มีคำพูดที่ว่าการมีชีวิตอยู่โดยรู้ว่าความตายจะคืบคลานมาหานั้นน่ากลัวกว่าการไม่รู้เป็นไหน ๆภายภาคหน้าพี่ชายคนโตของมู่หรงฉางอันคนนั้นคงจะนอนหลับตาไม่สนิทเป็นแน่ซูชิงอู่รู้สึกโล่งใจมากแม้จะแค่ได้ยินทันใดนั้นนางก็ยิ้มและประทับจูบที่ริมฝีปากของเขานางใช้แขนของนางโอบรอบคอของเขา เอนตัวแนบชิดกับร่างของอีกฝ่ายดวงตาของซูชิงอู่ฉายแววเจ้าเล่ห์ จากนั้นนางก็กัดใบหูส่วนล่างของเขาเบา ๆ พลางกระซิบที่ข้างหู “ท่านอ๋อง นี่ก็ผ่านมาสามเดือนแล้วนะ”เย่เสวียนถิงไม่เข้าใจว่านางหมายถึงอะไรเขาถึงกับตัวแข็งกะทันหัน แขนสองข้างเริ่มเกร็ง ในขณะที่ตัวของซูชิงอู่แนบกับหน้าอกของตัวเองทั้งสองดูเหมือนจะสามารถได้ยินเสียงหัวใจของกันและกันซูชิงอู่คิดว่ามันไม่เพียงพอ ดังนั้นนางจึงเริ่มใช้นิ้วมือปัดป่ายเพื่อปลุกเร้าเขา ทำให้ใบหน้าของชายหนุ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงเย่เสวียนถิงกัดฟันแล้วพูดว่า “อาอู่ อย่าเสียใจทีหลังแล้วกัน!”ผลก็คือ…วันรุ่งขึ้นซูชิงอู่นอนหมดแรงอยู่บนเตียงและไม่ลุกขึ้นซูชิงอู่นอนนวดขมับ แต่กลับยิ้มมุมปาก เมื่อนึกถึงทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ในหัวของนางก็มีเพียงความคิดเดียวไม่มีใครที่หนีสิ่งที่
เย่หลิงจูหรี่ตาลง “ข้าไม่อยากแต่งงาน ข้ามีคนที่ชอบอยู่แล้ว”ใบหน้าที่สับสนของนางซีดเล็กน้อย ดูเหมือนช่วงสองวันที่ผ่านมานางจะนอนไม่หลับทันใดนั้นนางก็เงยหน้าขึ้นแล้วพูดว่า “ข้าเล่าให้พี่สะใภ้ฟังเพียงเพราะข้าต้องการหาคนคุยด้วย ไม่ใช่เพราะอยากให้พี่สะใภ้ทำสิ่งใดเพื่อข้า”ซูชิงอู่ยิ้มมุมปาก “ตอนนี้หม่อมฉันยังไม่มีเวลาแม้แต่จะดูแลตัวเอง แล้วจะทำอะไรให้คนอื่นได้เล่า?”เย่หลิงจูไม่สนใจและพูดต่อ “แคว้นฉีตะวันออกอยู่ห่างออกไปหลายหมื่นลี้ เสด็จแม่ของข้าเองก็ไม่เห็นด้วยที่จะให้ข้าแต่งงาน ยิ่งไปกว่านั้น ข้าได้หมั้นหมายกับคนผู้หนึ่งไว้นานแล้ว ข้าว่าจะใช้ข้ออ้างนี้เพื่อเอาตัวรอด”จู่ ๆ ซูชิงอู่ก็ยิ้มและส่ายหัว “ไม่ได้เพคะ”เย่หลิงจูตกตะลึง “เหตุใดถึงไม่ได้เล่า?”ซูชิงอู่กล่าวว่า “ข้ออ้างของท่านไม่สมเหตุสมผล แม้จะมีการหมั้นหมายอยู่ก่อนแล้ว แต่ท่านก็ยังไม่ได้เข้าพิธีแต่งงาน ทั้งยังเป็นเพียงข้อตกลงทางวาจาเท่านั้น”เมื่อได้ยินดังนั้น ใบหน้าของเย่หลิงจูก็ซีดลง “เช่นนั้นจะทำอย่างไรดี หากไม่ได้ผลจริง ๆ ข้าจะขอให้เสด็จแม่ช่วยหาทางอื่น ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ข้าก็จะไม่อภิเษกกับองค์ชายสามแห่งแคว้นฉีตะวั
แม้จะกังวลเล็กน้อย แต่เมื่อนางนึกถึงคำกำชับของซูชิงอู่ นางก็ฮึกเหิมขึ้นมารถม้าก็หยุดลงกะทันหันเย่หลิงจูพิงผนังรถม้าอย่างประหม่าพลางหายใจเข้าลึก ๆเพียงทำตามที่พระชายาบอกเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้อื่นทำร้าย นางทำได้เพียงทำให้ผู้อื่นรังเกียจนางเท่านั้น...ทันทีที่นางเปิดม่านและลงจากรถม้า สาวใช้ผู้น้อยที่รออยู่ตรงประตูรถก็ตกใจจนเกือบจะกรีดร้องนางเบิกตากว้างพลางชี้นิ้วไปที่เย่หลิงจูแล้วพูดว่า “องค์หญิง ใบหน้าของท่าน!”เย่หลิงจูเลิกคิ้วเล็กน้อย “เอากระจกมาให้ข้าดูหน่อย”สาวใช้ผู้น้อยก็มอบของให้นางทันทีเย่หลิงจูเห็นว่าอวัยวะบนใบหน้าในกระจกไม่มีการเปลี่ยนแปลง แต่มีเพียงตุ่มเล็ก ๆ บนแก้มของนางชนิดที่ว่าใครเห็นก็คงเหงื่อตกไปตาม ๆ กันนางยิ้มมุมปากเล็กน้อย จากนั้นก็หยิบพัดมาปิดครึ่งล่างของใบหน้า เหลือเพียงครึ่งบนที่ใสสะอาดนางหัวเราะเบา ๆ และพูดกับคนรับใช้ที่อยู่ข้างหลังนาง “ไปพบกับว่าที่สามีในอนาคตของข้ากันเถอะ”หลังจากพูดจบ เย่หลิงจูก็เดินเข้าไปในร้านอาหารวันนี้ร้านอาหารว่างเปล่าไร้ผู้คนตอนนี้ควรจะเป็นเวลาที่ยุ่งที่สุด แต่ตอนนี้กลับไม่มีใครมาทานอาหารที่นี่เลยเย่หลิงจูเข้าใจ
หลังจากได้ฟังสิ่งที่เย่หลิงจูพูด สีหน้าขององค์ชายสามแห่งแคว้นฉีตะวันออกก็ดูแย่ลงไปทันทีอย่างน้อยเขาก็เป็นโอรสองค์โปรดของโอรสสวรรค์ เขาได้พบเจอสตรีมาเป็นร้อยเป็นพัน เขาเคยเห็นสาวงามมาทุกประเภท ไม่มีสตรีใดที่ไร้ยางอายเท่าเย่หลิงจูมาก่อนดวงตาของเขาเบิกกว้าง มองเย่หลิงจูที่เลื่อนพัดที่ปิดบังใบหน้าออกเผยให้เห็นใบหน้าที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังหากมองจากระยะไกลก็ดูไม่มีปัญหาอะไรแต่หากมองจากระยะใกล้ นั่นคือหายนะอย่างแท้จริงครึ่งล่างของใบหน้าเต็มไปด้วยตุ่มเล็ก ๆ สีเนื้อที่ขึ้นตะปุ่มตะป่ำเย่หลิงจูยิ้มยั่วยวนให้ พลางสัมผัสใบหน้าของนางแล้วพูดว่า “ท่านจ้องข้าเยี่ยงนี้ คงเห็นว่าข้าสวยจนไม่อาจละสายตาได้ใช่หรือไม่? เราเลื่อนงานอภิเษกให้เร็วขึ้นได้ไหม? ลูกของเราทั้งสองต้องงามกว่าข้าแน่...”“อ้วก…”องค์ชายสามทนไม่ไหวและแทบจะอาเจียนออกมาเสียเดี๋ยวนั้นเขาโบกมือพร้อมใบหน้าซีดเซียว “เร็วเข้า ไล่นางบ้าคนนี้ออกไป!”เมื่อเย่หลิงจูเห็นว่ามีใครบางคนมาไล่นาง นางก็รีบทำท่าทางไม่พอใจทันที“พวกเจ้าจะทำอะไร เจ้าทั้งสองอยากสัมผัสเรือนร่างขององค์หญิงเช่นข้าหรือ? ทุกส่วนของร่างกายข้าเป็นขององค์ชายของพวกเจ้า
