่องเต้เฒ่าซึ่งเป็นพ่อแท้ ๆ ของเขานั้น ในใจเขาไม่มีความสำคัญอะไรเลยเหล่าข้ารับใช้ที่ได้รับคำสั่งข้างนอกตอนนี้กำลังส่งข่าวกันอย่างรวดเร็ว ไม่นานนักองค์รัชทายาทและคนอื่น ๆ ที่ได้รับข่าวก็เดินเข้ามาเย่ชิวหมิงยังคงงุนงง ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นงานเลี้ยงฉลองความสำเร็จพึ่งดำเนินไปครึ่งเดียว ข้างนอกกลับมีทหารยามจำนวนมากล้อมอยู่ ทั้งหมดทำตามคำสั่งของฮ่องเต้ในการควบคุมสถานการณ์ฮ่องเต้เฒ่าไม่ออกว่าราชกิจหลายวันแล้ว เพิ่งฟื้นคืนสติขึ้นมาก็ออกคำสั่งแบบนี้ ทำให้เย่ชิวหมิงนึกสงสัยไม่น้อยเจียวกุ้ยเฟยก็ตามอยู่ข้างเขานางแต่งตัวหรูหราและงดงามเช่นเคย แต่งหน้ามากกว่าปกติการแต่งตัวหรูหราเช่นนี้เหมือนจะเน้นย้ำความสูงส่งของนางในปัจจุบันพอนางมาถึงก็ถามขันทีข้าง ๆ ด้วยท่าทางเป็นห่วง "ฮ่องเต้ฟ
เจียวกุ้ยเฟยคิดว่าซูชิงอู่กำลังตั้งใจเล่นงานนางช่วงนี้ในวังนางโดนเด่นมาก แม้แต่ซูเฟยก็ยังถูกนางข่มเพราะลูกชายของนางกลายเป็นองค์รัชทายาท ในอนาคตมีโอกาสสูงที่จะขึ้นเป็นฮ่องเต้ นางจะได้เป็นไทเฮาเมื่อถึงตอนนั้น เหล่านางสนมทั้งหมดจะต้องเคารพนาง ใครจะกล้าลบหลู่นาง?แต่ซูชิงอู่กลับกล้าหาญ ทำนางเสียหน้าต่อหน้าสนมมากมายเช่นนี้แม้ในใจเจียวกุ้ยเฟยจะคิดเช่นนี้ แต่นางยังมีสติ ไม่ระเบิดอารมณ์ออกมานางหลบสายตาแล้วถามขึ้น "ชายาเสวียนความว่าอย่างไร ทำไมต้องให้เจ้าตรวจร่างกายข้า ข้าป่วยเป็นอะไรหรือ?"ซูชิงอู่เห็นความไม่เต็มใจในแววตาของเจียวกุ้ยเฟย จึงอธิบายว่า "หม่อมฉันก็ทำเพื่อความปลอดภัยของพระนางเท่านั้น""ถ้าเพื่อความปลอดภัยของข้า พระชายาต้องอธิบายให้ชัดเจน ข้าร่างกายแข็งแรงดี ทำไมต้องให้พระชายาตรวจ?"นางสนมที่ติดตามเจียวกุ้ยเฟยพยักหน้าเห็นด้วยทันทีมีคนแนะนำว่า "พระนางซูเฟยไม่ได้ดูแลวังหลังหรือ? ถ้าจะตรวจ ต้องเริ่มจากนางก่อน!"ซูชิงอู่ไม่สนใจคำพูดของสนมเหล่านั้น แต่หันไปมองเย่ชิวหมิง"องค์รัชทายาท พระองค์ว่าหม่อมฉันควรทำอย่างไร?"เย่ชิวหมิงที่ถูกเรียกชื่ออย่างกะทันหันรู้สึกงงอยู่ชั
