เวลาผ่านไปครู่ใหญ่ พรรคพวกของพ่อค้ากลับมาพร้อมข้อมูลที่ค้นพบ พวกเขากระซิบรายงานเบาๆ ข้างหูพ่อค้าคนกลางซึ่งพยักหน้ารับด้วยท่าทีพอใจ ก่อนที่เขาจะเดินมายังหน้าของจางเหม่ยอิงในชุดบุรุษและหงเอ๋อร์ที่ช่วยยืนระวังหลังให้“ข้อมูลที่ข้ารวบรวมมา สอดคล้องกับสิ่งที่ท่านคาดการณ์ไว้ทุกประการ ผ้าแพรผืนนั้นถูกซื้อโดยแม่นางผิงชิงเสีย ส่วนเมล็ดผิงกั่ว…นางเป็นผู้สั่งให้คนรับใช้ไปจัดหาจากตลาดมืดโดยตรง”จางเหม่ยอิงนิ่งเงียบ แม้ข้อมูลที่ได้รับดูเหมือนจะเชื่อมโยงกันได้อย่างน่าประหลาด แต่มันยังคงเต็มไปด้วยข้อสงสัยและจุดที่ยังไม่กระจ่างอีกหลายจุด“หากท่านยังไม่เชื่อ ข้ายังมีหลักฐานอื่นอีก นี่คือเอกสารการซื้อขายเมล็ดผิงกั่ว ที่มีการลงนามของผู้ซื้ออย่างชัดเจน”จางเหม่ยอิงหยิบเอกสารขึ้นมาดู แม้ภายนอกจะดูสงบนิ่ง แต่ในใจของนางกลับเต็มไปด้วยคำถามและความรู้สึกที่หลากหลาย ทั้งโกรธเคืองและกังวลว่าเรื่องราวทั้งหมดอาจลึกล้ำเกินกว่าที่นางคาดคิดไว้ในตอนแรกนางกำลังตรอมใจเพราะการแต่งงานขององค์ชาย คงไม่มีแรงมาข่มขู่ข้าหรอก หากนางคิดจะฆ่าข้าจริงนางคงลงมือทันทีก่อนงานแต่งงาน และไม่น่าทำเรื่องโง่ๆ ที่เปิดเผยตัวตนเช่นนี้หลังจา
บรรยากาศในท้องพระโรงเต็มไปด้วยความตึงเครียด สายตาของขุนนางทั้งหลายต่างจับจ้องไปที่หวังกู้หย่งซึ่งยืนสง่างามตรงหน้าบัลลังก์ทองคำโดยมีฮ่องเต้ประทับอยู่บนที่นั่งสูงสุดในเวลานี้ “ผิงจื่อหลง” พี่ชายของผิงชิงเสียซึ่งดำรงตำแหน่งแม่ทัพบูรพา มีผลงานโดดเด่นด้านการศึกจนขุนนางหลายฝ่ายเห็นพ้องกันว่าสมควรให้ผิงชิงเสียสมรสกับองค์ชายสามในฐานะพระชายารอง เพื่อเสริมสร้างสายสัมพันธ์ระหว่างราชวงศ์และตระกูลที่ภักดีต่อแผ่นดิน"องค์ชายสาม หวังกู้หย่ง" ฮ่องเต้ตรัสเสียงเรียบ"ข้าได้พิจารณาแล้ว เห็นสมควรให้เจ้ารับผิงชิงเสีย บุตรีของอดีตแม่ทัพผิงจื่อหยวนเป็นพระชายารองเพื่อเชื่อมสัมพันธ์กับตระกูลผิงที่ภักดีต่อแผ่นดินมาตลอด ครานี้เจ้ามีความคิดเห็นอย่างไรบ้าง?"ฮ่องเต้ทรงตรัสถามบุตรชายก่อนเนื่องจากพระองค์เคยมอบสมรสพระราชทานให้เขาแต่งงานกับจางเหม่ยอิงแล้วครั้งหนึ่งจึงไม่อยากหักหาญน้ำใจของบุตรชายอีก แต่ถ้าหากหวังกู้หย่งพึงพอใจในตัวผิงชิงเสียและต้องการแต่งนางเข้ามาเป็นพระชายารองก็พร้อมจะออกพระราชโองการให้ทันทีขุนนางหลายคนต่างหันมองหน้ากัน บ้างก็ยิ้มยินดี ขณะที่บางคนกลับเงียบงัน สายตาของทุกคนจับจ้องไปที่หวังกู้หย่งเพ
