อย่างไรเสีย ราชครูก็คือราชครู สถานะของเขาในแคว้นหนานเย่ทั้งหมดยากจะสั่นคลอนในเวลาอันสั้น ไม่ว่าซูชิงอู่และเย่เสวียนถิงจะพยายามเพียงใดก็ตามไม่เพียงเขาจะเคยเป็นวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ที่ช่วยเหลือฮ่องเต้ในการขึ้นครองบัลลังก์ มันยังรวมถึงการที่เขาแสร้งทำตนเป็นเซียนและเล่นกลด้วยวิธีมากมายตลอดหลายปีที่ผ่านมาและเขายังเป็นเพียงผู้เดียวที่เป็นตัวกลางเชื่อมโยงแคว้นหนานเย่และภูเขาศักดิ์สิทธิ์บางทีคนธรรมดาอาจไม่รู้ว่าภูเขาศักดิ์สิทธิ์นั้นมีพลังแบบใด แต่บุคคลสำคัญในราชวงศ์รู้อย่างชัดเจนในใจพวกเขา คนของภูเขาศักดิ์สิทธิ์คือบุคคลที่เป็นดั่งเซียนและเทพสวรรค์ผู้นำของแคว้นโดยรอบพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ผู้คนจากภูเขาศักดิ์สิทธิ์พอใจเพราะดูเหมือนว่าพวกเขาสามารถเรียกลมและฝนได้และมีอำนาจทุกอย่างบุคคลหรือแคว้นใดก็ตามที่รุกรานภูเขาศักดิ์สิทธิ์ล้วนต้องพบจุดจบอันเลวร้ายชื่อเสียงของที่นั่นแพร่กระจายไปทั่วเมื่อหลายปีก่อน ผู้นำของสองแคว้นเล็ก ๆ ปฏิเสธที่จะเชื่อฟังภูเขาศักดิ์สิทธิ์และสังหารผู้คนของภูเขาศักดิ์สิทธิ์ เป็นผลให้ราชวงศ์ของแคว้นนั้นได้รับคำสาปแช่ง เกิดภัยไม่หยุดหย่อน ไม่นานทุกคนก็ล้มหายตายจากไป
เย่เสวียนถิงพาซูเฟยไปยังโถงด้านข้างด้วยตัวเองซูชิงอู่ตรวจดูอาการซูเฟยอย่างระมัดระวัง และหลังจากแน่ใจว่าไม่มีอะไรร้ายแรง นางก็เดินออกไปนอกตำหนักคืนนี้นับว่าดึกมากแล้วฮุ่ยเฟยไม่รีบร้อนที่จะจากไป แต่นางกลับพาผู้คนที่อยู่ในลานตำหนักไปรอซูเฟยตื่นเมื่อเห็นซูชิงอู่เดินมาทางนี้ นางก็รีบทำความเคารพ "พระชายา นี่เป็นความผิดของข้าทั้งหมด ข้าไม่ทันได้สังเกตคนรอบตัว กลับไปครานี้ข้าจะครวจสอบพวกเขาอย่างละเอียดทีเดียว... "ซูชิงอู่ตบไหล่ฮุ่ยเฟย "ไม่ใช่อย่างนั้นหรอก ท่านไม่มีทางพบความผิดปกติใด เหล่าสตรีในวังเหล่านี้เข้ามาในวังผ่านช่องทางที่ถูกต้องตามกฎ อีกทั้งตัวตนและภูมิหลังของพวกเขาก็นับว่าค่อนข้างสะอาด พวกมันคือเบี้ยในกระดานที่ฆาตกรอยู่เบื้องหลังกุมไว้ บ่มเพาะมาหลายปีเช่นนั้นจะสังเกตุเห็นได้ง่าย ๆ ได้อย่างไร"“แล้ว…เราควรทำอย่างไรดี?”ฮุ่ยเฟยรู้สึกสับสนอยู่ครู่หนึ่งนางไม่คาดคิดว่าจะมีอันตรายเช่นนี้แฝงตัวอยู่ในวังหลังซูชิงอู่กล่าวว่า "หากท่านอ๋องและหม่อมฉันไม่ฝ่าเข้าไปในกองไฟ หม่อมฉันก็เกรงว่าเราจะไม่มีวันล่วงรู้ตื้นลึกหนาบางเช่นนี้"หลังจากที่นางกำนัลทำสำเร็จ มีความเป็นไปได้สูงที่นางจ