ไม่เห็นหรือว่าเมื่อครู่ท่าทีของพระนางเจียวกุ้ยเฟยดูจำยอมขนาดไหน? ขนาดรัชทายาทยังยืนอยู่ข้างอีกฝ่ายเลย...เย่เสวียนถิงขอให้คนรายงานผลการตรวจทางนั้นออกมา"กราบทูลพระชายา มีนางกำนัลที่ติดโรคทั้งหมดสามสิบสามคน ขันทีสิบห้าคน ทหารรักษาพระองค์ห้าคน และมีพระสนมอีกสองคนที่มีตุ่มบนร่างกาย"ซูชิงอู่ไม่คิดว่ามันจะร้ายแรงขนาดนี้"มากมายขนาดนี้เชียวหรือ?"“ทูลพระชายาครึ่งหนึ่งของคนเหล่านี้มีอาการเพียงเล็กน้อย ยังไม่พบร่องรอยที่ชัดเจน”ซูชิงอู่พยักหน้าแล้วบอกกับรองแม่ทัพคนนั้นว่า “ให้พาผู้ป่วยทั้งหมดไปยังตำหนักข้าง ๆ ส่วนคนอื่น ๆ เมื่อกลับไปต้องอาบน้ำให้สะอาด และทุกที่ที่สัมผัสกับผู้ป่วยต้องทำความสะอาดอย่างละเอียด”"พ่ะย่ะค่ะ!"โรคนี้แพร่กระจายผ่านการสัมผัสเท่านั้นและไม่ติดต่อได้เหมือนโรคระบาดอื่น ๆ ตราบใดที่ยังมีการรักษาก็ไม่น่ากลัวสิ่งที่น่าสงสัยที่สุดคือ เหตุใดโรคนี้จึงปรากฏขึ้นในพระราชวังในชีวิตก่อน ซูชิงอู่เคยได้ยินเรื่องเล่าจากผู้คนที่หนีตายมาว่ามีหมู่บ้านที่โรคนี้ระบาด ชาวบ้านเกือบทั้งหมดตาย มีเพียงไม่กี่คนที่หลบหนีออกมาได้ น่าเสียดายที่หมอพื้นบ้านธรรมดาไม่สามารถรักษาได้ ต้องมองดูร
เขามองไปที่ซูชิงอู่ "ใครเป็นคนทำ?"ขันทีตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งโดนเตะไปทีหนึ่งเขารีบพูดด้วยความตื่นตระหนก "เมื่อไม่นานมานี้ชุ่ยเจวียนซึ่งอยู่ข้างกายโจวกุ้ยเหริน ขอให้เราไปที่โกดังน่าขนลุกแห่งหนึ่ง กลับมาแล้วก็เป็นโรคผิวหนังแบบนี้เลยพ่ะย่ะค่ะ...”ฮ่องเต้เฒ่าพึมพำกับตัวเองเมื่อเขาได้ยินชื่อที่ค่อนข้างไม่คุ้นเคยนี้“โจวกุ้ยเหริน?”ซูชิงอู่เปิดปากของนางเพื่ออธิบายข้อสงสัยของฮ่องเต้เฒ่า "โจวกุ้ยเหรินเคยเป็นนางกำนัลข้างกายของฮองเฮา ต่อมาถูกยกขึ้นเป็นสนม ต่อมาได้แต่งตั้งเป็นกุ้ยเหริน ตอนนี้อยู่ในวังมาหลายปีแล้ว"ฮ่องเต้เฒ่ามีสตรีในวังหลังเยอะจริง ๆหลายปีก่อนผู้ที่เคยได้รับความโปรดปรานครั้งหนึ่งแล้วก็ไม่ได้พบกันอีกเลย ไม่รู้มีสักกี่คนเขาจำไม่ได้จริง ๆแต่พอมีส่วนเกี่ยวข้องกับฮองเฮา ฮ่องเต้เฒ่าก็แสดงความโกรธทันที “นางตกต่ำถึงขนาดนี้ ยังกล้าทำร้ายข้าอีกเหรอ?”ซูชิงอู่เลิกคิ้วเล็กน้อย แล้วตอบด้วยน้ำเสียงสงบ "อย่างไรองค์ชายสามยังคงเป็นโอรสของฝ่าบาท"ทันทีที่คำพูดเหล่านี้หลุดออกมาสีหน้าของฮ่องเต้เฒ่าก็เย็นชาเล็กน้อยในทันทีเมื่อคิดว่าฮองเฮากล้าทำอะไรกับสายเลือดของราชวงศ์ในตอนนั้น ไฟโทสะในใ
