ได้ยินฝ่าบาทตรัสว่า “เหิงอ๋องส่งจดหมายมาแล้ว กล่าวว่าเส้นทางเดินทัพยาวไกล ศึกครั้งนี้กินเวลาอย่างน้อยครึ่งปี หรืออาจจะยาวนานถึงหนึ่งปี จำเป็นต้องเร่งระดมเสบียงส่งไปที่แนวหน้าโดยเร็วที่สุด เหิงอ๋องกล่าวว่าพระชายาของเขาได้ก่อตั้งศาลาการกุศลแห่งหนึ่งขึ้นมาในหมู่ประชาชนทั่วไป ภายในมีช่างปักผ้ามากกว่าหนึ่งพันคน หากยามนี้ต้องเร่งตัดเย็บเครื่องนุ่งห่มกันหนาวสำหรับทหารจำนวนมากส่งไปยังแนวหน้า พระชายาคิดว่าเรื่องนี้ลำบากเกินไปหรือไม่” ทางการเองก็มีสำนักตัดเย็บ รับผิดชอบการตัดเย็บเสื้อผ้ารวมถึงชุดเกราะของกองทัพทั้งหมดในเมืองหลวง และมีอยู่ทั่วทุกมุมเมือง ทว่าสภาวการณ์ครั้งนี้เร่งด่วน และรุนแรงกว่าที่พวกเขาคาดการณ์ไว้ตอนก่อนออกเดินทัพมาก อากาศหนาวจัด ทหารจำนวนมากทนความหนาวเย็นไม่ไหว ถึงขั้นพากันติดไข้หวัดล้มป่วยกันไปหมด จะอาศัยเพียงแพทย์ทหารอย่างเดียวก็เหมือนจะไม่เพียงพอ เดิมทีได้มีการเตรียมความพร้อมเอาไว้อย่างรอบคอบไร้ช่องโหว่แล้ว ทว่าบัดนี้ทางการยังต้องระดมแพทย์จำนวนมากจากหมู่ประชาชนเพื่อส่งไปยังเขตชายแดน หลังจากเจียงเฟิ่งหัวเข้าใจสถานการณ์แล้ว ก็เอ่ยว่า “ศาลาการกุศลมิใช่หม่อมฉันก่อตั้งขึ้น
“ขอบพระทัยเพคะเสด็จพ่อ” เจียงเฟิ่งหัวแม้ตั้งครรภ์ท้องโตแต่กระนั้นก็ยังคุกเข่าลงถวายบังคมต่อฝ่าบาทด้วยกิริยาอันนอบน้อมและสุภาพเรียบร้อย เจียงเฟิ่งหัวหมายใจจะช่วยให้พระชายาอวี้อ๋องหลุดพ้นจากเยี่ยนเฟย เมื่อครู่นางเพิ่งถามสถานการณ์ของพระชายาอวี้อ๋องจากอู๋ซิน กล่าวได้ว่าไม่สู้ดีทีเดียว เยี่ยนเฟยไม่ได้รับความโปรดปรานจากฝ่าบาทนานมากแล้ว ฝ่าบาทเองก็หาได้สนพระทัยว่าเยี่ยนเฟยจะเป็นหรือตาย โอรสของนางออกจากเมืองหลวงไปแล้ว นางจึงพาลเอาอารมณ์ขุ่นเคืองมาระบายใส่พระชายาอวี้อ๋อง เอาแต่ซ้ำเติมว่านางไม่มีปัญญาตั้งครรภ์มีโอรสธิดา เจียงเฟิ่งหัวไม่เข้าใจ ทั้งเป็นคนสกุลหลัวเหมือนกัน สกุลมารดาเดียวกัน พระชายาอวี้อ๋องยังนับได้ว่าเป็นหลานสาวสายนอกของนางด้วยซ้ำ ถึงจะมีบุตรไม่ได้แต่นางมิเพียงไม่ปลอบโยนไม่เห็นใจสงสาร หนำซ้ำยังใจร้ายย่ำยีศักดิ์ศรีของอีกฝ่ายอีก กระทั่งเจียงเฟิ่งหัวออกไปแล้ว ฮ่องเต้พลันวางแผ่นฎีกาในพระหัตถ์ลงทันที ก่อนจะตรัสกับเฉาเต๋อ “จงไปเรียกเจียงหวยมาเข้าเฝ้า เราอยากจะพบหน้าเขาสักครั้ง” แค่ราชครูตัวน้อย ๆ แต่สามารถอบรมสั่งสอนดรุณีคนหนึ่งให้สง่างามมีศักดิ์ศรีได้เพียงนี้ไม่ง่ายดายนัก เฉาเ
