กงชินอ๋องไม่ยอม "มีหญิงงามมากมายอีกกี่คนก็ไม่มีประโยชน์ ถ้าไม่สามารถมีลูกได้!"“ข้าจะขอให้หมอหลวงตรวจดู เจ้าทนทุกข์ทรมานก็เพราะทำลายร่างกายของตัวเองจนเสียหายตั้งแต่ยังหนุ่ม”ทันทีที่คำพูดเหล่านี้หลุดออกไป กงชินอ๋องก็หยุดพูดฮ่องเต้เฒ่ามองไปที่เย่เสวียนถิงซึ่งอยู่ไม่ไกล ด้วยสีหน้าเย็นชา“เสวียนถิงเพื่อเห็นแก่ข้า ยุติเรื่องนี้เสียดีไหม กงชินอ๋องเป็นน้องชายแท้ ๆ ของข้า ข้าจะไม่ถือสาเรื่องที่เจ้าคิดจะฆ่าเขา”ซูชิงอู่ดึงแขนเสื้อของเย่เสวียนถิงนางคิดว่านี่เป็นวิธีที่ดีนางไม่ต้องการสร้างความขัดแย้งกับกงชินอ๋อง เพราะไม่ว่าจะอย่างไรก็ไม่เป็นผลดีและอาจจะกลายเป็นเรื่องตลกการเผชิญหน้ากับคนที่ไร้เหตุผลเช่นนี้ ใครก็คงปวดหัวหนักถ้าเขาไม่เข็ดหลาบและยังกล้ารบกวน นางก็ไม่รังเกียจที่จะให้เขาได้ลิ้มรสพิษของนางเย่เสวียนถิงเงยหน้าขึ้นมองอย่างเย็นชา“ท่านพ่อ หากวันนี้กระหม่อมฆ่าเขาไปจริง ๆ ท่านจะทำเช่นไร?”ฮ่องเต้เงียบไปครู่หนึ่งแล้วพูดว่า "เขาเป็นน้องชายคนเดียวของข้า"เย่เสวียนถิงเย้ยหยันอยู่ในใจและหรี่ตาลงเล็กน้อยเขาเข้าใจคำตอบของฮ่องเต้เฒ่าแล้วกงชินอ๋องเป็นน้องชายเพียงคนเดียวของฮ่องเ
ใบหน้าของซูอวิ๋นซีดเผือด และความกลัวทำให้ใจของนางสั่นสะท้านนางแต่งเข้าจวนกงชินอ๋องมาหลายปีแล้ว และนี่เป็นครั้งแรกที่นางได้รับการปฏิบัติเช่นนี้นางเคยได้ยินว่ากงชินอ๋องทำร้ายผู้หญิงมาก่อน และแม้แต่พระชายาก็สิ้นพระชนม์ตั้งแต่ยังอายุน้อยเพราะถูกเขาทุบตี แต่นางคิดว่ามันเป็นเพียงคำพูดจากคนรับใช้ที่เล่าลือกัน และไม่ได้ใส่ใจกับมันเมื่อได้สัมผัสด้วยตัวเองแล้วเท่านั้น ถึงได้รู้ว่าความรู้สึกนั้นน่ากลัวเพียงใดซูอวิ๋นกอดขาของกงชินอ๋องและร้องขอความเมตตา "ท่านอ๋อง โปรดละเว้นข้าด้วย ข้าผิดไปแล้ว..."ใบหน้าของกงชินอ๋องมืดมน และใบหน้าอ้วนท้วมของเขาตอนนี้ดูดุร้ายอย่างน่าสะพรึงกลัวเขาคว้าผมของนางไว้แล้วยกนางขึ้นจากพื้น บังคับให้ซูอวิ๋นเงยหน้าขึ้นมองเขา“เจ้ารู้ว่าเจ้าผิดหรือ ข้าเอาเจ้ามาไม่ใช่ให้สร้างปัญหา เจ้าบอกว่าเจ้าจะนำอัครเสนาบดีซูกลับไปรับตำแหน่ง และข้าก็ตกลงที่จะช่วย แต่ดูเจ้าสิ?”“ตอนนี้อัครเสนาบดีซูออกจากเมืองหลวงไปพร้อมกับฮูหยินผู้เฒ่าคนนั้นแล้ว เขาได้ละทิ้งอนาคตที่ดีเช่นนี้ไป ย่อมไม่คู่ควรแก่ความช่วยเหลือของข้าเลย!”ดวงตาของซูอวิ๋นเบิกกว้าง และนางก็เข้าใจทันทีว่ากงชินอ๋องหมายถึงอ
