ซูเชียนหลิงพยายามอ้าปากหมายจะส่งเสียง แต่นางไม่อาจเอื้อนเอ่ยได้เพราะยาใบ้ที่นางกินเข้าไปซูชิงอู่นั่งบนเก้าอี้ที่สะอาดข้างกายตน จากนั้นลดสายตาลงมองดูซูเชียนหลิงที่นอนอยู่บนพื้นในสภาพสะบักสะบอม“เสด็จพ่อของเจ้าส่งคนมาตามหาเจ้าแล้ว”ซูเชียนหลิงส่งเสียงแหบแห้งในลำคอ ดวงตาของนางเปล่งประกายด้วยความหวังหลังจากได้ยินคำพูดเหล่านี้แต่ในช่วงเวลาถัดมา ซูชิงอู่ก็ได้บดขยี้ประกายแห่งความหวังนี้ทิ้งในทันที“ก็คือคนเดียวกับที่เจ้ารับใช้เขาเมื่อคืนนี้นั่นแหละ”ดวงตาของซูเชียนหลิงเบิกกว้างทันที ทั้งตัวสั่นระริกราวกับว่าเมื่อคืนนี้นางฝันร้ายสมองของนางว่างเปล่า ดวงตาของซูเชียนหลิงแทบจะถลนออกมาจากเบ้า ใบหน้าเขียวช้ำบิดเบี้ยวแทบไม่เหลือเค้ามนุษย์ทันใดนั้นมุมปากของนางก็ขยับ ดวงตาทั้งสองเต็มไปด้วยความว่างเปล่าและสับสนราวกับว่าหมดอาลัยในทุกสิ่งทุกอย่างเพราะนางรู้ดีว่าหากคนที่มาตามหานางรู้ตัวตนของนาง และรู้ว่าองค์หญิงถูกพวกเขาและคนอื่น ๆ ทำมิดีมิร้าย แถมเรื่องนี้อยู่นอกพระเนตรพระกันต์ของฮ่องเต้ พวกเขาจะทำยังไง…พวกเขาจะหาทางฆ่านาง และปล่อยให้นางตายด้วยอุบัติเหตุเพื่อไม่ให้ใครรู้เรื่องราวทั้งหมดท
นางยิ้มหวาน แต่สิวบนใบหน้านางนับว่าดูไม่ได้จริง ๆซูชิงอู่ยิ้มตอบนาง แล้วหันหน้าหนีทันใดนั้นเอง มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นนอกประตูอย่างกะทันหัน มีคนสองคนเข้ามาจากทางซ้ายและขวาทูตจากแคว้นอู๋ตะวันตกและแคว้นฉีตะวันออกไม่พอใจซึ่งกันและกัน บรรยากาศตึงเครียดอยู่ไม่น้อย“กระหม่อมขอถวายบังคมฮ่องเต้!”ฮ่องเต้เฒ่าพูดทันที "เชิญนั่งเถิด"มีคนเตรียมเก้าอี้ไว้แล้ว ให้ทั้งสองฝ่ายนั่งอยู่ทางซ้ายและขวาของฝูงชนเหตุการณ์เริ่มตึงเครียดในทันที และแม้แต่ฮ่องเต้เฒ่าก็ยังรู้สึกปวดหัวเมื่อเห็นฉากนี้การพบปะครั้งนี้เดิมทีควรจัดแยกกัน แต่การจะเรียกฝ่ายไหนเข้าเฝ้าก่อนก็กลายเป็นปัญหาไป แม้ว่าแคว้นอู๋ตะวันตกและแคว้นหนานเย่จะมีข้อพิพาทกันมากมาย แต่ยังไม่ถึงขั้นสู้รบ ขณะที่แคว้นฉีตะวันออกก็ไม่มีความขัดแย้งใด ๆ ในช่วงสองสามปีที่ผ่านมาก็ไม่ได้ใกล้ชิดกับแคว้นหนานเย่สักเท่าไรแต่ในเมื่อเป็นพันธมิตรกันและยังมีความประสงค์จะเชื่อมสัมพันธ์ด้วยการแต่งงาน ทัศนคติของฮ่องเต้เฒ่าที่มีต่อพวกเขาจึงค่อนข้างผ่อนปรนมากกว่า“ทูตทั้งสองแคว้นมาเยือนแคว้นหนานเย่ของเรา มีจุดประสงค์อันใดก็ว่ามาตรง ๆ เถิด”องค์ชายสามแห่งแคว้นฉีตะวัน