เดิมทีนางเป็นคนไม่รู้จักอดทนมาแต่ไหนแต่ไร แต่นับตั้งแต่นางกลับมาเกิดใหม่ ทุกสิ่งทุกอย่างในใจของนางล้วนสงบนิ่ง ดังนั้นนางจึงค่อนข้างทะนุถนอมความเงียบสงบที่อยู่เบื้องหน้าแต่เมื่อถึงเวลาพลบค่ำความสงบก็ถูกทำลายลงองครักษ์เงาเดินเข้ามาในลานจวน เมื่อเขาเห็นซูชิงอู่ก็โค้งคำนับให้ "พระชายา ที่ท่านสั่งการให้กระหม่อมติดตามทูตของแคว้นอู๋ตะวันตก บัดนี้มีการเคลื่อนไหวแล้ว เราพบว่า ตอนนี้พวกเขาได้เคลื่อนไปยังหอหมื่นบุปผาเรียกหาคนมาปรนนิบัติ ทั้งยังลอบส่งคนไปอยู่ที่ตั้งเดิมของจวนอัครเสนาบดีแต่เมื่อวนรอบหนึ่งแล้ว ไม่พบอะไรเลยจึงออกไป”ซูชิงอู่ยกยิ้มมุมริมฝีปากทันทีทันใดนั้นดวงตาของนางก็เป็นประกายแม้หลิงซื่อและซูเชียนหลิงจะชั่วร้ายเพียงใด แต่ยังมีผู้บงการที่แท้จริงอยู่เบื้องหลังคนสองคนนี้ถ้าไม่ใช่เพราะคนจากแคว้นอู๋ตะวันตกส่งพวกนางมาอยู่ในจวนอัครเสนาบดีและบงการให้พวกนางทำสิ่งต่าง ๆ ตระกูลซูของนางคงไม่ต้องลงเอยในสภาพเช่นนี้“ข้าเข้าใจแล้ว เจ้าให้ใครสักคนพาซูเชียนหลิงไปแต่งเนื้อแต่งตัวเสีย ให้นางสวมผ้าคลุมหน้าแล้วส่งไปให้พวกเขา ในเมื่อพวกเขาพยายามทุกวิถีทางที่จะตามหานาง ข้าก็จะใส่พานยกไปให้ถึงท
ซูเชียนหลิงพยายามอ้าปากหมายจะส่งเสียง แต่นางไม่อาจเอื้อนเอ่ยได้เพราะยาใบ้ที่นางกินเข้าไปซูชิงอู่นั่งบนเก้าอี้ที่สะอาดข้างกายตน จากนั้นลดสายตาลงมองดูซูเชียนหลิงที่นอนอยู่บนพื้นในสภาพสะบักสะบอม“เสด็จพ่อของเจ้าส่งคนมาตามหาเจ้าแล้ว”ซูเชียนหลิงส่งเสียงแหบแห้งในลำคอ ดวงตาของนางเปล่งประกายด้วยความหวังหลังจากได้ยินคำพูดเหล่านี้แต่ในช่วงเวลาถัดมา ซูชิงอู่ก็ได้บดขยี้ประกายแห่งความหวังนี้ทิ้งในทันที“ก็คือคนเดียวกับที่เจ้ารับใช้เขาเมื่อคืนนี้นั่นแหละ”ดวงตาของซูเชียนหลิงเบิกกว้างทันที ทั้งตัวสั่นระริกราวกับว่าเมื่อคืนนี้นางฝันร้ายสมองของนางว่างเปล่า ดวงตาของซูเชียนหลิงแทบจะถลนออกมาจากเบ้า ใบหน้าเขียวช้ำบิดเบี้ยวแทบไม่เหลือเค้ามนุษย์ทันใดนั้นมุมปากของนางก็ขยับ ดวงตาทั้งสองเต็มไปด้วยความว่างเปล่าและสับสนราวกับว่าหมดอาลัยในทุกสิ่งทุกอย่างเพราะนางรู้ดีว่าหากคนที่มาตามหานางรู้ตัวตนของนาง และรู้ว่าองค์หญิงถูกพวกเขาและคนอื่น ๆ ทำมิดีมิร้าย แถมเรื่องนี้อยู่นอกพระเนตรพระกันต์ของฮ่องเต้ พวกเขาจะทำยังไง…พวกเขาจะหาทางฆ่านาง และปล่อยให้นางตายด้วยอุบัติเหตุเพื่อไม่ให้ใครรู้เรื่องราวทั้งหมดท