เจียงเฟิ่งหัวมาถึงตำหนักเยี่ยนเฟยแล้ว ก็ได้แต่รู้สึกว่าที่นี่เงียบเหงานัก ในลานกลางตำหนักไม่มีคนแม้แต่คนเดียวมีเพียงหญิงคนหนึ่งนั่งยองอยู่ในมุม เจียงเฟิ่งหัวเดินเข้าไปใกล้ ๆ จึงค่อยเห็นว่าเป็นพระชายาอวี้อ๋อง หลัวจื่อฉยงที่กำลังซักผ้าอยู่ นิ้วมือนางเย็นจนแข็งไปหมดแล้ว แดงไปทั้งมือ เหมือนเป็นแผลถูกความเย็นกัด“พระชายาอวี้อ๋อง” เจียงเฟิ่งหัวเปล่งเสียงเรียกนางหลัวจื่อฉยงหนาวจนชาไปทั้งตัวแล้ว เมื่อได้ยินเสียง นางหันไปก็เห็นเจียงเฟิ่งหัวยืนอยู่ไม่ไกลจากนางนางกล่าวอย่างกระอักกระอ่วน “พระชายาเหิงอ๋องมาได้อย่างไรกัน?”เจียงเฟิ่งหัวมองดูเสื้อผ้าที่กองเป็นภูเขาตรงหน้านางแวบหนึ่ง “เหตุใดท่านจึงมาซักผ้า?” มองดูก็รู้ว่าเป็นเสื้อผ้าของนางกำนัลพระชายาอวี้อ๋องน้ำเสียงราบเรียบ ราวกับว่าเคยชินเป็นธรรมดาแล้ว “ไม่มีเหตุอันใดหรอก ท่านแม่สามีป่วย คนที่เป็นลูกสะใภ้ย่อมควรดูแลดี ๆ การซักเสื้อผ้าก็เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้”“ไม่ต้องซักแล้ว ไปกับข้าเถอะ!” เจียงเฟิ่งหัวกล่าวเสียงหนักแน่นพระชายาอวี้อ๋องไม่หยุดมือ “พระชายาเหิงอ๋องไม่ต้องสงสารข้าหรอก” นางไม่ซักไม่ได้ ไม่เช่นนั้นเยี่ยนเฟยจะเปลี่ยนวิธีทรมานนาง
“เยี่ยนเฟยทรงระวังคำพูดหน่อยจะดีกว่านะเพคะ! ทุกคนล้วนเป็นสตรีทั้งนั้น นางทั้งเป็นหลานสาวท่านและยังเป็นลูกสะใภ้ท่านอีกด้วย เหตุใดเยี่ยนเฟยจึงต้องทำให้นางต้องลำบากใจถึงเพียงนี้เล่า”“คนที่ข้าพูดถึงคือลูกสะใภ้ข้า แล้วเกี่ยวอะไรกับพระชายาเหิงอ๋องด้วย ฮองเฮาประชวร พระองค์มีลูกสะใภ้สองคนดูแลรับใช้อยู่ข้างพระวรกาย พอข้าป่วยแล้วข้าให้ลูกสะใภ้ข้าเข้าวังมารับใช้บ้างไม่ได้หรือไร? เป็นแม่สามีกับลูกสะใภ้เหมือนกันแท้ ๆ เหตุใดจึงมีความแตกต่างเช่นนี้ หรือว่าข้าไม่ใช่แม่สามีเช่นนั้นหรือ” เยี่ยนเฟยไปสืบข่าวมาตั้งนานแล้ว ฮองเฮาก็ใช้งานพระชายารองซูไม่น้อยเหมือนกัน นางก็เพียงแค่เลียนแบบตามตัวอย่างที่มีเท่านั้นเจียงเฟิ่งหัวยังไม่เคยเจอคนที่ไร้สมองเช่นนี้ นางรู้สึกว่าเยี่ยนเฟยป่วยจริง ๆ แต่นางป่วยทางจิต“ขอเชิญพระชายาอวี้อ๋องมารับพระราชโองการเถิด!” เจียงเฟิ่งหัวกล่าวเสียงเข้ม “ข้านำพระราชกระแสรับสั่งจากฝ่าบาทมา หากเยี่ยนเฟยทำให้ธุระสำคัญของเสด็จพ่อล่าช้า เกรงว่ามีแต่จะต้องไปพำนักอยู่ที่ตำหนักเย็นเสียแล้ว”เยี่ยนเฟยดูท่าทางนางแล้วไม่ได้พูดโกหก แม้ว่าโกรธแต่ก็ไม่กล้าพูดมากอีกต่อไป แต่ว่าเหตุใดฝ่าบาทจึงทรง
