เจียงเฟิ่งหัวนิ่งไปไม่ขยับตัวอีก ก่อนจะเอ่ยอย่างตะกุกตะกักว่า “ท่านอ๋องว่าอย่างไรนะเพคะ? พูด…พูดอีกครั้งได้หรือไม่เพคะ” ตอนที่เซี่ยซางเพิ่งจะทราบข่าวดีก็ตกใจและยินดีมากจนพูดไม่ออกเช่นเดียวกัน เขาอุ้มนางขึ้นมานั่งบนตัก ก่อนจะเลื่อนมือไปลูบเบา ๆ บนหน้าท้องของนาง “ภายในนี้ของเจ้ามีเจ้าตัวเล็กแล้ว โอรสของข้า” เจียงเฟิ่งหัวดีใจมากจนน้ำตาไหลออกมา “จริงหรือเพคะ?” “จริงสิ หมอหลวงหวังตรวจชีพจรให้เจ้าหลายครั้งแล้วล้วนเป็นชีพจรมงคลทั้งสิ้น ยิ่งไปกว่านั้นระดูของเจ้าก็ขาดไปแล้ว เจ้าไม่รู้ตัวเลยหรือ?” เซี่ยซางกระชับนางไว้ในอ้อมแขน พลางจินตนาการว่านางให้กำเนิดพระธิดาออกมารูปโฉมโนมพรรณงดงามเหมือนนาง เจียงเฟิ่งหัวขอบตาแดงรื้น บุตรของนางในภพชาตินี้ในที่สุดก็มาท่ามกลางความคาดหวังของเซี่ยซางเสียที เซี่ยซางเห็นเช่นนี้ก็ถามขึ้น “ไยเจ้าจึงร้องไห้?” “หม่อมฉันดีใจเพคะ” เจียงเฟิ่งหัวเอนกายพิงบนแผงอกของเขา ความคิดนับหมื่นพันประเดประดังเข้ามา พวกเขาจะมาพร้อมกันหรือเปล่านะ? ยามออกจากวัง ซูถิงหว่านมิได้ขึ้นรถม้าคันเดียวกับพวกนาง ได้ยินว่าถูกฮองเฮาส่งตัวออกจากวังไปในคืนนั้นแล้ว เจียงเฟิ่งหัวเองก็มิไ
บัดนี้พ้นเที่ยงคืนมาแล้ว เซี่ยซางย่องกลับมาอย่างเงียบเชียบ ภายในห้องมีเพียงแสงเปลวเทียนริบหรี่ ขณะที่เขากำลังจะเดินเข้าไปในห้องอาบน้ำ เจียงเฟิ่งหัวก็โผล่ศีรษะออกมาจากด้านในมุ้งอุ่น พร้อมเอ่ยยิ้ม ๆ “ท่านอ๋อง ท่านกลับมาแล้ว” “ดึกเพียงนี้แล้ว ยังไม่นอนอีกหรือ” “หลับแล้วเพคะ แต่ก็ตื่นขึ้นมาอีก บัดนี้นอนไม่หลับแล้วเพคะ” เห็นนางในอาภรณ์เกาะอกตัวยาวสีขาวหิมะ ด้านนอกคลุมด้วยเสื้อเนื้อบางโปร่งเพียงตัวเดียว เรือนผมหนาสีดำขลับทั้งศีรษะปล่อยสยายพาดลงมาบนบ่าและหน้าอก ราวกับเทพธิดาองค์หนึ่งซึ่งหลงเข้ามาในโลกมนุษย์ นางขยับมาข้างกายเขาอย่างนุ่มนวล พลางเอ่ยด้วยเสียงอ่อนโยน “หม่อมฉันช่วยท่านอ๋องนะเพคะ!” นัยน์ตาของนางเปล่งประกายดุจดวงดารา ริมฝีปากนิ่มนวลราวกับจะหยาดหยดลงมา ท่าทางน่ารักอ่อนหวานชวนให้คนเคลิบเคลิ้มหลงใหล เขาย่อมรู้ดีว่านางอยากจะทราบบทสรุปของเรื่องนี้ “ข้าจัดการเอง ยามนี้คนที่ห้ามเหนื่อยที่สุดก็คือเจ้าและเจ้าตัวน้อยนะ” เซี่ยซางโอบเอวบางของนางไว้ ยังบางแบบนี้ได้อย่างไร คราวต่อไปต้องให้นางกินเยอะกว่านี้สักหน่อยแล้ว มิเช่นนั้นบุตรในครรภ์จะได้อาหารบำรุงจากที่ไหน เจียงเฟิ่งหัวเป็นฝ่าย