เนื่องจากเย่หลิงจูนั่งอยู่ข้าง ๆ ซูชิงอู่ใบหน้าที่จงใจทำให้น่าเกลียดจึงยิ่งดูไม่น่าดูมากขึ้นเมื่ออีกฝ่ายมองมา นางยังแกล้งขยิบตาให้เขาไปอีกด้วยท่าทางดังกล่าวทำให้องค์ชายสามที่กำลังใจเต้นรัวสงบลงทันที เขารีบทำความเคารพฮ่องเต้ด้วยความเคารพและกล่าวว่า "องค์หญิงสี่นั้นอ่อนโยนและมีคุณธรรม รูปโฉมงดงาม ทั้งฉลาดหลักแหลม หากได้เป็นชายาของกระหม่อมคงจะเป็นเกียรติอย่างยิ่ง!”"เพล้ง!"เสียงถ้วยกระเบื้องเคลือบแตกดังมาจากที่ไม่ไกลนัก ชายกระโปรงของเย่หมิงเย่ก็เปื้อนด้วยคราบชานางเบิกตากว้างด้วยความไม่เชื่อและนางตัวแข็ง ใบหน้าซีดเผือดยังไม่ทันที่นางจะได้พูดอะไร ฮ่องเต้เฒ่าก็ลูบเคราของเขาแล้วถามว่า "ข้าจำได้ว่าคนที่เจ้าอยากแต่งงานด้วยคือองค์หญิงห้ามิใช่หรือ?"คิ้วของเย่หลิงจูกระตุก หัวใจเต้นรัวองค์ชายสามเหลือบมองไปยังเย่หลิงจู เมื่อเห็นสีหน้าโกรธเกรี้ยวของอีกฝ่าย ไม่รู้ด้วยเหตุผลใดอารมณ์หดหู่ของเขาก็กลับสดใสขึ้นเขารีบกล่าวอย่างจริงจัง "ก่อนหน้านี้กระหม่อมจำคนผิดพ่ะย่ะค่ะ"ฮ่องเต้เฒ่ายิ้มและไม่ได้สนใจเอาความอีก "หมิงเยว่ออกมาพบกับองค์ชายสามเถิด"เย่หมิงเยว่รู้สึกราวกับฝีเท้าหนักราวกับทองคำ
เพราะซูชิงอู่ให้ความรู้สึกว่านางสามารถพึ่งพาและไว้ใจอีกฝ่ายได้อย่างเต็มที่ฮ่องเต้เฒ่าโบกมือ "มอบหมายให้คนมาดูแลองค์หญิงสี่ให้ดี แล้วส่งนางลงไปก่อน""พ่ะย่ะค่ะ!"ขันทีที่อยู่ด้านข้างรับคำสั่งและส่งเย่หมิงเยว่ออกไป องค์ชายสามยืนอยู่กลางห้องโถงด้วยสีหน้าไม่พอใจเล็กน้อย“ฝ่าบาท กระหม่อมมาที่นี่เพื่อขอให้มีการแต่งงานระหว่างทั้งสองแคว้น แต่กระหม่อมไม่อาจแต่งงานกับองค์หญิงที่ป่วยและอ่อนแอเช่นนี้ได้ หากนางเสียชีวิตโดยบังเอิญระหว่างทางและการแต่งงานยังไม่สมบูรณ์ ถึงเวลานั้นอาจเกิดความเข้าใจผิดที่นำไปสู่สงครามระหว่างสองแคว้นได้!”สิ่งที่อีกฝ่ายพูดนั้นค่อนข้างสมเหตุสมผล ดังนั้นฮ่องเต้เฒ่าจึงพูดว่า "จริงด้วย เช่นนั้นองค์ชายสามจะแต่งงานกับองค์หญิงอีกคนหรือไม่?"ริมฝีปากขององค์ชายสามกระตุกเล็กน้อยดวงตาของเขามีฉายแววโกรธเกรี้ยว “เช่นนั้นฝ่าบาทมีองค์หญิงอีกกี่พระองค์?”ฮ่องเต้เฒ่าลูบคางแล้วพูดว่า "หลิงจูไง"ร่างกายของเย่หลิงจูสั่นเล็กน้อย นางเงยหน้าขึ้นแล้วยิ้ม “หม่อมฉันอยู่นี่…”“ขออภัยที่กระหม่อมปฏิเสธ!”ฮ่องเต้เฒ่าอึ้งไป "..."การถูกองค์ชายสามปฏิเสธอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้ ทำให้ทุกคนในโถ
