เห็นได้ชัดว่าทั้งสองคนทนไม่ไหวอีกต่อไปอีกคนหนึ่งเบิกตากว้างและพยายามอย่างหนักเพื่อพูดสิ่งที่คิดออกมา“แล้วก็ ระวัง...ระวังคน…” ก่อนที่เขาจะพูดจบ ปีศาจสวรค์ผู้นั้นก็สิ้นใจชายชุดดำ “...”เขาโกรธมากจนอยากจะจับคนที่พูดมาฆ่าอีกครั้งระวังอะไรก็ไม่พูดให้จบ!แม้ตายก็ใช่ว่าจะสบาย!ชายในชุดคลุมสีดำมีเส้นเลือดปูดโปนบนหน้าผากของเขา เขาอยากจะหั่นศพทั้งสองเป็นชิ้น ๆ แต่ถึงอย่างไรนั่นก็คือเพื่อนร่วมงานของเขา สุดท้ายเขาจึงโยนพวกเขาลงไปใน…ทะเลสาบดวงตาของชายชุดสีดำที่ซ่อนอยู่ในความมืดฉายแววดุดัน ในไม่ช้าเขาก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย เขาต้องรีบไปกระจายข่าวโดยเร็วที่สุดว่าขาของเย่เสวียนถิงหายดีแล้วสิ่งที่สำคัญที่สุดคือไม่เพียงแต่ขาของชายคนนั้นจะหายดีแล้ว แต่ความแข็งแกร่งของเขายังเพิ่มขึ้นอย่างมาก และยังน่ากลัวยิ่งขึ้นอีกด้วย!ไม่แปลกใจที่เขาเป็นถึงเทพเจ้าสงครามแห่งแคว้นหนานเย่ คงมีเพียงเจ้าสำนักหลัวซาตัวจริงเท่านั้นที่สามารถประมือกับเขาได้!……ณ จวนอ๋องเสวียน องครักษ์เงาลำดับที่สิบเจ็ดและคนอื่น ๆ คุกเข่าเป็นแถว“ท่านอ๋องได้โปรดลงโทษกระหม่อมและคนอื่น ๆ ที่ล้มเหลวในการอารักขา จนทำให้ท่านและ
หากมีสิ่งไม่คาดคิดเกิดขึ้นกับอีกฝ่าย นางอาจจะทำอารมณ์ไปจุดธูปไหว้ที่หลุมศพของเขาเพื่อทำหน้าที่ในฐานะลูกสักวันหนึ่งเย่เสวียนถิงสั่งให้คนเตรียมอุปกรณ์อาบน้ำ จากนั้นก็พานางกลับไปพักผ่อนทว่าในเช้าวันรุ่งขึ้น อวิ๋นจื่อก็มาที่ห้องของซูชิงอู่พร้อมความกังวล “พระชายา หม่อมฉันมีเรื่องสำคัญจะเรียนแจ้งให้ทราบเพคะ”ซูชิงอู่ให้อีกฝ่ายเข้ามา นางยังตื่นไม่เต็มที่ดี“เรื่องสำคัญอะไร?”เย่เสวียนถิงไปที่ห้องหนังสือตั้งแต่เช้า คนรับใช้ที่อยู่รอบตัวนางทั้งหมดก็ถูกสั่งให้ออกไปเพื่อให้นางได้นอนต่ออีกสักหน่อยคนที่สามารถเข้าออกที่นี่ได้อย่างอิสระมีเพียงอวิ๋นจื่อและอวิ๋นชิงอวิ๋นจื่อกล่าวว่า “มีคนติดประกาศบนแท่นหินที่ใจกลางเมืองหลวง มีเนื้อความว่าหากพระชายาไม่รีบไปที่เมืองเจียงหยางภายในสามวัน อัครเสนาบดีซูและฮูหยินเฒ่าซูจะถูกแขวนคอที่หน้าทางเข้าเมืองหลวงเพคะ!ซูชิงอู่กะพริบตา“อ้อ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับข้าล่ะ?”อวิ๋นจื่อกล่าวทันที “การที่อีกฝ่ายทำเช่นนี้ คงเป็นเพราะรู้อยู่แล้วว่าท่านกับตระกูลซูไม่ถูกกัน เหตุผลคือต้องการทดสอบพระชายาว่าท่านจะยอมเสี่ยงเพื่ออัครเสนาบดีซูหรือไม่ อีกประการคือต้องการทำลายชื