อวิ๋นจื่อเพียงถามขึ้นมาลอย ๆ เพราะไม่ได้มีความเห็นอกเห็นใจต่อซูอวิ๋นเป็นเพียงเพราะนางมาจากตระกูลซู จึงกล่าวถึงเพียงเพื่อไม่ให้ภาพลักษณ์ตระกูลซูดูไม่ดีหากเรื่องแพร่กระจายออกไปเมื่อเห็นพระชายาไม่สนใจ นางจึงไม่พูดอะไรต่อเย่เสวียนถิงที่ได้ยินเรื่องราวที่เกิดขึ้นตอนซูชิงอู่จุดไฟเผาตระกูลซู เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยและพูดว่า "ไม่ว่าซูอวิ๋นจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร ต่อไปไม่จำเป็นต้องรายงานพระชายาอีก"คนรับใช้ได้ยินดังนั้นก็จดจำเอาไว้ในใจทันทีเจ้าสิบเจ็ดเดินเข้ามาจากด้านนอกและทำความเคารพทั้งสองคน“ท่านอ๋อง ฮ่องเต้จะสักการะเพื่อประชาราษที่หอสักการะฟ้าในวันพรุ่งนี้ และปีนี้หิมะแรกยังไม่ตก ปีหน้าแผ่นดินอาจไม่อุดมสมบูรณ์ ประชาชนอาจต้องประสบความยากลำบาก"เย่เสวียนถิงลดสายตาลง "อืม ข้าเข้าใจแล้ว"ในฐานะอ๋อง ในงานพิธีการเช่นนี้จำเป็นต้องเข้าร่วม แม้ขันทีในพระราชวังจะยังไม่ได้ส่งสารมา แต่ก็ต้องเตรียมตัวล่วงหน้าซูชิงอู่พูดว่า "ข้าต้องไปด้วยหรือไม่?"เย่เสวียนถิงขมวดคิ้วเล็กน้อย และพบว่าเรื่องนี้ยุ่งยากมากจริง ๆยิ่งไปกว่านั้น ซูชิงอู่ยังตั้งครรภ์ได้สองเดือน และเขาไม่อยากให้นางไปยังสถานที่วุ่นวาย
เย่หลิงจูเข้ามาหาซูชิงอู่โดยไม่รู้ตัว นางก็มีสีหน้าประหลาดใจเช่นกัน“เจ้าบอกว่าราชครูหายตัวไปไม่นานนี้ไม่ใช่เหรอ? เหตุใดเขาถึงกลับมาเร็วขนาดนี้ ทั้งยังสามารถดูแลจัดการงานนี้โดยรวมได้”ซูชิงอู่เลิกคิ้ว ทันใดนั้นก็มีความรู้สึกไม่ดีอยู่ในใจแม้ว่าราชครูจะหลบหนีไปได้ แต่ในวันนั้นเขาถูกตัดมือและได้รับบาดเจ็บสาหัส ว่ากันตามตรรกะแล้วมันเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะปรากฏตัวได้เร็วขนาดนี้แต่เมื่อมองจากระยะไกลก็พบว่ามือทั้งสองข้างของราชครูเฒ่ายังอยู่ในสภาพสมบูรณ์ เขาถือไม้เท้าในมือ ท่าทางเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเป็นไปได้ยังไง!ด้วยความสงสัยในใจ ซูชิงอู่ติดตามซูเฟยและคนอื่น ๆ เดินต่อไป จากนั้นนางก็เห็นฮ่องเต้ปรากฏตัวพร้อมกับข้าราชบริพารกลุ่มหนึ่งพระองค์สวมฉลองพระองค์ลายมังกรและมีรัดเกล้าทองคำบนศีรษะ ทั้งร่างแผ่พลังแห่งความสูงส่งที่ทำให้คนต้องก้มหน้าลงเพราะความน่าเกรงขามและด้านหลังมีคนตามหลังมาหลายคนเมื่อซูชิงอู่เห็นเย่อวิ๋นถูปรากฏตัวต่อหน้านาง นางก็ดูประหลาดใจเล็กน้อยไม่อยากจะเชื่อเลยว่าบุรุษผู้นี้หนังหนาเกินใคร เวลาเพียงไม่ถึงเดือนก็กลับมาเดินได้แล้วหรือ?ดูท่าอาการบาดเจ็บครั้งก่อนจะยั
