นางไม่ได้เข้าพระราชวังในช่วงนี้ และฮ่องเต้เฒ่าก็ได้รับการดูแลโดยหมอหลวงซุนแต่เพียงผู้เดียวดังนั้นนับเวลาก็เป็นเวลามากกว่าหนึ่งเดือนที่ไม่ได้พบกันฮ่องเต้เฒ่านอนอยู่บนเตียง ก่อนหน้านี้ผมของพระองค์ขาวครึ่งหนึ่ง ตอนนี้กลับกลายเป็นขาวทั้งเกศา ดูเหมือนจะแก่ลงไปถึงยี่สิบปีเขาผอมลงไปมาก ใบหน้าดูซีดเซียวไร้เลือดฝาดเนื่องจากแรงไม่พอ หลังจากได้ยินเสียงของซูชิงอู่เข้ามา เขาจึงฝืนลุกขึ้นจากเตียงเล็กน้อยแล้วนั่งพิงหัวเตียง ดวงตาดูเลื่อนลอย“ฮ่องเต้เรียกชิงอู่มาเหตุใดเพคะ?”ซูชิงอู่ถามอย่างตรงไปตรงมาทันใดนั้นฮ่องเต้เฒ่าก็โบกมือให้ทุกคนในห้องบรรทมออกไปและประตูก็ปิดลงอีกครั้งซูชิงอู่ไม่ได้ดูถูกฮ่องเต้เฒ่าองค์นี้ แม้เขาจะโดนพิษจนดูเหมือนจะฝังลงดินไปครึ่งหนึ่งแล้วก็ตาม แต่เขายังคงเป็นกษัตริย์ของแคว้นหากไม่มีวิธีการปกป้องตัวเองบ้าง หลายปีมานี้ก็ไม่รู้แล้วว่าถูกฆ่าตายไปกี่ครั้งแล้วฮ่องเต้เฒ่ามีสีหน้าที่เย็นชาและดุร้าย พระองค์ขยับตัวเล็กน้อยและวางเท้าบนพื้น ร่างกายที่งองุ้มชัดเจนเผยให้เห็นถึงความชรา“ช่วงนี้ข้าไม่ได้ออกไปดูแลงานราชกิจช่วงเช้า ได้ยินว่ามีหลายเรื่องเกิดขึ้น”ซูชิงอู่เงยหน
นี่แหละที่ทำให้ฮ่องเต้เฒ่าคิดจะเรียกซูชิงอู่มาถามเพียงลำพังยิ่งไปกว่านั้นซูชิงอู่เป็นเพียงสตรี นางเพิ่งให้กำเนิดลูกเมื่อไม่นานมานี้ ไม่ว่านางจะฉลาดแค่ไหน นางก็ไม่สามารถทนต่อแรงกดดันและต้องเผยบางสิ่งออกมาแน่อย่างไรก็ตามเมื่อฮ่องเต้เฒ่ามองดูการแสดงออกของซูชิงอู่ เขากลับพบว่าหญิงสาวมีสีหน้าเย็นชาและมีใบหน้าที่เป็นธรรมชาติ ไม่มีความเกรงกลัวแม้แต่น้อยแม้ว่าเขาจะสงสัย แต่ความโกรธในสีหน้าของเขาก็ดูไม่เสแสร้ง“ถ้าฝ่าบาทไม่เชื่อหม่อมฉัน ต่อไปหม่อมฉันจะไม่เข้าร่วมในการปรึกษาเกี่ยวกับอาการป่วยของฝ่าบาทอีก ส่วนที่ฝ่าบาทบอกว่าหม่อมฉันทำร้ายฝ่าบาทนั้น มันเป็นเรื่องไร้สาระ หมอหลวงจำนวนมากอยู่รอบตัวฝ่าบาท แม้หม่อมฉันจะต้องการทำร้ายฝ่าบาท ก็ไม่มีโอกาสเลยมิใช่หรือเพคะ?”ซูชิงอู่กล่าวอย่างมั่นใจ จนฮ่องเต้ผู้มีอำนาจเหนือกว่าถึงกลับพูดไม่ออกฮ่องเต้เฒ่ารู้สึกอึดอัดในอก นวดหน้าผากที่เต้นกระหน่ำแล้วพูดอีกครั้งว่า “ไม่ว่าอย่างไร วิธีการรักษาโรคของข้าในตอนนี้ส่วนใหญ่เป็นสิ่งที่เจ้าสอนให้กับหมอหลวงซุน โรคของข้าทุกวันนี้ยิ่งหนักขึ้น เจ้าก็มีส่วนต้องรับผิดชอบ”ซูชิงอู่กะพริบตา นั่นหมายถึงนางเข้าใจแล้ว
