เย่เสวียนถิงไม่ได้มีท่าทีจริงจัง เขาไม่ได้ถือว่าเย่อวิ๋นถูเป็นคู่ต่อสู้ของเขาด้วยซ้ำที่เขาคิดเช่นนี้ไม่ใช่เพราะความเย่อหยิ่ง แต่เพราะอีกฝ่ายไม่สามารถสร้างความเสียหายร้ายแรงต่อเขาได้และคงไม่มีทางพุ่งเป้ามาที่เขาสิ่งที่เขาควรระวังมากที่สุดในตอนนี้คือทางฝั่งภูเขาศักดิ์สิทธิ์ก่อนที่เด็กจะได้ถือกำเนิด ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ได้ลงมือโจมตีซูชิงอู่หลายต่อหลายครั้ง และตอนนี้เขากลัวว่าทางฝั่งนั้นจะใช้ทุกวิถีทางที่เป็นไปได้อย่างไร้ปรานีแม้เย่เสวียนจะไม่ทราบจุดประสงค์ในการโจมตีของภูเขาศักดิ์สิทธิ์ แต่เขาก็รู้ว่าต้องมีบางอย่างที่พวกเขาต้องการจากซูชิงอู่และลูกส่วนแผนการของเย่อวิ๋นถูที่ต้องการจัดการกับเย่ชิวหมิง เขาไม่คิดที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาไม่ได้สนใจมากนักว่าทั้งสองคนจะตายหรือมีชีวิตอยู่องครักษ์เงาลำดับที่สิบเจ็ดเงยหน้ามองอีกฝ่ายพลางทำความเข้าใจความคิดของผู้เป็นนายจากนั้นเขาก็รีบลุกขึ้นและกล่าวคำนับ “กระหม่อมเข้าใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ”เย่เสวียนถิงครุ่นคิดไปมา สุดท้ายก็บอกซูชิงอู่เกี่ยวกับเรื่องนี้เมื่อซูชิงอู่ได้ฟังเรื่องราว นางก็มีความคิดคล้ายกับเย่เสวียนถิง นางจึงเขียนจดหมายต
เขาหยุดชะงัก จากนั้นก็ลดเสียงลงและหรี่ตาเล็กน้อย “เช่นนั้นเขาก็เป็นผู้สืบทอดบัลลังก์แต่เพียงผู้เดียว”หากเย่ชิวหมิงไม่รู้ว่าความเป็นตายของเขาขึ้นอยู่กับความคิดของซูชิงอู่ เขาอาจจะเชื่อคำพูดของฉีเทียนหยวนจริง ๆน้ำเสียงสงสัยของอีกฝ่ายแฝงความยุยงเอาไว้ทุกคนล้วนเห็นว่าเย่ชิวหมิงให้ความสำคัญกับอ๋องเสวียนเพียงใด ฉีเทียนหยวนเองก็เห็นเช่นนั้นในใจของเขาเองก็ได้คิดคำนวนเอาไว้แล้วเย่ชิวหมิงคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “พี่ฉี สิ่งที่ท่านพูดก็ถือว่ามีเหตุผล”ฉีเทียนหยวนเงยหน้าพลางรู้สึกโล่งใจขึ้นเล็กน้อย“องค์รัชทายาท หากท่านไม่สามารถจัดการกับอ๋องเสวียนได้ ข้าจะช่วยเป็นกำลังให้ท่านเอง”ตอนนี้น้องสาวของเขากลายเป็นชายารัชทายาทแล้ว เขากับเย่ชิวหมิงจึงกลายเป็นครอบครัวเดียวกันไปโดยปริยายในสถานการณ์เช่นนี้ การทำให้เย่ชิวหมิงเชื่อใจแค่เขาและลงเรือลำเดียวกันกับเขาเท่านั้นจึงจะได้รับประโยชน์สูงสุดการมีอยู่ของอ๋องเสวียนชวนให้รู้สึกเหมือนมีมารผจญ หากเย่ชิวหมิงยังคงพึ่งพาอ๋องเสวียน พวกเขาก็คงจะถูกบีบให้ไร้อำนาจเย่ชิวหมิงหรี่ตาลง เขาอ่านความคิดของฉีเทียนหยวนออกหมดแล้วเขาใฝ่ฝันอยากจะได้ตำแหน่งอ
