ความทรงจำในวันนั้นยังคงชัดเจนในใจของอาจารย์หวัง แม้เวลาจะผ่านไปนาน แต่ภาพของจางเหม่ยอิงในห้องเรียนวิทยาศาสตร์นิติวิทยาศาสตร์ยังคงตราตรึง รอยยิ้มของเธอที่มุมปากขณะตั้งใจฟัง หรือแววตาที่เป็นประกายทุกครั้งที่เธอเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ คือภาพที่ไม่มีวันเลือนหายจากใจเขา...ในมโนภาพของเขา ภาพของหญิงสาวที่เคยเป็นลูกศิษย์คนโปรดและเป็นรักเดียวในหัวใจปรากฏขึ้น เธอยืนยิ้มอยู่ใต้ต้นซากุระในวันที่ดอกไม้เบ่งบานเต็มที่ ในชุดฮั่นฝูสีฟ้าอ่อนปักลายดอกเหมยของเธอพลิ้วไหวไปตามสายลม ใบหน้าของจางเหม่ยอิงเปล่งประกายด้วยรอยยิ้มที่งดงามจนทำให้หัวใจเขาสั่นไหว ข้างๆ เธอนั้นมีชายคนหนึ่งสวมชุดจีนยุคโบราณสีน้ำเงินเข้มยืนอยู่ คนๆ นั้นมีหน้าตาที่เหมือนเขามากจนอดคิดไม่ได้ว่าบางที่เราอาจจะได้เจอกันแล้วในชาติภพใดชาติภพหนึ่ง"เหม่ยอิง… หากชาติหน้าหรือมีสักชาติภพที่เรามีโอกาส ผมขอให้ได้รักและอยู่เคียงข้างเธอ…"เสียงเครื่องวัดหัวใจในห้องดังเป็นเสียงยาว ทันทีที่ดวงตาของอาจารย์หวังปิดลงอย่างสงบ ใบหน้าของเขาเปื้อนรอยยิ้มบางๆ ราวกับว่าเขาได้พบกับจางเหม่ยอิงในฝันสุดท้าย ความทรงจำและความปรารถนาอันแรงกล้าของเขากลายเป็นส่วนหนึ่งของห้วงน
จางเหม่ยอิงหัวเราะเบาๆ “ท่านพี่ ข้าเพียงทำหน้าที่ของข้า ประชาชนเหล่านี้คือรากฐานของบ้านเมือง หากพวกเขาสุขสงบ บ้านเมืองของเราก็จะมั่นคงนะเจ้าคะ”หวังกู้หย่งยิ้ม พลางเอื้อมมือจับมือนาง “เจ้าเป็นดั่งเพชรน้ำงามในชีวิตข้า อิงเอ๋อร์ ข้าภูมิใจในตัวเจ้ามาก”ยามเช้าของฤดูใบไม้ผลิ ดอกเหมยแดงเบ่งบานสะพรั่งรอบลานพระราชวัง แสงแดดอ่อนสาดส่องลงมาทำให้หยดน้ำค้างที่เกาะตามกลีบดอกดูระยิบระยับ หวังกู้หย่งกำลังนั่งอยู่ที่ศาลาริมบ่อน้ำในสวนหลวง เขาแต่งกายเรียบง่าย แต่ท่าทางที่สุขุมและแววตาแน่วแน่ยังคงแสดงถึงความสง่างามขององค์ชายผู้มีบทบาทสำคัญในราชสำนักจางเหม่ยอิงเดินเข้ามาพร้อมกับถาดชาที่ถือไว้ในมือ นางสวมชุดสีฟ้าอ่อนปักลายดอกเหมยที่สะท้อนความเรียบง่ายแต่สง่างาม นางวางถาดชาไว้บนโต๊ะไม้ก่อนจะนั่งลงข้างเขา“ท่านพี่ เหตุใดจึงมานั่งตรงนี้แต่เช้าเจ้าคะ?” นางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน พลางยื่นถ้วยชาที่เพิ่งชงให้เขาหวังกู้หย่งรับถ้วยชามา ก่อนจะยิ้มบางๆ “ข้ามาผ่อนคลายความคิด เจ้าไม่ต้องห่วงไป ข้าเพียงอยากชมดอกไม้บาน” เขาหันมามองนาง สายตาเต็มไปด้วยความอ่อนโยน “แต่เจ้าล่ะ มีธุระสิ่งใดหรือถึงมาหาข้าแต่เช้า?”“ข้า