แม้แต่ซูชิงอู่ก็ยังโซเซไปอย่างห้ามไม่ได้แต่ในขณะนี้ จู่ ๆ ก็มีใครบางคนคว้าข้อมือของนางไว้ องค์หญิงห้าถามอย่างเป็นกังวล "พี่สะใภ้ เป็นอะไรหรือไม่?"ซูชิงอู่ยืนตัวตรง จัดกระโปรงของนางให้เรียบร้อยแล้วส่ายหน้า"ข้าไม่เป็นไร"ซูเฟยก็เข้ามาดูทันที ใบหน้าของนางไม่น่ามองอย่างยิ่ง และนางพูดอย่างเข้มงวดเอ่ยปากอย่างเด็ดขาด "ทุกคนอย่าเพิ่งวุ่นวาย เรียกคนมาจับหนูตัวนั้นเสีย!"องครักษ์สองสามคนจากด้านหลังรีบวิ่งเข้ามาล้อมสถานที่นั้นทันทีนางสนมในวังหลังที่รู้สึกหวาดกลัว ต่างหน้าซีดเผือด พากันย่นคอหลบ ซ่อนตัวอยู่ข้างหลัง หนูตัวใหญ่สองตัวถูกจับขังไว้ในกรง ดวงตาสีแดงของพวกมันทำให้ผู้คนที่เห็นรู้สึกขนลุกใบหน้าของซูเฟยดูไม่ดี นางไม่รีบเร่งที่จะจัดการกับหนู แต่คุกเข่าลงบนพื้นพร้อมกับนางสนมทุกคนพิธีสักการะหยุดลงแล้ว และฮ่องเต้เฒ่าก็เดินลงบันไดไปด้วยใบหน้าที่มืดมนอย่างน่าสะพรึงกลัว“ใครบอกข้าได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น?”"ทูลฮ่องเต้ จู่ ๆ ก็มีหนูสองตัวพุ่งเข้ามาในฝูงชนและทำให้เกิดความวุ่นวายเพคะ!”ซูเฟยก้มศีรษะลงและอธิบายเรื่องนี้อย่างชัดเจนฮ่องเต้เฒ่าขมวดคิ้ว "ทำไมมีหนูอยู่ที่นี่ได้?"เจียวกุ
แน่นอนว่า แม้ว่าราชครูจะเดินมาตรงหน้านาง นางก็ไม่อาจแสดงพิรุธได้ เพราะในเวลานั้นมีเพียงนางและเย่เสวียนถิงเท่านั้นที่เห็นว่าแขนของราชครูถูกตัดจนขาดแม้ว่าเซียวเฝิงจะนำแขนของเขากลับมาในภายหลัง แต่ก็ไม่แน่ว่าแขนนั้นจะเป็นของเขา ราชครูคนนี้เพียงหาข้ออ้างสองสามคำก็แก้ปัญหาได้อย่างง่ายดายใบหน้าของฮ่องเต้เฒ่าเคร่งขรึม เนื่องจากพิธีสักการะต้องหยุดชะงัก จึงทำให้ทุกอย่างถูกเลื่อนออกไปจู่ ๆ ราชครูก็เดินเข้ามาหาฮ่องเต้ เสียงยังคงต่ำและลุ่มลึกเหมือนเดิม "ฝ่าบาท ค้นหาต่อไปอย่างนี้กระหม่อมไม่รู้ว่าจะต้องใช้เวลานานเพียงใด กระหม่อมมีวิธีที่จะหาบุคคลนั้นได้เร็วขึ้น"ฮ่องเต้เฒ่าเลิกคิ้ว "ขอคำชี้แนะจากท่านราชครูด้วย"คนอื่น ๆ ก็มองดูเช่นกัน ใบหน้าของพวกนางซีดเผือด เพราะยังกลัวแมลงกู่ในครั้งที่แล้วไม่หาย“ข้าได้ยินมาว่ามีสุนัขป่าชนิดหนึ่งที่ไวต่อกลิ่นมาก แค่ให้มันดมกลิ่นก็จะรู้ได้ทันทีว่าใครนำหนูเหล่านี้มา”ฮ่องเต้เฒ่าก็ตระหนักได้ว่าคราวนี้ความคิดของเขาดูน่าเชื่อถือกว่าครั้งก่อนเรื่องของพวกแมลงพิษนั้น ส่วนใหญ่คนจะหวาดกลัวและไม่เชื่อถือมันแต่สุนัขนั้นแตกต่างออกไปเดิมทีสุนัขสามารถค้นหาร่องรอยข
ทว่าตอนนี้...ซูเฟยกอดซูชิงอู่แน่น เห็นได้ชัดว่าหวาดกลัวแทบตาย แต่นางก็ยังคงพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อปกป้องตนเอาไว้ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนางหรือลูกในท้องของนาง เหตุการณ์นี้ก็ได้แสดงให้เห็นสิ่งหนึ่งนั่นคือซูเฟยถือว่านางเป็นลูกอย่างแท้จริงซูชิงอู่อดไม่ได้ที่จะรู้สึกอบอุ่นขณะที่นางกำลังครุ่นคิด สุนัขป่าสองตัวก็ก้าวเข้ามาหาแล้วแต่พวกมันก็ไม่สามารถเข้าใกล้ได้อีกต่อไปขณะนั้นก็มีร่างเงาร่างหนึ่งที่ไม่รู้ที่มาพุ่งมาด้านหลังของสุนัขป่าสองตัวนั้น