หวังกู้หย่งเลิกคิ้วเล็กน้อยก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงที่ดูขบขันเล็กน้อย "ข้าจะมาหาพระชายาของข้า จำเป็นต้องมีธุระอันใดด้วยหรือ?""ไม่เพคะ""ข้าเพียงแต่ได้ยินเสียงลือเสียงเล่าอ้างจากบ่าวไพร่ว่าฝีมือการยิงเกาทัณฑ์ของพระชายานั้นยอดเยี่ยม ข้าเลยอยากมาชื่นชมด้วยตาของตัวเองเสียหน่อย"จางเหม่ยอิงยิ้มบางๆ พลางส่ายหน้าเล็กน้อย "องค์ชายกล่าวเกินจริงแล้วเพคะ หม่อมฉันเพียงแค่ฝึกฝนเพื่อผ่อนคลาย ไม่ได้ถึงขั้นเก่งกาจอะไร""ถ้าเช่นนั้น เจ้าจะแข่งกับข้าดีไหม?""แข่งยิงเกาทัณฑ์กับพระองค์?""ใช่" เขาตอบทันที"หากเจ้าชนะ เจ้าสามารถขอสิ่งใดจากข้าก็ได้หนึ่งอย่าง แต่หากข้าชนะ เจ้าต้องทำตามที่ข้าสั่งหนึ่งอย่าง"คำท้านั้นทำให้จางเหม่ยอิงชะงักไปชั่วขณะ แต่ด้วยความมั่นใจในฝีมือของตัวเอง นางตอบรับด้วยน้ำเสียงแน่วแน่"หม่อมฉันรับคำท้า"เป้าธนูถูกตั้งเรียงรายในลานกว้าง เสียงสายธนูถูกดึงตึงดังก้องในอากาศ หวังกู้หย่งยืนเคียงข้างกับจางเหม่ยอิง สายตาของเขามองนางด้วยความสนใจที่ยากจะปกปิด ขณะที่จางเหม่ยอิงตั้งท่ายิงด้วยท่าทีสง่างามหวังกู้หย่งปล่อยลูกธนูไปก่อน ลูกธนูของเขาเสียบเข้ากลางเป้าอย่างแม่นยำ ขันทีและบ่าวไพร่ที่มาชมกา
หลังจากลงจากรถม้า หวังกู้หย่งและจางเหม่ยอิงเดินเคียงกันในตลาด ท่ามกลางความคึกคักของผู้คนที่เดินขวักไขว่ไปมา มีทั้งแผงขายอาหารร้อน แผงขายขนม ผลไม้อบแห้ง จนไปถึงแผงขายผ้าทอสีสันสดใสจางเหม่ยอิงมองไปยังร้านค้าที่เรียงรายไปด้วยของสวยงามหลากหลาย แต่สิ่งที่ดึงดูดความสนใจของนางมากที่สุดคือกลุ่มเด็กน้อยวิ่งเล่นอยู่ในตลาด ซึ่งเสียงหัวเราะดังก้องไปทั่วหญิงสาวได้หยิบตำลึงเงินจากถุงของตัวเองมอบให้แก่แม่ค้าซาลาเปา ก่อนจะซื้อซาลาเปาหลายลูกนั้นจะถูกแจกจ่ายให้กับเด็กน้อยทั้งหลายคนที่ยืนอยู่ในบริเวณนั้นหวังกู้หย่งยืนมองอยู่เงียบๆ รอยยิ้มบางเบาปรากฏขึ้นที่มุมปาก เขาสังเกตได้ว่าจางเหม่ยอิงจะดูเป็นตัวของตัวเองมากที่สุดเมื่ออยู่ท่ามกลางเด็กๆ“เจ้าชอบเด็กหรือ?” เขาถามขณะก้าวเข้ามายืนข้างนาง “เพคะ… ใช่เจ้าค่ะ ท่านพี่” คำเรียกที่เปลี่ยนไปทำให้หวังกู้หย่งพอใจ เขายกมือขึ้นลูบคางเบาๆ พลางพยักหน้า “ถ้าเช่นนั้น เจ้าจะไปที่ไหนหรืออยากทำอะไร บอกข้ามาเถิด วันนี้ข้าจะตามใจเจ้าหนึ่งวัน” “องค์ชาย… เอ่อ ท่านพี่… ขอบคุณเจ้าค่ะ” นางตอบด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก ทั้งสองเดินเคียงข้างกันต่อไปในตลาด หวังกู้หย่งยังคงมองนางด
หวังกู้หย่งก้าวออกมายืนกลางท้องพระโรง เสียงกระซิบกระซาบของเหล่าขุนนางค่อยๆ เงียบลงเมื่อเขาประสานสายตากับฮ่องเต้“องค์ชายสามหวังกู้หย่ง” ฮ่องเต้ตรัสด้วยน้ำเสียงที่แฝงความสง่างามแต่ก็ทรงอำนาจ “ข้าได้พิจารณาแล้วว่า สมควรให้เจ้าแต่งผิงชิงเสียบุตรีของอดีตแม่ทัพผิงจื่อหยวน เป็นพระชายารอง เพื่อเสริมสร้างสายสัมพันธ์กับตระกูลผิงที่ภักดีต่อแผ่นดินมาตลอด เจ้ามีความคิดเห็นอย่างไรบ้าง?”