ฮ่องเต้ตกตะลึง แต่เขาอดไม่ได้ที่จะยิ้ม "สาวน้อย เจ้าไม่มีความรู้ด้านการสอบสวนคน บุคคลนี้ต้องมีความลับที่สำคัญอยู่กับตัวแน่ ข้าจะมอบนางให้เจ้าง่าย ๆ ได้อย่างไร"ซูชิงอู่เงยหน้าขึ้นแล้วพูดว่า "อย่างไรเสีย ก็เป็นหม่อมฉันที่ช่วยนางไว้ เช่นนั้นฝ่าบาทก็ทรงปล่อยให้ชิงอู่จัดการเถิดเพคะ"“ในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ เจ้าอย่าได้สร้างปัญหาเพิ่มเลย หลังจากการสอบสวนได้ผลเช่นไรไว้ข้าจะบอกเจ้า ถอยไปเสียเถอะ”ซูชิงอู่ไม่เชื่อใจใครเลยนางรู้สึกว่าทันทีที่ละสายตาจากนางกำนัลไป คนผู้นี้จะต้องตายอย่างแน่นอนตอนนั้นมีนักฆ่ามากมายและไม่มีแม้แต่คนเดียวที่รอดชีวิตไปได้ นอกจากความจริงที่ว่าพวกเขาเองเป็นหน่วยกล้าตายแล้ว ยังมีคนที่อยู่เบื้องหลังอีกด้วยสิ่งที่เรียกว่าหน่วยกล้าตายเป็นเพียงกลุ่มหุ่นเชิดที่ถูกผู้อื่นควบคุมอยู่ นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาปฏิบัติภารกิจ ชีวิตพวกเขาก็พร้อมถูกพรากไป“ข้าบอกว่าไม่ได้ ก็แปลว่าไม่ได้”แม้ว่าเขาจะมีความประทับใจและความลำเอียงมาทางต่อซูชิงอู่ แต่เมื่อเป็นเรื่องสำคัญ เขาก็ไม่คิดปล่อยให้สตรีนางนี้ทำตามอำเภอใจท้ายที่สุดแล้วนางเป็นผู้หญิงและสิ่งที่นางควรทำคือใช้ชีวิตอย่างสุขสบา
อย่างไรเสีย ราชครูก็คือราชครู สถานะของเขาในแคว้นหนานเย่ทั้งหมดยากจะสั่นคลอนในเวลาอันสั้น ไม่ว่าซูชิงอู่และเย่เสวียนถิงจะพยายามเพียงใดก็ตามไม่เพียงเขาจะเคยเป็นวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ที่ช่วยเหลือฮ่องเต้ในการขึ้นครองบัลลังก์ มันยังรวมถึงการที่เขาแสร้งทำตนเป็นเซียนและเล่นกลด้วยวิธีมากมายตลอดหลายปีที่ผ่านมาและเขายังเป็นเพียงผู้เดียวที่เป็นตัวกลางเชื่อมโยงแคว้นหนานเย่และภูเขาศักดิ์สิทธิ์บางทีคนธรรมดาอาจไม่รู้ว่าภูเขาศักดิ์สิทธิ์นั้นมีพลังแบบใด แต่บุคคลสำคัญในราชวงศ์รู้อย่างชัดเจนในใจพวกเขา คนของภูเขาศักดิ์สิทธิ์คือบุคคลที่เป็นดั่งเซียนและเทพสวรรค์ผู้นำของแคว้นโดยรอบพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ผู้คนจากภูเขาศักดิ์สิทธิ์พอใจเพราะดูเหมือนว่าพวกเขาสามารถเรียกลมและฝนได้และมีอำนาจทุกอย่างบุคคลหรือแคว้นใดก็ตามที่รุกรานภูเขาศักดิ์สิทธิ์ล้วนต้องพบจุดจบอันเลวร้ายชื่อเสียงของที่นั่นแพร่กระจายไปทั่วเมื่อหลายปีก่อน ผู้นำของสองแคว้นเล็ก ๆ ปฏิเสธที่จะเชื่อฟังภูเขาศักดิ์สิทธิ์และสังหารผู้คนของภูเขาศักดิ์สิทธิ์ เป็นผลให้ราชวงศ์ของแคว้นนั้นได้รับคำสาปแช่ง เกิดภัยไม่หยุดหย่อน ไม่นานทุกคนก็ล้มหายตายจากไป