และคว้าขาหลังของพวกมันไว้ฝั่งละข้างจากนั้นสุนัขป่าที่บ้าคลั่งก็ตกลงมาจากอากาศสู่พื้น อุ้งเท้าหน้าของมันยังคงเกาะพื้น แต่ก็ไม่สามารถหลุดพ้นจากการควบคุมที่อยู่ด้านหลังได้ดวงตาอันเย็นชาของเย่เสวียนถิงเต็มไปด้วยความอาฆาต ทันใดนั้นเขาก็ออกแรงที่แขนและเหวี่ยงสุนัขป่าสองตัวที่มีน้ำหนักสองร้อยจินออกไปความแข็งแกร่งของแขนที่น่าทึ่งเช่นนี้ทำให้ผู้คนมากมายรอบตัวเริ่มเลิ่กลั่กแม้แต่ฮ่องเต้เฒ่าก็ยังประหลาดใจอย่างยิ่งเขาลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วพูดทันที “เร็ว จับสุนัขป่าไว้!”ร่างกายของซูเฟยยังคงสั่นเทาเมื่อซูชิงอู่เห็นว่าช่วงเวลาวิกฤตสิ้นสุดลงแล้ว นางก็
ซูชิงอู่ปฏิเสธอย่างไม่ไยดี นางไม่โง่พอที่จะปล่อยให้ราชครูเข้ามาใกล้“ไม่จำเป็นต้องรบกวนท่านราชครูหรอกเพคะ”ราชครูเฒ่าเลิกคิ้วเล็กน้อย ดวงตาของเขาส่อประกายมืดมนเขาไม่สนใจว่าซูชิงอู่จะตกลงหรือไม่ ดังนั้นหลังจากถูกปฏิเสธ เขาก็เดินกลับมาอยู่ข้างฮ่องเต้เฒ่าเรื่องตรวจสอบที่มาการโจมตีของสุนัขป่าจบโดยที่ยังไม่ได้ข้อสรุป และคนเหล่านั้นต้องกลับเข้าไปในโถงทางเดินอีกครั้งเพื่อเข้ารับการตรวจค้นเวลาค่อย ๆ ผ่านไป และไม่นานก็ถึงเวลาเที่ยงวัน“ฝ่าบาท นางสนมทั้งหมดได้รับการตรวจสอบแล้ว ไม่พบสิ่งใดผิดปกติพ่ะย่ะค่ะ!”“เป็นไปได้อย่างไร?”สีหน้าของฮ่องเต้เฒ่าแข็งค้าง ดูแปลกไปเล็กน้อยเห็นได้ชัดว่ามีคนนำหนูเข้ามา การที่มันบุกเข้าไปในตำหนักที่บรรดานางสนมอาศัยก็คงจะฝีมือของสนมคนใดคนหนึ่งที่อยู่ในนั้นหลังจากตรวจสอบรอบหนึ่งแล้วก็ไม่พบสิ่งใด ทำให้ฮ่องเต้เฒ่าประหลาดใจใครกันแน่ที่สามารถนำบางสิ่งเข้ามาอย่างเงียบ ๆ โดยไม่ถูกจับได้เช่นนี้?เจียวกุ้ยเฟยลูบผมแล้วพูดว่า “เมื่อครู่สุนัขป่าสองตัวก็ถูกพระชายาเสวียนดึงดูดเช่นกัน เป็นไปได้ไหมเพคะที่หนูก็ถูกนางดึงดูดมาด้วย? อาจมีกลิ่นพิเศษบางอย่างบนร่างกายของนา
คนขายเนื้อทำสีหน้าหวาดกลัว “คนผู้นี้เลวทรามถึงเพียงนี้เลยรึ?”“เจ้าคอยระวังตัวเอาไว้ก็ไม่เป็นไรแล้ว ทางนั้นตรวจดูเสร็จรึยัง? ไปกันต่อเถิด!”เมื่อกองกำลังทำการค้นหาเสร็จเรียบร้อย คนขายเนื้อก็ยิ้มมุมปากเบา ๆเขาคิดไม่ถึงเลยว่าคนเหล่านี้จะพบเบาะแสทางตะวันตกของเมืองเร็วถึงเพียงนี้หากเขาไม่ได้เตรียมพร้อมมาก่อนหน้านี้และรีบปลอมตัวโดยไว เขาก็คงจะถูกจับได้ไปแล้วคนขายเนื้อรีบเข้าไปยังพื้นที่ด้านในสุดของร้านเขาเหลือบมองหนอนกู่ที่ซ่อนเอาไว้ในตู้ในหนึ่ง และเมื่อเปิดตู้ใบนั้น ดวงตาของเขาก็ฉายแววน่ากลัวออกมาผ่านมาหลายปี