วันที่ฝนโปรยปราย เสียงฝนกระทบกระจกบานใหญ่ในแมนชั่นกว้างใหญ่ของจางเหม่ยอิงก้องกังวานไปทั่วห้อง เธอเพียงแค่ต้องการที่จะพักผ่อนอย่างสบายใจในเย็นวันอันแสนเงียบสงบ จางเหม่ยอิงหันไปดูบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่เธอกำลังต้มอยู่ในหม้อที่เดือดปุดพลางคิดถึงวันเก่าๆทันใดนั้น เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นท่ามกลางเสียงฝน จางเหม่ยอิงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูและพบว่าเป็นอาจารย์หวังที่โทรมาหาเธอ จางเหม่ยอิงขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะตัดสินใจกดรับสาย“เหม่ยอิง อาจารย์มีเรื่องรบกวนเธอหน่อย” เสียงของอาจารย์หวังดูเหมือนจะเคร่งเครียดกว่าปกติ"เกิดอะไรขึ้นคะอาจารย์"“มีคดีฆาตกรรมที่ซับซ้อนเกิดขึ้นแถวชานมืองน่ะ พวกเขาไม่เข้าใจสถานการณ์สักเท่าไหร่ แถมยังไม่พบเบาะแสที่สำคัญ ผมและพวกเขาเชื่อว่ามีแต่เธอคนเดียวเท่านั้นที่จะไขคดีนี้ได้” อาจารย์หวังตอบด้วยน้ำเสียงแฝงไปด้วยความคาดหวัง “ได้โปรดมาช่วยที ผมไว้ใจเธอมากนะ เหม่ยอิง…”จางเหม่ยอิงเงียบไปครู่หนึ่ง สายตาของเธอมองไปนอกหน้าต่าง เห็นแสงไฟในเมืองที่เลือนรางภายอยู่ภายใต้สายฝนเธอรู้ดีว่าความสามารถของตัวเองในการสืบสวนและสังเกตการณ์นั้นพิเศษและไม่เหมือนใคร แต่ก็ไม่แน่ใจว่าในตอนนี้เธอต้
อาจารย์หวังยืนรออย่างใจจดใจจ่อ ฝนยังคงตกปรอย ๆ รอบตัว ความเงียบชวนให้เกิดความหวัง แต่เมื่อนานเข้าจางเหม่ยอิงก็ยังไม่ปรากฏตัว จนกระทั่งเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เสียงของผู้แจ้งข่าวทำให้โลกทั้งใบของอาจารย์หวังถล่มลง“อะไรนะ… เหม่ยอิง…”เขาพึมพำด้วยเสียงสั่น ขาอ่อนแรงจนทรุดลงกับพื้น ราวกับหัวใจถูกฉีกทิ้ง น้ำตาหยดลงจากดวงตาที่เคยสงบนิ่ง เขาไม่อาจเชื่อว่าหญิงสาวผู้เปี่ยมด้วยความเข้มแข็งและมีชีวิตชีวาจะจากไปอย่างไม่มีวันกลับขณะที่อาจารย์หวังนั่งทรุดอยู่กับพื้น ความคิดต่างๆ ก็ถาโถมเข้ามาไม่หยุดยั้ง เขาพยายามประคองสติแต่ทว่าไม่อาจทำได้ หัวใจเขาเหมือนถูกขยี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ราวกับบทเรียนที่ชีวิตบังคับให้ต้องทบทวน“ทำไมถึงต้องเป็นเธอ... ทำไมต้องเป็นเหม่ยอิง?”เขาครุ่นคิดอย่างเศร้าสร้อย ความทรงจำที่พวกเขาเคยมีร่วมกันตอนเธอยังเป็นนักศึกษาไหลย้อนกลับมา เขาจำได้ทุกช่วงเวลา รอยยิ้มของเธอ ความมุ่งมั่นในสายตา เสียงหัวเราะที่ทำให้เขารู้สึกอบอุ่น แม้ทุกครั้งเขาจะเก็บความรู้สึกไว้ลึกที่สุดเท่าที่จะทำได้ เขารู้ดีว่าในฐานะอาจารย์และลูกศิษย์ ความรักของพวกเขาไม่สามารถเป็นจริงได้ แต่เขาก็อดหวังไม่ได้ หวังว่าคงมีสัก