องครักษ์เงาสิบเจ็ดกังวลเล็กน้อย "ท่านอ๋อง..."ขณะที่เขากำลังจะเกลี้ยกล่อมอีกฝ่ายอีกครั้ง ซูเฟยที่นอนอยู่บนเตียงก็ค่อย ๆ ลืมตาขึ้นทันทีที่นางเห็นใบหน้าของเย่เสวียนถิงอย่างชัดเจน ซูเฟยก็รีบลุกขึ้นนั่ง "เสวียนถิง ทำไมเจ้าถึงอยู่ในตำหนักของข้า"เย่เสวียนถิงกล่าวว่า "ซูเฟยไม่รู้หรือว่ามีบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้นในตำหนัก"“เอาน้ำไหม?”ใบหน้าของซูเฟยซีดลงจากนั้นนางก็เห็นได้อย่างชัดเจนว่าตอนนี้นางไม่ได้อยู่ในเรือนนอนเดิมของตนเขาเปิดม่านและมองออกไปข้างนอก ภายใต้แสงจันทร์มีควันหนาทึบลอยขึ้นไปบนท้องฟ้าคอยบดบังใบหน้าของนางซีด "ข้าไม่รู้ ข้าเพิ่งกินอาหารเย็นเสร็จ และข้าไม่รู้อะไรอีกเลย"ซูเฟยคิดอย่างรอบคอบแต่คิดอย่างไรความทรงจำของนางก็ว่างเปล่า นางจำได้แค่ว่านางทานข้าวเย็นไปแล้วครึ่งหนึ่งและไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเย่เสวียนถิงพยักหน้า "มีคนจุดไฟเผาตำหนักจิ้งอี๋ คนวางเพลิงถูกจับแล้ว เสด็จแม่ไม่ต้องกังวล"ซูเฟยรู้สึกกลัวอยู่พักหนึ่ง"ฝีมือใคร?"ในโลกนี้ใครกันที่กล้าโจมตีพระสนมถึงในวัง?เย่เสวียนถิงคิดอยู่ครู่หนึ่งและตอบตามความเป็นจริง "ราชครูเฒ่า"แม้ว่าจะไม่มีหลักฐาน แต่การคาดเดานี้
คำเหล่านี้พูดออกมาจากใจซูเฟยก็เกิดแนวคิดนี้ขึ้นมาภายใต้การแนะนำของซูชิงอู่เดิมทีนางไม่คิดจะตอบโต้ แต่แผนการที่เกิดขึ้นซ้ำซากทำให้นางโกรธมากนางไม่ใช่พระอิฐพระปูน แม่แต่หุ่นดินเผาก็ยังมีพลังงานสามด้านดวงตาหงส์ของเย่เสวียนถิงหรี่ลงเล็กน้อยเขามองไปที่มารดาและชายาของตนแล้วพยักหน้าเบา ๆ "ขอบคุณเสด็จแม่"ในวันแรกของปีใหม่ ซูเฟยได้ทำการกวาดล้างครั้งใหญ่ในหกตำหนักฝ่ายในหลังจากที่นางพักผ่อนเต็มที่แล้วนางใช้ประโยชน์จากข้อเท็จจริงที่ว่าตำหนักจิ้งอี๋ถูกไฟไหม้ จัดระเบียบทั้งภายในและภายนอกของหกตำหนักฝ่ายในเจียวกุ้ยเฟยยังคงพักผ่อนอยู่ในตำหนักในเวลานี้ นางนอนหลับจนถึงตีสาม เมื่อลืมตาขึ้น นางก็เห็นนางสนมหลายนางมารออยู่ด้านนอกประตูตำหนักเพื่อขอเข้าเฝ้าทันทีที่คนเหล่านั้นกรูกันเข้ามา พวกนางก็เริ่มระบายความขมขื่นออกมา“พระสนมเพคะ ซูเฟยส่งคนไปขับไล่คนในวังมากมายอย่างนี้ แถมตำแหน่งสำคัญบางตำแหน่งก็ถูกแทนที่ด้วยคนใหม่ นี่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่านางต้องการวางคนของนางไว้ทุกที่…”“นางสนมในวังหลังกล้าโกรธแต่ไม่กล้าพูดออกไป นางจะทำแบบนั้นโดยอาศัยความโปรดปรานของฮ่องเต้ได้อย่างไร”“ครึ่งหนึ่งของ