ไม่มีใครคาดคิดว่าทูตจากทั้งสองแคว้นจะพาองค์ชายของตนมาด้วยฮ่องเต้หรี่ตาลง "ที่แท้ก็เป็นองค์ชายนี่เอง"อู๋หลางกล่าวว่า "เมื่อกระหม่อมมายังแคว้นของท่านในครั้งนี้ มีเพียงสิ่งเดียวที่ต้องทำนั่นคือการพาน้องสาวของกระหม่อมกลับแคว้นไปเข้าเฝ้าเสด็จพ่อของกระหม่อมเพียงเท่านั้น"“น้องสาวของเจ้าคือใคร?”ฮ่องเต้เฒ่าคิดอยู่ครู่หนึ่งแต่จำไม่ได้ว่าแคว้นหนานเย่ของเขาเคยจับองค์หญิงแห่งแคว้นอู๋ตะวันตกได้เมื่อใด“ถ้ากระหม่อมพูดเช่นนี้ ฝ่าบาทอาจจำได้ว่าน้องสาวของกระหม่อมไม่ใช่ใครอื่น หากแต่เป็นบุตรีคนโตตระกูลซู ซูเชียนหลิงพ่ะย่ะค่ะ!”"อะไรนะ!"มีเสียงอุทานอย่างต่อเนื่องจากฝูงชนด้านล่างสาเหตุหลักเป็นเพราะคำตอบของอีกฝ่ายนั้นแปลกประหลาดและน่าตกใจเกินไปถึงขั้นที่หลายคนในฝูงชนหันไปมองที่ซูชิงอู่เพราะคนเดียวที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับซูเชียนหลิงคือซูชิงอู่ พระชายาเสวียน!อู๋หลางอธิบายว่า “กระหม่อมรู้ว่ามันฟังดูเหลือเชื่อสำหรับท่าน แต่เรื่องนี้เริ่มต้นเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว…”“ครั้งหนึ่งเสด็จพ่อของกระหม่อมเคยหนีการลอบสังหารและได้รับการช่วยเหลือจากนักขับร้องแซ่หลิง นางช่วยชีวิตเขาไว้ แต่ตอนจากไปรีบร้อ
ซูเชียนหลิงเงยหน้าขึ้นและมองดูทุกคนในที่นั้นด้วยความหวาดกลัว ทันใดนั้นสายตาของนางก็หยุดลงที่อู๋หลางซึ่งยืนอยู่กลางห้องโถง ดวงตาของนางหดตัวลงด้วยความกลัวและกรีดร้อง!“กรี๊ดดด…”นางดิ้นรนด้วยความตื่นตระหนก จากนั้นจึงรีบมุดเข้าไปอยู่ใต้โต๊ะข้าง ๆ ทันทีอู๋หลางชะงัก ดวงตาของเขาก็ค้างอยู่ครู่หนึ่งเขาเคยเห็นรูปเหมือนของซูเชียนหลิงมาก่อนแล้ว แม้ว่าสตรีที่ถูกพาเข้ามาจะผอมกว่ามาก แต่ก็ยังคงมีลักษณะเด่นที่ชัดเจนอู๋หลางเดินเข้ามาหาซูเชียนหลิงทันที“เชียนหลิง ข้าเป็นพี่ชายเจ้า...”“อย่าเข้ามา อย่ามาแตะต้องข้า กรี๊ด...”เพียงแค่เห็นเขา ซูเชียนหลิงก็นึกถึงฝันร้ายเมื่อคืนก่อนอีกฝ่ายไม่ได้มองนางเป็นคนด้วยซ้ำใครจะคิดว่า ชายที่ภายนอกดูดีคนนั้น ข้างในจะเลวร้ายและโหดเหี้ยมเช่นนี้!ใบหน้าของอู๋หลางมืดมน เขามองไปที่ซูชิงอู่และถามว่า "น้องสาวของข้าเป็นอะไรไป?"ซูชิงอู่เลิกคิ้วเล็กน้อย ก่อนที่รอยยิ้มที่ชั่วร้ายจะฉายแววขึ้นในดวงตาของนาง“นางเป็นอะไร เกรงว่าท่านคงต้องถามตัวเองก่อน”อู๋หลางตกใจและไม่เข้าใจความหมายในคำพูดของซูชิงอู่เลยซูชิงอู่เตือนอย่างกรุณา "เมื่อคืนนี้องค์ชายใหญ่ดูมีความสุขม
เมื่ออู๋หลางได้ยินเสียงและมองไปเห็นฉีเทียนหยวน องค์ชายสามแห่งแคว้นฉีตะวันออกกล่าวว่า "ช่างไร้สาระนักที่แคว้นอู๋ตะวันตกส่งองค์ชายอย่างท่านคนนี้มา ข้าจะส่งคนไปเผยแพร่เรื่องนี้อย่างดีทีเดียว องค์ชายใหญ่ของแคว้นอู๋ตะวันตก แม้แต่น้องสาวผู้น่าสงสารของตนก็ยังไม่ละเว้น มันช่าง...จิ๊ จิ๊…”เขาถอนหายใจและเดาะลิ้น หันมองไปทางซูชิงอู่ เมื่อเขาเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังมองเขาอยู่ เขาก็ยืดหลังทันทีและเปล่งเสียงดังขึ้นหลายระดับดวงตาของอู๋หลางมืดมนอย่างยิ่งและเขาจ้องมองไปที่ฉีเทียนหยวนอย่างดุเดือด“ถ้าข้าไม่ถูกใครหลอกล่ะก็...”