ตอนนี้เจียงจิ่นเหยียนดำรงตำแหน่งขุนนางอยู่แล้ว หากเรื่องนี้เกิดขึ้นในหออี๋ชุน เกรงว่าเขาจะถูกตราหน้าว่าเป็นขุนนางที่เที่ยวโสเภณีโดยมิอาจปฏิเสธได้“ตระกูลจางรู้แล้วหรือไม่?” เซี่ยซางกำชับมิให้นางยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของจางอวี่มั่ว เรื่องนี้ให้พี่ใหญ่เป็นคนจัดการเอง นางจึงมิอาจรู้ได้ว่าตระกูลจางรู้ถึงธาตุแท้ของหลี่เฉิงแล้วหรือไม่ แม้กระทั่งไม่รู้เหตุการณ์ในค่ำคืนนี้ หากเป็นเช่นนั้นพี่ใหญ่ก็มิใช่ว่าถูกทำร้ายโดยเปล่าประโยชน์หรอกหรือ“รู้หรือไม่ล้วนไม่สำคัญ ในเมื่อหมั้นหมายกันแล้ว แลกดวงชะตากันแล้ว จางอวี่มั่วก็คือคู่หมั้นของหลี่เฉิง นางย่อมต้องแต่งให้เขาเป็นแน่ ถึงแม้ว่าจวนจางกั๋วกงจะเคยทรงอำนาจเพียงใด แต่ความรุ่งโรจน์ในอดีตก็มลายสิ้นแล้ว ทว่าตระกูลหลี่กลับดำรงตำแหน่งขุนนางชั้นสูง มีอำนาจอยู่ในมือ เรื่องนี้เกรงว่ายากที่จะแก้ไขได้” กษัตริย์เปลี่ยนองค์ ขุนนางย่อมเปลี่ยนตาม นี่คือความจริงแห่งโลกหล้า“ต่อให้ตอนนี้พี่ใหญ่ของเจ้าตกลงรับจางอวี่มั่วเป็นภรรยา เขาก็จะถูกตราหน้าว่าแย่งคู่หมั้นของผู้อื่น ย่อมเสื่อมเสียไม่น้อยเช่นกัน”เจียงเฟิ่งหัวถามด้วยความฉงน “ต่อให้ยกความประพฤติของหลี่เฉิงมาเป็นเ
เจียงจิ่นเหยียนรู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย “แน่นอนว่าได้” เขาจะปฏิเสธได้หรือ?จางอวี่มั่วยิ้มออกมา รอยยิ้มของนางเผยให้เห็นลักยิ้มจางๆ บนแก้มทั้งสองข้าง ดวงตาของนางทอประกายสดใส ราวกับดวงดาราที่เจิดจ้าในราตรีกาลนางกล่าวว่า “ถึงอย่างไรบาดแผลบนตัวท่านก็เป็นเพราะข้า ข้าขอช่วยท่านทายาเถิด อย่าปฏิเสธข้าเลย ไม่เช่นนั้นข้าคงรู้สึกผิดมาก ข้าอยากทำอะไรสักอย่างเพื่อชดเชย ให้ข้าได้ช่วยได้หรือไม่?”