เจียงเฟิ่งหัวตะลึงงัน สิ่งที่พูดมานี้ก็พูดถูกแล้ว ก็เพราะทุกคนล้วนรู้สึกว่าแต่งเข้าเป็นเชื้อพระวงศ์แล้วไม่เพียงแต่ร่ำรวยอู้ฟู่ ยังฐานะสูงส่งอีกด้วย ยิ่งไม่ต้องกังวลเรื่องกินอยู่ เพราะฉะนั้นทุกคนต่างทำใจสละตำแหน่งไม่ได้นางกลับมาเกิดใหม่อีกชาติหนึ่ง มุ่งปรารถนาสิ่งใดกันเล่า ก็ไม่พ้นยศถาบรรดาศักดิ์นั้นที่สูงส่งเหนือใคร ๆเจียงเฟิ่งหัวกล่าวเรียบ ๆ “แล้วแต่ท่านเถิด แต่หากท่านไม่สามารถปกป้องตัวเองไม่ให้ถูกทำร้ายได้ ได้แต่อดทนยอมให้คนอื่นตลอดเวลาเท่านั้นเพื่อรักษาตำแหน่งพระชายาของท่านไว้ ข้าคิดว่าอย่างไรก็ไม่สมควรทำ ต่อให้แต่งกับท่านอ๋อง สุดท้ายคนที่ถูกทำร้ายได้รับความลำเค็ญก็คือตัวท่านเองอยู่ดี ได้ตำแหน่งพระชายาอ๋องมาแล้วมีความหมายอะไร”“แต่ข้าทำอะไรได้บ้างเล่า พวกผู้หญิงเราทำอะไรได้ เกิดอะไรนิดเดียวพวกเขาก็เอาเรื่องหย่ามาขู่แล้ว ไหนเลยจะเว้นหนทางรอดไว้ให้ผู้หญิงอย่างเรา” พระชายาอวี้อ๋องทอดถอนใจ “บอกเจ้าตรง ๆ ก็แล้วกัน หลายปีมานี้ที่ข้าได้ยินมาบ่อยที่สุดก็คือให้กำเนิดบุตรไม่ได้ ผู้หญิงคนหนึ่งมีลูกไม่ได้ แต่งกับใครก็ถูกคนชี้หน้าด่าอยู่ดีมิใช่หรือ แต่งกับท่านอ๋องดีกว่า อย่างน้อยมีฐานะสูงส่
นางเล่าเรื่องทั้งหมดให้ถานหว่านชิงฟัง โชคดีที่พวกนางเตรียมการไว้นานแล้ว สำหรับศาลาการกุศลแล้ว เรื่องนี้ดำเนินการไม่ยากเลย ราชสำนักยังจะให้เงินพวกเขาอีกด้วย เพียงไม่นานศาลาการกุศลก็จะได้เงินก้อนใหญ่มา เมื่อทุกคนมีเงิน ฤดูหนาวนี้ก็ไม่ลำบากแล้วหารือธุระเสร็จ เจียงเฟิ่งหัวพาพระชายาอวี้อ๋องออกไปจากห้องโถงใหญ่ เจอเย่ซู่ซู่หอบตะกร้าสมุนไพรทำยาเดินผ่านมาพอดีเย่ซู่ซู่ก็เห็นเจียงเฟิ่งหัว นางถวายคำนับหนึ่งครั้งอย่างเคารพนบนอบ “หม่อมฉันถวายพระพรพระชายาเหิงอ๋องเพคะ”ตอนแรกนางสามารถเข้าไปอยู่ในจวนเหิงอ๋องได้ แต่กลับถูกหลินเฟิงพามาที่นี่ นางก็พูดอะไรไม่ได้ รู้ว่าศาลาการกุศลบริหารจัดการโดยจวนเหิงอ๋อง นางอาศัยอยู่ที่นี่อย่างไรก็ต้องได้พบท่านเหิงอ๋องอีก แต่ว่าเหิงอ๋องจะต้องไปรบอีกแล้ว นางก็คิดอยากไปจากศาลาการกุศลแล้วเจียงเฟิ่งหัวมองปราดเดียวก็ดูออกว่านางมีความคิดอยากมักใหญ่ใฝ่สูงจะเข้าหาผู้สูงศักดิ์ ก็แกล้งทำเป็นไม่รู้อะไรทั้งสิ้น ถามด้วยความเป็นห่วง “แม่นางเย่อยู่ที่ศาลาการกุศลพอปรับตัวได้ไหม?”“ขอบพระทัยพระชายาที่ทรงเป็นห่วงเพคะ หม่อมฉันอยู่ได้สบายดีเพคะ ได้มีที่ซุกหัวนอนก็ถือเป็นความโชคดีของห
เจียงเฟิ่งหัวมอบหมายเรื่องนอกวังให้พระชายาอวี้อ๋อง อีกทั้งให้หงซิ่วไปแจ้งหลินอวี่ให้แอบช่วยพระชายาอวี้อ๋อง แล้วก็เตรียมตัวกลับวังเพิ่งถึงครึ่งทาง รถม้าของเจียงเฟิ่งหัวก็ถูกขวางทาง หลินอวี่ปรากฏตัวตรงหน้านาง กะพริบตาโต ๆ ใส่นาง “พระชายาในเมื่อออกมานอกวังแล้ว ก็ไม่เห็นบอกว่าจะไปเยี่ยมหม่อมฉันสักหน่อยเลยนะเพคะ”เจียงเฟิ่งหัวยิ้มพลางกล่าวว่า “ไม่ได้พบกันนาน ผู้ดูแลหลินขึ้นรถสิ!”