ซูชิงอู่สั่งให้คนนำของออกไป จากนั้นก็ได้ยินซูหัวจิ่นพูดอย่างเขินอายเล็กน้อย “อาอู่ ข้ามีเรื่องหนึ่งอยากให้เจ้าช่วย”ซูชิงอู่ตกใจเล็กน้อย จากนั้นนางก็พูดด้วยรอยยิ้ม “พี่ใหญ่พูดมาได้เลย”“ช่วงนี้พี่ห้าของเจ้าออกจากบ้าน พี่สะใภ้ใหญ่จึงกลายเป็นเช่นนั้นอีกครั้ง หลายวันมานี้ข้ามีเรื่องที่ต้องจัดการและอยากให้เสี่ยวเป่าเอ๋อร์มาพักกับเจ้าที่นี่สักสองสามวัน เจ้าจะสะดวกหรือไม่”ดวงตาของซูชิงอู่เป็นประกายเมื่อนางนึกถึงเจ้าซาลาเปาน้อยที่แสนนุ่มนิ่ม ใจของนางก็ละลายไปหมด“ได้สิ ข้าไม่มีอะไรทำพอดี ที่จวนน่าเบื่อมาก แล้วคนอื่น ๆ ไปไหนกัน?”หลังจากที่นางพูดจบ ก็มีคนนอกประตูพานายน้อยเข้ามาทันทีที่เข้าไปในห้อง คุณชายน้อยที่แต่งตัวเรียบร้อยสะอาดสะอ้านก็วิ่งตรงมาด้วยขาสั้น ๆ จากนั้นเขาก็มากอดขาซูชิงอู่อย่างไม่เกรงกลัว“ท่านอา ท่านอา!”ซูชิงอู่อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ พลางลูบผมนุ่ม ๆ ของหนุ่มน้อยร่างเล็ก “ช่วงนี้เสี่ยวเป่าเอ๋อร์โตขึ้นอีกแล้ว นะเนี่ย”นางกำลังจะเอื้อมมือไปอุ้มเสี่ยวเป่าเอ๋อร์ แต่ก็ถูกซูหัวจิ่นห้ามไว้“เจ้ายังตั้งครรภ์อยู่ ฝากให้คนรับใช้ดูแลเถิด อย่าอุ้มเขาเองเลย”ซูชิงอู่มองท่าทางปร
แต่การที่นางมีส่วนร่วมในชาตินี้จึงยังไม่มีอะไรเกิดขึ้นพี่น้องตระกูลซูเติบโตมาภายใต้ร่มเงาของอัครมหาเสนาบดีซู โดยเฉพาะพี่ใหญ่และพี่รอง พวกเขาได้ใช้ชีวิตร่วมกับพ่อแม่มาอย่างสมบูรณ์ต่างจากน้องสาวที่สูญเสียแม่ไปตั้งแต่อายุยังน้อยดังนั้นแม้จะผิดหวังในตัวอัครมหาเสนาบดีซู แต่ก็คงทนเห็นเขาตายต่อหน้าไม่ได้ซูหัวจิ่นขมวดคิ้วและพูดอย่างเคร่งขรึม “เจ้าอยู่บ้านดูแลลูกในครรภ์ของตัวเองให้ดี ไม่ต้องกังวลเรื่องอื่น”ซูชิงอู่รู้ดีว่าแม้จะถามไปพี่ใหญ่ก็จะไม่บอกอะไร มิสู้ไปสืบหาด้วยตัวเองจะดีกว่า“เจ้าค่ะ”หลังจากส่งพี่ใหญ่กลับไปแล้ว ซูชิงอู่ก็เรียกองครักษ์เงาลำดับที่สิบเจ็ดมาทันที“ไปสืบให้ทีว่าตอนนี้บรรดาพี่ ๆ ของข้าอยู่ที่ไหนกันบ้าง!”องครักษ์เงาลำดับที่สิบเจ็ดรับคำสั่งและออกไปปฏิบัติงานทันที เวลาผ่านมาเพียงแค่ตอนเที่ยง ข้อมูลก็ถูกส่งไปถึงซูชิงอู่แล้วตอนนี้ซูชิงอู่กำลังรับประทานอาหารกลางวันกับเสี่ยวเป่าเอ๋อร์ หลังจากที่เห็นจดหมายจากองครักษ์เงาลำดับที่สิบเจ็ด นางก็ถูหัวคิ้วของตัวเองเบา ๆแม้จะรู้ความสามารถของบรรดาพี่ชาย แต่นางก็ยังกังวลอยู่เล็กน้อยนางมีญาติเพียงไม่กี่คน และนางก็ใส่ใจพวก