“คุณหนู ข้ามิได้ล้อเล่นนะเจ้าคะ ร่างกายท่านเพิ่งจะฟื้นจากอาการอ่อนแอ แถมท่านก็สลบไปเพราะหายใจไม่สะดวกอีก อาจจะเป็นเพราะท่านเหนื่อยมากเกินไปหรือไม่ก็คิดถึงเรื่องราวต่างๆ มากเกินไป”หงเอ๋อร์ยิ้มแหยๆ ก่อนจะเริ่มปรนนิบัติคุณหนูจางเหม่ยอิงด้วยการช่วยจัดหมอนให้เข้าที่ และยกน้ำชามาวางไว้ข้างเตียง“คุณหนู ดื่มชานี่เถอะเจ้าค่ะ เผื่อจะช่วยให้ท่านรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง”จางเหม่ยอิงรับถ้วยชามาดื่มอย่างเอื่อยเฉื่อย แต่เธอก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้“นี่ฉันกลายเป็นคุณหนูโบราณยุคจริงๆ ไปแล้วสินะ มันก็ดูไม่เลวเลยนะ”หงเอ๋อร์ขมวดคิ้วด้วยความประหลาดใจเมื่อได้ยินคุณหนูจางเหม่ยอิงพูดจาแปลกๆ หลุดออกมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย"เอ่อ... คุณหนูเจ้าคะ ท่านพูดถึงอะไรที่ว่าเป็นคุณหนูในยุคโบราณนี่มันหมายความว่ายังไงกันเจ้าคะ?"“ก็ฉัน ข้าหมายถึงแบบ… เอ่อ ข้าก็แค่รู้สึกว่าทุกอย่างมันแปลกตาไปหมดน่ะ เหมือนตัวเองหลุดมาจากโลกอื่นอย่างนั้นเลย”หงเอ๋อร์กะพริบตาปริบๆ ก่อนจะถือวิสาสะยกมือขึ้นแตะหน้าผากของจางเหม่ยอิงด้วยความกังวล“คุณหนู หรือว่าท่านจะยังไม่หายดีจริงๆ? ทำไมถึงพูดแปลกๆ เช่นนี้? บ่าวกลัวว่าท่านอาจจะเพ้อเพราะพิษไข้เสียแล้ว”
วันต่อมาภายใต้การดูแลของหงเอ๋อร์และหลิวกงหยวน ชีวิตของจางเหม่ยอิงได้เริ่มเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ที่ทำให้เธอหลุดขำในใจได้อยู่บ่อยๆ หงเอ๋อร์ที่สอนการเย็บผ้า ก็ถึงกับทำหน้าตกใจเมื่อจางเหม่ยอิงทำเข็มหลุดมือจนปักนิ้วตัวเอง“โอ๊ย! เจ็บ!” จางเหม่ยอิงรีบโวยวายขึ้น ขณะที่หงเอ๋อร์วิ่งเข้ามาด้วยความตกใจ“คุณหนูระวังหน่อยเจ้าค่ะ!” หงเอ๋อร์รีบหยิบผ้าพันแผลมาอย่างรวดเร็ว “ท่านเคยเย็บปักถักร้อยเก่งกว่า นี้ไม่ใช่หรือเจ้าคะ?”จางเหม่ยอิงหัวเราะเบา ๆ “ข้าแค่... ข้าจำไม่ได้ว่าน่ะต้องเย็บมันอย่างไร”พลางแอบคิดในใจว่า ‘ฉันน่ะมือใหม่จริงๆ ก็เพราะไม่เคยเย็บผ้ามาก่อนเลยต่างหากล่ะ!’ส่วนหลิวกงหยวนก็แนะนำประวัติครอบครัวและขนบธรรมเนียมในบ้านให้เธอฟัง แต่จางเหม่ยอิงกลับนั่งฟังด้วยสีหน้างุนงง ทำเอาพ่อบ้านถึงกับกลอกตา“คุณหนู… อย่าได้ลืมเป็นอันขาดว่าท่านเป็นบุตรสาวคนที่สามของเสนาบดีจางซวนหลงนะขอรับ เวลาอยู่ต่อหน้าคนท่านต้องรักษากิริยาให้เหมาะกับชนชั้นขุนนาง”จางเหม่ยอิงพยักหน้ารับ “โอเคๆ เอ่อ ได้ ข้าจะฟัง…แต่ว่ามันก็เยอะจังนะกฎเกณฑ์ของที่นี่”เธอทำท่ากุมขมับแกล้งทำเป็นเหนื่อย หงเอ๋อร์ที่เห็นเข้าก็อดยิ้มขำไม่ได้ คุณหนูข