“ท่านมาที่นี่คงไม่ได้ใส่ใจเรื่องราชกิจ คงคิดถึงแต่ความสุขส่วนตัว ไม่เช่นนั้นจะเกิดเรื่องเข้าใจผิดแบบนี้ได้อย่างไร?”ฉีเทียนหยวนตีความการคาดการณ์ที่เขาพูดว่าเป็นความเข้าใจผิดอู๋หลางโกรธกับคำพูดของฉีเทียนหยวน แต่เขาไม่สามารถทำอะไรได้ เพราะมือของเขายังเจ็บมาก ไม่รู้จะโต้แย้งฝ่ายตรงข้ามอย่างไรเขานำคนของเขาออกจากท้องพระโรงไปโดยไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว จากนั้นทั้งท้องพระโรงก็กลับสู่ความสงบฉีเทียนหยวนเดินไปหาซูชิงอู่และทักทายนางด้วยความเคารพ "แม่นางซู เจ้ามั่นใจได้ มีข้าอยู่ที่นี่
“แน่นอน!”ซูชิงอู่ปิดตาของนาง ในใจอธิษฐานให้กับองค์ชายสามนางอ้าปากและเตือนว่า “ท่านอ๋อง โปรดหยุดเถิดเอาแค่พอสมควรนะเจ้าคะ”เย่เสวียนถิงพยักหน้าเล็กน้อย “นั่งลงเถอะ ข้ารู้ว่าต้องทำอย่างไร”ซูชิงอู่พยักหน้าและนั่งลงข้าง ๆ เย่หลิงจูเมื่อเห็นฉากนี้เย่หลิงจูก็ลดเสียงลงและกระซิบข้างหูของซูชิงอู่ “พี่สะใภ้ แล้วองค์ชายสามผู้นี้คงไม่ใช่ว่าตกหลุมรัก…ท่าน…?”ซูชิงอู่เลิกคิ้ว “เขาก็แค่หาภาระใส่ตัว”เย่หลิงจูอดไม่ได้ที่จะกลั้นหัวเราะ “ดูสิ พี่รองของข้าโกรธมาก องค์ชายสามนั่นกล้าดียังไง? ในเมื่อข้าเป็นสาวงามที่นั่งอยู่ที่นี่แต่เขากลับไม่มองข้าจิ๊ จิ๊...”ซูชิงอู่หรี่ตา “เจ้ายังอยากแสดงต่ออีกหรือ?”ไหล่ของเย่หลิงจูสั่นเล็กน้อย นางหัวเราะจนตัวสั่น“ท่านไม่เห็นประโยชน์ของเรื่องนี้หรือ แทนที่จะปล่อยให้คนอื่นรังแกข้า ข้าก็ยังดีกว่าที่จะเริ่มรังเกียจคนอื่นมันเยี่ยมมากข้าเลือกที่จะไปรังแกคนอื่นก่อน มันน่าสนุกจริง ๆ!”ซูชิงอู่เงียบ “...”นางสงสัยว่านางทำอะไรผิดหรือไม่ ที่ทำให้เย่หลิงจูเข้าสู่เส้นทางแปลก ๆ อย่างไม่อาจหวนกลับ?เมื่อฮ่องเต้เฒ่าได้ยินคำขอของคนทั้งสองแม้ว่าเขาจะรู้สึกว่ามีบางอย่างผ
คนขายเนื้อทำสีหน้าหวาดกลัว “คนผู้นี้เลวทรามถึงเพียงนี้เลยรึ?”“เจ้าคอยระวังตัวเอาไว้ก็ไม่เป็นไรแล้ว ทางนั้นตรวจดูเสร็จรึยัง? ไปกันต่อเถิด!”เมื่อกองกำลังทำการค้นหาเสร็จเรียบร้อย คนขายเนื้อก็ยิ้มมุมปากเบา ๆเขาคิดไม่ถึงเลยว่าคนเหล่านี้จะพบเบาะแสทางตะวันตกของเมืองเร็วถึงเพียงนี้หากเขาไม่ได้เตรียมพร้อมมาก่อนหน้านี้และรีบปลอมตัวโดยไว เขาก็คงจะถูกจับได้ไปแล้วคนขายเนื้อรีบเข้าไปยังพื้นที่ด้านในสุดของร้านเขาเหลือบมองหนอนกู่ที่ซ่อนเอาไว้ในตู้ในหนึ่ง และเมื่อเปิดตู้ใบนั้น ดวงตาของเขาก็ฉายแววน่ากลัวออกมาผ่านมาหลายปี ดูเหมือนโลกภายนอกจะลืมความน่ากลัวของภูเขาศักดิ์สิทธิ์ไปแล้ว