“ตระกูลมู่หรงไม่ได้คิดจะก่อกบฏอย่างแน่นอน เสด็จแม่และไทเฮาไม่เคยคิดจะทำร้ายพระองค์ คนที่ต้องการทำร้ายพระองค์จริง ๆ ไม่ใช่ลูก แต่เป็นคนอื่นต่างหาก!”เสียงของเย่อวิ๋นถูร้อนรนเล็กน้อย เขาพยายามอธิบายอย่างเต็มที่ เหงื่อเย็นไหลลงจากศีรษะ "เห็นได้ชัดว่าโรคระบาดนี้เกิดจากคนที่ต้องการจะใส่ร้าย เพราะหากเสด็จพ่อเป็นอะไรไป คนที่ได้ประโยชน์สูงสุดก็ชัดเจนมาก!”เขาพูดแบบนี้โดยมุ่งเป้าไปที่องค์รัชทายาทเย่ชิวหมิงโดยตรงเย่ชิวหมิงเคยทะเลาะกับเย่อวิ๋นถูอยู่ก่อนแล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่แปลกใจกับคำพูดสกปรกของอีกฝ่ายเขาเพียงยกมือขึ้นคำนับฮ่องเต้ "เสด็จพ่อ ลูกเป็นองค์รัชทายาทแล้ว แต่ตำแหน่งยังไม่มั่นคงต้องการความช่วยเหลือจากท่าน หากท่านเป็นอะไรไปราชบัลลังก์จะไม่มั่นคง หากถูกศัตรูต่างแคว้นโจมตี ลูกในฐานะองค์รัชทายาทจะกลายเป็นคนบาปของแผ่นดิน!”ต้องยอมรับว่าลูกชายสองคนนี้พูดได้มีเหตุผลมากอย่างไรก็ตามเขาไม่อยากจะเชื่อคนใดเลยดวงตาของเขาแดงก่ำ ดูเหมือนเขาจะเสียสติไปแล้ว "พวกเจ้า...พวกเจ้าทุกคนต้องการทำร้ายข้า!"เย่อวิ๋นถูและเย่ชิวหมิงตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัด เมื่อได้ยินฮ่องเต้เฒ่าพูดคำดังกล่าวเย่อวิ๋นถูอธิ
ฮ่องเต้เฒ่ามองดูซูชิงอู่อย่างกระตือรือร้นดวงตาของเขาขุ่นมัว แต่เขายังคงมองไปในทิศทางของนางเย่ชิวหมิงรู้สึกยากที่จะอธิบายแม้ว่าเขาจะมีความสงสัยในใจว่าซูชิงอู่ทำอะไรบางอย่างหรือไม่ ไม่เช่นนั้นเสด็จพ่อของเขาจะกลายเป็นแบบนี้ได้อย่างไรเพียงว่าเขาไม่มีความกล้าที่จะถามตอนนี้ท้ายที่สุดแล้วฮ่องเต้เฒ่ายังคงเป็นฮ่องเต้ และมีอำนาจมากมายอยู่ในมือของเขา หากเขาต้องการระดมกองทัพเพื่อจัดการกับใครสักคนมันค่อนข้างง่ายโดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนนี้คำพูดของซูชิงอู่เทียบเท่ากับคำสั่งของฮ่องเต้ทางอ้อมเย่ชิวหมิงทำได้แค่แสดงความเคารพต่อฮ่องเต้เฒ่าแล้วพูดว่า "ดูเหมือนว่าเสด็จพ่อจะไม่ได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ หากไม่มีอะไรอื่นข้าจะออกไปก่อน!"ฮ่องเต้เฒ่าโบกมือโดยไม่ลังเล "พวกเจ้าออกไป!""พ่ะย่ะค่ะ!"เย่ชิวหมิงและคนอื่น ๆ ในวังก็ลุกขึ้นและออกจากพระที่นั่งหย่างซินเตี้ยนด้วยซูชิงอู่และเย่เสวียนถิงมองหน้ากัน แทบไม่พูดอะไรกับภาพตรงหน้าพวกเขานางเดินไปหาฮ่องเต้เฒ่าซึ่งไม่ได้หลบเลี่ยงในครั้งนี้และสีหน้าของเขาก็แตกต่างไปจากฮ่องเต้เฒ่าที่เดิมคอยระวังนางอย่างสิ้นเชิงนางกระซิบ "ฝ่าบาท โปรดให้ชิงอู่ตรวจร่างกายอีก