หลินอวี่ขึ้นรถม้าอย่างง่ายดาย แทรกตัวเข้าไปนั่งลงข้างเจียงเฟิ่งหัว เหลียนเย่กับอ้าวเสวี่ยก็นั่งอยู่ในรถม้า โชคดีที่รถม้าใหญ่พอ นั่งสี่คนก็ยังไม่รู้สึกว่าเบียดพวกนางไม่ได้เจอหน้ากันหลายเดือนแล้ว เพราะเรื่องกิจการ หลินอวี่ต้องออกเดินทางไกลไปเที่ยวหนึ่งถึงได้กลับมา นางมองไปทางอ้าวเสวี่ย รู้ว่านางน่าจะเป็นองครักษ์หญิงที่เหิงอ๋องส่งมาอารักขาข้างกายพระชายา หน้าตาดูสงบเสงี่ยมงดงามพอตัวที่จริงแล้วอ้าวเสวี่ยอายุมากกว่าหลินอวี่หนึ่งปีอีกด้วย แต่ว่าหลินอวี่เติบโตมาในหอนางโลมตั้งแต่เด็ก และยังประกอบกิจการมาตั้งหลายปี กระทำการใด ๆ จึงชำชาญมากกว่าพอสมควร แต่งตัวก็ยิ่งค่อนข้างดูเป็นผู้ใหญ่นางกล่าวอย่างสนิทชิดเชื้อ “น้อง
เหลียนเย่กล่าวว่า “บ่าวก็คิดถึงอาหารของหอเซียงหย่าแล้วเช่นกันคะ”เจียงเฟิ่งหัวยิ้มน้อยๆ ว่า “อย่างนั้นก็ต้องให้ผู้ดูแลหลินสิ้นเปลืองแล้ว”เมื่อกินข้าวเสร็จและออกมาจากร้านอาหารฟ้าก็มืดแล้ว รถม้าของจวนอ๋องก็มาจอดอยู่หน้าร้านอาหารนานแล้วเช่นกัน อากาศเย็นขึ้นเรื่อยๆ บนท้องถนนก็ไม่มีผู้คนนักหลินอวี่กล่าวว่า “ดึกขนาดนี้แล้ว หม่อมฉันจะส่งพวกพระองค์กลับไป และให้ผู้คุ้มกันของหอตามไปด้วยเพคะ”เจียงเฟิ่งหัวออกจากวังมาก็ตรงไปที่ศาลาการกุศลเลย นอกจากคนขับรถม้าของจวนอ๋อง ก็ไม่ได้พาองครักษ์อื่นมาอีก หลินอวี่จะส่งนาง นางจึงมิได้ปฏิเสธคนทั้งหลายสนทนาไปหัวเราะไปขณะขึ้นรถม้า เพียงแต่พวกเขาไม่รู้ว่า ที่ด้านหลังมีสายตาที่มืดหม่นและเยียบเย็นคู่หนึ่งกำลังจับจ้องอยู่ตลอด มุมปากของมันแสยะเป็นรอยยิ้มน่าเกลียด มั่นใจว่าครั้งนี้จะต้องวางแผนซ้อนแผนต่อเจียงเฟิ่งหัวได้แน่เพราะสายสัมพันธ์กับซูเซวี่ยน หลี่เฉิงกับจีเฉินจึงมารวมตัวกันอีกครั้ง พวกเขาเจ็บแล้วไม่จำ คิดเพียงจะแก้แค้นที่ถูกคนวางกับดักที่สกุลจางในวันนั้น แม้จีเฉินจะไม่มีหลักฐาน แต่สิ่งแรกที่เขาคิดก็คือ นี่เป็นฝีมือของเจียงเฟิ่งหัวจางอวี่มั่วแต่งงาน
เจียงเฟิ่งหัวออกจากตำหนักคุนหนิงก็ตรงไปยังตำหนักเฉินซีทันที ในตอนนั้น เห็นนางกำนัลคนหนึ่งท่าทางลับ ๆ ล่อ ๆ ก็โพล่งเสียงตำหนิออกไป “ใคร” อ้าวเสวี่ยตั้งรับทันที ไม่รอให้นางเดินเข้าไปใกล้ อวิ๋นฟางก็เดินงก ๆ เงิ่น ๆ มาหยุดเบื้องหน้าเจียงเฟิ่งหัว “บ่าวคารวะเพคะพระชายา” เจียงเฟิ่งหัวเห็นนางชัดถนัดตาแล้วก็แอบคิดเงียบ ๆ ในใจ นางมีฝีมือไม่เบาเลยทีเดียว แอบลอบกลับวังมาได้ ทว่าด้วยสถานการณ์ของนางตอนนี้ ซูถิงหว่านไม่มีทางปล่อยนางไปแน่ นางจนตรอกไม่มีทางถอยแล้ว จำต้องวิ่งเข้ามาหลบในวังถึงจะไม่ถูกคนไล่ล่า