ภายในจวนเมฆาหิมะ แสงแดดส่องผ่านรั้วสูงที่ปกคลุมด้วยเงาหิมะ หวังกู้หย่งขมวดคิ้วขณะตั้งสมาธิจดจ่อกับเป้าหมายข้างหน้าองค์ชายสาม หวังกู้หย่ง เป็นชายหนุ่มที่งามสง่าราวกับเทพเซียน รูปร่างสูงโปร่งและสง่างาม ผิวพรรณขาวกระจ่างตัดกับดวงตาคมเข้มลึกซึ้งซึ่งมักแฝงความเย็นชา สันจมูกโด่งเป็นเส้นตรงรับกับใบหน้าได้รูปที่เฉียบคม ทุกครั้งที่เขายิ้มหรือแม้แต่สบตาเพียงชั่วครู่ มักสะกดสายตาของผู้คนรอบข้างให้หยุดนิ่งด้วยความน่าเกรงขามและเสน่ห์อันทรงพลังเขาดึงสายธนูให้ตึง มองไปยังเป้าที่อยู่ไกล ทันใดนั้น เสียงของเหว่ยเฟิง องครักษ์ประจำตัวดังขึ้นอย่างนอบน้อม“องค์ชาย…ว่ากันว่าคุณหนูจางฟื้นขึ้นมาแล้ว ทุกคนคิดว่านางจะต้องตาย แต่นางกลับฟื้นขึ้นมาอย่างไม่มีใครคาดคิด เราจะทำอย่างไรต่อดีพ่ะย่ะค่ะ?”หวังกู้หย่งลดธนูลง แววตาคมกริบของเขาสะท้อนความเย็นชาที่ซ่อนอยู่ลึกๆ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง“ฟื้นมางั้นหรือ? หากเสด็จพ่อบอกให้ข้าแต่งกับนาง ข้าก็ต้องแต่ง… จะให้ทำอย่างไร ยกเลิกการแต่งงานให้ถูกเนรเทศหรือถูกสั่งประหารงั้นหรือ”เขายักไหล่เล็กน้อยอย่างไม่สนใจ “ถ้าต้องแต่งงานกันก็แต่งนางเข้ามาก่อน แล้วค่อยว่ากันทีหลั
หลังจากนั้นจางเหม่ยอิงได้เดินผ่านสวนหย่อมกลางจวนและบังเอิญได้ยินสาวใช้กลุ่มหนึ่งพูดคุยกันอย่างออกอรรถรสเกี่ยวกับตนแอง“ครั้งล่าสุดที่แม่นางผิงชิงเสียมาหาคุณหนู นางนำของขวัญวันแต่งงานมาให้ เห็นว่าเป็นผ้าแพรผืนหนึ่ง ทันทีที่คุณหนูรับไว้ ท่าทีของนางก็เปลี่ยนไปทันที”“ข้าเองก็อดสงสารคุณหนูจางของพวกเราไม่ได้ นางเคยสนิทกับแม่นางผิงชิงเสียมาก่อนแต่กลับต้องมาแตกหักกันเพราะองค์ชายสามคนเดียว”“ข้าเองก็ได้ยินมาว่าองค์ชายสามรักแม่นางผิงชิงเสียมากแต่เพราะถูกบังคับให้แต่งกับคุณหนูของเรา จึงไม่พอใจคุณหนูของเราเป็นอย่างมาก”“คุณหนูของพวกเราช่างน่าสงสารเสียจริง ข้าเองก็ไม่ชอบแม่นางผิงชิงเสียเอาเสียเลย ถ้าสังเกตดีๆ นางไม่ได้เป็นมิตรกับคุณหนูของเราเลยสักนิด มีแต่คุณหนูของพวกเราที่มองว่านางยังเป็นสหาย”จางเหม่ยอิงหยุดชะงักทันที คำพูดเหล่านั้นจุดประกายความสงสัยในใจเธอ“ผิงชิงเสีย…ผ้าแพร?”จากนั้นด้วยความสงสัยจางเหม่ยอิงรีบไปหาหงเอ๋อร์และสอบถามข้อมูลทันที“ไม่นานมานี้ ผิงชิงเสียเคยมาเยี่ยมข้าจริงหรือ?”หงเอ๋อร์ถอนหายใจ “ใช่เจ้าค่ะ แต่ท่านไม่ควรใส่ใจนางมากนัก นางไม่เคยจริงใจกับท่านเลยสักนิด มาทีไรก็มักจะพูด
จางเหม่ยอิงหัวเราะเบาๆ “ท่านพี่ ข้าเพียงทำหน้าที่ของข้า ประชาชนเหล่านี้คือรากฐานของบ้านเมือง หากพวกเขาสุขสงบ บ้านเมืองของเราก็จะมั่นคงนะเจ้าคะ”หวังกู้หย่งยิ้ม พลางเอื้อมมือจับมือนาง “เจ้าเป็นดั่งเพชรน้ำงามในชีวิตข้า อิงเอ๋อร์ ข้าภูมิใจในตัวเจ้ามาก”ยามเช้าของฤดูใบไม้ผลิ ดอกเหมยแดงเบ่งบานสะพรั่งรอบลานพระราชวัง แสงแดดอ่อนสาดส่องลงมาทำให้หยดน้ำค้างที่เกาะตามกลีบดอกดูระยิบระยับ หวังกู้หย่งกำลังนั่งอยู่ที่ศาลาริมบ่อน้ำในสวนหลวง เขาแต่งกายเรียบง่าย