คนขายเนื้อทำสีหน้าหวาดกลัว “คนผู้นี้เลวทรามถึงเพียงนี้เลยรึ?”“เจ้าคอยระวังตัวเอาไว้ก็ไม่เป็นไรแล้ว ทางนั้นตรวจดูเสร็จรึยัง? ไปกันต่อเถิด!”เมื่อกองกำลังทำการค้นหาเสร็จเรียบร้อย คนขายเนื้อก็ยิ้มมุมปากเบา ๆเขาคิดไม่ถึงเลยว่าคนเหล่านี้จะพบเบาะแสทางตะวันตกของเมืองเร็วถึงเพียงนี้หากเขาไม่ได้เตรียมพร้อมมาก่อนหน้านี้และรีบปลอมตัวโดยไว เขาก็คงจะถูกจับได้ไปแล้วคนขายเนื้อรีบเข้าไปยังพื้นที่ด้านในสุดของร้านเขาเหลือบมองหนอนกู่ที่ซ่อนเอาไว้ในตู้ในหนึ่ง และเมื่อเปิดตู้ใบนั้น ดวงตาของเขาก็ฉายแววน่ากลัวออกมาผ่านมาหลายปี ดูเหมือนโลกภายนอกจะลืมความน่ากลัวของภูเขาศักดิ์สิทธิ์ไปแล้ว เริ่มแรกนั้นพวกเขาได้ครอบครองตำแหน่งระดับสูงของราชวงศ์ในแคว้นต่าง ๆ ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงตำแหน่งในนามแต่มันสามารถแทรกแซงแคว้นนั้น ๆ และพลิกสถานการณ์ได้ตอนนี้เรื่องที่สำคัญที่สุดคือการแอบเข้าไปในพระราชวังเพื่อช่วยเหลือเจียงเฟยเอ๋อร์หากต้องการเข้าไปในพระราชวังมีการคุ้มกันอย่างแน่นหนาได้ก็ต้องใช้วิธีที่ต่างออกไปบุรุษผู้นั้นออกจากร้านขายเนื้อหมูที่ถูกตรวจค้นเรียบร้อยแล้ว พร้อมกับปิดประตูร้านแสร้งทำเป็นออกไปทำธุร
หลังจากซูชิงอู่ส่งชิงอวี่ออกไปก็ยังคงตื่นเต้นอยู่เล็กน้อยซูชิงอู่หาคนมาวาดภาพเหมือนเจ้าอาวาสในปีที่แล้วและส่งต่อให้คนอื่น ๆ เพื่อช่วยกันค้นหา ซึ่งมันก็ผ่านมานานมากแล้ว และมีเพียงชิงอวี่เท่านั้นที่นำข่าวที่ได้รับการยืนยันกลับมาแจ้งนางแม้จะยังไม่ได้เจอคนผู้นั้น แต่ก็หมายความว่านางจะได้รู้ความจริงของการตายของท่านแม่เสียทีหลังจากสงบสติอารมณ์ได้ ซูชิงอู่ก็ตัดสินใจเดินทางไปทันทีนางอยากไปเจอจิ้งซินผู้นั้นด้วยตนเองและถามเขาว่าเหตุใดตอนนั้นเขาถึงฆ่าท่านแม่ของนาง!