เมื่อเห็นซูชิงอู่หยุดมอง ฮ่องเต้เฒ่าก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย "มีอะไรผิดปกติหรือ?"จู่ ๆ ซูชิงอู่ก็ถามว่า "หมอหลวงไม่มาดูรอยตุ่มบนร่างกายของฝ่าบาทบ้างเลยหรือเพคะ?""ดูแล้ว แต่บอกว่าเกิดจากยาที่ข้าดื่ม ไม่เจ็บไม่คัน ไม่มีปัญหาอะไรใหญ่โต"รอยตุ่มนี้คล้ายกับปฏิกิริยาจากยาบางชนิด แต่ใช้เวลาไม่นานตุ่มก็จะกระจายไปทั่วร่างกายก่อนที่จะแตกออกจนหมดเมื่อถึงเวลานั้นผู้ป่วยจะเจ็บปวดอย่างมาก ผิวหนังจะเน่าเปื่อย และมีเลือดออกทั่วร่างกาย ไม่มีทางรักษาได้โรคนี้ในระยะแรกจะดูไม่รุนแรง แต่เมื่อเข้าสู่ระยะสุดท้ายจะเผยความน่ากลัวออกมาแม้ว่าจะไม่ติดต่อเหมือนโรคระบาด แต่ก็ยังมีอันตรายถึงชีวิตได้ซูชิงอู่หรี่ตาลง "ฝ่าบาททราบหรือไม่ ว่ามีคนในวังป่วยตายบ้างหรือเปล่า?"ฮ่องเต้เฒ่าเลิกคิ้วเล็กน้อย "ในวังหลังนี้มีคนตายทุกวัน แต่ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมามีคนป่วยตายจริง ๆ"ซูชิงอู่พยักหน้าเล็กน้อย"หากหม่อมฉันดูไม่ผิด ความเจ็บป่วยของฮ่องเต้ไม่ใช่ผลข้างเคียงที่เกิดจากยาใด ๆ แต่เป็นโรคระบาดเพคะ"ดวงตาของฮ่องเต้เฒ่ากลอกอย่างเห็นได้ชัดเขามองซูชิงอู่ด้วยสายตาครุ่นคิด "เจ้ามั่นใจหรือ..."ซูชิงอู่ยิ้ม "ฝ่าบาทสงสัยว่า
นางจับมือเขาแล้วพูดว่า "ข้าจะไม่ติดโรคแน่"เย่เสวียนถิงขมวดคิ้ว "อะไรก็เกิดขึ้นได้ ฮ่องเต้ป่วยแล้วควรพักผ่อนในวัง เจ้าพึ่งคลอดลูก ร่างกายยังอ่อนแอ ควรอยู่ให้ห่างจากเขา"น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความไม่พอใจต่อฮ่องเต้เฒ่าซูชิงอู่เห็นเขาแสดงท่าทีรังเกียจฮ่องเต้ก็นึกขำในใจ แต่ก็รู้ว่าเขากำลังเป็นห่วงตนเองส่วนฮ่องเต้เฒ่าซึ่งเป็นพ่อแท้ ๆ ของเขานั้น ในใจเขาไม่มีความสำคัญอะไรเลยเหล่าข้ารับใช้ที่ได้รับคำสั่งข้างนอกตอนนี้กำลังส่งข่าวกันอย่างรวดเร็ว ไม่นานนักองค์รัชทายาทและคนอื่น ๆ ที่ได้รับข่าวก็เดินเข้ามาเย่ชิวหมิงยังคงงุนงง ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นงานเลี้ยงฉลองความสำเร็จพึ่งดำเนินไปครึ่งเดียว ข้างนอกกลับมีทหารยามจำนวนมากล้อมอยู่ ทั้งหมดทำตามคำสั่งของฮ่องเต้ในการควบคุมสถานการณ์ฮ่องเต้เฒ่าไม่ออกว่าราชกิจหลายวันแล้ว เพิ่งฟื้นคืนสติขึ้นมาก็ออกคำสั่งแบบนี้ ทำให้เย่ชิวหมิงนึกสงสัยไม่น้อยเจียวกุ้ยเฟยก็ตามอยู่ข้างเขานางแต่งตัวหรูหราและงดงามเช่นเคย แต่งหน้ามากกว่าปกติการแต่งตัวหรูหราเช่นนี้เหมือนจะเน้นย้ำความสูงส่งของนางในปัจจุบันพอนางมาถึงก็ถามขันทีข้าง ๆ ด้วยท่าทางเป็นห่วง "ฮ่องเต้ฟ