แต่ท่าทางที่สุขุมและแววตาแน่วแน่ยังคงแสดงถึงความสง่างามขององค์ชายผู้มีบทบาทสำคัญในราชสำนักจางเหม่ยอิงเดินเข้ามาพร้อมกับถาดชาที่ถือไว้ในมือ นางสวมชุดสีฟ้าอ่อนปักลายดอกเหมยที่สะท้อนความเรียบง่ายแต่สง่างาม นางวางถาดชาไว้บนโต๊ะไม้ก่อนจะนั่งลงข้างเขา“ท่านพี่ เหตุใดจึงมานั่งตรงนี้แต่เช้าเจ้าคะ?” นางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน พลางยื่นถ้วยชาที่เพิ่งชงให้เขาหวังกู้หย่งรับถ้วยชามา ก่อนจะยิ้มบางๆ “ข้ามาผ่อนคลายความคิด เจ้าไม่ต้องห่วงไป ข้าเพียงอยากชมดอกไม้บาน” เขาหันมามองนาง สายตาเต็มไปด้วยความอ่อนโยน “แต่เจ้าล่ะ มีธุระสิ่งใดหรือถึงมาหาข้าแต่เช้า?”“ข้า
ความทรงจำในวันนั้นยังคงชัดเจนในใจของอาจารย์หวัง แม้เวลาจะผ่านไปนาน แต่ภาพของจางเหม่ยอิงในห้องเรียนวิทยาศาสตร์นิติวิทยาศาสตร์ยังคงตราตรึง รอยยิ้มของเธอที่มุมปากขณะตั้งใจฟัง หรือแววตาที่เป็นประกายทุกครั้งที่เธอเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ คือภาพที่ไม่มีวันเลือนหายจากใจเขา...ในมโนภาพของเขา ภาพของหญิงสาวที่เคยเป็นลูกศิษย์คนโปรดและเป็นรักเดียวในหัวใจปรากฏขึ้น เธอยืนยิ้มอยู่ใต้ต้นซากุระในวันที่ดอกไม้เบ่งบานเต็มที่ ในชุดฮั่นฝูสีฟ้าอ่อนปักลายดอกเหมยของเธอพลิ้วไหวไปตามสายลม ใบหน้าของจางเหม่ยอิงเปล่งประกายด้วยรอยยิ้มที่งดงามจนทำให้หัวใจเขาสั่นไหว ข้างๆ เธอนั้นมีชายคนหนึ่งสวมชุดจีนยุคโบราณสีน้ำเงินเข้มยืนอยู่ คนๆ นั้นมีหน้าตาที่เหมือนเขามากจนอดคิดไม่ได้ว่าบางที่เราอาจจะได้เจอกันแล้วในชาติภพใดชาติภพหนึ่ง"เหม่ยอิง… หากชาติหน้าหรือมีสักชาติภพที่เรามีโอกาส ผมขอให้ได้รักและอยู่เคียงข้างเธอ…"เสียงเครื่องวัดหัวใจในห้องดังเป็นเสียงยาว ทันทีที่ดวงตาของอาจารย์หวังปิดลงอย่างสงบ ใบหน้าของเขาเปื้อนรอยยิ้มบางๆ ราวกับว่าเขาได้พบกับจางเหม่ยอิงในฝันสุดท้าย ความทรงจำและความปรารถนาอันแรงกล้าของเขากลายเป็นส่วนหนึ่งของห้วงน
ไม่กี่วันต่อมา ผิงชิงเสียเองก็ขอเข้าพบจางเหม่ยอิงเป็นครั้งสุดท้าย นางดูเหนื่อยล้าและเศร้าหมองเป็นอย่างมาก น้ำเสียงที่เคยเปี่ยมไปด้วยความเย่อหยิ่งกลับแปรเปลี่ยนเป็นเสียงที่แผ่วเบาราวกับเสียงกระซิบ“เหม่ยอิง... ข้า... ข้าขอโทษ” นางเริ่มพูด ดวงตาของนางหลุบต่ำ “สิ่งที่ข้าทำ มันไม่มีข้อแก้ตัวใดๆ แต่ข้าหวังว่าเจ้าจะยอมให้อภัย”จางเหม่ยอิงมองนางด้วยความนิ่งสงบ ก่อนจะพยักหน้าเบาๆ “ข้าให้อภัยเจ้า ผิงชิงเสีย... เพราะข้าเชื่อว่าในตัวเจ้ายังน่าจะมีความดีเหลืออยู่บ้าง อย่าง้นอยเจ้าก็หวังดีและไม่เคยคิดร้ายต่อองค์ชาย”ดวงตาของผิงชิงเสียเริ่มมีน้ำตา “ขอบคุณ... ขอบคุณมาก แต่ข้าตัดสินใจแล้ว ข้าจะไปถือศีลที่อารามหลวง