คำตรัสนั้นสร้างแรงกดดันให้กับทุกคนในท้องพระโรง ทุกสายตาหันไปมองหวังกู้หย่งอย่างคาดหวัง บ้างมีสีหน้าปลาบปลื้ม บ้างเคร่งขรึมหวังกู้หย่งเงยหน้าขึ้น ดวงตาสงบนิ่งแต่แฝงด้วยความหนักแน่น เขาก้าวไปข้างหน้าอีกหนึ่งก้าว ก่อนจะโค้งคำนับเบื้องหน้าฮ่องเต้ซึงมีศักดิ์เป็นเสด็จพ่อของเขา“กระหม่อมขอทูลพระองค์ด้วยความเคารพ...”บรรยากาศในท้องพระโรงเงียบสงัดทันทีราวกับว่าทุกคนกำลังจดจ่อกับสิ่งที่เขากำลังจะพูด“แม่นางผิงชิงเสียนั้นถือว่าเป็นสตรีที่มีคุณสมบัติงดงาม เพียบพร้อมทั้งรูปโฉมและความสามารถ เป็นที่น่าชื่นชมของเหล่าขุนนางทั้งหลาย กระหม่อมไม่อาจปฏิเสธความเหมาะสมในตัวนางได้เลย” คำพูดของเขาทำให้ขุนนางบางคนพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วยห
ตั้งแต่วัยเยาว์ผิงชิงเสียต้องใช้ชีวิตท่ามกลางความสูญเสียอันเจ็บปวด เนื่องจากบิดาของนางซึ่งเคยดำรงตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ได้เสียชีวิตลงอย่างเป็นปริศนาในช่วงที่นางยังเด็ก ทิ้งไว้เพียงความทรงจำของวันวานที่ครอบครัวเคยรุ่งเรืองแม้จะได้รับความเมตตาจากองค์ชายหวังกู้หย่งดูแลนางเสมือนเป็นน้องสาว แต่ผิงชิงเสียรู้ดีว่าสิ่งที่เขามอบให้นั้นมิใช่ความรักหรือความเสน่หาแต่อย่างใด ทว่ามันคือความสงสารที่มีต่อชะตากรรมอันน่าเวทนาของหญิงสาวเพียงเท่านั้น...“เขาดูแลข้าเพราะความสงสาร...ไม่ใช่เพราะรัก ทำไมท่านถึงรักข้าในฐานะผู้หญิงคนหนึ่งไม่ได้ ข้าอยากรู้นักว่ามันเป็นเพราะเหตุใดกัน?” นางพึมพำด้วยน้ำเสียงสั่นไหวด้วยความเจ็บปวดผิงชิงเสียเคยคิดว่าความเมตตาที่องค์ชายสามมีให้สตรีเช่นนางผู้เดียวนั้นก็เพียงพอแล้ว แต่เมื่อหวังกู้หย่งถูกบังคับให้แต่งงานกับจางเหม่ยอิง นางก็ไม่อาจอดกลั้นความริษยาที่ก่อตัวในใจได้อีกต่อไป“หากข้าไม่ได้ครอบครององค์ชาย เจ้าก็อย่าหวังเลยว่าจะได้เช่นกัน จางเหม่ยอิง!” และแผนการที่จะทำลายจางเหม่ยอิงก็ผุดขึ้นมาอีกครั้งด้วยความเชื่อว่าหากจางเหม่ยอิงถูกทำให้หายไปจากโลกใบนี้ องค์ชายหวังกู้หย่งก็อาจจะห
จางเหม่ยอิงหันกลับมาช้าๆ สายตาเย็นชาจ้องตรงไปยังดวงตาที่สั่นไหวของผิงชิงเสีย นางเอี้ยวหลบการโจมตีได้อย่างหวุดหวิดตอนสมัยที่ยังเรียนมหาวิทยาลัยนั้นจางเหม่ยอิงเคยเข้าหลักสูตรการป้องกันตู้และการต่อสู้ขั้นพื้นฐานเพื่อป้องกันตัวในเวลาที่ถูกฆาตกรทำร้ายหรือฆ่าปิดปากนิติเวชสาวใช้สติที่มีมากกว่าคนตรงหน้าเอื้อมมือคว้ากิ่งไม้ที่อยู่ใกล้และใช้มันปัดการโจมตีของผิงชิงเสีย พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน“ดูเหมือนเจ้าจะประเมินข้าต่ำไปมากทีเดียว”ผิงชิงเสียเห็นว่าตัวเองไม่น่าจะเอาชนะคนตรงหน้าได้จึงเปลี่ยนกิริยาท่าทางในบัดดลให้ตัวเองดูกลายเป็นเหยื่อทันทีท่าทางที่ผิงชิงเสียแสดงออกนั้นดูเกินจริงจนดูประดักประเดิด ก่อนจะร้องเสียงดังราวกับถูกทำร้ายมาอย่างรุนแรง“องค์ชาย! ช่วยหม่อมฉันด้วย!” นางตะโกนเสียงดัง น้ำเสียงแฝงไปด้วยความตื่นตระหนก ทว่าดวงตากลับจับจ้องไปยังมุมหนึ่งของลาน ราวกับมั่นใจว่าจะต้องมีคนปรากฏตัวอย่างไรอย่างนั้นและมันก็เป็นอย่างที่ผิงชิงเสียคาดการณ์ไว้ เสียงฝีเท้าที่หนักแน่นดังขึ้นจากเงามืด หวังกู้หย่งก้าวออกมาพร้อมแสงแดดที่สาดส่องผ่านร่มไม้“นี่มันอะไรกัน?” เสียงทุ้มของเขาดังขึ้นพอที่จะทำใ
ณ เรือนของพระชายา จางเหม่ยอิงกำลังนั่งเหม่อลอยทอดสายตามองไปยังมุมๆ หนึ่งที่ห่างไกล หัวใจเต้นแรงด้วยความสับสนที่ถาโถมเข้ามาไม่หยุดยั้งองค์ชายหวังกู้หย่ง… คนที่เคยเข้าข้างผิงชิงเสียเสมอ บัดนี้กลับปกป้องนางแทนที่จะเป็นหญิงผู้นั้นหญิงสาวไม่อาจเข้าใจความเปลี่ยนแปลงนี้ได้ ท่าทีที่อ่อนโยนและคำพูดที่แฝงความจริงใจของเขาในครั้งนี้ต่างจากความเย็นชาที่เคยเผชิญมาก่อน มันทำให้นางทั้งระแวดระวังและหวั่นไหวในเวลาเดียวกัน“เหตุใดเขาจึงทำเช่นนี้?” คำถามผุดขึ้นในใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า จางเหม่ยอิงพยายามที่จะหาคำตอบแต่กลับรู้สึกเหมือนถูกคลื่นความรู้สึกถาโถมจนมึนงงแม้นางยังไม่อาจเชื่อใจเขาอย่างสนิทใจ แต่ความอบอุ่นเล็กๆ ที่เกิดขึ้นในใจของนางก็ไม่อาจปฏิเสธได้กลางดึกสงัดที่มีเพียงสายลมเย็นพัดผ่าน จันทร์เต็มดวงทอดเงาลงบนลานหินเล็กๆ ที่จางเหม่ยอิงนั่งนิ่ง สายตาของจางเหม่ยอิงจับจ้องไปยังสระน้ำสวยเบื้องหน้า แสงสะท้อนระยิบระยับราวกับดาวพราวบนผืนน้ำเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าแผ่วเบาดังใกล้เข้ามาจึงอดไม่ได้ที่จะหันกลับไปมอง เป็นหวังกู้หย่งที่หยุดยืนอยู่เบื้องหลังนางนั่นเอง“หลังจากทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ ข้ารู้ว่าเจ้าคง
จางเหม่ยอิงหัวเราะเบาๆ “ท่านพี่ ข้าเพียงทำหน้าที่ของข้า ประชาชนเหล่านี้คือรากฐานของบ้านเมือง หากพวกเขาสุขสงบ บ้านเมืองของเราก็จะมั่นคงนะเจ้าคะ”หวังกู้หย่งยิ้ม พลางเอื้อมมือจับมือนาง “เจ้าเป็นดั่งเพชรน้ำงามในชีวิตข้า อิงเอ๋อร์ ข้าภูมิใจในตัวเจ้ามาก”ยามเช้าของฤดูใบไม้ผลิ ดอกเหมยแดงเบ่งบานสะพรั่งรอบลานพระราชวัง แสงแดดอ่อนสาดส่องลงมาทำให้หยดน้ำค้างที่เกาะตามกลีบดอกดูระยิบระยับ หวังกู้หย่งกำลังนั่งอยู่ที่ศาลาริมบ่อน้ำในสวนหลวง เขาแต่งกายเรียบง่าย แต่ท่าทางที่สุขุมและแววตาแน่วแน่ยังคงแสดงถึงความสง่างามขององค์ชายผู้มีบทบาทสำคัญในราชสำนักจางเหม่ยอิงเดินเข้ามาพร้อมกับถาดชาที่ถือไว้ในมือ นางสวมชุดสีฟ้าอ่อนปักลายดอกเหมยที่สะท้อนความเรียบง่ายแต่สง่างาม นางวางถาดชาไว้บนโต๊ะไม้ก่อนจะนั่งลงข้างเขา“ท่านพี่ เหตุใดจึงมานั่งตรงนี้แต่เช้าเจ้าคะ?” นางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน พลางยื่นถ้วยชาที่เพิ่งชงให้เขาหวังกู้หย่งรับถ้วยชามา ก่อนจะยิ้มบางๆ “ข้ามาผ่อนคลายความคิด เจ้าไม่ต้องห่วงไป ข้าเพียงอยากชมดอกไม้บาน” เขาหันมามองนาง สายตาเต็มไปด้วยความอ่อนโยน “แต่เจ้าล่ะ มีธุระสิ่งใดหรือถึงมาหาข้าแต่เช้า?”“ข้า
ความทรงจำในวันนั้นยังคงชัดเจนในใจของอาจารย์หวัง แม้เวลาจะผ่านไปนาน แต่ภาพของจางเหม่ยอิงในห้องเรียนวิทยาศาสตร์นิติวิทยาศาสตร์ยังคงตราตรึง รอยยิ้มของเธอที่มุมปากขณะตั้งใจฟัง หรือแววตาที่เป็นประกายทุกครั้งที่เธอเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ คือภาพที่ไม่มีวันเลือนหายจากใจเขา...ในมโนภาพของเขา ภาพของหญิงสาวที่เคยเป็นลูกศิษย์คนโปรดและเป็นรักเดียวในหัวใจปรากฏขึ้น เธอยืนยิ้มอยู่ใต้ต้นซากุระในวันที่ดอกไม้เบ่งบานเต็มที่ ในชุดฮั่นฝูสีฟ้าอ่อนปักลายดอกเหมยของเธอพลิ้วไหวไปตามสายลม ใบหน้าของจางเหม่ยอิงเปล่งประกายด้วยรอยยิ้มที่งดงามจนทำให้หัวใจเขาสั่นไหว ข้างๆ เธอนั้นมีชายคนหนึ่งสวมชุดจีนยุคโบราณสีน้ำเงินเข้มยืนอยู่ คนๆ นั้นมีหน้าตาที่เหมือนเขามากจนอดคิดไม่ได้ว่าบางที่เราอาจจะได้เจอกันแล้วในชาติภพใดชาติภพหนึ่ง"เหม่ยอิง… หากชาติหน้าหรือมีสักชาติภพที่เรามีโอกาส ผมขอให้ได้รักและอยู่เคียงข้างเธอ…"เสียงเครื่องวัดหัวใจในห้องดังเป็นเสียงยาว ทันทีที่ดวงตาของอาจารย์หวังปิดลงอย่างสงบ ใบหน้าของเขาเปื้อนรอยยิ้มบางๆ ราวกับว่าเขาได้พบกับจางเหม่ยอิงในฝันสุดท้าย ความทรงจำและความปรารถนาอันแรงกล้าของเขากลายเป็นส่วนหนึ่งของห้วงน
ไม่กี่วันต่อมา ผิงชิงเสียเองก็ขอเข้าพบจางเหม่ยอิงเป็นครั้งสุดท้าย นางดูเหนื่อยล้าและเศร้าหมองเป็นอย่างมาก น้ำเสียงที่เคยเปี่ยมไปด้วยความเย่อหยิ่งกลับแปรเปลี่ยนเป็นเสียงที่แผ่วเบาราวกับเสียงกระซิบ“เหม่ยอิง... ข้า... ข้าขอโทษ” นางเริ่มพูด ดวงตาของนางหลุบต่ำ “สิ่งที่ข้าทำ มันไม่มีข้อแก้ตัวใดๆ แต่ข้าหวังว่าเจ้าจะยอมให้อภัย”จางเหม่ยอิงมองนางด้วยความนิ่งสงบ ก่อนจะพยักหน้าเบาๆ “ข้าให้อภัยเจ้า ผิงชิงเสีย... เพราะข้าเชื่อว่าในตัวเจ้ายังน่าจะมีความดีเหลืออยู่บ้าง อย่าง้นอยเจ้าก็หวังดีและไม่เคยคิดร้ายต่อองค์ชาย”ดวงตาของผิงชิงเสียเริ่มมีน้ำตา “ขอบคุณ... ขอบคุณมาก แต่ข้าตัดสินใจแล้ว ข้าจะไปถือศีลที่อารามหลวง เพื่อไถ่บาปทั้งหมดที่ข้าได้ทำไว้” จากนั้นไม่นานผิงชิงเสียก็เดินทางไปยังอารามแห่งหนึ่งเพื่อไถ่บาปโดยไม่มีกำหนดกลับเมืองหลวงในห้องพักผู้ป่วยที่เงียบสงัด อาจารย์หวังเซินเจี๋ยในวัย 80 ปีนอนอยู่บนเตียงสีขาวสะอาด ดวงตาของเขาปิดสนิท ร่างกายซูบผอม ผิวซีดเซียวจากโรคที่กัดกร่อนพละกำลังของเขามานานหลายปี ใบหน้าที่เคยดูสง่างามบัดนี้เต็มไปด้วยรอยลึกแห่งกาลเวลาท่ามกลางเสียงเครื่องวัดอัตราการเต้นของหัวใจ