คืนเดียวกันนั้นซูชิงอู่ได้พูดคุยเรื่องนี้กับเย่เสวียนถิงเมื่อเย่เสวียนถิงได้รับรู้เรื่องราวก็พยักหน้าเบา ๆ และตัดสินใจอย่างทันทีว่า “ข้าจะส่งคนไปจับเขามาให้เจ้า”ซูชิงอู่ได้ยินอีกฝ่ายตอบง่าย ๆ และห้วนก็อดไม่ได้ที่จะตะลึงและหัวเราะ“ได้”ตอนนี้มีศิษย์พี่ของเจียงเฟยเอ๋อร์คอยจับตาดูอยู่ในเมืองหลวง ซูชิงอู่จึงไม่สามารถไปหาคนผู้นั้นพร้อมกับชิงอวี่ได้บรรยากาศในเมืองหลวงเริ่มตึงเครียดขึ้นเรื่อย ๆแม้แต่ฮ่องเต้เช่นเย่ชิวหมิงก็สังเกตเห็นสัญญาณของเหตุการณ์ร้ายแรงบางอย่างที่กำลังจะตามมาเขาเคยได้ยินซูชิงอู่พูดว่าศัตรูที่ซ่อนตัวอ
ไป๋เฟิงก้มหัวลงอย่างเชื่อฟัง ราวกับมันได้กลายเป็นแมวตัวใหญ่ไปแล้วซูชิงอู่อดหัวเราะไม่ได้ “เจ้าคงเหนื่อยแย่ วันนี้ทำได้ดีมาก”ในที่สุดก็ได้ใช้ประโยชน์จากไป๋เฟิง สมกับที่เลี้ยงมันมานานไป๋เฟิงยืนขึ้นและอ้าปากหาว ส่วนสิงโตขนทองคำที่อยู่ข้าง ๆ ย่องเข้ามาทางด้านหลังซูชิงอู่ และใช้หัวถูเอวของนางดูเหมือนว่ามันต้องการให้ซูชิงอู่ลูบมันด้วยคนอื่น ๆ มองไปยังซูชิงอู่ที่มีร่างกายบอบบางยืนอยู่ตรงหน้าสัตว์ดุร้ายทั้งสอง พวกเขาทั้งหมดก็พูดไม่ออกอยู่นานนี่มัน...ร้ายกาจเกินไปแล้ว!แม้แต่กลุ่มบุรุษร่างใหญ่เช่นพวกเขาก็ยังไม่กล้าเข้าใกล้สัตว์ดุร้ายทั้งสองแม้แต่ครึ่งก้าว ทว่าซูชิงอู่กลับสามารถมีปฏิสัมพันธ์กับพวกมันได้อย่างกลมกลืนเหมือนพวกมันเป็นสัตว์เลี้ยงของนางเมื่อไม่ถูกยุงกัดและกินยาสมุนไพรที่ผสมไว้แล้ว ม้าทุกตัวในสนามฝึกก็สงบลงและกลับสู่ภาวะปกติทันทีที่ซูชิงอู่กลับมาถึงตำหนัก ก็เห็นหรงหย่าวิ่งเข้ามา“พระชายา เมื่อครู่มีคนมาพบท่านและบอกว่ามีเรื่องด่วนต้องรายงาน”“มีเรื่องด่วนอะไรรึ?”หรงหย่าส่ายหัว “ข้าก็ไม่รู้เช่นกัน ท่านไปดูก่อนเถิด”ซูชิงอู่สั่งให้คนพาผู้ส่งข่าวเข้ามาทันทีนางจ้อง
เลือดของแมลงวันติดอยู่ที่มือของซูชิงอู่ส่งกลิ่นแปลก ๆ ออกมาเมื่อซูชิงอู่มองชัด ๆ นางก็ได้รู้ว่ามันไม่ใช่แมลงวันแต่เป็น…แมลงมีปีกชนิดหนึ่งที่มีลักษณะคล้ายแมลงวันปากของแมลงมีความคมมาก สามารถเจาะทะลุขนของสัตว์บางชนิดได้ง่าย ทว่าแมลงมีปีกชนิดนี้ไม่สนใจมนุษย์และจะกัดเฉพาะสัตว์เท่านั้นที่แท้นี่คือสาเหตุหลักที่ทำให้สัตว์ในเมืองหลวงบ้าคลั่งในช่วงหลายวันนี้!ซูชิงอู่ยังสังเกตเห็นว่ายุงเหล่านี้ถูกพิษและเมื่อพวกมันแพร่พันธุ์ ในไข่ก็มีสารพิษดังกล่าวติดไปด้วยขอเพียงแมลงเหล่านี้ยังกัดสัตว์ต่อไป สารพิษก็จะค่อย ๆ สะสมทีละน้อยสุดท้ายก็ถึงขั้นทำให้เสียสติ!คนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้มีเจตนาชั่วร้ายหากนางไม่ค้นพบสิ่งนี้ก่อน เกรงว่าม้าศึกทั้งหมดจะต้องตายไปด้วยความบ้าคลั่งอีกทั้งยังไม่อาจทราบสาเหตุได้แน่นอนว่าม้าศึกเป็นส่วนสำคัญในกองทัพ หากทหารม้าเสียม้าไป ก็คงไม่ต่างไปจากคนอ่อนแอไร้ค่า...ซูชิงอู่ตัดสินใจอย่างรวดเร็ว“นำม้าทุกตัวไปไว้ในที่ปิดและหาทางฆ่าแมลงมีปีกเหล่านี้ให้สิ้นเสีย”รองแม่ทัพที่ติดตามนางมารีบจำคำสั่งนี้เอาไว้ทันที“รับทราบพ่ะย่ะค่ะพระชายา!”เขาก็รีบกระจายคำสั่งออก
เมื่อเย่เสวียนถิงได้ยินสิ่งที่ซูชิงอู่พูด สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นเยือกเย็น “ข้าจะส่งคนไปตรวจสอบ”ซูชิงอู่ส่ายหัวทันที “ยาพิษนี้คงไม่ได้อยู่ในอาหารสัตว์ อีกทั้งเมื่อมาลองคิดดู สัตว์ป่าจำนวนมากที่อยู่ใกล้เมืองหลวง รวมไปถึงม้าศึกล้วนติดพิษกันหมด มีเพียงมนุษย์เท่านั้นที่ไม่เป็นอะไร นี่เป็นเรื่องที่แปลกมาก และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือไม่มีใครสามารถวางยาพิษม้าศึกในเมืองหลวงได้อย่างเงียบ ๆ ”การวิเคราะห์ของซูชิงอู่นั้นสมเหตุสมผลมาก แม้แต่เย่เสวียนถิงเองก็ขมวดคิ้วขึ้นมาหากหาสาเหตุไม่พบก็แก้ปัญหาไม่ได้แม้จะรักษาม้าหนึ่งในนั้นจนหายขาด แต่ก็จะกลับมามีอาการเดิมในอีกไม่ช้าไม่ไกลกันนักก็มีนายทหารระดับสูงนายหนึ่งวิ่งเข้ามาเขาหอบหายใจและกล่าวว่า “ท่านอ๋อง ทำการตรวจสอบเสบียงอาหารแล้วไม่พบสิ่งผิดปกติพ่ะย่ะค่ะ”“น้ำล่ะ?”“ตรวจสอบน้ำแล้วเช่นกัน ไม่มีร่องรอยของการวางยาพิษเลยพ่ะย่ะค่ะ”เมื่อได้ยินรายงาน เย่เสวียนถิงก็ขมวดคิ้วหนักกว่าเก่าคราวนี้แย่แล้วสิซูชิงอู่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ช่วยทำให้ม้าทุกตัวสงบลงก่อนได้หรือไม่ เดี๋ยวข้าจะเข้าไปดูรางอาหารม้าเอง”“ได้พ่ะย่ะค่ะพระชายา กรุณารอสักครู่ ก
เริ่มแรก เขาสงสัยในเรื่องที่ซูชิงอู่เคยพูดจนเกิดความคิดจินตนาการบางส่วนขึ้นมา เรียกได้ว่าตอนกลางวันก็เอาแต่นึกถึง ตกกลางคืนก็เก็บมาฝันอีกแต่เขาไม่เคยได้ยินซูชิงอู่พูดถึงเรื่องนี้มาก่อนเลยจริง ๆเนื่องจากความฝันนั้นมันดูเพ้อเจ้อเกินไป เย่เสวียนถิงจึงไม่พูดออกมา เพราะกลัวว่ามันจะเป็นการเพิ่มภาระให้กับซูชิงอู่อย่างไม่มีเหตุผลหลายวันมานี้ซูชิงอู่อาศัยอยู่กับลูกน้อยทั้งสามของนางเพื่อชดเชยช่วงเวลาที่นางห่างพวกเขาไปนานเด็ก