เพื่อไถ่บาปทั้งหมดที่ข้าได้ทำไว้” จากนั้นไม่นานผิงชิงเสียก็เดินทางไปยังอารามแห่งหนึ่งเพื่อไถ่บาปโดยไม่มีกำหนดกลับเมืองหลวงในห้องพักผู้ป่วยที่เงียบสงัด อาจารย์หวังเซินเจี๋ยในวัย 80 ปีนอนอยู่บนเตียงสีขาวสะอาด ดวงตาของเขาปิดสนิท ร่างกายซูบผอม ผิวซีดเซียวจากโรคที่กัดกร่อนพละกำลังของเขามานานหลายปี ใบหน้าที่เคยดูสง่างามบัดนี้เต็มไปด้วยรอยลึกแห่งกาลเวลาท่ามกลางเสียงเครื่องวัดอัตราการเต้นของหัวใจ
ในห้องนอนอันแสนสงบภายในตำหนักที่กว้างใหญ่ จางเหม่ยอิงกำลังบรรจงใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นบิดหมาดเช็ดตัวให้กับคนรักของนางอย่างอ่อนโยน“หวังกู้หย่ง...ท่านพี่” นางเอ่ยเรียกชื่อของเขาด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนและแผ่วเบาสักสักจางเหม่ยอิงได้ยินถึงเสียงฝีเท้าหนักแน่นที่กำลังมุ่งหน้ามาทางนี้ ดวงตาคู่งามเหลือบมองไปยังประตูด้วยความสงสัยไม่นานนัก ประตูเปิดออก เผยให้เห็นร่างสูงของตวนเฟิงที่ยืนอยู่“กระหม่อมต้องขออภัยที่มารบกวน แต่กระหม่อมมีเรื่องสำคัญที่อยากเรียนให้พระชายาทราบพ่ะย่ะค่ะ” “พูดมาเถอะ ตวนเฟิง” “เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น กระหม่อมคิดว่าพระชายาควรทราบความจริง... เรื่องที่องค์ชายปกป้องแม่นางผิงชิงเสีย... แท้จริงแล้วมันไม่ได้เป็นอย่างที่ท่านเข้าใจพ่ะย่ะค่ะ”ดวงตาของจางเหม่ยอิงเบิกกว้างเล็กน้อย แต่ยังคงนั่งนิ่งสงวนท่าที “หากไม่ใช่ แล้วเหตุใดเขาจึงต้องปกป้องนาง แทนที่จะเป็นข้า?”“องค์ชายไม่ได้ปกป้องผิงชิงเสีย แต่เพราะองค์ชายเองทรงทราบตั้งแต่ต้นว่าผิงชิงเสียไม่ได้เป็นคนร้ายตัวจริง”ตวนเฟิงพยายามอธิบายด้วยน้ำเสียงจริงจัง หมายอยากจะช่วยให้นายของตนได้ปรับความเข้าใจซึ่งกันและกัน“คนที่อยู่เบื้องหลังการลอบว
แสงยามเช้าค่อยๆ สาดส่องผ่านหน้าต่างห้องพัก กระทบกับผิวซีดของหวังกู้หย่งที่นอนแน่นิ่งบนเตียง ร่างสูงใหญ่ที่ครั้งหนึ่งเคยเปี่ยมไปด้วยพลังบัดนี้ดูอ่อนแอและเปราะบาง ผ้าพันแผลสีขาวที่ซึมไปด้วยเลือดสีดำประปรายบ่งบอกถึงการต่อสู้อันดุเดือดที่เขาได้เผชิญเพื่อปกป้องจางเหม่ยอิงจางเหม่ยอิงนั่งเฝ้าไข้อยู่ข้างเตียงอย่างใกล้ชิดหลังจากที่ได้รู้ว่ามีดสั้นของหลิวกงหยวนเล่มนั้นอาบยาพิษ จ้องมองใบหน้าที่ไร้สีเลือดของหวังกู้หย่ง น้ำตาที่พยายามสะกดกลั้นเอ่อล้นอีกครั้ง ราวกับหัวใจของนางถูกบีบรัดจนแทบแตกสลาย“เหตุใดท่านถึงโง่เขลาถึงเพียงนี้...ท่านรู้หรือไม่ว่าแท้จริงแล้วข้านั้นไม่ได้ต้องการสิ่งใด นอกจากให้ท่านมีชีวิตอยู่ต่อไป...”นางเอื้อมมือเรียวบางไปจับมือหนาที่บัดนี้ไร้เรี่ยวแรงของเขา หวังกู้หย่งไม่ตอบสนอง ไม่มีแม้แต่เสียงลมหายใจหนักหน่วงของคนที่กำลังทุกข์ทรมาน เขานิ่งราวกับไม่มีชีวิต ดวงตาของเขาปิดสนิท ราวกับจมดิ่งอยู่ในห้วงนิทราที่ไม่มีจุดจบหงเอ๋อร์ที่มีผ้าพันแผลพันรอบศีรษะนั้นทนไม่ไหวอีกต่อไป นางก้าวเข้ามาพร้อมจับไหล่ของจางเหม่ยอิงเบาๆ“พระชายาเพคะ...ท่านต้องพักผ่อนบ้าง ท่านอยู่ตรงนี้ทั้งคืนแล้ว เดี๋ย