ในห้องนอนอันแสนสงบภายในตำหนักที่กว้างใหญ่ จางเหม่ยอิงกำลังบรรจงใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นบิดหมาดเช็ดตัวให้กับคนรักของนางอย่างอ่อนโยน“หวังกู้หย่ง...ท่านพี่” นางเอ่ยเรียกชื่อของเขาด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนและแผ่วเบาสักสักจางเหม่ยอิงได้ยินถึงเสียงฝีเท้าหนักแน่นที่กำลังมุ่งหน้ามาทางนี้ ดวงตาคู่งามเหลือบมองไปยังประตูด้วยความสงสัยไม่นานนัก ประตูเปิดออก เผยให้เห็นร่างสูงของตวนเฟิงที่ยืนอยู่“กระหม่อมต้องขออภัยที่มารบกวน แต่กระหม่อมมีเรื่องสำคัญที่อยากเรียนให้พระชายาทราบพ่ะย่ะค่ะ” “พูดมาเถอะ ตวนเฟิง” “เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น กระหม่อมคิดว่าพระชายาควรทราบความจริง... เรื่องที่องค์ชายปกป้องแม่นางผิงชิงเสีย... แท้จริงแล้วมันไม่ได้เป็นอย่างที่ท่านเข้าใจพ่ะย่ะค่ะ”ดวงตาของจางเหม่ยอิงเบิกกว้างเล็กน้อย แต่ยังคงนั่งนิ่งสงวนท่าที “หากไม่ใช่ แล้วเหตุใดเขาจึงต้องปกป้องนาง แทนที่จะเป็นข้า?”“องค์ชายไม่ได้ปกป้องผิงชิงเสีย แต่เพราะองค์ชายเองทรงทราบตั้งแต่ต้นว่าผิงชิงเสียไม่ได้เป็นคนร้ายตัวจริง”ตวนเฟิงพยายามอธิบายด้วยน้ำเสียงจริงจัง หมายอยากจะช่วยให้นายของตนได้ปรับความเข้าใจซึ่งกันและกัน“คนที่อยู่เบื้องหลังการลอบว
แสงยามเช้าค่อยๆ สาดส่องผ่านหน้าต่างห้องพัก กระทบกับผิวซีดของหวังกู้หย่งที่นอนแน่นิ่งบนเตียง ร่างสูงใหญ่ที่ครั้งหนึ่งเคยเปี่ยมไปด้วยพลังบัดนี้ดูอ่อนแอและเปราะบาง ผ้าพันแผลสีขาวที่ซึมไปด้วยเลือดสีดำประปรายบ่งบอกถึงการต่อสู้อันดุเดือดที่เขาได้เผชิญเพื่อปกป้องจางเหม่ยอิงจางเหม่ยอิงนั่งเฝ้าไข้อยู่ข้างเตียงอย่างใกล้ชิดหลังจากที่ได้รู้ว่ามีดสั้นของหลิวกงหยวนเล่มนั้นอาบยาพิษ จ้องมองใบหน้าที่ไร้สีเลือดของหวังกู้หย่ง น้ำตาที่พยายามสะกดกลั้นเอ่อล้นอีกครั้ง ราวกับหัวใจของนางถูกบีบรัดจนแทบแตกสลาย“เหตุใดท่านถึงโง่เขลาถึงเพียงนี้...ท่านรู้หรือไม่ว่าแท้จริงแล้วข้านั้นไม่ได้ต้องการสิ่งใด นอกจากให้ท่านมีชีวิตอยู่ต่อไป...”นางเอื้อมมือเรียวบางไปจับมือหนาที่บัดนี้ไร้เรี่ยวแรงของเขา หวังกู้หย่งไม่ตอบสนอง ไม่มีแม้แต่เสียงลมหายใจหนักหน่วงของคนที่กำลังทุกข์ทรมาน เขานิ่งราวกับไม่มีชีวิต ดวงตาของเขาปิดสนิท ราวกับจมดิ่งอยู่ในห้วงนิทราที่ไม่มีจุดจบหงเอ๋อร์ที่มีผ้าพันแผลพันรอบศีรษะนั้นทนไม่ไหวอีกต่อไป นางก้าวเข้ามาพร้อมจับไหล่ของจางเหม่ยอิงเบาๆ“พระชายาเพคะ...ท่านต้องพักผ่อนบ้าง ท่านอยู่ตรงนี้ทั้งคืนแล้ว เดี๋ย