นางยืนอยู่ด้วยท่าทีสง่างามและสำรวม สมกับกิริยาสตรีผู้สูงศักดิ์ จนยากจะหาข้ออ้างปฏิเสธได้เจียงจิ่นเหยียนยังคงอยากจะปฏิเสธอยู่ดียังไม่ทันที่เขาจะพูดออกมา จางอวี่มั่วก็ยื่นมือไปถือยาทาให้เขาเอง เขากัดฟันแน่นเพราะความเจ็บปวด นางรู้สึกถึงความเจ็บปวดของเขา จึงค่อยๆ ลดแรงลงในมือให้เบาลงอีกนิดเจียงจิ่นเหยียนเห็นใบหน้าที่งดงามของนางเข้ามาใกล้ เพื่อหลีกเลี่ยงความอึดอัด เขาจึงตัดสินใจหลับตาลงทันทีนี่เป็นครั้งที่นางอยู่ใกล้เขามากที่สุด แม้นางจะรู้สึกหัวใจเต้นเร็วขึ้น แก้มแดงระเรื่อ แต่ก็ยังพยายามข่มใจ ไม่ให้ตัวเองเสียสมาธิไปเจียงจิ่นเหยียนมีขนตาที่ยาวและหนา ใบหน้าหล่อเหลาที่มีรอยฟกช้ำเป็นจ้ำๆ นางมองด้วย
เจียงจิ่นเหยียนนึกว่านางรู้แล้ว จึงเอาแต่เงียบ ได้ยินเพียงซางอวี๋เพียนเพียนกล่าวว่า “พรุ่งนี้ข้าจะต้องกลับแล้ว วันนี้มาเพื่อบอกลาท่าน”นางกอดเอวเขาไว้ ซุกหัวเข้าไปที่บ่ากว้าง ๆ ของเขา “คราวนี้ ข้ากลับอาลัยอาวรณ์อยู่ไม่น้อย ทำอย่างไรดีเล่า?”เจียงจิ่นเหยียนรู้ว่านางเป็นหญิงที่ไม่ยึดติดกับจารีตประเพณี ความรู้สึกเจ็บในตัวทำให้เขาไม่อยากขยับแม้แต่น้อย ยิ่งไปกว่านั้นที่นี่ยังเป็นห้องนอนของเขาอีกด้วย คนที่ออกไปควรเป็นนางจึงจะถูก“องค์หญิง…” เขาอยากดึงมือคู่นั้นที่โอบเอวเขาไว้ออก “เช่นนี้ไม่เหมาะสม ข้าเป็นบุรุษ ท่านเป็นองค์หญิงแห่งแคว้นเจาซี ย่อมพึงรู้จัก…”ซางอวี๋เพียนเพียนไหนเลยจะสนใจว่าเหมาะสมหรือไม่ นางเพียงแค่อยากทำตามใจปรารถนาก็พอ จึงผลักเขาล้มลงบนเตียงเลย ประกบริมฝีปากลงไป ราวกับว่าไม่มียางอายแม้แต่นิดเดียวเจียงจิ่นเหยียนโกรธสุดขีดแล้ว “ข้าไม่ใช่คุณชายไร้เทียมทานที่ท่านชอบ องค์หญิงโปรดระมัดระวังพระองค์ด้วย”ซางอวี๋เพียนเพียนตะลึง คนที่นางใส่ใจคือเจียงจิ่นเหยียน หรือว่าคุณชายไร้เทียมทาน นางก็แยกไม่ออกแล้ววันต่อมา องค์หญิงแคว้นเจาซีกลับแคว้นแล้ว ฮ่องเต้ส่งคนของกรมพิธีการไปส่งเสด
เจียงเฟิ่งหัวได้ยินข่าวลือข้างนอกแล้ว ใบหน้านางก็ไม่ได้แสดงอารมณ์มากมายแต่อย่างใด นางแววตาลุ่มลึก หัวคิ้วขมวดเล็กน้อยอยู่ไม่นานก็กลับมานิ่งสงบดังเดิมอย่างรวดเร็ว ท่าทางไม่สะทกสะท้านเหลียนเย่กล่าวอย่างร้อนใจ “พระชายา เหตุใดท่านจึงไม่มีปฏิกิริยาเลย