“ออกมาเดี๋ยวนี้ จางเหม่ยอิง! ข้ารู้ว่าเจ้าซ่อนอยู่แถวนี้!”เสียงของหลิวกงหยวนดังก้องกังวานไปทั่ว พร้อมกับมีดสั้นที่สะท้อนแสงจันทร์วูบวาบอยู่ในมือของเขา ไม่คาดคิดมาก่อนว่าคนที่อ่อนแอมาตั้งแต่กำเนิดอย่างจางเหม่ยอิงจะวิ่งหนีเขาได้รวดเร็วขนาดนี้ทางด้านของจางเหม่ยอิงนั้นกำลังปรับลมหายใจให้เบาลงแม้ว่าร่างกายจะสั่นสะท้านไปด้วยความกังวล พลางคิดหาทางเอาตัวรอดจากสถานการณ์ที่สิ้นหวังนี้ในวินาทีนั้นเอง เสียงฝีเท้าหนักแน่นดังขึ้น ร่างสูงสง่าร่างหนึ่งก้าวออกมาจากความมืดจางเหม่ยอิงหันขวับไปตามเสียง ใจของนางที่เต็มไปด้วยความสิ้นหวังเริ่มสั่นคลอน ดวงตาของนางเบิกกว้าง เมื่อเสียงหนึ่งดังขึ้น เสียงที่นางรู้จักดี... เสียงที่เป็นทั้งความสิ้นหวังและแสงสว่างในเวลาเดียวกัน“หลิวกงหยวน! หยุดเดี๋ยวนี้!”หลิวกงหยวนชะงัก ดวงตาของเขาเบิกกว้างเมื่อเห็นองค์ชาย “องค์ชายสาม...”หวังกู้หย่งพุ่งตัวทะยานเข้าไปขวางหลิวกงหยวน ดวงตาของเขาวาวโรจน์ราวกับเปลวไฟที่พร้อมจะเผาผลาญทุกสิ่ง“เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงคิดทำร้ายพระชายาของข้า!”เขายกแขนขึ้นคว้าข้อมือของหลิวกงหยวนที่ถือมีดไว้แน่น แรงกดที่เพิ่มขึ้นจากมือของหวังกู้หย่งทำให้ห
ในยามค่ำคืนที่มืดมิด มีเพียงแค่แสงจากดวงจันทร์ที่สาดกระทบลงบนพื้นหญ้าของป่าลึก สถานที่แห่งนี้หากมองด้วยตาเปล่าจะสังเกตุได้ว่ามันดูห่างไกลจากเมืองหลวงพอสมควรจางเหม่ยอิงก้าวลงจากรถม้า สายตาของนางกวาดมองไปรอบๆ ด้วยความระแวดระวัง ขณะที่หงเอ๋อร์อาสาที่จะเดินดูลาดเลาให้“คุณหนู โปรดรอสักประเดี๋ยว บ่าวจะขอเดินไปดูลาดเลาให้ก่อนนะเจ้าคะ”จางเหม่ยอิงพยักหน้าเล็กน้อย แต่ดวงตาคู่งามก็ไม่วายจับจ้องไปทั่วทุกทิศทางด้วยความระมัดระวัง“ที่นี่คือที่ใดกัน?” จางเหม่ยอิงเอ่ยถาม ถึงแม้ว่าจางเหม่ยออิงนั้นจะไม่เคยได้มีโอกาสออกมานอกเมือง แต่ด้วยสัญชาตญาณของนิติเวชสาวที่ได้สัมผัสคดีฆาตกรรมมากมายนั้นหญิงนั้นไม่สามารถละทิ้งสมมติฐานนี้ได้เลย“สถานที่ที่ความจริงจะถูกเปิดเผยอย่างไรเล่า”จางเหม่ยอิงหันไปตามเสียงของหลิวกงหยวน ด้วยน้ำเสียงของเขาจะดูเรียบไร้ซึ่งความรู้สึกใดๆ แต่มันกลับอัดแน่นไปด้วยอารมณ์ขุ่นเคืองที่ปะทุอยู่ภายในหลิวกงหยวนที่อาสาว่าจะไปดูลาดเลาด้วยกันกับหงเอ๋อร์ กลับเดินย้อนกลับมา ท่อนไม้ท่อนหนึ่งในมือขวาของเขาเปื้อนโลหิตสีแดงฉาน“หลิวกู้หย่ง...” จางเหม่ยอิงนางจ้องมองท่อนไม้ในมือของเขา ซึ่งหยดโลหิตยัง