เย่เสวียนถิงพาซูเฟยไปยังโถงด้านข้างด้วยตัวเองซูชิงอู่ตรวจดูอาการซูเฟยอย่างระมัดระวัง และหลังจากแน่ใจว่าไม่มีอะไรร้ายแรง นางก็เดินออกไปนอกตำหนักคืนนี้นับว่าดึกมากแล้วฮุ่ยเฟยไม่รีบร้อนที่จะจากไป แต่นางกลับพาผู้คนที่อยู่ในลานตำหนักไปรอซูเฟยตื่นเมื่อเห็นซูชิงอู่เดินมาทางนี้ นางก็รีบทำความเคารพ "พระชายา นี่เป็นความผิดของข้าทั้งหมด ข้าไม่ทันได้สังเกตคนรอบตัว กลับไปครานี้ข้าจะครวจสอบพวกเขาอย่างละเอียดทีเดียว... "ซูชิงอู่ตบไหล่ฮุ่ยเฟย "ไม่ใช่อย่างนั้นหรอก ท่านไม่มีทางพบความผิดปกติใด เหล่าสตรีในวังเหล่านี้เข้ามาในวังผ่านช่องทางที่ถูกต้องตามกฎ อีกทั้งตัวตนและภูมิหลังของพวกเขาก็นับว่าค่อนข้างสะอาด พวกมันคือเบี้ยในกระดานที่ฆาตกรอยู่เบื้องหลังกุมไว้ บ่มเพาะมาหลายปีเช่นนั้นจะสังเกตุเห็นได้ง่าย ๆ ได้อย่างไร"“แล้ว…เราควรทำอย่างไรดี?”ฮุ่ยเฟยรู้สึกสับสนอยู่ครู่หนึ่งนางไม่คาดคิดว่าจะมีอันตรายเช่นนี้แฝงตัวอยู่ในวังหลังซูชิงอู่กล่าวว่า "หากท่านอ๋องและหม่อมฉันไม่ฝ่าเข้าไปในกองไฟ หม่อมฉันก็เกรงว่าเราจะไม่มีวันล่วงรู้ตื้นลึกหนาบางเช่นนี้"หลังจากที่นางกำนัลทำสำเร็จ มีความเป็นไปได้สูงที่นางจ
องครักษ์เงาสิบเจ็ดกังวลเล็กน้อย "ท่านอ๋อง..."ขณะที่เขากำลังจะเกลี้ยกล่อมอีกฝ่ายอีกครั้ง ซูเฟยที่นอนอยู่บนเตียงก็ค่อย ๆ ลืมตาขึ้นทันทีที่นางเห็นใบหน้าของเย่เสวียนถิงอย่างชัดเจน ซูเฟยก็รีบลุกขึ้นนั่ง "เสวียนถิง ทำไมเจ้าถึงอยู่ในตำหนักของข้า"เย่เสวียนถิงกล่าวว่า "ซูเฟยไม่รู้หรือว่ามีบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้นในตำหนัก"“เอาน้ำไหม?”ใบหน้าของซูเฟยซีดลงจากนั้นนางก็เห็นได้อย่างชัดเจนว่าตอนนี้นางไม่ได้อยู่ในเรือนนอนเดิมของตนเขาเปิดม่านและมองออกไปข้างนอก ภายใต้แสงจันทร์มีควันหนาทึบลอยขึ้นไปบนท้องฟ้าคอยบดบังใบหน้าของนางซีด "ข้าไม่รู้ ข้าเพิ่งกินอาหารเย็นเสร็จ และข้าไม่รู้อะไรอีกเลย"ซูเฟยคิดอย่างรอบคอบแต่คิดอย่างไรความทรงจำของนางก็ว่างเปล่า นางจำได้แค่ว่านางทานข้าวเย็นไปแล้วครึ่งหนึ่งและไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเย่เสวียนถิงพยักหน้า "มีคนจุดไฟเผาตำหนักจิ้งอี๋ คนวางเพลิงถูกจับแล้ว เสด็จแม่ไม่ต้องกังวล"ซูเฟยรู้สึกกลัวอยู่พักหนึ่ง"ฝีมือใคร?"ในโลกนี้ใครกันที่กล้าโจมตีพระสนมถึงในวัง?เย่เสวียนถิงคิดอยู่ครู่หนึ่งและตอบตามความเป็นจริง "ราชครูเฒ่า"แม้ว่าจะไม่มีหลักฐาน แต่การคาดเดานี้