“ออกมาเดี๋ยวนี้ จางเหม่ยอิง! ข้ารู้ว่าเจ้าซ่อนอยู่แถวนี้!”เสียงของหลิวกงหยวนดังก้องกังวานไปทั่ว พร้อมกับมีดสั้นที่สะท้อนแสงจันทร์วูบวาบอยู่ในมือของเขา ไม่คาดคิดมาก่อนว่าคนที่อ่อนแอมาตั้งแต่กำเนิดอย่างจางเหม่ยอิงจะวิ่งหนีเขาได้รวดเร็วขนาดนี้ทางด้านของจางเหม่ยอิงนั้นกำลังปรับลมหายใจให้เบาลงแม้ว่าร่างกายจะสั่นสะท้านไปด้วยความกังวล พลางคิดหาทางเอาตัวรอดจากสถานการณ์ที่สิ้นหวังนี้ในวินาทีนั้นเอง เสียงฝีเท้าหนักแน่นดังขึ้น ร่างสูงสง่าร่างหนึ่งก้าวออกมาจากความมืดจางเหม่ยอิงหันขวับไปตามเสียง ใจของนางที่เต็มไปด้วยความสิ้นหวังเริ่มสั่นคลอน ดวงตาของนางเบิกกว้าง เมื่อเสียงหนึ่งดังขึ้น เสียงที่นางรู้จักดี... เสียงที่เป็นทั้งความสิ้นหวังและแสงสว่างในเวลาเดียวกัน“หลิวกงหยวน! หยุดเดี๋ยวนี้!”หลิวกงหยวนชะงัก ดวงตาของเขาเบิกกว้างเมื่อเห็นองค์ชาย “องค์ชายสาม...”หวังกู้หย่งพุ่งตัวทะยานเข้าไปขวางหลิวกงหยวน ดวงตาของเขาวาวโรจน์ราวกับเปลวไฟที่พร้อมจะเผาผลาญทุกสิ่ง“เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงคิดทำร้ายพระชายาของข้า!”เขายกแขนขึ้นคว้าข้อมือของหลิวกงหยวนที่ถือมีดไว้แน่น แรงกดที่เพิ่มขึ้นจากมือของหวังกู้หย่งทำให้ห
ในยามค่ำคืนที่มืดมิด มีเพียงแค่แสงจากดวงจันทร์ที่สาดกระทบลงบนพื้นหญ้าของป่าลึก สถานที่แห่งนี้หากมองด้วยตาเปล่าจะสังเกตุได้ว่ามันดูห่างไกลจากเมืองหลวงพอสมควรจางเหม่ยอิงก้าวลงจากรถม้า สายตาของนางกวาดมองไปรอบๆ ด้วยความระแวดระวัง ขณะที่หงเอ๋อร์อาสาที่จะเดินดูลาดเลาให้“คุณหนู โปรดรอสักประเดี๋ยว บ่าวจะขอเดินไปดูลาดเลาให้ก่อนนะเจ้าคะ”จางเหม่ยอิงพยักหน้าเล็กน้อย แต่ดวงตาคู่งามก็ไม่วายจับจ้องไปทั่วทุกทิศทางด้วยความระมัดระวัง“ที่นี่คือที่ใดกัน?” จางเหม่ยอิงเอ่ยถาม ถึงแม้ว่าจางเหม่ยออิงนั้นจะไม่เคยได้มีโอกาสออกมานอกเมือง แต่ด้วยสัญชาตญาณของนิติเวชสาวที่ได้สัมผัสคดีฆาตกรรมมากมายนั้นหญิงนั้นไม่สามารถละทิ้งสมมติฐานนี้ได้เลย“สถานที่ที่ความจริงจะถูกเปิดเผยอย่างไรเล่า”จางเหม่ยอิงหันไปตามเสียงของหลิวกงหยวน ด้วยน้ำเสียงของเขาจะดูเรียบไร้ซึ่งความรู้สึกใดๆ แต่มันกลับอัดแน่นไปด้วยอารมณ์ขุ่นเคืองที่ปะทุอยู่ภายในหลิวกงหยวนที่อาสาว่าจะไปดูลาดเลาด้วยกันกับหงเอ๋อร์ กลับเดินย้อนกลับมา ท่อนไม้ท่อนหนึ่งในมือขวาของเขาเปื้อนโลหิตสีแดงฉาน“หลิวกู้หย่ง...” จางเหม่ยอิงนางจ้องมองท่อนไม้ในมือของเขา ซึ่งหยดโลหิตยัง