ดูเหมือนโลกภายนอกจะลืมความน่ากลัวของภูเขาศักดิ์สิทธิ์ไปแล้ว เริ่มแรกนั้นพวกเขาได้ครอบครองตำแหน่งระดับสูงของราชวงศ์ในแคว้นต่าง ๆ ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงตำแหน่งในนามแต่มันสามารถแทรกแซงแคว้นนั้น ๆ และพลิกสถานการณ์ได้ตอนนี้เรื่องที่สำคัญที่สุดคือการแอบเข้าไปในพระราชวังเพื่อช่วยเหลือเจียงเฟยเอ๋อร์หากต้องการเข้าไปในพระราชวังมีการคุ้มกันอย่างแน่นหนาได้ก็ต้องใช้วิธีที่ต่างออกไปบุรุษผู้นั้นออกจากร้านขายเนื้อหมูที่ถูกตรวจค้นเรียบร้อยแล้ว พร้อมกับปิดประตูร้านแสร้งทำเป็นออกไปทำธุร
หลังจากซูชิงอู่ส่งชิงอวี่ออกไปก็ยังคงตื่นเต้นอยู่เล็กน้อยซูชิงอู่หาคนมาวาดภาพเหมือนเจ้าอาวาสในปีที่แล้วและส่งต่อให้คนอื่น ๆ เพื่อช่วยกันค้นหา ซึ่งมันก็ผ่านมานานมากแล้ว และมีเพียงชิงอวี่เท่านั้นที่นำข่าวที่ได้รับการยืนยันกลับมาแจ้งนางแม้จะยังไม่ได้เจอคนผู้นั้น แต่ก็หมายความว่านางจะได้รู้ความจริงของการตายของท่านแม่เสียทีหลังจากสงบสติอารมณ์ได้ ซูชิงอู่ก็ตัดสินใจเดินทางไปทันทีนางอยากไปเจอจิ้งซินผู้นั้นด้วยตนเองและถามเขาว่าเหตุใดตอนนั้นเขาถึงฆ่าท่านแม่ของนาง!คืนเดียวกันนั้นซูชิงอู่ได้พูดคุยเรื่องนี้กับเย่เสวียนถิงเมื่อเย่เสวียนถิงได้รับรู้เรื่องราวก็พยักหน้าเบา ๆ และตัดสินใจอย่างทันทีว่า “ข้าจะส่งคนไปจับเขามาให้เจ้า”ซูชิงอู่ได้ยินอีกฝ่ายตอบง่าย ๆ และห้วนก็อดไม่ได้ที่จะตะลึงและหัวเราะ“ได้”ตอนนี้มีศิษย์พี่ของเจียงเฟยเอ๋อร์คอยจับตาดูอยู่ในเมืองหลวง ซูชิงอู่จึงไม่สามารถไปหาคนผู้นั้นพร้อมกับชิงอวี่ได้บรรยากาศในเมืองหลวงเริ่มตึงเครียดขึ้นเรื่อย ๆแม้แต่ฮ่องเต้เช่นเย่ชิวหมิงก็สังเกตเห็นสัญญาณของเหตุการณ์ร้ายแรงบางอย่างที่กำลังจะตามมาเขาเคยได้ยินซูชิงอู่พูดว่าศัตรูที่ซ่อนตัวอ
ไป๋เฟิงก้มหัวลงอย่างเชื่อฟัง ราวกับมันได้กลายเป็นแมวตัวใหญ่ไปแล้วซูชิงอู่อดหัวเราะไม่ได้ “เจ้าคงเหนื่อยแย่ วันนี้ทำได้ดีมาก”ในที่สุดก็ได้ใช้ประโยชน์จากไป๋เฟิง สมกับที่เลี้ยงมันมานานไป๋เฟิงยืนขึ้นและอ้าปากหาว ส่วนสิงโตขนทองคำที่อยู่ข้าง ๆ ย่องเข้ามาทางด้านหลังซูชิงอู่ และใช้หัวถูเอวของนางดูเหมือนว่ามันต้องการให้ซูชิงอู่ลูบมันด้วยคนอื่น ๆ มองไปยังซูชิงอู่ที่มีร่างกายบอบบางยืนอยู่ตรงหน้าสัตว์ดุร้ายทั้งสอง พวกเขาทั้งหมดก็พูดไม่ออกอยู่นานนี่มัน...ร้ายกาจเกินไปแล้ว!แม้แต่กลุ่มบุรุษร่างใหญ่เช่นพวกเขาก็ยังไม่กล้าเข้าใกล้สัตว์ดุร้ายทั้งสองแม้แต่ครึ่งก้าว ทว่าซูชิงอู่กลับสามารถมีปฏิสัมพันธ์กับพวกมันได้อย่างกลมกลืนเหมือนพวกมันเป็นสัตว์เลี้ยงของนางเมื่อไม่ถูกยุงกัดและกินยาสมุนไพรที่ผสมไว้แล้ว ม้าทุกตัวในสนามฝึกก็สงบลงและกลับสู่ภาวะปกติทันทีที่ซูชิงอู่กลับมาถึงตำหนัก ก็เห็นหรงหย่าวิ่งเข้ามา“พระชายา เมื่อครู่มีคนมาพบท่านและบอกว่ามีเรื่องด่วนต้องรายงาน”“มีเรื่องด่วนอะไรรึ?”หรงหย่าส่ายหัว “ข้าก็ไม่รู้เช่นกัน ท่านไปดูก่อนเถิด”ซูชิงอู่สั่งให้คนพาผู้ส่งข่าวเข้ามาทันทีนางจ้อง