เจียวกุ้ยเฟยคิดว่าซูชิงอู่กำลังตั้งใจเล่นงานนางช่วงนี้ในวังนางโดนเด่นมาก แม้แต่ซูเฟยก็ยังถูกนางข่มเพราะลูกชายของนางกลายเป็นองค์รัชทายาท ในอนาคตมีโอกาสสูงที่จะขึ้นเป็นฮ่องเต้ นางจะได้เป็นไทเฮาเมื่อถึงตอนนั้น เหล่านางสนมทั้งหมดจะต้องเคารพนาง ใครจะกล้าลบหลู่นาง?แต่ซูชิงอู่กลับกล้าหาญ ทำนางเสียหน้าต่อหน้าสนมมากมายเช่นนี้แม้ในใจเจียวกุ้ยเฟยจะคิดเช่นนี้ แต่นางยังมีสติ ไม่ระเบิดอารมณ์ออกมานางหลบสายตาแล้วถามขึ้น "ชายาเสวียนความว่าอย่างไร ทำไมต้องให้เจ้าตรวจร่างกายข้า ข้าป่วยเป็นอะไรหรือ?"ซูชิงอู่เห็นความไม่เต็มใจในแววตาของเจียวกุ้ยเฟย จึงอธิบายว่า "หม่อมฉันก็ทำเพื่อความปลอดภัยของพระนางเท่านั้น""ถ้าเพื่อความปลอดภัยของข้า พระชายาต้องอธิบายให้ชัดเจน ข้าร่างกายแข็งแรงดี ทำไมต้องให้พระชายาตรวจ?"นางสนมที่ติดตามเจียวกุ้ยเฟยพยักหน้าเห็นด้วยทันทีมีคนแนะนำว่า "พระนางซูเฟยไม่ได้ดูแลวังหลังหรือ? ถ้าจะตรวจ ต้องเริ่มจากนางก่อน!"ซูชิงอู่ไม่สนใจคำพูดของสนมเหล่านั้น แต่หันไปมองเย่ชิวหมิง"องค์รัชทายาท พระองค์ว่าหม่อมฉันควรทำอย่างไร?"เย่ชิวหมิงที่ถูกเรียกชื่ออย่างกะทันหันรู้สึกงงอยู่ชั
ไม่เห็นหรือว่าเมื่อครู่ท่าทีของพระนางเจียวกุ้ยเฟยดูจำยอมขนาดไหน? ขนาดรัชทายาทยังยืนอยู่ข้างอีกฝ่ายเลย...เย่เสวียนถิงขอให้คนรายงานผลการตรวจทางนั้นออกมา"กราบทูลพระชายา มีนางกำนัลที่ติดโรคทั้งหมดสามสิบสามคน ขันทีสิบห้าคน ทหารรักษาพระองค์ห้าคน และมีพระสนมอีกสองคนที่มีตุ่มบนร่างกาย"ซูชิงอู่ไม่คิดว่ามันจะร้ายแรงขนาดนี้"มากมายขนาดนี้เชียวหรือ?"“ทูลพระชายาครึ่งหนึ่งของคนเหล่านี้มีอาการเพียงเล็กน้อย ยังไม่พบร่องรอยที่ชัดเจน”ซูชิงอู่พยักหน้าแล้วบอกกับรองแม่ทัพคนนั้นว่า “ให้พาผู้ป่วยทั้งหมดไปยังตำหนักข้าง ๆ ส่วนคนอื่น ๆ เมื่อกลับไปต้องอาบน้ำให้สะอาด และทุกที่ที่สัมผัสกับผู้ป่วยต้องทำความสะอาดอย่างละเอียด”"พ่ะย่ะค่ะ!"โรคนี้แพร่กระจายผ่านการสัมผัสเท่านั้นและไม่ติดต่อได้เหมือนโรคระบาดอื่น ๆ ตราบใดที่ยังมีการรักษาก็ไม่น่ากลัวสิ่งที่น่าสงสัยที่สุดคือ เหตุใดโรคนี้จึงปรากฏขึ้นในพระราชวังในชีวิตก่อน ซูชิงอู่เคยได้ยินเรื่องเล่าจากผู้คนที่หนีตายมาว่ามีหมู่บ้านที่โรคนี้ระบาด ชาวบ้านเกือบทั้งหมดตาย มีเพียงไม่กี่คนที่หลบหนีออกมาได้ น่าเสียดายที่หมอพื้นบ้านธรรมดาไม่สามารถรักษาได้ ต้องมองดูร