ดวงตาของซูชิงอู่ส่องประกายพี่ใหญ่และพี่รองจากเมืองหลวงไปหลายเดือนเพื่อช่วยเหลืออัครเสนาบดีซูแทนนางแต่ด้วยภาระงานที่จัดเตรียมไว้เงียบ ๆ ยังไม่เสร็จสิ้นจึงไม่ได้กลับมาเลยเมื่อเดือนก่อนหลังจากที่นางคลอดลูก แม้นางจะได้รับจดหมาย แต่นางก็ไม่เคยได้รับข่าวที่ทำให้สบายใจขึ้นว่าทั้งสองคนจะกลับมานางมองไปที่เย่หลิงจูอย่างรวดเร็ว “หลิงจู ช่วยดูแลพวกเขาให้ที ข้าจะออกไปดูสักหน่อย”เย่หลิงจูตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็พยักหน้าอย่างมั่นใจ“มีข้าอยู่ พี่สะใภ้ไม่ต้องห่วง”บรรยากาศหน้าจวนคึกคักราวกับมีงานเทศกาลคนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามา เป็นซูหัวจิ่นและซูเชียนหมิงที่ตามเนื้อตัวยังคงเปื้อนคราบสกปรกจากการเดินทางเล็กน้อยซูชิงอู่เดินออกจากห้องพร้อมกับอวิ๋นจื่ออวิ๋นชิงตรงไปทักทายพวกเขา“พี่ใหญ่ พี่รอง...”ทันทีที่ซูชิงอู่พูดจบ ร่างสูงก็เข้ามาหาและกอดนางไว้แน่นร่างกายของซูเชียนหมิงเจือด้วยความเย็น ดวงตาของเขาแดงก่ำและเหนื่อยล้าอย่างเห็นได้ชัดดูออกว่าระหว่างทางกลับมาเขาพักผ่อนไม่เพียงพออ้อมแขนของพี่รองทำให้ผ่อนคลายสบายใจอย่างยิ่งเสียงของซูเชียนหมิงแหบแห้ง เขาลดเสียงลงเล็กน้อยแล้วพูดว่า “ขอ
เมื่อได้ยินคำพูดของซูชิงอู่ ดวงตาสามคู่ก็มองมาที่นางน้ำเสียงของซูหัวจิ่นเจือความสงสัย “ชิงอู่ เจ้ารู้จักค่ายชิงเฟิงได้อย่างไร?”ชื่อนี้ทำให้คนที่ได้ยินรู้สึกว่ามันเป็นชื่อที่ตั้งขึ้นมาอย่างหยาบ ๆ และล้าสมัยมากคนที่เห็นชอบชื่อนี้ควจะไม่มีหัวด้านวรรณกรรมนักซูชิงอู่หลุบตาลงพลางนึกถึงสิ่งเหล่านั้น นางมีความทรงจำบางส่วนจากชาติก่อนติดตัวมาด้วย ตอนนี้หลังจากที่นางนึกอะไรออก ดวงตาของนางก็จะส่อประกายคมปลาบ“ค่ายชิงเฟิงอะไรนั่นเป็นเพียงเครื่องมือที่ตระกูลมู่หรงใช้เพื่อหาเงิน ไม่ว่าจะเป็นค่ายชิงเฟิงหรือค่ายเป่ยเฟิง ก็ล้วนมีคนคอยบงการอยู่เบื้องหลัง”คนที่นั่งฟังอยู่นั้นก็ไม่ได้โง่เขลา ใช้เวลาเพียงครู่เดียวก็เข้าใจทันทีว่าซูชิงอู่หมายถึงอะไร?”เย่เสวียนถิงพูดเนิบ ๆ “พวกมันปล้นขบวนเบี้ยบรรเทาทุกข์ ทั้งยังปล้นฆ่าเผาบ้านเรือน การที่ยังไม่สามารถกำจัดพวกมันได้แม้จะผ่านมาเป็นเวลานาน แสดงให้เห็นว่าต้องมีคนจากราชสำนักแอบสนับสนุนพวกมันอยู่ อาอู่พูดถูกแล้ว”ดวงตาของซูหัวจิ่นเบิกกว้างขึ้นในขณะที่เขาฟังคู่รักอธิบายไปมา“เชียนหมิงเคยนำคนไปโจมตีค่ายชิงเฟิง แต่คนเหล่านั้นได้หนีไปอย่างรวดเร็ว เมื่อถึงเ