ๆ ที่เพิ่งจะอายุได้ไม่กี่เดือนแต่กลับต้องห่างจากอ้อมอกของพ่อแม่ นั่นทำให้ซูชิงอู่รู้สึกผิดขึ้นมาดังนั้นนางจึงไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องภายนอกมากนักทันใดนั้นนางก็นึกอะไรออกและถามว่า “เสวียนถิง ช่วงนี้หมาป่าเหล่านั้นที่อยู่ข้างนอกเป็นอย่างไรบ้าง?”เย่เสวียนถิงเงยหน้าขึ้นและพูดว่า “ไม่ได้มีเพียงสัตว์ร้าย แต่ยังกระทบไปถึงม้าศึกด้วย ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงเริ่มไม่เชื่อฟังคำสั่งกัน”“เดี๋ยวข้าจะไปตรวจสอบเรื่องนี้เสียหน่อย”ซูชิงอู่รู้สึกได้โดยไม่รู้ตัวว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องเกี่ยวกับเรื่องนี้แม้เรื่องจะดูเป็นเรื่องเล็กน้อยและไม่มีผลกระทบกับมนุษย์มากนัก แต่นางก็รู้สึกอ
ทันใดนั้นหมอหลวงซุนก็เหมือนจะคิดอะไรออก “เหมือนกับตอนที่พระชายาใช้ดอกไม้ชนิดหนึ่งเพื่อทำให้ม้าพยศคลั่งใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”“อืม ทำนองนั้นแหละ”สิ่งเหล่านั้นเป็นสิ่งที่นางพบในเภสัชตำรับ และหากใช้มัน ผลลัพธ์ที่ได้จะน่าทึ่งมากแม้ลงมือไปอย่างกะทันหัน แต่ก็ไม่มีใครจับได้ปรมาจารย์มือวางพิษที่แท้จริงคือผู้ที่วางยาพิษโดยไม่ทิ้งหลักฐานใด ๆ เอาไว้“ขอบพระทัยพระชายาสำหรับคำชี้แนะ หลังจากที่ได้พูดคุยกับท่าน กระหม่อมก็เข้าใจอย่างกระจ่างแจ้งแล้วพ่ะย่ะค่ะ”ซูชิงอู่ปิดเภสัชตำรับ “ข้าท่องเภสัชตำรับนี้จนจำขึ้นใจ และเข้าใจเนื้อหาด้านในได้คร่าว ๆ เพียงแต่ยังไม่พบวิธีที่จะไขความลับที่อยู่ในนั้น หวังว่าท่านจะช่วยเรื่องนี้ได้”คราวนี้ ทุกคนเชื่อมั่นในคำพูดของซูชิงอู่สิ่งที่พวกเขาไม่ได้สนใจ แต่พระชายากลับนำมาใช้งานได้ถึงขั้นนี้ ยังมีอะไรที่ต้องพูดกันอีกหรือ?ตาแก่เช่นพวกเขาที่อาศัยว่าตนอายุมากทำตัวอาวุโสดูถูกผู้อื่นนั้นเทียบเทียมพระชายาไม่ได้เลย!หลังจากที่ซูชิงอู่อธิบายเรื่องนี้จบ นางก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกและแอบหลบออกมาทางประตูใหญ่นางกลัวว่าคนเหล่านั้นจะถามนางว่านางศึกษาเรียนรู้ทักษะทางการ