เริ่มแรกนั้นพวกเขาได้ครอบครองตำแหน่งระดับสูงของราชวงศ์ในแคว้นต่าง ๆ ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงตำแหน่งในนามแต่มันสามารถแทรกแซงแคว้นนั้น ๆ และพลิกสถานการณ์ได้ตอนนี้เรื่องที่สำคัญที่สุดคือการแอบเข้าไปในพระราชวังเพื่อช่วยเหลือเจียงเฟยเอ๋อร์หากต้องการเข้าไปในพระราชวังมีการคุ้มกันอย่างแน่นหนาได้ก็ต้องใช้วิธีที่ต่างออกไปบุรุษผู้นั้นออกจากร้านขายเนื้อหมูที่ถูกตรวจค้นเรียบร้อยแล้ว พร้อมกับปิดประตูร้านแสร้งทำเป็นออกไปทำธุร
หลังจากซูชิงอู่ส่งชิงอวี่ออกไปก็ยังคงตื่นเต้นอยู่เล็กน้อยซูชิงอู่หาคนมาวาดภาพเหมือนเจ้าอาวาสในปีที่แล้วและส่งต่อให้คนอื่น ๆ เพื่อช่วยกันค้นหา ซึ่งมันก็ผ่านมานานมากแล้ว และมีเพียงชิงอวี่เท่านั้นที่นำข่าวที่ได้รับการยืนยันกลับมาแจ้งนางแม้จะยังไม่ได้เจอคนผู้นั้น แต่ก็หมายความว่านางจะได้รู้ความจริงของการตายของท่านแม่เสียทีหลังจากสงบสติอารมณ์ได้ ซูชิงอู่ก็ตัดสินใจเดินทางไปทันทีนางอยากไปเจอจิ้งซินผู้นั้นด้วยตนเองและถามเขาว่าเหตุใดตอนนั้นเขาถึงฆ่าท่านแม่ของนาง!คืนเดียวกันนั้นซูชิงอู่ได้พูดคุยเรื่องนี้กับเย่เสวียนถิงเมื่อเย่เสวียนถิงได้รับรู้เรื่องราวก็พยักหน้าเบา ๆ และตัดสินใจอย่างทันทีว่า “ข้าจะส่งคนไปจับเขามาให้เจ้า”ซูชิงอู่ได้ยินอีกฝ่ายตอบง่าย ๆ และห้วนก็อดไม่ได้ที่จะตะลึงและหัวเราะ“ได้”ตอนนี้มีศิษย์พี่ของเจียงเฟยเอ๋อร์คอยจับตาดูอยู่ในเมืองหลวง ซูชิงอู่จึงไม่สามารถไปหาคนผู้นั้นพร้อมกับชิงอวี่ได้บรรยากาศในเมืองหลวงเริ่มตึงเครียดขึ้นเรื่อย ๆแม้แต่ฮ่องเต้เช่นเย่ชิวหมิงก็สังเกตเห็นสัญญาณของเหตุการณ์ร้ายแรงบางอย่างที่กำลังจะตามมาเขาเคยได้ยินซูชิงอู่พูดว่าศัตรูที่ซ่อนตัวอ
ไป๋เฟิงก้มหัวลงอย่างเชื่อฟัง ราวกับมันได้กลายเป็นแมวตัวใหญ่ไปแล้วซูชิงอู่อดหัวเราะไม่ได้ “เจ้าคงเหนื่อยแย่ วันนี้ทำได้ดีมาก”ในที่สุดก็ได้ใช้ประโยชน์จากไป๋เฟิง สมกับที่เลี้ยงมันมานานไป๋เฟิงยืนขึ้นและอ้าปากหาว ส่วนสิงโตขนทองคำที่อยู่ข้าง ๆ ย่องเข้ามาทางด้านหลังซูชิงอู่ และใช้หัวถูเอวของนางดูเหมือนว่ามันต้องการให้ซูชิงอู่ลูบมันด้วยคนอื่น ๆ มองไปยังซูชิงอู่ที่มีร่างกายบอบบางยืนอยู่ตรงหน้าสัตว์ดุร้ายทั้งสอง พวกเขาทั้งหมดก็พูดไม่ออกอยู่นานนี่มัน...ร้ายกาจเกินไปแล้ว!แม้แต่กลุ่มบุรุษร่างใหญ่เช่นพวกเขาก็ยังไม่กล้าเข้าใกล้สัตว์ดุร้ายทั้งสองแม้แต่ครึ่งก้าว ทว่าซูชิงอู่กลับสามารถมีปฏิสัมพันธ์กับพวกมันได้อย่างกลมกลืนเหมือนพวกมันเป็นสัตว์เลี้ยงของนางเมื่อไม่ถูกยุงกัดและกินยาสมุนไพรที่ผสมไว้แล้ว ม้าทุกตัวในสนามฝึกก็สงบลงและกลับสู่ภาวะปกติทันทีที่ซูชิงอู่กลับมาถึงตำหนัก ก็เห็นหรงหย่าวิ่งเข้ามา“พระชายา เมื่อครู่มีคนมาพบท่านและบอกว่ามีเรื่องด่วนต้องรายงาน”“มีเรื่องด่วนอะไรรึ?”หรงหย่าส่ายหัว “ข้าก็ไม่รู้เช่นกัน ท่านไปดูก่อนเถิด”ซูชิงอู่สั่งให้คนพาผู้ส่งข่าวเข้ามาทันทีนางจ้อง