อ้าวเสวี่ยและเหลียนเย่เองก็ชะงักงันไปแล้วเช่นกัน อวิ๋นฟางช่างกล้าหาญยิ่งนัก กล้ากลับเข้ามาในวังหลวงอีก พวกนางคิดว่าหลังจากอวิ๋นฟางหนีไปทางประตูหลังของเขตเมืองหลวงแล้ว นางจะหนีออกไปจากเมืองเซิ่งจิง อย่างน้อยก็ต้องหนีให้ห่างไกลจากเรื่องวุ่นวาย ปกป้องชีวิตไว้เป็นสำคัญ “เข้ามาเถิด!” เจียงเฟิ่งหัวกล่าว อวิ๋นฟางตามเข้าไปในตำหนักเฉินซี นางกำนัลได้ต้มน้ำร้อนเตรียมไว้ล่วงหน้าแล้ว ภายในห้องอบอุ่นเป็นอย่างยิ่ง ภายใต้แสงตะเกียงสว่างรุบรู่ อวิ๋นฟางก็เริ่มขะมักเขม้นทำงานสารพัดทั้งยกน้ำเทน้ำ นางยังกระตือ
เฉิงฮองเฮาเปิดเปลือกตา ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงราบเรียบว่า “มาแล้ว จัดการเรื่องข้างนอกวังเรียบร้อยดีแล้วหรือยัง? ออกจากวังไปครึ่งเดือนแล้วมิใช่หรือ!” เจียงเฟิ่งหัวท่าทางมิได้หยิ่งยโสเกินควรแต่ก็มิได้ถ่อมตัวจนเกินเหตุ “ทูลเสด็จแม่ จัดการเหมาะสมเรียบร้อยดีแล้วเพคะ” “ข้าได้ยินว่าเมื่อสิบวันก่อนสินค้าและวัตถุดิบถูกส่งไปหมดแล้ว” แม่สามีของนางก็ดูจะวางมาดขึ้นเช่นกัน ราวกับต้องการให้นางยอมเชื่อฟังคำสั่งสอน เหมือนกับเมื่อชาติก่อนไม่มีผิด “เพคะ เพียงแต่ของที่ส่งออกไปเมื่อสิบวันก่อนเป็นแค่ชุดแรกเพคะ เพราะมีจำนวนมากเกินไป ชุดต่อไปจะต้องทยอยลำเลียงออกไปเพคะ” เจียงเฟิ่งหัวกล่าวอย่างละเอียด มองแล้วอ่อนโยนนอบน้อม สงบเสงี่ยมเรียบร้อยมารยาทเพียบพร้อมไร้ที่ติ แม้แต่เฉิงฮองเฮายังมิอาจหาจุดใส่ไฟได้เลย “ลุกขึ้นมานั่งเถิด” น้ำเสียงของเฉิงฮองเฮาฟังดูดีขึ้นเล็กน้อย “ซางเอ๋อร์มีสกุลซูคอยจุนเจือ บัดนี้เด็กในครรภ์ของเจ้าสำคัญเหนือสิ่งใด อย่ามัวเพ่นพ่านด้านนอกมากนัก อย่าไปข้องเกี่ยวกับสตรีในหมู่ขุนนางราชสำนักมากเกินไป ที่สำคัญจงอย่าได้มัวละโมบใฝ่หาความดีความชอบจนลำดับความสำคัญผิดไป” เจียงเฟิ่งหัวคิดในใจ ตอนอ
“เพคะ สะใภ้รับบัญชา”จากนั้น เจียงเฟิ่งหัวก็วางหมากลงไปตัวหนึ่ง “เสด็จพ่อ ทรงแพ้แล้วเพคะ”ฮ่องเต้เหลือบมองกระดานหมากคราหนึ่ง เริ่มจากความตกตะลึง ตามด้วยสีหน้ามืดครึ้มที่มองไม่ออก จากนั้นก็ทรงหัวเราะออกมาว่า “ดูเหมือนเราไม่อาจไม่ตกรางวัลนี้แล้ว มาเล่นอีกตา หากเจ้าชนะเราอีก เราก็จะมอบรางวัลให้อีกครั้ง”เจียงเฟิ่งหัวเก็บหมากบนกระดานขึ้นมาอย่างเยือกเย็น ไร้ความลนลาน “ลูกก็ชนะมาได้อย่างหวุดหวิดเพคะ ต้องเป็นเพราะเมื่อครู่เสด็จพ่อทรงฟังลูกพูดเพลิน จึงได้ออมมือให้ลูกแน่เลยเพคะ”“เจ้าคงไม่รู้สินะ หลายวันมานี้เรามีราชโองการเรียกตัวบิดาของเจ้าเข้าวังมาเดินหมากเป็นเพื่อนเราทุกวัน เขากลับไม่เคยชนะเราเลยสักตา ช่างน่าเบื่อนัก