คำเหล่านี้พูดออกมาจากใจซูเฟยก็เกิดแนวคิดนี้ขึ้นมาภายใต้การแนะนำของซูชิงอู่เดิมทีนางไม่คิดจะตอบโต้ แต่แผนการที่เกิดขึ้นซ้ำซากทำให้นางโกรธมากนางไม่ใช่พระอิฐพระปูน แม่แต่หุ่นดินเผาก็ยังมีพลังงานสามด้านดวงตาหงส์ของเย่เสวียนถิงหรี่ลงเล็กน้อยเขามองไปที่มารดาและชายาของตนแล้วพยักหน้าเบา ๆ "ขอบคุณเสด็จแม่"ในวันแรกของปีใหม่ ซูเฟยได้ทำการกวาดล้างครั้งใหญ่ในหกตำหนักฝ่ายในหลังจากที่นางพักผ่อนเต็มที่แล้วนางใช้ประโยชน์จากข้อเท็จจริงที่ว่าตำหนักจิ้งอี๋ถูกไฟไหม้ จัดระเบียบทั้งภายในและภายนอกของหกตำหนักฝ่ายในเจียวกุ้ยเฟยยังคงพักผ่อนอยู่ในตำหนักในเวลานี้ นางนอนหลับจนถึงตีสาม เมื่อลืมตาขึ้น นางก็เห็นนางสนมหลายนางมารออยู่ด้านนอกประตูตำหนักเพื่อขอเข้าเฝ้าทันทีที่คนเหล่านั้นกรูกันเข้ามา พวกนางก็เริ่มระบายความขมขื่นออกมา“พระสนมเพคะ ซูเฟยส่งคนไปขับไล่คนในวังมากมายอย่างนี้ แถมตำแหน่งสำคัญบางตำแหน่งก็ถูกแทนที่ด้วยคนใหม่ นี่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่านางต้องการวางคนของนางไว้ทุกที่…”“นางสนมในวังหลังกล้าโกรธแต่ไม่กล้าพูดออกไป นางจะทำแบบนั้นโดยอาศัยความโปรดปรานของฮ่องเต้ได้อย่างไร”“ครึ่งหนึ่งของ
เย่เสวียนถิงก้าวออกไปเพื่อหยิบกล่องออกมา เปิดแล้วดูมัน หลังจากตรวจสอบเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีอันตรายแล้ว เขาก็ส่งมันให้ซูชิงอู่เมื่อซูชิงอู่เห็นการเคลื่อนไหวที่เป็นธรรมชาติของชายคนนั้น หัวใจของนางก็อบอุ่นขึ้นเล็กน้อยและนางก็พูดกับคนที่ส่งของไป "ข้าได้รับแล้ว พวกท่านทุกคนควรกลับไปเสีย"“พ่ะย่ะค่ะ พระชายา”สมาชิกตระกูลเจียวล่าถอยเหลือเพียงกล่องเงินไว้ซูชิงอู่ไม่สนใจเงินมากนัก ดังนั้นนางจึงขอให้คนย้ายมันไปเก็บที่คลังสมบัติและเปิดกล่องทันทีนางไม่ได้หลีกเลี่ยงเย่เสวียนถิงจากการทำเช่นนี้เพราะมันไม่จำเป็น“นี่คือรายชื่อขุนนางของตระกูลมู่หรง”เย่เสวียนถิงเลิกคิ้วเล็กน้อยและเม้มริมฝีปากบางซูชิงอู่ยกมุมริมฝีปากของนางขึ้นขณะมองดูรายชื่อเหล่านั้น คิ้วและดวงตาของนางเต็มไปด้วยความโกรธ "มีสิ่งนี้ เราจะค่อย ๆ จัดการกับพวกเขาได้ในอนาคต"นี่เป็นงานใหญ่ยังไงเสียเมื่อเห็นยอดย่อมต้องเห็นราก อำนาจของตระกูลมู่หลงนั้นหยั่งรากลึกในแคว้นหนานเย่มานานแล้วพลังอันยิ่งใหญ่และซับซ้อนก่อตัวขึ้นแม้ว่าคนหนึ่งจะถูกฆ่าตาย คนต่อไปก็จะเข้ามารับช่วงต่อในไม่ช้า ซึ่งจะไม่ส่งผลกระทบต่อตระกูลมู่หลงอันใหญ่โตเล
แต่แทนที่จะปล่อยให้สมาชิกคนอื่น ๆ ในตระกูลมู่หรงเข้าควบคุมทั้งเมืองหน้าด่านตะวันตก จะเป็นการดีกว่าหากให้จ้าวหลี่ชิงเข้ามาดูแลก่อน แม้ทหารเหล่านั้นจะเป็นผู้บริสุทธิ์ อีกทั้งพวกเขาก็ร่วมหัวจมท้ายมากับจ้าวหลี่ อย่างน้อยเขาก็คงไม่ปฏิบัติตัวแย่ ๆ กับผู้อื่นเมื่อถึงตอนที่เขาได้รับอำนาจทางทหารกลับคืนมา แม้จ้าวหลี่จะมีตระกูลมู่หรงอยู่คอยสนับสนุน ก็จะไม่สามารถช่วยชีวิตอันไร้ค่าของเขาได้!