เลือดของแมลงวันติดอยู่ที่มือของซูชิงอู่ส่งกลิ่นแปลก ๆ ออกมาเมื่อซูชิงอู่มองชัด ๆ นางก็ได้รู้ว่ามันไม่ใช่แมลงวันแต่เป็น…แมลงมีปีกชนิดหนึ่งที่มีลักษณะคล้ายแมลงวันปากของแมลงมีความคมมาก สามารถเจาะทะลุขนของสัตว์บางชนิดได้ง่าย ทว่าแมลงมีปีกชนิดนี้ไม่สนใจมนุษย์และจะกัดเฉพาะสัตว์เท่านั้นที่แท้นี่คือสาเหตุหลักที่ทำให้สัตว์ในเมืองหลวงบ้าคลั่งในช่วงหลายวันนี้!ซูชิงอู่ยังสังเกตเห็นว่ายุงเหล่านี้ถูกพิษและเมื่อพวกมันแพร่พันธุ์ ในไข่ก็มีสารพิษดังกล่าวติดไปด้วยขอเพียงแมลงเหล่านี้ยังกัดสัตว์ต่อไป สารพิษก็จะค่อย ๆ สะสมทีละน้อยสุดท้ายก็ถึงขั้นทำให้เสียสติ!คนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้มีเจตนาชั่วร้ายหากนางไม่ค้นพบสิ่งนี้ก่อน เกรงว่าม้าศึกทั้งหมดจะต้องตายไปด้วยความบ้าคลั่งอีกทั้งยังไม่อาจทราบสาเหตุได้แน่นอนว่าม้าศึกเป็นส่วนสำคัญในกองทัพ หากทหารม้าเสียม้าไป ก็คงไม่ต่างไปจากคนอ่อนแอไร้ค่า...ซูชิงอู่ตัดสินใจอย่างรวดเร็ว“นำม้าทุกตัวไปไว้ในที่ปิดและหาทางฆ่าแมลงมีปีกเหล่านี้ให้สิ้นเสีย”รองแม่ทัพที่ติดตามนางมารีบจำคำสั่งนี้เอาไว้ทันที“รับทราบพ่ะย่ะค่ะพระชายา!”เขาก็รีบกระจายคำสั่งออก
เมื่อเย่เสวียนถิงได้ยินสิ่งที่ซูชิงอู่พูด สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นเยือกเย็น “ข้าจะส่งคนไปตรวจสอบ”ซูชิงอู่ส่ายหัวทันที “ยาพิษนี้คงไม่ได้อยู่ในอาหารสัตว์ อีกทั้งเมื่อมาลองคิดดู สัตว์ป่าจำนวนมากที่อยู่ใกล้เมืองหลวง รวมไปถึงม้าศึกล้วนติดพิษกันหมด มีเพียงมนุษย์เท่านั้นที่ไม่เป็นอะไร นี่เป็นเรื่องที่แปลกมาก และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือไม่มีใครสามารถวางยาพิษม้าศึกในเมืองหลวงได้อย่างเงียบ ๆ ”การวิเคราะห์ของซูชิงอู่นั้นสมเหตุสมผลมาก แม้แต่เย่เสวียนถิงเองก็ขมวดคิ้วขึ้นมาหากหาสาเหตุไม่พบก็แก้ปัญหาไม่ได้แม้จะรักษาม้าหนึ่งในนั้นจนหายขาด แต่ก็จะกลับมามีอาการเดิมในอีกไม่ช้าไม่ไกลกันนักก็มีนายทหารระดับสูงนายหนึ่งวิ่งเข้ามาเขาหอบหายใจและกล่าวว่า “ท่านอ๋อง ทำการตรวจสอบเสบียงอาหารแล้วไม่พบสิ่งผิดปกติพ่ะย่ะค่ะ”“น้ำล่ะ?”“ตรวจสอบน้ำแล้วเช่นกัน ไม่มีร่องรอยของการวางยาพิษเลยพ่ะย่ะค่ะ”เมื่อได้ยินรายงาน เย่เสวียนถิงก็ขมวดคิ้วหนักกว่าเก่าคราวนี้แย่แล้วสิซูชิงอู่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ช่วยทำให้ม้าทุกตัวสงบลงก่อนได้หรือไม่ เดี๋ยวข้าจะเข้าไปดูรางอาหารม้าเอง”“ได้พ่ะย่ะค่ะพระชายา กรุณารอสักครู่ ก