แม้เนื้อหาของจดหมายจะไม่ได้มากมายนัก แต่ก็ทำให้ซูชิงอู่รู้อย่างชัดเจนว่าอัครเสนาบดีซูได้รับการช่วยเหลือและเข้ารับการรักษาตัวแล้ว ส่วนฮูหยินเฒ่า นางหมดสติและเป็นอัมพาตครึ่งซีกเนื่องจากอาการหวาดกลัว หลายปีต่อจากนี้นางจะทำได้เพียงนอนอยู่บนเตียงและไม่สามารถพูดเป็นประโยคได้ส่วนผู้ที่ลักพาตัวอัครเสนาบดีซูก็ถูกกองกำลังของพี่รองสังหารแล้ว ตรวจสอบพบว่าอำนาจที่อยู่เบื้องหลังพวกเขามีความเกี่ยวข้องกับตระกูลมู่หรงความจริงที่ว่ามู่หรงฉางอันถูกปลดทำให้เกิดความเกลียดชังอย่างลึกซึ้งระหว่างซูชิงอู่และตระกูลมู่หรง ตอนนี้นางตั้งครรภ์แล้ว ตระกูลมู่หรงจะไม่เจ็บแค้นได้อย่างไรสาเหตุที่จับอัครเสนาบดีซูไปแล้วข่มขู่นางก็คงเป็นเพราะความเกลียดชังน่าเสียดายที่นางไม่ได้ตัวคนเดียวนางไม่ได้ออกตัวลงมือเองด้วยซ้ำ แต่เรื่องนี้ก็ได้รับการแก้ไขอย่างน่าพอใจซูชิงอู่กลับมาใส่ใจกับครรภ์ของตัวเองและได้กลิ่นหอมของอาหารขึ้นทันทีที่เงยหน้าเห็นว่าเย่เสวียนถิงถือหม้อน้ำแกงเข้ามาวางบนโต๊ะชายรูปร่างสูงโปร่ง สวมชุดลำลองสีดำ แขนเสื้อถูกพับขึ้นเผยให้เห็นกล้ามเนื้อแขนที่แข็งแรงของเขาเย่เสวียนถิงเป็นไม้แขวนเสื้อที่สมบูรณ์
มีคำพูดที่ว่าการมีชีวิตอยู่โดยรู้ว่าความตายจะคืบคลานมาหานั้นน่ากลัวกว่าการไม่รู้เป็นไหน ๆภายภาคหน้าพี่ชายคนโตของมู่หรงฉางอันคนนั้นคงจะนอนหลับตาไม่สนิทเป็นแน่ซูชิงอู่รู้สึกโล่งใจมากแม้จะแค่ได้ยินทันใดนั้นนางก็ยิ้มและประทับจูบที่ริมฝีปากของเขานางใช้แขนของนางโอบรอบคอของเขา เอนตัวแนบชิดกับร่างของอีกฝ่ายดวงตาของซูชิงอู่ฉายแววเจ้าเล่ห์ จากนั้นนางก็กัดใบหูส่วนล่างของเขาเบา ๆ พลางกระซิบที่ข้างหู “ท่านอ๋อง นี่ก็ผ่านมาสามเดือนแล้วนะ”เย่เสวียนถิงไม่เข้าใจว่านางหมายถึงอะไรเขาถึงกับตัวแข็งกะทันหัน แขนสองข้างเริ่มเกร็ง ในขณะที่ตัวของซูชิงอู่แนบกับหน้าอกของตัวเองทั้งสองดูเหมือนจะสามารถได้ยินเสียงหัวใจของกันและกันซูชิงอู่คิดว่ามันไม่เพียงพอ ดังนั้นนางจึงเริ่มใช้นิ้วมือปัดป่ายเพื่อปลุกเร้าเขา ทำให้ใบหน้าของชายหนุ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงเย่เสวียนถิงกัดฟันแล้วพูดว่า “อาอู่ อย่าเสียใจทีหลังแล้วกัน!”ผลก็คือ…วันรุ่งขึ้นซูชิงอู่นอนหมดแรงอยู่บนเตียงและไม่ลุกขึ้นซูชิงอู่นอนนวดขมับ แต่กลับยิ้มมุมปาก เมื่อนึกถึงทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ในหัวของนางก็มีเพียงความคิดเดียวไม่มีใครที่หนีสิ่งที่