เลือดของแมลงวันติดอยู่ที่มือของซูชิงอู่ส่งกลิ่นแปลก ๆ ออกมาเมื่อซูชิงอู่มองชัด ๆ นางก็ได้รู้ว่ามันไม่ใช่แมลงวันแต่เป็น…แมลงมีปีกชนิดหนึ่งที่มีลักษณะคล้ายแมลงวันปากของแมลงมีความคมมาก สามารถเจาะทะลุขนของสัตว์บางชนิดได้ง่าย ทว่าแมลงมีปีกชนิดนี้ไม่สนใจมนุษย์และจะกัดเฉพาะสัตว์เท่านั้นที่แท้นี่คือสาเหตุหลักที่ทำให้สัตว์ในเมืองหลวงบ้าคลั่งในช่วงหลายวันนี้!ซูชิงอู่ยังสังเกตเห็นว่ายุงเหล่านี้ถูกพิษและเมื่อพวกมันแพร่พันธุ์ ในไข่ก็มีสารพิษดังกล่าวติดไปด้วยขอเพียงแมลงเหล่านี้ยังกัดสัตว์ต่อไป สารพิษก็จะค่อย ๆ สะสมทีละน้อยสุดท้ายก็ถึงขั้นทำให้เสียสติ!คนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้มีเจตนาชั่วร้ายหากนางไม่ค้นพบสิ่งนี้ก่อน เกรงว่าม้าศึกทั้งหมดจะต้องตายไปด้วยความบ้าคลั่งอีกทั้งยังไม่อาจทราบสาเหตุได้แน่นอนว่าม้าศึกเป็นส่วนสำคัญในกองทัพ หากทหารม้าเสียม้าไป ก็คงไม่ต่างไปจากคนอ่อนแอไร้ค่า...ซูชิงอู่ตัดสินใจอย่างรวดเร็ว“นำม้าทุกตัวไปไว้ในที่ปิดและหาทางฆ่าแมลงมีปีกเหล่านี้ให้สิ้นเสีย”รองแม่ทัพที่ติดตามนางมารีบจำคำสั่งนี้เอาไว้ทันที“รับทราบพ่ะย่ะค่ะพระชายา!”เขาก็รีบกระจายคำสั่งออก
เมื่อเย่เสวียนถิงได้ยินสิ่งที่ซูชิงอู่พูด สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นเยือกเย็น “ข้าจะส่งคนไปตรวจสอบ”ซูชิงอู่ส่ายหัวทันที “ยาพิษนี้คงไม่ได้อยู่ในอาหารสัตว์ อีกทั้งเมื่อมาลองคิดดู สัตว์ป่าจำนวนมากที่อยู่ใกล้เมืองหลวง รวมไปถึงม้าศึกล้วนติดพิษกันหมด มีเพียงมนุษย์เท่านั้นที่ไม่เป็นอะไร นี่เป็นเรื่องที่แปลกมาก และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือไม่มีใครสามารถวางยาพิษม้าศึกในเมืองหลวงได้อย่างเงียบ ๆ ”การวิเคราะห์ของซูชิงอู่นั้นสมเหตุสมผลมาก แม้แต่เย่เสวียนถิงเองก็ขมวดคิ้วขึ้นมาหากหาสาเหตุไม่พบก็แก้ปัญหาไม่ได้แม้จะรักษาม้าหนึ่งในนั้นจนหายขาด แต่ก็จะกลับมามีอาการเดิมในอีกไม่ช้าไม่ไกลกันนักก็มีนายทหารระดับสูงนายหนึ่งวิ่งเข้ามาเขาหอบหายใจและกล่าวว่า “ท่านอ๋อง ทำการตรวจสอบเสบียงอาหารแล้วไม่พบสิ่งผิดปกติพ่ะย่ะค่ะ”“น้ำล่ะ?”“ตรวจสอบน้ำแล้วเช่นกัน ไม่มีร่องรอยของการวางยาพิษเลยพ่ะย่ะค่ะ”เมื่อได้ยินรายงาน เย่เสวียนถิงก็ขมวดคิ้วหนักกว่าเก่าคราวนี้แย่แล้วสิซูชิงอู่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ช่วยทำให้ม้าทุกตัวสงบลงก่อนได้หรือไม่ เดี๋ยวข้าจะเข้าไปดูรางอาหารม้าเอง”“ได้พ่ะย่ะค่ะพระชายา กรุณารอสักครู่ ก