เมื่อเห็นว่าเย่เสวียนถิงกำลังคิดคำนวณ ซูชิงอู่ก็ค่อย ๆ สงบอารมณ์โกรธเกรี้ยวของตัวเองตอนนี้ในจิตใจนางเต็มไปด้วยความคิดที่ว่าจะหั่นชายคนนั้นเป็นชิ้น ๆ และถลกหนังของเขาอย่างไรดีทว่าบุคคลนี้ยังคงประจำอยู่ที่ชายแดนและเป็นแม่ทัพ แม้นางจะเป็นพระชายา แต่นางไม่สามารถพูดคำสั่งประโยคเดียวเพื่อให้เขามาอยู่ตรงหน้านางได้ตอนนี้จึงทำได้เพียงปล่อยผ่านไปก่อนหลังจากที่ซูชิงอู่จัดการสิ่งของที่ตระกูลเจียวส่งมา นางก็นึกบางอย่างขึ้นได้นางจึงพูดกับเย่เสวียนถิง “ท่านอ๋อง วันห้าค่ำพรุ่งนี้ ไทเฮาจะทรงพาเหล่าพระชายาและสนมทั้งหมดไปที่วัดเหลียงซานนอกเขตพระราชฐานเพื่อสวดมนต์อธิษฐานขอพร ข้าเองก็จะไปด้วยเช่นกัน”เย่เสวียนถิงขมวดค
เมื่อรถม้ามาถึงเชิงเขาวัดเหลียงซาน ซูชิงอู่ลงจากรถแล้วเงยหน้าขึ้น มองไปยังวัดพุทธที่มีชื่อเสียงแห่งนี้อย่างลึกซึ้งวัดเหลียงซานไม่ใช่สถานที่ที่ดีนักสำหรับนางแม่ของนางสิ้นใจที่เชิงเขาวัดเหลียงซาน และนางที่ถูกหลิงซื่อลอบสังหารก็เกือบตกไปอยู่ในเงื้อมมือของพวกโจรเหล่านั้นอวิ๋นซีกับอวิ๋นชิงหยิบถุงใบใหญ่และใบเล็กมาจากรถม้าแล้วเดินตามซูชิงอู่ไปสาวใช้ผู้น้อยสองคนรู้สึกสมองชาเมื่อเงยหน้ามองขั้นบันไดสองพันก้าวที่อยู่ไม่ไกล“พะ...พระชายา พวกเราต้องขึ้นไปหรือเพคะ?”ซูชิงอู่ยิ้ม “พวกเจ้าวางของไว้ตรงนี้ก็ได้ ไม่ต้องเอาขึ้นไปด้วยหรอก”อวิ๋นซีปฏิเสธทันที “จะได้อย่างไรล่ะเพคะ ในถุงพวกนี้ใช่สิ่งของทั่วไปหรือ? ก็ไม่ใช่! แต่เป็นความห่วงใยที่ท่านอ๋องทรงใส่มาอย่างเปี่ยมล้นต่างหากล่ะเพคะ!”ซูชิงอู่ “...”อวิ๋นชิงพูดอย่างเคร่งขรึม “หม่อมฉันจะแบกขึ้นไปเพคะ หม่อมฉันมีพละกำลังเหลือเฟือ!”ซูชิงอู่อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเมื่อเห็นว่านางไม่สามารถโน้มน้าวสาวใช้ผู้น้อยสองคนที่มีความมุ่งมั่นได้ขณะที่นางกำลังตามไทเฮาและคนอื่น ๆ ขึ้นไป ร่างสีขาวเหมือนหิมะที่อยู่ตรงหน้านางก็ขวางทางนางไว้เมื่อซูชิงอู่เงยหน้าข
คนขายเนื้อทำสีหน้าหวาดกลัว “คนผู้นี้เลวทรามถึงเพียงนี้เลยรึ?”“เจ้าคอยระวังตัวเอาไว้ก็ไม่เป็นไรแล้ว ทางนั้นตรวจดูเสร็จรึยัง? ไปกันต่อเถิด!”เมื่อกองกำลังทำการค้นหาเสร็จเรียบร้อย คนขายเนื้อก็ยิ้มมุมปากเบา ๆเขาคิดไม่ถึงเลยว่าคนเหล่านี้จะพบเบาะแสทางตะวันตกของเมืองเร็วถึงเพียงนี้หากเขาไม่ได้เตรียมพร้อมมาก่อนหน้านี้และรีบปลอมตัวโดยไว เขาก็คงจะถูกจับได้ไปแล้วคนขายเนื้อรีบเข้าไปยังพื้นที่ด้านในสุดของร้านเขาเหลือบมองหนอนกู่ที่ซ่อนเอาไว้ในตู้ในหนึ่ง และเมื่อเปิดตู้ใบนั้น ดวงตาของเขาก็ฉายแววน่ากลัวออกมาผ่านมาหลายปี