เขามองไปที่ซูชิงอู่ "ใครเป็นคนทำ?"ขันทีตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งโดนเตะไปทีหนึ่งเขารีบพูดด้วยความตื่นตระหนก "เมื่อไม่นานมานี้ชุ่ยเจวียนซึ่งอยู่ข้างกายโจวกุ้ยเหริน ขอให้เราไปที่โกดังน่าขนลุกแห่งหนึ่ง กลับมาแล้วก็เป็นโรคผิวหนังแบบนี้เลยพ่ะย่ะค่ะ...”ฮ่องเต้เฒ่าพึมพำกับตัวเองเมื่อเขาได้ยินชื่อที่ค่อนข้างไม่คุ้นเคยนี้“โจวกุ้ยเหริน?”ซูชิงอู่เปิดปากของนางเพื่ออธิบายข้อสงสัยของฮ่องเต้เฒ่า "โจวกุ้ยเหรินเคยเป็นนางกำนัลข้างกายของฮองเฮา ต่อมาถูกยกขึ้นเป็นสนม ต่อมาได้แต่งตั้งเป็นกุ้ยเหริน ตอนนี้อยู่ในวังมาหลายปีแล้ว"ฮ่องเต้เฒ่ามีสตรีในวังหลังเยอะจริง ๆหลายปีก่อนผู้ที่เคยได้รับความโปรดปรานครั้งหนึ่งแล้วก็ไม่ได้พบกันอีกเลย ไม่รู้มีสักกี่คนเขาจำไม่ได้จริง ๆแต่พอมีส่วนเกี่ยวข้องกับฮองเฮา ฮ่องเต้เฒ่าก็แสดงความโกรธทันที “นางตกต่ำถึงขนาดนี้ ยังกล้าทำร้ายข้าอีกเหรอ?”ซูชิงอู่เลิกคิ้วเล็กน้อย แล้วตอบด้วยน้ำเสียงสงบ "อย่างไรองค์ชายสามยังคงเป็นโอรสของฝ่าบาท"ทันทีที่คำพูดเหล่านี้หลุดออกมาสีหน้าของฮ่องเต้เฒ่าก็เย็นชาเล็กน้อยในทันทีเมื่อคิดว่าฮองเฮากล้าทำอะไรกับสายเลือดของราชวงศ์ในตอนนั้น ไฟโทสะในใ
“ตระกูลมู่หรงไม่ได้คิดจะก่อกบฏอย่างแน่นอน เสด็จแม่และไทเฮาไม่เคยคิดจะทำร้ายพระองค์ คนที่ต้องการทำร้ายพระองค์จริง ๆ ไม่ใช่ลูก แต่เป็นคนอื่นต่างหาก!”เสียงของเย่อวิ๋นถูร้อนรนเล็กน้อย เขาพยายามอธิบายอย่างเต็มที่ เหงื่อเย็นไหลลงจากศีรษะ "เห็นได้ชัดว่าโรคระบาดนี้เกิดจากคนที่ต้องการจะใส่ร้าย เพราะหากเสด็จพ่อเป็นอะไรไป คนที่ได้ประโยชน์สูงสุดก็ชัดเจนมาก!”เขาพูดแบบนี้โดยมุ่งเป้าไปที่องค์รัชทายาทเย่ชิวหมิงโดยตรงเย่ชิวหมิงเคยทะเลาะกับเย่อวิ๋นถูอยู่ก่อนแล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่แปลกใจกับคำพูดสกปรกของอีกฝ่ายเขาเพียงยกมือขึ้นคำนับฮ่องเต้ "เสด็จพ่อ ลูกเป็นองค์รัชทายาทแล้ว แต่ตำแหน่งยังไม่มั่นคงต้องการความช่วยเหลือจากท่าน หากท่านเป็นอะไรไปราชบัลลังก์จะไม่มั่นคง หากถูกศัตรูต่างแคว้นโจมตี ลูกในฐานะองค์รัชทายาทจะกลายเป็นคนบาปของแผ่นดิน!”ต้องยอมรับว่าลูกชายสองคนนี้พูดได้มีเหตุผลมากอย่างไรก็ตามเขาไม่อยากจะเชื่อคนใดเลยดวงตาของเขาแดงก่ำ ดูเหมือนเขาจะเสียสติไปแล้ว "พวกเจ้า...พวกเจ้าทุกคนต้องการทำร้ายข้า!"เย่อวิ๋นถูและเย่ชิวหมิงตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัด เมื่อได้ยินฮ่องเต้เฒ่าพูดคำดังกล่าวเย่อวิ๋นถูอธิ