ในค่ำคืนนี้จวนองค์ชายสามที่ควรจะเงียบสงบนั้นกลับเต็มไปด้วยเสียงฝีเท้าของเหล่าคนคุ้มกันที่เดินตรวจตราอย่างเคร่งครัด ทั้งด้านในจวนและบริเวณโดยรอบจวนถูกคุ้มกันแน่นหนาเพื่อป้องกันไม่ให้พระชายาหนีไป"นี่คือชาสำหรับทุกท่าน ข้าน้อยนำมาให้ดื่มเพื่อผ่อนคลายหลังจากเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวันเจ้าค่ะ"หงเอ๋อร์กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนหวา ขณะที่นางยกถาดน้ำชาเดินเข้าไปในห้องพักของเหล่าทหารทหารหลายคนที่เหนื่อยล้าจากการปฏิบัติหน้าที่รับถ้วยชามาดื่มอย่างไม่ลังเล ท่าทางของหงเอ๋อร์ดูไม่มีพิษภัยจนไม่มีใครสงสัยแม้แต่น้อย"หงเอ๋อร์เจ้านี่ช่างรู้ใจพวกเราเสียจริง" ทหารคนหนึ่งเอ่ยพร้อมรอยยิ้มขณะยกถ้วยชาขึ้นดื่มใช้เวลาไม่นานนักยานอนหลับก็เริ่มออกฤทธิ์ เหล่าทหารเวรยามทั้งหมดต่างหลับไหลโดยถ้วนหน้า ไม่ได้รู้ตัวเลยสักนิดว่าพวกตนนั้นได้ถูกวางยานอนหลับหงเอ๋อร์ที่ยืนอยู่ในมุมห้องเฝ้าดูพวกเขาจนมั่นใจว่ายานอนหลับได้ผล จึงรีบวิ่งไปหาพระชายาของตนที่ถูกพระสวามีใจร้ายกักขังให้อยู่ในห้อง"คุณหนู... ทุกอย่างเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ" หงเอ๋อร์กล่าวด้วยเสียงที่แผ่วเบาราวกับเสียงกระซิบแต่แฝงไปด้วยความตื่นเต้น ขณะที่นางก้าวเข้าไปหาผู้เป็นนา
จางเหม่ยอิงนั่งอยู่ในห้องรับรองของเรือนส่วนตัว ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า ในเวลานี้หวังกู้หย่งยืนอยู่เบื้องหน้านาง ใบหน้าของเขาฉายชัดถึงความกังวลอย่างปิดไม่ได้"ข้าตัดสินใจแล้ว" จางเหม่ยอิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ข้าขอหย่าจากท่าน ท่านจะได้ไม่ต้องลำบากใจอีกต่อไป เพราะข้าคงไม่อยู่ขวางทางท่านกับผิงชิงเสียได้อีกแล้ว""อิงเอ๋อร์ เจ้าพูดอะไรออกมา? ข้าไม่มีวันยอมให้สิ่งนั้นเกิดขึ้น! เจ้าจะเรียกร้องสิ่งใดจากข้าก็ได้ทั้งนั้น แต่การให้เจ้าไปจากข้า...ไม่มีทาง ข้าจะไม่มีวันปล่อยเจ้าไป!""ข้าจะตัดสินใจอย่างไร มันไม่ใช่เรื่องของท่านอีกแล้ว" นางตอบกลับทันทีด้วยน้ำเสียงเย็นชา"ข้ารู้แล้ว...ว่าข้าไม่มีความสำคัญสำหรับท่าน ข้าเหนื่อยเกินกว่าจะต่อสู้เพื่อแย่งที่ยืนในหัวใจของท่านอีกต่อไป"หวังกู้หย่งก้าวเข้าไปใกล้นาง ยื่นมือออกมาหมายจะจับมือเรียวบางไว้ ให้จางเหม่ยอิงไปงั้นหรือ เขาจะยอมให้มันเกิดขึ้นได้อย่างไรกัน"อิงเอ๋อร์ ได้โปรดรับฟังข้าก่อน""หากท่านรักข้าจริง ท่านคงไม่ทำให้ข้ารู้สึกโดดเดี่ยวถึงเพียงนี้ ข้าขอโทษ แต่ข้าไม่อาจทนต่อไปได้อีกแล้ว"เมื่อเห็นว่าการพูดคุยไม่มีทางเปลี่ยนแปลงอะไรได้ หวั