ดูเหมือนโลกภายนอกจะลืมความน่ากลัวของภูเขาศักดิ์สิทธิ์ไปแล้ว เริ่มแรกนั้นพวกเขาได้ครอบครองตำแหน่งระดับสูงของราชวงศ์ในแคว้นต่าง ๆ ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงตำแหน่งในนามแต่มันสามารถแทรกแซงแคว้นนั้น ๆ และพลิกสถานการณ์ได้ตอนนี้เรื่องที่สำคัญที่สุดคือการแอบเข้าไปในพระราชวังเพื่อช่วยเหลือเจียงเฟยเอ๋อร์หากต้องการเข้าไปในพระราชวังมีการคุ้มกันอย่างแน่นหนาได้ก็ต้องใช้วิธีที่ต่างออกไปบุรุษผู้นั้นออกจากร้านขายเนื้อหมูที่ถูกตรวจค้นเรียบร้อยแล้ว พร้อมกับปิดประตูร้านแสร้งทำเป็นออกไปทำธุร
หลังจากซูชิงอู่ส่งชิงอวี่ออกไปก็ยังคงตื่นเต้นอยู่เล็กน้อยซูชิงอู่หาคนมาวาดภาพเหมือนเจ้าอาวาสในปีที่แล้วและส่งต่อให้คนอื่น ๆ เพื่อช่วยกันค้นหา ซึ่งมันก็ผ่านมานานมากแล้ว และมีเพียงชิงอวี่เท่านั้นที่นำข่าวที่ได้รับการยืนยันกลับมาแจ้งนางแม้จะยังไม่ได้เจอคนผู้นั้น แต่ก็หมายความว่านางจะได้รู้ความจริงของการตายของท่านแม่เสียทีหลังจากสงบสติอารมณ์ได้ ซูชิงอู่ก็ตัดสินใจเดินทางไปทันทีนางอยากไปเจอจิ้งซินผู้นั้นด้วยตนเองและถามเขาว่าเหตุใดตอนนั้นเขาถึงฆ่าท่านแม่ของนาง!คืนเดียวกันนั้นซูชิงอู่ได้พูดคุยเรื่องนี้กับเย่เสวียนถิงเมื่อเย่เสวียนถิงได้รับรู้เรื่องราวก็พยักหน้าเบา ๆ และตัดสินใจอย่างทันทีว่า “ข้าจะส่งคนไปจับเขามาให้เจ้า”ซูชิงอู่ได้ยินอีกฝ่ายตอบง่าย ๆ และห้วนก็อดไม่ได้ที่จะตะลึงและหัวเราะ“ได้”ตอนนี้มีศิษย์พี่ของเจียงเฟยเอ๋อร์คอยจับตาดูอยู่ในเมืองหลวง ซูชิงอู่จึงไม่สามารถไปหาคนผู้นั้นพร้อมกับชิงอวี่ได้บรรยากาศในเมืองหลวงเริ่มตึงเครียดขึ้นเรื่อย ๆแม้แต่ฮ่องเต้เช่นเย่ชิวหมิงก็สังเกตเห็นสัญญาณของเหตุการณ์ร้ายแรงบางอย่างที่กำลังจะตามมาเขาเคยได้ยินซูชิงอู่พูดว่าศัตรูที่ซ่อนตัวอ
ไป๋เฟิงก้มหัวลงอย่างเชื่อฟัง ราวกับมันได้กลายเป็นแมวตัวใหญ่ไปแล้วซูชิงอู่อดหัวเราะไม่ได้ “เจ้าคงเหนื่อยแย่ วันนี้ทำได้ดีมาก”ในที่สุดก็ได้ใช้ประโยชน์จากไป๋เฟิง สมกับที่เลี้ยงมันมานานไป๋เฟิงยืนขึ้นและอ้าปากหาว ส่วนสิงโตขนทองคำที่อยู่ข้าง ๆ ย่องเข้ามาทางด้านหลังซูชิงอู่ และใช้หัวถูเอวของนางดูเหมือนว่ามันต้องการให้ซูชิงอู่ลูบมันด้วยคนอื่น ๆ มองไปยังซูชิงอู่ที่มีร่างกายบอบบางยืนอยู่ตรงหน้าสัตว์ดุร้ายทั้งสอง พวกเขาทั้งหมดก็พูดไม่ออกอยู่นานนี่มัน...ร้ายกาจเกินไปแล้ว!แม้แต่กลุ่มบุรุษร่างใหญ่เช่นพวกเขาก็ยังไม่กล้าเข้าใกล้สัตว์ดุร้ายทั้งสองแม้แต่ครึ่งก้าว ทว่าซูชิงอู่กลับสามารถมีปฏิสัมพันธ์กับพวกมันได้อย่างกลมกลืนเหมือนพวกมันเป็นสัตว์เลี้ยงของนางเมื่อไม่ถูกยุงกัดและกินยาสมุนไพรที่ผสมไว้แล้ว ม้าทุกตัวในสนามฝึกก็สงบลงและกลับสู่ภาวะปกติทันทีที่ซูชิงอู่กลับมาถึงตำหนัก ก็เห็นหรงหย่าวิ่งเข้ามา“พระชายา เมื่อครู่มีคนมาพบท่านและบอกว่ามีเรื่องด่วนต้องรายงาน”“มีเรื่องด่วนอะไรรึ?”หรงหย่าส่ายหัว “ข้าก็ไม่รู้เช่นกัน ท่านไปดูก่อนเถิด”ซูชิงอู่สั่งให้คนพาผู้ส่งข่าวเข้ามาทันทีนางจ้อง