เริ่มแรก เขาสงสัยในเรื่องที่ซูชิงอู่เคยพูดจนเกิดความคิดจินตนาการบางส่วนขึ้นมา เรียกได้ว่าตอนกลางวันก็เอาแต่นึกถึง ตกกลางคืนก็เก็บมาฝันอีกแต่เขาไม่เคยได้ยินซูชิงอู่พูดถึงเรื่องนี้มาก่อนเลยจริง ๆเนื่องจากความฝันนั้นมันดูเพ้อเจ้อเกินไป เย่เสวียนถิงจึงไม่พูดออกมา เพราะกลัวว่ามันจะเป็นการเพิ่มภาระให้กับซูชิงอู่อย่างไม่มีเหตุผลหลายวันมานี้ซูชิงอู่อาศัยอยู่กับลูกน้อยทั้งสามของนางเพื่อชดเชยช่วงเวลาที่นางห่างพวกเขาไปนานเด็ก ๆ ที่เพิ่งจะอายุได้ไม่กี่เดือนแต่กลับต้องห่างจากอ้อมอกของพ่อแม่ นั่นทำให้ซูชิงอู่รู้สึกผิดขึ้นมาดังนั้นนางจึงไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องภายนอกมากนักทันใดนั้นนางก็นึกอะไรออกและถามว่า “เสวียนถิง ช่วงนี้หมาป่าเหล่านั้นที่อยู่ข้างนอกเป็นอย่างไรบ้าง?”เย่เสวียนถิงเงยหน้าขึ้นและพูดว่า “ไม่ได้มีเพียงสัตว์ร้าย แต่ยังกระทบไปถึงม้าศึกด้วย ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงเริ่มไม่เชื่อฟังคำสั่งกัน”“เดี๋ยวข้าจะไปตรวจสอบเรื่องนี้เสียหน่อย”ซูชิงอู่รู้สึกได้โดยไม่รู้ตัวว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องเกี่ยวกับเรื่องนี้แม้เรื่องจะดูเป็นเรื่องเล็กน้อยและไม่มีผลกระทบกับมนุษย์มากนัก แต่นางก็รู้สึกอ
ทันใดนั้นหมอหลวงซุนก็เหมือนจะคิดอะไรออก “เหมือนกับตอนที่พระชายาใช้ดอกไม้ชนิดหนึ่งเพื่อทำให้ม้าพยศคลั่งใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”“อืม ทำนองนั้นแหละ”สิ่งเหล่านั้นเป็นสิ่งที่นางพบในเภสัชตำรับ และหากใช้มัน ผลลัพธ์ที่ได้จะน่าทึ่งมากแม้ลงมือไปอย่างกะทันหัน แต่ก็ไม่มีใครจับได้ปรมาจารย์มือวางพิษที่แท้จริงคือผู้ที่วางยาพิษโดยไม่ทิ้งหลักฐานใด ๆ เอาไว้“ขอบพระทัยพระชายาสำหรับคำชี้แนะ หลังจากที่ได้พูดคุยกับท่าน กระหม่อมก็เข้าใจอย่างกระจ่างแจ้งแล้วพ่ะย่ะค่ะ”ซูชิงอู่ปิดเภสัชตำรับ “ข้าท่องเภสัชตำรับนี้จนจำขึ้นใจ และเข้าใจเนื้อหาด้านในได้คร่าว ๆ เพียงแต่ยังไม่พบวิธีที่จะไขความลับที่อยู่ในนั้น หวังว่าท่านจะช่วยเรื่องนี้ได้”คราวนี้ ทุกคนเชื่อมั่นในคำพูดของซูชิงอู่สิ่งที่พวกเขาไม่ได้สนใจ แต่พระชายากลับนำมาใช้งานได้ถึงขั้นนี้ ยังมีอะไรที่ต้องพูดกันอีกหรือ?ตาแก่เช่นพวกเขาที่อาศัยว่าตนอายุมากทำตัวอาวุโสดูถูกผู้อื่นนั้นเทียบเทียมพระชายาไม่ได้เลย!หลังจากที่ซูชิงอู่อธิบายเรื่องนี้จบ นางก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกและแอบหลบออกมาทางประตูใหญ่นางกลัวว่าคนเหล่านั้นจะถามนางว่านางศึกษาเรียนรู้ทักษะทางการ