แต่เขาบอกว่าบุตรสาวของเขาเป็นยอดฝีมือในการเดินหมาก เรายังคิดว่าเขาพูดเกินจริงเสียอีก แต่วันนี้ หลังได้เดินหมากไปกระดานหนึ่งเราก็เชื่อแล้ว”“ท่านพ่อก็เหมือนยายหวังขายแตง ที่ชอบขายเองชมเองเพคะ ต่อให้บุตรสาวของท่านจะทำสิ่งใดไม่เป็นเลย ท่านก็รู้สึกว่าดีอยู่ดีเพคะ”“ยังถ่อมตัวเข้าเสียแล้ว เมื่อมาเป็นลูกสะใภ้ของราชวงศ์เรา แค่การถ่อมตนอย่างเดียวไม่พอหรอกนะ ในอนาคตยังต้องช่วยซางเอ
เมื่อเจียงเฟิ่งหัวกลับวังก็ถูกฮ่องเต้เรียนตัวไปที่ห้องทรงอักษร หลังนางรายงานเรื่องภารกิจที่ฮ่องเต้มอบหมายให้นาง ก็วางแผนจะกลับตำหนักคุนหนิงไปคารวะฮองเฮาแต่จู่ๆ ฮ่องเต้ก็ตรัสขึ้นมาว่า “ได้ยินว่าพระชายาของเหิงอ๋องชำนาญการวางหมาก เราอยากหาคนมาเล่นด้วยสักตาพอดี ว่าอย่างไร จะอยู่เล่นเป็นเพื่อนเราสักตาหรือไม่”เจียงเฟิ่งหัวคารวะลงรอบหนึ่งด้วยมารยาที่พอเหมาะ ไม่ถ่อมตัวไม่เย่อหยิ่ง แล้วกล่าวอย่างเคารพว่า “เคารพมิสู้เชื่อฟัง สะใภ้ย่อมทำตามพระบัญชาของเสด็จพ่อเพคะ แต่หากเสด็จพ่อทรงเป็นฝ่ายปราชัย ลูกจะขอรางวัลจากเสด็จพ่อสักอย่างได้ไหมเพคะ”ฮ่องเต้ตรัสว่า “อยากได้อะไรก็พูดมาได้เลย หากเจ้าเอาชนะข้าได้ ก็ถือเป็นรางวัลที่เจ้ามีผลงานใดการทำคดี แต่หากพ่ายแพ้ รางวัลก็จะไม่มีแล้วนะ”เจียงเฟิ่งหัวแอบคิดว่า “ฮ่องเต้ยังคงเป็นพวกที่ไม่ยอมเสียเปรียบ ถึงกับเอารางวัลของนางมาใช้เดิมพันหมาก หากนางชนะหมากควรนับเป็นรางวัลพิเศษไม่ใช่หรือ!”“เพคะ” นางตอบอย่างว่าง่ายเพราะในท้องของเจียงเฟิ่งหัวมีเด็กอยู่ เพื่อดูแลเด็กในท้องของนาง จึงให้หัวหน้าขันทีเฉายกโต๊ะที่สูงขึ้นเล็กน้อยเข้ามาตัวหนึ่งมาใช้แก้ขัด และยังเตรียม
คนทั้งสองเท้าสะเอวหัวเราะขึ้นมา “คนที่คิดจะช่วยคุณหนูหลินของเราไถ่ตัวมีเต็มไปหมด ท่านต่อแถวไม่ทันหรอก อีกอย่าง ท่านก็ไม่มีคุณสมบัตินั้นด้วย อย่าได้เพ้อฝันอีกเลย” คุณหนูหลินไม่ขาดแคลนเงินทอง ทั่วทั้งหออี๋ชุนล้วนอยู่ใต้การตัดสินใจของนาง ไม่จำเป็นต้องไถ่ตัวเพราะนางไม่มีสัญญาขายตัว“ข้าจะต้องแต่งนางเป็นภรรยาให้ได้ พวกเจ้ารอก่อนเถอะ” กัวเซี่ยวตัดสินใจเด็ดขาดแล้วว่าจะแต่งกับหลินอวี่ให้ได้ในบรรดาเหล่าคุณชายตระกูลใหญ่ กัวเซี่ยวก็พอมีชื่อเสียงอยู่บ้าง เขาหน้าตาไม่เลว ชาติตระกูลก็ไม่เลว เขาจึงคิดว่าหลินอวี่ไม่มีทางปฏิเสธแน่ได้ยินเขาพูดเช่นนั้น จื่อฮุ่ยจึงเอ่ยบ้างว่า “หากคิดจะแต่งกับคุณหนูของข้า นอกเสียจากว่าท่านจะเป็นจอหงวน นั่นอาจพอมีโอกาสบ้าง ไม่เช่นนั้นก็อย่าได้เสียเวลาอีกเลย”กัวเซี่ยวตะลึงงันไปแล้ว ที่เขาไม่ชอบที่สุดก็คือการอ่านตำรานี่แหละเห็นเขายังคงไม่ยอมจากไปอีก พวกนางก็ไม่อยากเปลืองน้ำลายกับเขาแล้ว จึงตีกัวเซี่ยวจนสลบแล้วโยนเขาออกไปนอกหออี๋ชุนเสียเลย “ช่างน่ารำคาญเหลือเกิน คนที่อยากแต่งงานกับคุณหนูของข้าตอนนี้ต่อแถวไปถึงนอกประตูเมืองนู่นแล้ว ค่อยๆ ไปต่อแถวเถอะ” พวกนางย่อมไม่เห็น