เลือดของแมลงวันติดอยู่ที่มือของซูชิงอู่ส่งกลิ่นแปลก ๆ ออกมาเมื่อซูชิงอู่มองชัด ๆ นางก็ได้รู้ว่ามันไม่ใช่แมลงวันแต่เป็น…แมลงมีปีกชนิดหนึ่งที่มีลักษณะคล้ายแมลงวันปากของแมลงมีความคมมาก สามารถเจาะทะลุขนของสัตว์บางชนิดได้ง่าย ทว่าแมลงมีปีกชนิดนี้ไม่สนใจมนุษย์และจะกัดเฉพาะสัตว์เท่านั้นที่แท้นี่คือสาเหตุหลักที่ทำให้สัตว์ในเมืองหลวงบ้าคลั่งในช่วงหลายวันนี้!ซูชิงอู่ยังสังเกตเห็นว่ายุงเหล่านี้ถูกพิษและเมื่อพวกมันแพร่พันธุ์ ในไข่ก็มีสารพิษดังกล่าวติดไปด้วยขอเพียงแมลงเหล่านี้ยังกัดสัตว์ต่อไป สารพิษก็จะค่อย ๆ สะสมทีละน้อยสุดท้ายก็ถึงขั้นทำให้เสียสติ!คนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้มีเจตนาชั่วร้ายหากนางไม่ค้นพบสิ่งนี้ก่อน เกรงว่าม้าศึกทั้งหมดจะต้องตายไปด้วยความบ้าคลั่งอีกทั้งยังไม่อาจทราบสาเหตุได้แน่นอนว่าม้าศึกเป็นส่วนสำคัญในกองทัพ หากทหารม้าเสียม้าไป ก็คงไม่ต่างไปจากคนอ่อนแอไร้ค่า...ซูชิงอู่ตัดสินใจอย่างรวดเร็ว“นำม้าทุกตัวไปไว้ในที่ปิดและหาทางฆ่าแมลงมีปีกเหล่านี้ให้สิ้นเสีย”รองแม่ทัพที่ติดตามนางมารีบจำคำสั่งนี้เอาไว้ทันที“รับทราบพ่ะย่ะค่ะพระชายา!”เขาก็รีบกระจายคำสั่งออก
เมื่อเย่เสวียนถิงได้ยินสิ่งที่ซูชิงอู่พูด สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นเยือกเย็น “ข้าจะส่งคนไปตรวจสอบ”ซูชิงอู่ส่ายหัวทันที “ยาพิษนี้คงไม่ได้อยู่ในอาหารสัตว์ อีกทั้งเมื่อมาลองคิดดู สัตว์ป่าจำนวนมากที่อยู่ใกล้เมืองหลวง รวมไปถึงม้าศึกล้วนติดพิษกันหมด มีเพียงมนุษย์เท่านั้นที่ไม่เป็นอะไร นี่เป็นเรื่องที่แปลกมาก และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือไม่มีใครสามารถวางยาพิษม้าศึกในเมืองหลวงได้อย่างเงียบ ๆ ”การวิเคราะห์ของซูชิงอู่นั้นสมเหตุสมผลมาก แม้แต่เย่เสวียนถิงเองก็ขมวดคิ้วขึ้นมาหากหาสาเหตุไม่พบก็แก้ปัญหาไม่ได้แม้จะรักษาม้าหนึ่งในนั้นจนหายขาด แต่ก็จะกลับมามีอาการเดิมในอีกไม่ช้าไม่ไกลกันนักก็มีนายทหารระดับสูงนายหนึ่งวิ่งเข้ามาเขาหอบหายใจและกล่าวว่า “ท่านอ๋อง ทำการตรวจสอบเสบียงอาหารแล้วไม่พบสิ่งผิดปกติพ่ะย่ะค่ะ”“น้ำล่ะ?”“ตรวจสอบน้ำแล้วเช่นกัน ไม่มีร่องรอยของการวางยาพิษเลยพ่ะย่ะค่ะ”เมื่อได้ยินรายงาน เย่เสวียนถิงก็ขมวดคิ้วหนักกว่าเก่าคราวนี้แย่แล้วสิซูชิงอู่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ช่วยทำให้ม้าทุกตัวสงบลงก่อนได้หรือไม่ เดี๋ยวข้าจะเข้าไปดูรางอาหารม้าเอง”“ได้พ่ะย่ะค่ะพระชายา กรุณารอสักครู่ ก