ในค่ำคืนนี้จวนองค์ชายสามที่ควรจะเงียบสงบนั้นกลับเต็มไปด้วยเสียงฝีเท้าของเหล่าคนคุ้มกันที่เดินตรวจตราอย่างเคร่งครัด ทั้งด้านในจวนและบริเวณโดยรอบจวนถูกคุ้มกันแน่นหนาเพื่อป้องกันไม่ให้พระชายาหนีไป"นี่คือชาสำหรับทุกท่าน ข้าน้อยนำมาให้ดื่มเพื่อผ่อนคลายหลังจากเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวันเจ้าค่ะ"หงเอ๋อร์กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนหวา ขณะที่นางยกถาดน้ำชาเดินเข้าไปในห้องพักของเหล่าทหารทหารหลายคนที่เหนื่อยล้าจากการปฏิบัติหน้าที่รับถ้วยชามาดื่มอย่างไม่ลังเล ท่าทางของหงเอ๋อร์ดูไม่มีพิษภัยจนไม่มีใครสงสัยแม้แต่น้อย"หงเอ๋อร์เจ้านี่ช่างรู้ใจพวกเราเสียจริง" ทหารคนหนึ่งเอ่ยพร้อมรอยยิ้มขณะยกถ้วยชาขึ้นดื่มใช้เวลาไม่นานนักยานอนหลับก็เริ่มออกฤทธิ์ เหล่าทหารเวรยามทั้งหมดต่างหลับไหลโดยถ้วนหน้า ไม่ได้รู้ตัวเลยสักนิดว่าพวกตนนั้นได้ถูกวางยานอนหลับหงเอ๋อร์ที่ยืนอยู่ในมุมห้องเฝ้าดูพวกเขาจนมั่นใจว่ายานอนหลับได้ผล จึงรีบวิ่งไปหาพระชายาของตนที่ถูกพระสวามีใจร้ายกักขังให้อยู่ในห้อง"คุณหนู... ทุกอย่างเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ" หงเอ๋อร์กล่าวด้วยเสียงที่แผ่วเบาราวกับเสียงกระซิบแต่แฝงไปด้วยความตื่นเต้น ขณะที่นางก้าวเข้าไปหาผู้เป็นนา
จางเหม่ยอิงนั่งอยู่ในห้องรับรองของเรือนส่วนตัว ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า ในเวลานี้หวังกู้หย่งยืนอยู่เบื้องหน้านาง ใบหน้าของเขาฉายชัดถึงความกังวลอย่างปิดไม่ได้"ข้าตัดสินใจแล้ว" จางเหม่ยอิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ข้าขอหย่าจากท่าน ท่านจะได้ไม่ต้องลำบากใจอีกต่อไป เพราะข้าคงไม่อยู่ขวางทางท่านกับผิงชิงเสียได้อีกแล้ว""อิงเอ๋อร์ เจ้าพูดอะไรออกมา? ข้าไม่มีวันยอมให้สิ่งนั้นเกิดขึ้น! เจ้าจะเรียกร้องสิ่งใดจากข้าก็ได้ทั้งนั้น แต่การให้เจ้าไปจากข้า...ไม่มีทาง ข้าจะไม่มีวันปล่อยเจ้าไป!""ข้าจะตัดสินใจอย่างไร มันไม่ใช่เรื่องของท่านอีกแล้ว" นางตอบกลับทันทีด้วยน้ำเสียงเย็นชา"ข้ารู้แล้ว...ว่าข้าไม่มีความสำคัญสำหรับท่าน ข้าเหนื่อยเกินกว่าจะต่อสู้เพื่อแย่งที่ยืนในหัวใจของท่านอีกต่อไป"หวังกู้หย่งก้าวเข้าไปใกล้นาง ยื่นมือออกมาหมายจะจับมือเรียวบางไว้ ให้จางเหม่ยอิงไปงั้นหรือ เขาจะยอมให้มันเกิดขึ้นได้อย่างไรกัน"อิงเอ๋อร์ ได้โปรดรับฟังข้าก่อน""หากท่านรักข้าจริง ท่านคงไม่ทำให้ข้ารู้สึกโดดเดี่ยวถึงเพียงนี้ ข้าขอโทษ แต่ข้าไม่อาจทนต่อไปได้อีกแล้ว"เมื่อเห็นว่าการพูดคุยไม่มีทางเปลี่ยนแปลงอะไรได้ หวั