“แม่นางหลิน เจ้าดื่มช้าๆ หน่อย” กัวเซี่ยวไม่เหลือท่าทางเสเพลไร้ความสำรวมในอดีตอีก เขาเอ่ยห้ามปรามว่า “แม่นางหลิน เจ้าอารมณ์ไม่ดีหรือ!”“ผู้ใดบอกว่าข้าอารมณ์ไม่ดีกัน” หลินอวี่กล่าวต่อว่า “สุรานี้เจ้าเป็นคนออกเงินซื้อ ท่านจะดื่มไม่ดื่ม?” กัวเซี่ยวรีบเทเหล้าออกมาอีกจอกแล้วดื่มลงไปจนหมดในอึกเดียว “ข้าดื่ม” ไม่ง่ายเลยกว่าเขาจะได้ดื่มสุรากับนาง แน่นอนว่าต้องคว้าโอกาสนี้ไว้ให้มั่นสุราผ่านไปสามรอบ กัวเซี่ยวก็ดื่มจนหน้าแดงก่ำแล้ว แม้แต่นั่งก็นั่งไม่มั่น “ดื่มอีก ข้ายังดื่มได้…ดื่ม…แม่นาง…แม่นางหลิน เจ้าช่างงามนัก”สีหน้าของหลินอวี่ยิ่งเปล่งปลั่งแดงระเรื่อ จู่ๆ นิ้วเรียวงามทั้งสิบของนางก็สัมผัสลงบนแก้มของเขา คนที่อยู่เบื้องหน้าราวกับได้กลายเป็นผู้ที่อยู่ในใจนางไปแล้ว นางพึมพำว่า “คุณชายน้อย ดื่มสุราสิ”กัวเซี่ยวถูกอารมณ์รักทำให้เลอะเลือนไปแล้ว เขาคว้ามือนางไว้แล้วดึงนางเข้าสู่อ้อมกอด “แม่นางหลิน ข้าชอบเจ้า”หลินอวี่หัวเราะอย่างหยาดเยิ้ม ตั้งแต่เด็กนางก็เรียนรู้ทักษะการล่อลวงบุรุษพวกนั้นกับเจียงเฟิ่งหัว ยามนี้นำมาใช้กับกัวเซี่ยวก็เกินจะพอ อาศัยเพียงยิ้มเดียวของนางก็ทำให้กัวเซี่ยวมัวเมาลุ่มห
ไม่รอให้ชายฉกรรจ์ตอบสนอง หลินอวี่ก็เอ่ยเสียงหนักว่า “นำสุรามา คืนนี้พี่ชายจะออกเงินครั้งละร้อยตำลึงได้มากเท่าใด ข้าก็จะดื่มเป็นเพื่อนท่านมากเท่านั้น ว่าอย่างไร?”ม่านตาของชายฉกรรจ์หดแคบลง สุราเช่นนี้พวกเขาดื่มไม่ไหวดอก ทันใดนั้น คนทั้งสองก็ห่อเหี่ยวลงทันทีหลินอวี่ลุกขึ้นมา กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ข้าว่าสองท่านคงไม่ได้คิดมาดื่มสุราหาความสำราญ แต่เหมือนจะมาก่อเรื่องในหออี๋ชุนของข้ามากกว่า”“ผู้ใดบอกว่าไม่ได้มาดื่มสุรากัน” บุรุษหนึ่งในนั้นลุกขึ้นมา ชี้จมูกหลินอวี่ได้ก็ด่าออกมาทันทีว่า “หอสุราเน่าๆ อะไรของพวกเจ้ากัน เหล้าจอกละร้อยตำลึง ทำไมพวกเจ้าไม่ไปปล้นเสียเลยล่ะ”พูดจบเขาก็คิดจะเริ่มทำลายข้าวของ สุราอาหารกับจอกสุราถูกเขาพลิกโต๊ะจนล้มคว่ำหลินอวี่ทนไม่ไหวอีกต่อไป แต่ไม่ทันที่นางจะลงมือ ในเวลานั้นเอง ที่หน้าประตูก็มีบุรุษผู้หนึ่งบุกเข้ามาปกป้องอยู่เบื้องหน้าของนางอย่างสง่างามน่าเกรงขาม “ข้ามาแล้ว เป็นไอ้ลูกเต่าลูกตะพาบตัวไหนกล้ามาก่อเรื่องที่หออี๋ชุนกัน”“แม่นางหลินวางใจเถอะ มีข้าอยู่ไม่มีใครกล้ามาสร้างความวุ่นวายที่นี่แน่” ใบหน้ากัวเซี่ยวเต็มไปด้วยความกระตือรือร้นหลินอวี่ถอ