เริ่มแรก เขาสงสัยในเรื่องที่ซูชิงอู่เคยพูดจนเกิดความคิดจินตนาการบางส่วนขึ้นมา เรียกได้ว่าตอนกลางวันก็เอาแต่นึกถึง ตกกลางคืนก็เก็บมาฝันอีกแต่เขาไม่เคยได้ยินซูชิงอู่พูดถึงเรื่องนี้มาก่อนเลยจริง ๆเนื่องจากความฝันนั้นมันดูเพ้อเจ้อเกินไป เย่เสวียนถิงจึงไม่พูดออกมา เพราะกลัวว่ามันจะเป็นการเพิ่มภาระให้กับซูชิงอู่อย่างไม่มีเหตุผลหลายวันมานี้ซูชิงอู่อาศัยอยู่กับลูกน้อยทั้งสามของนางเพื่อชดเชยช่วงเวลาที่นางห่างพวกเขาไปนานเด็ก ๆ ที่เพิ่งจะอายุได้ไม่กี่เดือนแต่กลับต้องห่างจากอ้อมอกของพ่อแม่ นั่นทำให้ซูชิงอู่รู้สึกผิดขึ้นมาดังนั้นนางจึงไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องภายนอกมากนักทันใดนั้นนางก็นึกอะไรออกและถามว่า “เสวียนถิง ช่วงนี้หมาป่าเหล่านั้นที่อยู่ข้างนอกเป็นอย่างไรบ้าง?”เย่เสวียนถิงเงยหน้าขึ้นและพูดว่า “ไม่ได้มีเพียงสัตว์ร้าย แต่ยังกระทบไปถึงม้าศึกด้วย ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงเริ่มไม่เชื่อฟังคำสั่งกัน”“เดี๋ยวข้าจะไปตรวจสอบเรื่องนี้เสียหน่อย”ซูชิงอู่รู้สึกได้โดยไม่รู้ตัวว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องเกี่ยวกับเรื่องนี้แม้เรื่องจะดูเป็นเรื่องเล็กน้อยและไม่มีผลกระทบกับมนุษย์มากนัก แต่นางก็รู้สึกอ
ทันใดนั้นหมอหลวงซุนก็เหมือนจะคิดอะไรออก “เหมือนกับตอนที่พระชายาใช้ดอกไม้ชนิดหนึ่งเพื่อทำให้ม้าพยศคลั่งใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”“อืม ทำนองนั้นแหละ”สิ่งเหล่านั้นเป็นสิ่งที่นางพบในเภสัชตำรับ และหากใช้มัน ผลลัพธ์ที่ได้จะน่าทึ่งมากแม้ลงมือไปอย่างกะทันหัน แต่ก็ไม่มีใครจับได้ปรมาจารย์มือวางพิษที่แท้จริงคือผู้ที่วางยาพิษโดยไม่ทิ้งหลักฐานใด ๆ เอาไว้“ขอบพระทัยพระชายาสำหรับคำชี้แนะ หลังจากที่ได้พูดคุยกับท่าน กระหม่อมก็เข้าใจอย่างกระจ่างแจ้งแล้วพ่ะย่ะค่ะ”ซูชิงอู่ปิดเภสัชตำรับ “ข้าท่องเภสัชตำรับนี้จนจำขึ้นใจ และเข้าใจเนื้อหาด้านในได้คร่าว ๆ เพียงแต่ยังไม่พบวิธีที่จะไขความลับที่อยู่ในนั้น หวังว่าท่านจะช่วยเรื่องนี้ได้”คราวนี้ ทุกคนเชื่อมั่นในคำพูดของซูชิงอู่สิ่งที่พวกเขาไม่ได้สนใจ แต่พระชายากลับนำมาใช้งานได้ถึงขั้นนี้ ยังมีอะไรที่ต้องพูดกันอีกหรือ?ตาแก่เช่นพวกเขาที่อาศัยว่าตนอายุมากทำตัวอาวุโสดูถูกผู้อื่นนั้นเทียบเทียมพระชายาไม่ได้เลย!หลังจากที่ซูชิงอู่อธิบายเรื่องนี้จบ นางก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกและแอบหลบออกมาทางประตูใหญ่นางกลัวว่าคนเหล่านั้นจะถามนางว่านางศึกษาเรียนรู้ทักษะทางการ