เริ่มแรก เขาสงสัยในเรื่องที่ซูชิงอู่เคยพูดจนเกิดความคิดจินตนาการบางส่วนขึ้นมา เรียกได้ว่าตอนกลางวันก็เอาแต่นึกถึง ตกกลางคืนก็เก็บมาฝันอีกแต่เขาไม่เคยได้ยินซูชิงอู่พูดถึงเรื่องนี้มาก่อนเลยจริง ๆเนื่องจากความฝันนั้นมันดูเพ้อเจ้อเกินไป เย่เสวียนถิงจึงไม่พูดออกมา เพราะกลัวว่ามันจะเป็นการเพิ่มภาระให้กับซูชิงอู่อย่างไม่มีเหตุผลหลายวันมานี้ซูชิงอู่อาศัยอยู่กับลูกน้อยทั้งสามของนางเพื่อชดเชยช่วงเวลาที่นางห่างพวกเขาไปนานเด็ก ๆ ที่เพิ่งจะอายุได้ไม่กี่เดือนแต่กลับต้องห่างจากอ้อมอกของพ่อแม่ นั่นทำให้ซูชิงอู่รู้สึกผิดขึ้นมาดังนั้นนางจึงไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องภายนอกมากนักทันใดนั้นนางก็นึกอะไรออกและถามว่า “เสวียนถิง ช่วงนี้หมาป่าเหล่านั้นที่อยู่ข้างนอกเป็นอย่างไรบ้าง?”เย่เสวียนถิงเงยหน้าขึ้นและพูดว่า “ไม่ได้มีเพียงสัตว์ร้าย แต่ยังกระทบไปถึงม้าศึกด้วย ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงเริ่มไม่เชื่อฟังคำสั่งกัน”“เดี๋ยวข้าจะไปตรวจสอบเรื่องนี้เสียหน่อย”ซูชิงอู่รู้สึกได้โดยไม่รู้ตัวว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องเกี่ยวกับเรื่องนี้แม้เรื่องจะดูเป็นเรื่องเล็กน้อยและไม่มีผลกระทบกับมนุษย์มากนัก แต่นางก็รู้สึกอ
ทันใดนั้นหมอหลวงซุนก็เหมือนจะคิดอะไรออก “เหมือนกับตอนที่พระชายาใช้ดอกไม้ชนิดหนึ่งเพื่อทำให้ม้าพยศคลั่งใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”“อืม ทำนองนั้นแหละ”สิ่งเหล่านั้นเป็นสิ่งที่นางพบในเภสัชตำรับ และหากใช้มัน ผลลัพธ์ที่ได้จะน่าทึ่งมากแม้ลงมือไปอย่างกะทันหัน แต่ก็ไม่มีใครจับได้ปรมาจารย์มือวางพิษที่แท้จริงคือผู้ที่วางยาพิษโดยไม่ทิ้งหลักฐานใด ๆ เอาไว้“ขอบพระทัยพระชายาสำหรับคำชี้แนะ หลังจากที่ได้พูดคุยกับท่าน กระหม่อมก็เข้าใจอย่างกระจ่างแจ้งแล้วพ่ะย่ะค่ะ”ซูชิงอู่ปิดเภสัชตำรับ “ข้าท่องเภสัชตำรับนี้จนจำขึ้นใจ และเข้าใจเนื้อหาด้านในได้คร่าว ๆ เพียงแต่ยังไม่พบวิธีที่จะไขความลับที่อยู่ในนั้น หวังว่าท่านจะช่วยเรื่องนี้ได้”คราวนี้ ทุกคนเชื่อมั่นในคำพูดของซูชิงอู่สิ่งที่พวกเขาไม่ได้สนใจ แต่พระชายากลับนำมาใช้งานได้ถึงขั้นนี้ ยังมีอะไรที่ต้องพูดกันอีกหรือ?ตาแก่เช่นพวกเขาที่อาศัยว่าตนอายุมากทำตัวอาวุโสดูถูกผู้อื่นนั้นเทียบเทียมพระชายาไม่ได้เลย!หลังจากที่ซูชิงอู่อธิบายเรื่องนี้จบ นางก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกและแอบหลบออกมาทางประตูใหญ่นางกลัวว่าคนเหล่านั้นจะถามนางว่านางศึกษาเรียนรู้ทักษะทางการ