เย่เสวียนถิงก้าวออกไปเพื่อหยิบกล่องออกมา เปิดแล้วดูมัน หลังจากตรวจสอบเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีอันตรายแล้ว เขาก็ส่งมันให้ซูชิงอู่เมื่อซูชิงอู่เห็นการเคลื่อนไหวที่เป็นธรรมชาติของชายคนนั้น หัวใจของนางก็อบอุ่นขึ้นเล็กน้อยและนางก็พูดกับคนที่ส่งของไป "ข้าได้รับแล้ว พวกท่านทุกคนควรกลับไปเสีย"“พ่ะย่ะค่ะ พระชายา”สมาชิกตระกูลเจียวล่าถอยเหลือเพียงกล่องเงินไว้ซูชิงอู่ไม่สนใจเงินมากนัก ดังนั้นนางจึงขอให้คนย้ายมันไปเก็บที่คลังสมบัติและเปิดกล่องทันทีนางไม่ได้หลีกเลี่ยงเย่เสวียนถิงจากการทำเช่นนี้เพราะมันไม่จำเป็น“นี่คือรายชื่อขุนนางของตระกูลมู่หรง”เย่เสวียนถิงเลิกคิ้วเล็กน้อยและเม้มริมฝีปากบางซูชิงอู่ยกมุมริมฝีปากของนางขึ้นขณะมองดูรายชื่อเหล่านั้น คิ้วและดวงตาของนางเต็มไปด้วยความโกรธ "มีสิ่งนี้ เราจะค่อย ๆ จัดการกับพวกเขาได้ในอนาคต"นี่เป็นงานใหญ่ยังไงเสียเมื่อเห็นยอดย่อมต้องเห็นราก อำนาจของตระกูลมู่หลงนั้นหยั่งรากลึกในแคว้นหนานเย่มานานแล้วพลังอันยิ่งใหญ่และซับซ้อนก่อตัวขึ้นแม้ว่าคนหนึ่งจะถูกฆ่าตาย คนต่อไปก็จะเข้ามารับช่วงต่อในไม่ช้า ซึ่งจะไม่ส่งผลกระทบต่อตระกูลมู่หลงอันใหญ่โตเล
แต่แทนที่จะปล่อยให้สมาชิกคนอื่น ๆ ในตระกูลมู่หรงเข้าควบคุมทั้งเมืองหน้าด่านตะวันตก จะเป็นการดีกว่าหากให้จ้าวหลี่ชิงเข้ามาดูแลก่อน แม้ทหารเหล่านั้นจะเป็นผู้บริสุทธิ์ อีกทั้งพวกเขาก็ร่วมหัวจมท้ายมากับจ้าวหลี่ อย่างน้อยเขาก็คงไม่ปฏิบัติตัวแย่ ๆ กับผู้อื่นเมื่อถึงตอนที่เขาได้รับอำนาจทางทหารกลับคืนมา แม้จ้าวหลี่จะมีตระกูลมู่หรงอยู่คอยสนับสนุน ก็จะไม่สามารถช่วยชีวิตอันไร้ค่าของเขาได้!เมื่อเห็นว่าเย่เสวียนถิงกำลังคิดคำนวณ ซูชิงอู่ก็ค่อย ๆ สงบอารมณ์โกรธเกรี้ยวของตัวเองตอนนี้ในจิตใจนางเต็มไปด้วยความคิดที่ว่าจะหั่นชายคนนั้นเป็นชิ้น ๆ และถลกหนังของเขาอย่างไรดีทว่าบุคคลนี้ยังคงประจำอยู่ที่ชายแดนและเป็นแม่ทัพ แม้นางจะเป็นพระชายา แต่นางไม่สามารถพูดคำสั่งประโยคเดียวเพื่อให้เขามาอยู่ตรงหน้านางได้ตอนนี้จึงทำได้เพียงปล่อยผ่านไปก่อนหลังจากที่ซูชิงอู่จัดการสิ่งของที่ตระกูลเจียวส่งมา นางก็นึกบางอย่างขึ้นได้นางจึงพูดกับเย่เสวียนถิง “ท่านอ๋อง วันห้าค่ำพรุ่งนี้ ไทเฮาจะทรงพาเหล่าพระชายาและสนมทั้งหมดไปที่วัดเหลียงซานนอกเขตพระราชฐานเพื่อสวดมนต์อธิษฐานขอพร ข้าเองก็จะไปด้วยเช่นกัน”เย่เสวียนถิงขมวดค