นางยิ้มหวาน แต่สิวบนใบหน้านางนับว่าดูไม่ได้จริง ๆซูชิงอู่ยิ้มตอบนาง แล้วหันหน้าหนีทันใดนั้นเอง มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นนอกประตูอย่างกะทันหัน มีคนสองคนเข้ามาจากทางซ้ายและขวาทูตจากแคว้นอู๋ตะวันตกและแคว้นฉีตะวันออกไม่พอใจซึ่งกันและกัน บรรยากาศตึงเครียดอยู่ไม่น้อย“กระหม่อมขอถวายบังคมฮ่องเต้!”ฮ่องเต้เฒ่าพูดทันที "เชิญนั่งเถิด"มีคนเตรียมเก้าอี้ไว้แล้ว ให้ทั้งสองฝ่ายนั่งอยู่ทางซ้ายและขวาของฝูงชนเหตุการณ์เริ่มตึงเครียดในทันที และแม้แต่ฮ่องเต้เฒ่าก็ยังรู้สึกปวดหัวเมื่อเห็นฉากนี้การพบปะครั้งนี้เดิมทีควรจัดแยกกัน แต่การจะเรียกฝ่ายไหนเข้าเฝ้าก่อนก็กลายเป็นปัญหาไป แม้ว่าแคว้นอู๋ตะวันตกและแคว้นหนานเย่จะมีข้อพิพาทกันมากมาย แต่ยังไม่ถึงขั้นสู้รบ ขณะที่แคว้นฉีตะวันออกก็ไม่มีความขัดแย้งใด ๆ ในช่วงสองสามปีที่ผ่านมาก็ไม่ได้ใกล้ชิดกับแคว้นหนานเย่สักเท่าไรแต่ในเมื่อเป็นพันธมิตรกันและยังมีความประสงค์จะเชื่อมสัมพันธ์ด้วยการแต่งงาน ทัศนคติของฮ่องเต้เฒ่าที่มีต่อพวกเขาจึงค่อนข้างผ่อนปรนมากกว่า“ทูตทั้งสองแคว้นมาเยือนแคว้นหนานเย่ของเรา มีจุดประสงค์อันใดก็ว่ามาตรง ๆ เถิด”องค์ชายสามแห่งแคว้นฉีตะวัน
เนื่องจากเย่หลิงจูนั่งอยู่ข้าง ๆ ซูชิงอู่ใบหน้าที่จงใจทำให้น่าเกลียดจึงยิ่งดูไม่น่าดูมากขึ้นเมื่ออีกฝ่ายมองมา นางยังแกล้งขยิบตาให้เขาไปอีกด้วยท่าทางดังกล่าวทำให้องค์ชายสามที่กำลังใจเต้นรัวสงบลงทันที เขารีบทำความเคารพฮ่องเต้ด้วยความเคารพและกล่าวว่า "องค์หญิงสี่นั้นอ่อนโยนและมีคุณธรรม รูปโฉมงดงาม ทั้งฉลาดหลักแหลม หากได้เป็นชายาของกระหม่อมคงจะเป็นเกียรติอย่างยิ่ง!”"เพล้ง!"เสียงถ้วยกระเบื้องเคลือบแตกดังมาจากที่ไม่ไกลนัก ชายกระโปรงของเย่หมิงเย่ก็เปื้อนด้วยคราบชานางเบิกตากว้างด้วยความไม่เชื่อและนางตัวแข็ง ใบหน้าซีดเผือดยังไม่ทันที่นางจะได้พูดอะไร ฮ่องเต้เฒ่าก็ลูบเคราของเขาแล้วถามว่า "ข้าจำได้ว่าคนที่เจ้าอยากแต่งงานด้วยคือองค์หญิงห้ามิใช่หรือ?"คิ้วของเย่หลิงจูกระตุก หัวใจเต้นรัวองค์ชายสามเหลือบมองไปยังเย่หลิงจู เมื่อเห็นสีหน้าโกรธเกรี้ยวของอีกฝ่าย ไม่รู้ด้วยเหตุผลใดอารมณ์หดหู่ของเขาก็กลับสดใสขึ้นเขารีบกล่าวอย่างจริงจัง "ก่อนหน้านี้กระหม่อมจำคนผิดพ่ะย่ะค่ะ"ฮ่องเต้เฒ่ายิ้มและไม่ได้สนใจเอาความอีก "หมิงเยว่ออกมาพบกับองค์ชายสามเถิด"เย่หมิงเยว่รู้สึกราวกับฝีเท้าหนักราวกับทองคำ