หมอหลวงซุนขมวดคิ้วเล็กน้อย“อย่าพูดไร้สาระ นั่นจะเป็นไปได้อย่างไร? พระชายาไม่จำเป็นต้องโกหกพวกเราเลย โกหกพวกเราไปแล้วนางจะได้ประโยชน์อะไร?”คำพูดนี้ก็ถือว่ามีเหตุผลทุกคนต่างพูดไม่ออกทำได้แค่นั่งเงียบ ๆ แล้วพลิกหน้าอ่านต่อไปพลิกหน้ากระดาษตั้งแต่เช้าจรดค่ำ และอ่านจนถึงเช้าวันรุ่งขึ้นตำราทั้งเล่มถูกอ่านจนจบอย่างรวดเร็ว ทุกคนในสำนักหมอหลวงไม่ได้นอนมาสองวันสองคืน และตอนนี้ทุกคนดูเหนื่อยและมีสีหน้าทรุดโทรมเมื่ออ่านหน้าจนถึงสุดท้าย แม้แต่หมอหลวงซุนก็ตกอยู่ในความเงียบเพราะเภสัชตำรับเล่มนี้บันทึกเฉพาะโรคและวัตถุดิบยาที่ธรรดาทั่วไปมาก ๆ บางส่วนเท่านั้นข้อแตกต่างเพียงหนึ่งเดียวคือผู้อาวุโสเช่นพวกเขาได้เรียนรู้เกี่ยวกับวัตถุดิบยาหลายประเภทและพัฒนาแนวคิดใหม่ ๆแม้จะไม่ไร้ประโยชน์ แต่ความคาดหวังกับผลลัพธ์ก็แตกต่างกันมากเลยทีเดียวถึงขั้นทำให้พวกเขาขาดความมั่นใจและอดไม่ได้ที่จะคิดว่านี่น่ะหรือคือเภสัชตำรับที่ตระกูลฟางเฝ้าหวงแหนมานานหลายปี?ดวงตาของหมอหลวงซุนเต็มไปด้วยสีแดงก่ำที่เกิดจากการอดนอน“ในเมื่อเภสัชตำรับของตระกูลฟางไร้ประโยชน์ เช่นนั้นพระชายาไปเรียนรู้ทักษะด้านการแพทย์มา
“นี่คือวัตถุดิบยาและปริมาณที่คนผู้นั้นทำการวางยา ที่สำนักหมอหลวงของพวกท่านมีสิ่งนี้อยู่แล้ว หากจะทำยาถอนพิษก็คงไม่ใช่เรื่องยากกระมัง”“ไม่ยากพ่ะย่ะค่ะ ไม่ยาก!”หมอหลวงซุนยิ้มร่าราวกับได้รับสมบัติเขามองซูชิงอู่ที่ยังอยู่ในวัยหนุ่มสาว แต่กลับเก่งกาจกว่าเหล่าคนชราเช่นพวกเขาเมื่อรวมกับเภสัชตำรับของตระกูลฟางที่ซูชิงอู่พูดถึง หมอหลวงเฒ่าก็ดีใจจนเนื้อเต้นหากได้เรียนรู้และกลายเป็นคนที่เก่งกาจเหมือนพระชายา ระดับความรู้ของเขาก็จะเพิ่มขึ้นไปด้วยหรือไม่?แต่หมอหลวงซุนไม่เคยรู้เลยว่าทุกสิ่งที่ซูชิงอู่เรียนรู้ไม่ได้มาจากเภสัชตำรับของตระกูลฟางในเภสัชตำรับเล่มนั้นมีความแตกต่างตรงจุดไหน ตัวซูชิงอู่ในตอนนี้ก็ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำแม้ตอนตายไปในชาติก่อน เภสัชตำรับก็ถูกทำลายและไม่มีใครเห็นความลับที่ซ่อนอยู่ในนั้นจุดเด่นเพียงหนึ่งเดียวของเภสัชตำรับเล่มนั้นคือบันทึกข้อมูลวัตถุดิบยาจำนวนมากที่คนทั่วไปไม่ทราบและสรรพคุณลับบางส่วนบรรดาผู้อาวุโสของสำนักหมอหลวงพากันมาช่วยคิดค้นยาถอนพิษเพื่อที่จะได้อ่านเภสัชตำรับนั้นเร็ว ๆในที่สุดเช้าวันรุ่งขึ้นยาที่สามารถฟื้นฟูสติของสัตว์ร้ายได้ก็ถูกส่งมาให้ฮ่องเต้