หิมะตกแล้ว หิมะที่ตกหนักและปลิวไสวดุจขนห่าน ทำให้เมืองหลวงอันเรืองรองประดุจปกคลุมไปด้วยอาภรณ์สีเงิน ทัศนียภาพที่ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะนี้ก็ดูงดงามมีเอกลักษณ์ไปอีกแบบไม่ว่าสงครามที่ชายแดนจะรบกันหนักหน่วงเพียงใด ล้วนไม่อาจส่งผลกระทบต่อเมืองหลวง ที่ยังคงคึกคักและรุ่งเรืองเช่นเดิมเจียงเฟิ่งหัวสวมเสื้อคลุมอันหรูหราที่มีหมวกคลุมศีรษะยืนอยู่ข้างหน้าต่างพลางทอดสายตาออกไปไกล ความคิดของนางล่องลอยออกไปไกลแสนไกล แววตาที่ลึกล้ำดุจบึงน้ำอันหนาวเหน็บสาดประกายเย็นเยียบออกมาคิดไม่ถึงว่าจะจัดการกับจีเฉินได้รวดเร็วเช่นนี้ ในชาติก่อน จีเฉินเป็นแรงหนุนคนสำคัญของซูถิงหว่าน พวกเขาคนหนึ่งอยู่ในวังคนหนึ่งอยู่นอกวัง ในนอกเสริมประสาน การกำจัดเขาทิ้งในเวลานี้จึงถือเป็นการกำจัดศัตรูคู่แค้นที่สำคัญไปได้คนหนึ่ง“เจ้าต้องกลับวังอีกแล้วสินะ! ข้าจะไม่ได้เห็นเจ้าอีกหลายเดือนอีกแล้วใช่หรือไม่ หวังจริงว่า ข้าจะอยู่เคียงข้างเจ้าตอนเจ้าคลอดลูกได้ คนอื่นล้วนบอกว่า การคลอดลูกเป็นด่านความเป็นตายของผู้หญิงที่เท้าข้างหนึ่งก้าวไปอยู่ในตำหนักมัจจุราช” หลินอวี่ยืนอยู่ข้างนาย มองตามสายตาของนางไปยังควันที่ลอยอ้อยอิ่งอยู่ไกลออกไป
เนื่องจากสายสัมพันธ์กับซูฮองเฮา บัดนี้ อำนาจของซูไทเฮาจึงเหนือล้ำเฉิงฮองเฮาไปแล้วดังนั้น ฝูลู่จึงไม่กล้าล่วงเกินฮองเฮาเช่นกัน เพราะไม่ว่าอย่างไรยามอยู่ต่อหน้าฮ่องเต้ ตำแหน่งแห่งที่ของเขาก็ยังไม่มั่นคงนัก ขันทีผู้หนึ่งแบบเขาจะไปช่วยใครได้ เขาช่วยผู้ใดไม่ได้ทั้งนั้นยังคงยุ่งเรื่องผู้อื่นให้น้อยลงจะดีกว่า!“คืนนี้ ฝ่าบาทจะทรงพลิกป้ายของพระสนมท่านใดพ่ะย่ะค่ะ?”ฮ่องเต้กล่าวว่า “ไม่พลิกป้ายแล้ว ช่วงนี้ข้างานราชกิจรัดตัว ไม่ต้องจัดนางสนมมาปรนนิบัติแล้ว ตรงไปที่ห้องทรงอักษรเลยเถอะ!”“พ่ะย่ะค่ะ” ฝูลู่กล่าว นับตั้งแต่ฮ่องเต้กลายเป็นองค์รัชทายาท มีวันใดที่ทรงไม่ยุ่งบ้าง เหล่าพระสนมในวังล้วนได้ไทเฮาดูแลทั้งนั้น ก็น่าจะทรงไปทำความรู้จักบ้างเฮ้อ! สถานที่ที่ฮ่องเต้ไปมากที่สุดยังคงเป็นตำหนักคุนหนิงของฮองเฮา ดูท่าเสียนเฟยคงไม่มีโอกาสแล้ว ยังดีที่นางมีลูกสองคนจึงยังรักษาตำแหน่งเสียนเฟยไว้ได้เมื่อจีเฉินที่ลอยอยู่บนท้องฟ้าเห็นฉากนี้ ในใจก็ยิ่งตื่นเต้น อย่างนั้นก็แปลว่าในอนาคตเจียงเฟิ่งหัวจะไม่ได้เป็นฮองเฮา และเซี่ยซางก็ไม่ได้ชอบนางด้วยแต่ไม่ถูกสิ!ลูกก็คลอดออกมาแล้ว เหตุใดพวกเขาสองคนจึงยังดู