ทารกน้อยที่นุ่มนิ่มบอบบางและงดงามในอ้อมแขนเขาตอนนี้คือเลือดเนื้อเชื้อไขของน้องสาวเขาความรู้สึกนี้ทำให้เขานึกถึงน้องสาวที่เคยเห็นเมื่อตอนยังเด็กขึ้นมาซูเชียนหมิงเอ็นดูซูชิงอู่มาตั้งแต่เด็ก และแน่นอนว่ามันเกิดจากที่เขาชอบช่วยท่านแม่ดูแลน้องสาวของเขามากที่สุดเขาสัมผัสใบหน้าขาวเนียนและละเอียดอ่อนราวกับไข่ปอกเปลือกของทารกน้อยอย่างอ่อนโยนดวงตาสีเข้มโตคู่หนึ่งเปิดขึ้นพาขนตายาวเป็นแพพัดขึ้นมาด้วย เจ้าหนูคนโตที่ร้องไห้งอแงเมื่อครู่ก็หยุดร้องทันทีราวกับเห็นสิ่งที่น่าสนใจ แล้วจู่ ๆ ก็ยื่นมือออกมา“โอ๊ย ๆ ...ไม่ได้นะเจ้าหนู อย่าดึง!”สิ่งที่ตามมาคือเสียงอุทานของซูเซียนหมิงซูเซียนหมิงที่ถูกดึงผมหลุดไปกระจุกหนึ่งก็ส่งทารกในอ้อมแขนให้กับแม่นมเขาถอนหายใจพลางเอ่ยด้วยความคิดถึงวันเก่า ๆ “ไม่เห็นน่ารักเหมือนเจ้าตอนเด็ก ๆ เลย”ซูชิงอู่มองท่าทางของซูเซียนหมิงและอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเบา ๆสุดท้ายทั้งห้องก็เงียบลง ทารกน้อยที่แสนสดใสทั้งสองต่างจ้องมองไปยังคนสองคนที่มาใหม่อย่างตั้งใจมองด้วยความอยากรู้อยากเห็นมีเพียงดวงตาของสาวน้อยตัวเล็ก ๆ คนสุดท้องเท่านั้นที่ไม่ได้สบตาพวกเขาซูหัวจิ่นได้รู
คนผู้นั้นแต่งกายด้วยเสื้อผ้าเรียบง่าย เป็นสตรีอายุประมาณยี่สิบปี นางสวมผ้าคลุมหน้า ดวงตาของนางค่อนข้างน่าเกรงขามและมีท่าทางการเดินที่เด่นเป็นสง่าซูชิงอู่ได้กลายเป็นแม่ลูกสาม และกลิ่นอายของสตรีแรกรุ่นที่เป็นเอกลักษณ์ของนางก็สูญสิ้นไปมากแล้วปัจจุบันดวงหน้าของซูชิงอู่มีเสน่ห์และงดงามราวกับภาพวาด นางสวมชุดลำลองที่ค่อนข้างบางเบาและเดินออกมาโดยไม่อิดออดนางเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายแล้วพูดว่า “ท่านหมอเทวดาหญิง”หมอเทวดาหญิงตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งแล้วหลุบสายตาลงอย่างสงบ น้ำเสียงของนางแม้เย็นชาแต่น่าฟัง ทำให้ผู้คนรู้สึกถึงความสะอาดและบริสุทธิ์ความประทับใจแรกของซูชิงอู่ที่มีต่อนางคือท่าทางที่เป็นเอกลักษณ์และน่าจดจำไม่แปลกใจที่พี่ใหญ่ยังจำนางได้แม้จะผ่านมานานแล้วไม่สิ เมื่อมองหน้าตาของอีกฝ่าย นางก็รู้สึกคุ้นเคยเล็กน้อยเหมือนเคยเห็นในภาพวาดสักภาพหลังจากเกิดใหม่ ความทรงจำของซูชิงอู่ก็แจ่มชัดขึ้นอย่างมาก และไม่ได้เลอะเลือนอีกต่อไปทันใดนั้นดวงตาของนางก็สั่นไหวราวกับนึกอะไรออกสตรีนางนั้นค่อย ๆ โน้มตัวทักทาย “นั่นเป็นเพียงชื่อปลอมที่คนอื่น ๆ บอกกล่าวกันตามใจชอบ พระชายาเรียกหม่อมฉันว่าเจี่ยหร