เย่หลิงจูหรี่ตาลง “ข้าไม่อยากแต่งงาน ข้ามีคนที่ชอบอยู่แล้ว”ใบหน้าที่สับสนของนางซีดเล็กน้อย ดูเหมือนช่วงสองวันที่ผ่านมานางจะนอนไม่หลับทันใดนั้นนางก็เงยหน้าขึ้นแล้วพูดว่า “ข้าเล่าให้พี่สะใภ้ฟังเพียงเพราะข้าต้องการหาคนคุยด้วย ไม่ใช่เพราะอยากให้พี่สะใภ้ทำสิ่งใดเพื่อข้า”ซูชิงอู่ยิ้มมุมปาก “ตอนนี้หม่อมฉันยังไม่มีเวลาแม้แต่จะดูแลตัวเอง แล้วจะทำอะไรให้คนอื่นได้เล่า?”เย่หลิงจูไม่สนใจและพูดต่อ “แคว้นฉีตะวันออกอยู่ห่างออกไปหลายหมื่นลี้ เสด็จแม่ของข้าเองก็ไม่เห็นด้วยที่จะให้ข้าแต่งงาน ยิ่งไปกว่านั้น ข้าได้หมั้นหมายกับคนผู้หนึ่งไว้นานแล้ว ข้าว่าจะใช้ข้ออ้างนี้เพื่อเอาตัวรอด”จู่ ๆ ซูชิงอู่ก็ยิ้มและส่ายหัว “ไม่ได้เพคะ”เย่หลิงจูตกตะลึง “เหตุใดถึงไม่ได้เล่า?”ซูชิงอู่กล่าวว่า “ข้ออ้างของท่านไม่สมเหตุสมผล แม้จะมีการหมั้นหมายอยู่ก่อนแล้ว แต่ท่านก็ยังไม่ได้เข้าพิธีแต่งงาน ทั้งยังเป็นเพียงข้อตกลงทางวาจาเท่านั้น”เมื่อได้ยินดังนั้น ใบหน้าของเย่หลิงจูก็ซีดลง “เช่นนั้นจะทำอย่างไรดี หากไม่ได้ผลจริง ๆ ข้าจะขอให้เสด็จแม่ช่วยหาทางอื่น ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ข้าก็จะไม่อภิเษกกับองค์ชายสามแห่งแคว้นฉีตะวั
แม้จะกังวลเล็กน้อย แต่เมื่อนางนึกถึงคำกำชับของซูชิงอู่ นางก็ฮึกเหิมขึ้นมารถม้าก็หยุดลงกะทันหันเย่หลิงจูพิงผนังรถม้าอย่างประหม่าพลางหายใจเข้าลึก ๆเพียงทำตามที่พระชายาบอกเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้อื่นทำร้าย นางทำได้เพียงทำให้ผู้อื่นรังเกียจนางเท่านั้น...ทันทีที่นางเปิดม่านและลงจากรถม้า สาวใช้ผู้น้อยที่รออยู่ตรงประตูรถก็ตกใจจนเกือบจะกรีดร้องนางเบิกตากว้างพลางชี้นิ้วไปที่เย่หลิงจูแล้วพูดว่า “องค์หญิง ใบหน้าของท่าน!”เย่หลิงจูเลิกคิ้วเล็กน้อย “เอากระจกมาให้ข้าดูหน่อย”สาวใช้ผู้น้อยก็มอบของให้นางทันทีเย่หลิงจูเห็นว่าอวัยวะบนใบหน้าในกระจกไม่มีการเปลี่ยนแปลง แต่มีเพียงตุ่มเล็ก ๆ บนแก้มของนางชนิดที่ว่าใครเห็นก็คงเหงื่อตกไปตาม ๆ กันนางยิ้มมุมปากเล็กน้อย จากนั้นก็หยิบพัดมาปิดครึ่งล่างของใบหน้า เหลือเพียงครึ่งบนที่ใสสะอาดนางหัวเราะเบา ๆ และพูดกับคนรับใช้ที่อยู่ข้างหลังนาง “ไปพบกับว่าที่สามีในอนาคตของข้ากันเถอะ”หลังจากพูดจบ เย่หลิงจูก็เดินเข้าไปในร้านอาหารวันนี้ร้านอาหารว่างเปล่าไร้ผู้คนตอนนี้ควรจะเป็นเวลาที่ยุ่งที่สุด แต่ตอนนี้กลับไม่มีใครมาทานอาหารที่นี่เลยเย่หลิงจูเข้าใจ