หมอหลวงซุนขมวดคิ้วเล็กน้อย“อย่าพูดไร้สาระ นั่นจะเป็นไปได้อย่างไร? พระชายาไม่จำเป็นต้องโกหกพวกเราเลย โกหกพวกเราไปแล้วนางจะได้ประโยชน์อะไร?”คำพูดนี้ก็ถือว่ามีเหตุผลทุกคนต่างพูดไม่ออกทำได้แค่นั่งเงียบ ๆ แล้วพลิกหน้าอ่านต่อไปพลิกหน้ากระดาษตั้งแต่เช้าจรดค่ำ และอ่านจนถึงเช้าวันรุ่งขึ้นตำราทั้งเล่มถูกอ่านจนจบอย่างรวดเร็ว ทุกคนในสำนักหมอหลวงไม่ได้นอนมาสองวันสองคืน และตอนนี้ทุกคนดูเหนื่อยและมีสีหน้าทรุดโทรมเมื่ออ่านหน้าจนถึงสุดท้าย แม้แต่หมอหลวงซุนก็ตกอยู่ในความเงียบเพราะเภสัชตำรับเล่มนี้บันทึกเฉพาะโรคและวัตถุดิบยาที่ธรรดาทั่วไปมาก ๆ บางส่วนเท่านั้นข้อแตกต่างเพียงหนึ่งเดียวคือผู้อาวุโสเช่นพวกเขาได้เรียนรู้เกี่ยวกับวัตถุดิบยาหลายประเภทและพัฒนาแนวคิดใหม่ ๆแม้จะไม่ไร้ประโยชน์ แต่ความคาดหวังกับผลลัพธ์ก็แตกต่างกันมากเลยทีเดียวถึงขั้นทำให้พวกเขาขาดความมั่นใจและอดไม่ได้ที่จะคิดว่านี่น่ะหรือคือเภสัชตำรับที่ตระกูลฟางเฝ้าหวงแหนมานานหลายปี?ดวงตาของหมอหลวงซุนเต็มไปด้วยสีแดงก่ำที่เกิดจากการอดนอน“ในเมื่อเภสัชตำรับของตระกูลฟางไร้ประโยชน์ เช่นนั้นพระชายาไปเรียนรู้ทักษะด้านการแพทย์มา
“นี่คือวัตถุดิบยาและปริมาณที่คนผู้นั้นทำการวางยา ที่สำนักหมอหลวงของพวกท่านมีสิ่งนี้อยู่แล้ว หากจะทำยาถอนพิษก็คงไม่ใช่เรื่องยากกระมัง”“ไม่ยากพ่ะย่ะค่ะ ไม่ยาก!”หมอหลวงซุนยิ้มร่าราวกับได้รับสมบัติเขามองซูชิงอู่ที่ยังอยู่ในวัยหนุ่มสาว แต่กลับเก่งกาจกว่าเหล่าคนชราเช่นพวกเขาเมื่อรวมกับเภสัชตำรับของตระกูลฟางที่ซูชิงอู่พูดถึง หมอหลวงเฒ่าก็ดีใจจนเนื้อเต้นหากได้เรียนรู้และกลายเป็นคนที่เก่งกาจเหมือนพระชายา ระดับความรู้ของเขาก็จะเพิ่มขึ้นไปด้วยหรือไม่?แต่หมอหลวงซุนไม่เคยรู้เลยว่าทุกสิ่งที่ซูชิงอู่เรียนรู้ไม่ได้มาจากเภสัชตำรับของตระกูลฟางในเภสัชตำรับเล่มนั้นมีความแตกต่างตรงจุดไหน ตัวซูชิงอู่ในตอนนี้ก็ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำแม้ตอนตายไปในชาติก่อน เภสัชตำรับก็ถูกทำลายและไม่มีใครเห็นความลับที่ซ่อนอยู่ในนั้นจุดเด่นเพียงหนึ่งเดียวของเภสัชตำรับเล่มนั้นคือบันทึกข้อมูลวัตถุดิบยาจำนวนมากที่คนทั่วไปไม่ทราบและสรรพคุณลับบางส่วนบรรดาผู้อาวุโสของสำนักหมอหลวงพากันมาช่วยคิดค้นยาถอนพิษเพื่อที่จะได้อ่านเภสัชตำรับนั้นเร็ว ๆในที่สุดเช้าวันรุ่งขึ้นยาที่สามารถฟื้นฟูสติของสัตว์ร้ายได้ก็ถูกส่งมาให้ฮ่องเต้