เมื่อรถม้ามาถึงเชิงเขาวัดเหลียงซาน ซูชิงอู่ลงจากรถแล้วเงยหน้าขึ้น มองไปยังวัดพุทธที่มีชื่อเสียงแห่งนี้อย่างลึกซึ้งวัดเหลียงซานไม่ใช่สถานที่ที่ดีนักสำหรับนางแม่ของนางสิ้นใจที่เชิงเขาวัดเหลียงซาน และนางที่ถูกหลิงซื่อลอบสังหารก็เกือบตกไปอยู่ในเงื้อมมือของพวกโจรเหล่านั้นอวิ๋นซีกับอวิ๋นชิงหยิบถุงใบใหญ่และใบเล็กมาจากรถม้าแล้วเดินตามซูชิงอู่ไปสาวใช้ผู้น้อยสองคนรู้สึกสมองชาเมื่อเงยหน้ามองขั้นบันไดสองพันก้าวที่อยู่ไม่ไกล“พะ...พระชายา พวกเราต้องขึ้นไปหรือเพคะ?”ซูชิงอู่ยิ้ม “พวกเจ้าวางของไว้ตรงนี้ก็ได้ ไม่ต้องเอาขึ้นไปด้วยหรอก”อวิ๋นซีปฏิเสธทันที “จะได้อย่างไรล่ะเพคะ ในถุงพวกนี้ใช่สิ่งของทั่วไปหรือ? ก็ไม่ใช่! แต่เป็นความห่วงใยที่ท่านอ๋องทรงใส่มาอย่างเปี่ยมล้นต่างหากล่ะเพคะ!”ซูชิงอู่ “...”อวิ๋นชิงพูดอย่างเคร่งขรึม “หม่อมฉันจะแบกขึ้นไปเพคะ หม่อมฉันมีพละกำลังเหลือเฟือ!”ซูชิงอู่อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเมื่อเห็นว่านางไม่สามารถโน้มน้าวสาวใช้ผู้น้อยสองคนที่มีความมุ่งมั่นได้ขณะที่นางกำลังตามไทเฮาและคนอื่น ๆ ขึ้นไป ร่างสีขาวเหมือนหิมะที่อยู่ตรงหน้านางก็ขวางทางนางไว้เมื่อซูชิงอู่เงยหน้าข
นางผลักสาวใช้รอบตัวที่เป็นห่วงนางออกไป “ข้าไม่เป็นอะไร พวกเจ้าถอยออกไปเถอะ” องค์หญิงสี่ไม่เคยถูกปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใยเช่นนี้มาก่อนไม่ว่านางจะแสดงความมีน้ำใจมากเพียงใด อีกฝ่ายก็ยังคงไม่สะทกสะท้านทันใดนั้นเสียงหัวเราะขององค์หญิงห้าก็แว่วเข้ามาในหูของนาง ทำให้ใบหน้าขององค์หญิงสี่ซีดลงยิ่งองค์หญิงห้าเดินเข้ามาใกล้ รอยยิ้มของนางก็กว้างขึ้นเรื่อย ๆ “ฮ่าฮ่าฮ่า ไม่ใช่ทุกคนที่จะถูกหลอกด้วยหน้ากากปลอม ๆ นะ ดูท่าทางพระชายาเสวียนคงมองทะลุไปถึงจิตใจอันสกปรกของเจ้า!”สีหน้าขององค์หญิงสี่ไม่สู้ดี ซีดราวกับกระดาษ“เจ้า…”มุมปากของนางขยับ แต่คำพูดที่เหลือกลับถูกกลืนลงคอไป“ข้ารึ ข้าทำไม? ดูเหมือนทุกคนคงไม่ได้ตาบอดสินะ!”องค์หญิงสี่ที่ถูกชี้หน้าต่อว่าก็โมโหจนดวงตาแดงก่ำนางหลุบสายตาลงและพูดว่า “ข้าแค่อยากเป็นเพื่อนกับพระชายาเสวียน ไม่ได้มีสิ่งใดแอบแฝงเลย…”เมื่อเห็นท่าทางที่โศกเศร้าและน่าสงสารของนาง องค์หญิงห้าก็รู้สึกมวนท้องนางไม่เคยเห็นใครที่อวดดีไปกว่าเย่หมิงเยว่นางและเย่หมิงเยว่อายุเท่ากันและเติบโตมาด้วยกัน ในฐานะที่เป็นองค์หญิงอาวุโสสองคนในพระราชวัง ทว่าการปฏิบัติที่พวกนางได้รับน