หมอหลวงซุนขมวดคิ้วเล็กน้อย“อย่าพูดไร้สาระ นั่นจะเป็นไปได้อย่างไร? พระชายาไม่จำเป็นต้องโกหกพวกเราเลย โกหกพวกเราไปแล้วนางจะได้ประโยชน์อะไร?”คำพูดนี้ก็ถือว่ามีเหตุผลทุกคนต่างพูดไม่ออกทำได้แค่นั่งเงียบ ๆ แล้วพลิกหน้าอ่านต่อไปพลิกหน้ากระดาษตั้งแต่เช้าจรดค่ำ และอ่านจนถึงเช้าวันรุ่งขึ้นตำราทั้งเล่มถูกอ่านจนจบอย่างรวดเร็ว ทุกคนในสำนักหมอหลวงไม่ได้นอนมาสองวันสองคืน และตอนนี้ทุกคนดูเหนื่อยและมีสีหน้าทรุดโทรมเมื่ออ่านหน้าจนถึงสุดท้าย แม้แต่หมอหลวงซุนก็ตกอยู่ในความเงียบเพราะเภสัชตำรับเล่มนี้บันทึกเฉพาะโรคและวัตถุดิบยาที่ธรรดาทั่วไปมาก ๆ บางส่วนเท่านั้นข้อแตกต่างเพียงหนึ่งเดียวคือผู้อาวุโสเช่นพวกเขาได้เรียนรู้เกี่ยวกับวัตถุดิบยาหลายประเภทและพัฒนาแนวคิดใหม่ ๆแม้จะไม่ไร้ประโยชน์ แต่ความคาดหวังกับผลลัพธ์ก็แตกต่างกันมากเลยทีเดียวถึงขั้นทำให้พวกเขาขาดความมั่นใจและอดไม่ได้ที่จะคิดว่านี่น่ะหรือคือเภสัชตำรับที่ตระกูลฟางเฝ้าหวงแหนมานานหลายปี?ดวงตาของหมอหลวงซุนเต็มไปด้วยสีแดงก่ำที่เกิดจากการอดนอน“ในเมื่อเภสัชตำรับของตระกูลฟางไร้ประโยชน์ เช่นนั้นพระชายาไปเรียนรู้ทักษะด้านการแพทย์มา
“นี่คือวัตถุดิบยาและปริมาณที่คนผู้นั้นทำการวางยา ที่สำนักหมอหลวงของพวกท่านมีสิ่งนี้อยู่แล้ว หากจะทำยาถอนพิษก็คงไม่ใช่เรื่องยากกระมัง”“ไม่ยากพ่ะย่ะค่ะ ไม่ยาก!”หมอหลวงซุนยิ้มร่าราวกับได้รับสมบัติเขามองซูชิงอู่ที่ยังอยู่ในวัยหนุ่มสาว แต่กลับเก่งกาจกว่าเหล่าคนชราเช่นพวกเขาเมื่อรวมกับเภสัชตำรับของตระกูลฟางที่ซูชิงอู่พูดถึง หมอหลวงเฒ่าก็ดีใจจนเนื้อเต้นหากได้เรียนรู้และกลายเป็นคนที่เก่งกาจเหมือนพระชายา ระดับความรู้ของเขาก็จะเพิ่มขึ้นไปด้วยหรือไม่?แต่หมอหลวงซุนไม่เคยรู้เลยว่าทุกสิ่งที่ซูชิงอู่เรียนรู้ไม่ได้มาจากเภสัชตำรับของตระกูลฟางในเภสัชตำรับเล่มนั้นมีความแตกต่างตรงจุดไหน ตัวซูชิงอู่ในตอนนี้ก็ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำแม้ตอนตายไปในชาติก่อน เภสัชตำรับก็ถูกทำลายและไม่มีใครเห็นความลับที่ซ่อนอยู่ในนั้นจุดเด่นเพียงหนึ่งเดียวของเภสัชตำรับเล่มนั้นคือบันทึกข้อมูลวัตถุดิบยาจำนวนมากที่คนทั่วไปไม่ทราบและสรรพคุณลับบางส่วนบรรดาผู้อาวุโสของสำนักหมอหลวงพากันมาช่วยคิดค้นยาถอนพิษเพื่อที่จะได้อ่านเภสัชตำรับนั้นเร็ว ๆในที่สุดเช้าวันรุ่งขึ้นยาที่สามารถฟื้นฟูสติของสัตว์ร้ายได้ก็ถูกส่งมาให้ฮ่องเต้