หมอหลวงซุนขมวดคิ้วเล็กน้อย“อย่าพูดไร้สาระ นั่นจะเป็นไปได้อย่างไร? พระชายาไม่จำเป็นต้องโกหกพวกเราเลย โกหกพวกเราไปแล้วนางจะได้ประโยชน์อะไร?”คำพูดนี้ก็ถือว่ามีเหตุผลทุกคนต่างพูดไม่ออกทำได้แค่นั่งเงียบ ๆ แล้วพลิกหน้าอ่านต่อไปพลิกหน้ากระดาษตั้งแต่เช้าจรดค่ำ และอ่านจนถึงเช้าวันรุ่งขึ้นตำราทั้งเล่มถูกอ่านจนจบอย่างรวดเร็ว ทุกคนในสำนักหมอหลวงไม่ได้นอนมาสองวันสองคืน และตอนนี้ทุกคนดูเหนื่อยและมีสีหน้าทรุดโทรมเมื่ออ่านหน้าจนถึงสุดท้าย แม้แต่หมอหลวงซุนก็ตกอยู่ในความเงียบเพราะเภสัชตำรับเล่มนี้บันทึกเฉพาะโรคและวัตถุดิบยาที่ธรรดาทั่วไปมาก ๆ บางส่วนเท่านั้นข้อแตกต่างเพียงหนึ่งเดียวคือผู้อาวุโสเช่นพวกเขาได้เรียนรู้เกี่ยวกับวัตถุดิบยาหลายประเภทและพัฒนาแนวคิดใหม่ ๆแม้จะไม่ไร้ประโยชน์ แต่ความคาดหวังกับผลลัพธ์ก็แตกต่างกันมากเลยทีเดียวถึงขั้นทำให้พวกเขาขาดความมั่นใจและอดไม่ได้ที่จะคิดว่านี่น่ะหรือคือเภสัชตำรับที่ตระกูลฟางเฝ้าหวงแหนมานานหลายปี?ดวงตาของหมอหลวงซุนเต็มไปด้วยสีแดงก่ำที่เกิดจากการอดนอน“ในเมื่อเภสัชตำรับของตระกูลฟางไร้ประโยชน์ เช่นนั้นพระชายาไปเรียนรู้ทักษะด้านการแพทย์มา
“นี่คือวัตถุดิบยาและปริมาณที่คนผู้นั้นทำการวางยา ที่สำนักหมอหลวงของพวกท่านมีสิ่งนี้อยู่แล้ว หากจะทำยาถอนพิษก็คงไม่ใช่เรื่องยากกระมัง”“ไม่ยากพ่ะย่ะค่ะ ไม่ยาก!”หมอหลวงซุนยิ้มร่าราวกับได้รับสมบัติเขามองซูชิงอู่ที่ยังอยู่ในวัยหนุ่มสาว แต่กลับเก่งกาจกว่าเหล่าคนชราเช่นพวกเขาเมื่อรวมกับเภสัชตำรับของตระกูลฟางที่ซูชิงอู่พูดถึง หมอหลวงเฒ่าก็ดีใจจนเนื้อเต้นหากได้เรียนรู้และกลายเป็นคนที่เก่งกาจเหมือนพระชายา ระดับความรู้ของเขาก็จะเพิ่มขึ้นไปด้วยหรือไม่?แต่หมอหลวงซุนไม่เคยรู้เลยว่าทุกสิ่งที่ซูชิงอู่เรียนรู้ไม่ได้มาจากเภสัชตำรับของตระกูลฟางในเภสัชตำรับเล่มนั้นมีความแตกต่างตรงจุดไหน ตัวซูชิงอู่ในตอนนี้ก็ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำแม้ตอนตายไปในชาติก่อน เภสัชตำรับก็ถูกทำลายและไม่มีใครเห็นความลับที่ซ่อนอยู่ในนั้นจุดเด่นเพียงหนึ่งเดียวของเภสัชตำรับเล่มนั้นคือบันทึกข้อมูลวัตถุดิบยาจำนวนมากที่คนทั่วไปไม่ทราบและสรรพคุณลับบางส่วนบรรดาผู้อาวุโสของสำนักหมอหลวงพากันมาช่วยคิดค้นยาถอนพิษเพื่อที่จะได้อ่านเภสัชตำรับนั้นเร็ว ๆในที่สุดเช้าวันรุ่งขึ้นยาที่สามารถฟื้นฟูสติของสัตว์ร้ายได้ก็ถูกส่งมาให้ฮ่องเต้