ดวงตาของซูชิงอู่ยามมองอีกฝ่ายเป็นประกายวาวราวกับมีแสงส่องออกมา ทันใดนั้นนางก็จับมือของหรงหย่าอย่างสนิทสนมและเอ่ยปากออกมา “แม่นางหรง”คำเรียกนั้นทำให้หรงหย่าตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นมองซูชิงอู่อย่างระมัดระวังดูเหมือนซูชิงอู่จะรู้ตัว จึงยิ้มแล้วพูดว่า “ชื่อของท่านคือเจี่ยหรงหรง การเรียกว่าแม่นางหรงก็จะดูสนิทสนมกันมากขึ้น”คำอธิบายของนางถือว่าใช้ได้ทีเดียว แม้หรงหย่าจะรู้สึกสับสนเล็กน้อย แต่นางก็พยักหน้ารับ“ตามแต่ความประสงค์ของพระชายาเลยเพคะ”เมื่อเห็นว่านางคุยด้วยง่าย ซูชิงอู่จึงลากนางไปนั่งที่เก้าอี้อีกฝั่งอย่างกระตือรือร้นทันที พลางหลุบตาลงเล็กน้อยแล้วถามว่า “ยาอยู่ที่ไหนหรือ? แล้วที่นั่นเป็นสถานที่แบบใด?”หรงหย่าคิดอย่างรอบคอบแล้วตอบว่า “พระชายาคงจะรู้จักภูเขาศักดิ์สิทธิ์ใช่ไหมเพคะ ยาที่หม่อมฉันพูดถึงเป็นวัตถุศักดิ์สิทธิ์ของภูเขาศักดิ์สิทธิ์ ว่ากันว่าสามารถฟื้นชีพคนตายได้ ไม่ต้องพูดถึงอาการป่วยของท่านหญิงน้อย แม้แต่คนที่กำลังจะตายก็สามารถฟื้นคืนชีพและยืดอายุของคนผู้นั้นได้เพคะ…”ซูชิงอู่หรี่ตาลงเล็กน้อย “ทุกสิ่งที่ท่านพูดเป็นเรื่องจริงหรือ?”นัยน์ตาของหรงหย่าจริงจังมาก
นางไม่คิดว่าตัวเองมีชื่อเสียงมากพอที่จะเป็นที่จดจำไม่ว่าจะไปที่ไหนก็ตามสิ่งที่สำคัญที่สุดคือนางไม่เคยเจอซูชิงอู่มาก่อน แม้นางจะเติบโตมาจนถึงวัยนี้ นางก็แทบจะไม่ได้ออกจากภูเขาศักดิ์สิทธิ์เลยหากนางไม่ได้ยินข้อมูลและความลับบางอย่างที่นางไม่ควรรู้ นางคงไม่ต้องหลบซ่อนเช่นในตอนนี้เพื่อที่จะส่งนางออกจากภูเขาศักดิ์สิทธิ์ แม้แต่พ่อแม่ของนางก็ยังต้อง…ดวงตาของหรงหย่าแดงก่ำและเสียงสั่นเล็กน้อย “ใครบอกชื่อของหม่อมฉันกับท่านหรือเพคะ?”ซูชิงอู่เห็นสีหน้าของนางและเดาได้ทันทีว่านางกำลังคิดอะไร“ข้ารู้ได้อย่างไรไม่สำคัญ ที่สำคัญคือ ยิ่งข้ารู้มากเท่าไรก็ยิ่งเป็นประโยชน์ต่อเจ้าใช่หรือไม่?”ปากของหรงหย่าขยับ ทว่านางไม่ได้พูดอะไรออกมาสักคำซูชิงอู่กล่าวต่อ “ยามที่คุยกับคนฉลาดไม่จำเป็นต้องพูดจาไร้สาระ ข้าเกลียดความหน้าซื่อใจคดที่สุด จงพูดอย่างเปิดเผยและอธิบายทุกอย่างให้ชัดเจนจะดีกว่า หรือว่าข้าพูดผิด?”หรงหย่าเสียงสั่น จากนั้นนางก็กัดริมฝีปากของตัวเองซูชิงอู่แข็งแกร่งมากจนนางพูดอะไรไม่ออกเลยแม้แต่คำเดียวทว่าหากพิจารณาจากคำพูดของซูชิงอู่แล้ว หากนางเป็นคนที่ใช้งานได้จริง ๆ นางไม่รู้ว่าจะต้องใช