ข้างนอกพูดถึงคุณชายใหญ่จนกลายเป็นแบบนี้แล้วนะเพคะ! คนพวกนั้นก็ปั้นน้ำเป็นตัวเสียจริงๆ”“เจ้าเลิกรบกวนพระชายาได้แล้ว พระชายาย่อมมีวิจารณญาณอยู่แล้ว” หงซิ่วฝนหมึกให้นางอย่างเงียบ ๆ เหลียนเย่ก็ไม่ส่งเสียงรบกวนแล้ว ยืนอยู่ด้านข้างอย่างสงบเสงี่ยมเจียงเฟิ่งหัวชอบคัดลายมือ เวลาคัดตัวอักษรนางจะทำใจให้สงบเพื่อใช้ความคิดได้ เวลานี้ ในสมองนางมีความคิดอยู่ร้อยแปดพันเก้า เพราะว่าประสบการณ์โชกโชน ทุกเรื่องที่นางคิดก็คิดไปในแง่ผลประโยชน์เสียมากกว่าด้วยความเคยชิน คิดอยากแสวงหาเงินทองถือว่าเป็นเรื่องผลประโยชน์ ทำลายชื่อเสียงคนก็เกี่ยวพันกับผลประโยชน์เช่นเดียวกัน เพียงแต่ว่าสุดท้ายแล้วใครจะได้ประโยชน์ และใครจะเสียประโยชน์จากเรื่องนี้ เรื่องเหล่านี้ต่างหากที่สำคัญฟังดูทีแรกเหมือนจะเป็นแค่เรื่องปัญหารัก ๆ ใคร่ ๆ ของชายหญิงสองสามคน แต่คิดให้ลึก ๆ แล้วกลับไม
พิจารณานิสัยขี้หึงของเซี่ยซางแล้ว จุดนี้ก็ไม่สมเหตุสมผลเป็นอย่างมากเจียงเฟิ่งหัวให้เหลี่ยนเย่แต่งตัวให้นางอย่างพิถีพิถัน เห็นหน้าตาท่าทางที่ดูน่ารักบริสุทธิ์ในกระจกแล้ว นางเกือบหลงใหลในใบหน้าของตัวเองใบหน้าผัดแป้งและแต่งแต้มอย่างประณีต การแต่งหน้าก็ไม่เกินพอดี ราวกับดอกไม้ที่เหนียมอายดอกหนึ่งที่กำลังรอผลิบาน ดึงดูดสายตาของผู้คนเจียงเฟิ่งหัวเดินไปที่เรือนด้านหน้า นางก็นั่งลงบนเก้าอี้ประจำตำแหน่งอย่างผ่อนคลายสบายอารมณ์เช่นนี้ สาวใช้เฝ้าขนาบนางซ้ายขวา สงบเสงี่ยมเรียบร้อยพ่อบ้านเฉิงนำสมุดบัญชีของจวนอ๋องมาถวายให้ดูทีละเล่ม ๆ “ผลกำไรเดือนนี้ไม่เลวเลยพ่ะย่ะค่ะ ความเห็นจากพระชายาเดือนที่แล้วมีประโยชน์จริง ๆ นี่จึงมีกำไรเพิ่มขึ้นมาอีกขั้นหนึ่ง”เจียงเฟิ่งหัวดูทีละเล่ม ๆ อย่างถี่ถ้วน ภายใต้แสงอาทิตย์สีทอง ทั้งตัวของนางเหมือนมีรัศมีแผ่ออกมา ชวนให้คนหลงใหลก็ได้ยินนางกล่าวเสียงหนักแน่นว่า “ก็เพราะทุกคนให้ความร่วมมือกับข้า พ่อบ้านเฉิงไปจัดการเถิด เงินรางวัลเดือนนี้ของทุกคนให้เพิ่มอีกเท่า”พ่อบ้านเฉิงตกใจ “เดือนที่แล้วพระชายาก็ให้เงินค่าแรงพวกเขาเพิ่มไปแล้ว อีกทั้งยังให้รางวัลเพิ่มเติม เด
เซี่ยซางยกเลิกคำสั่งกักบริเวณซูถิงหว่านแล้ว เขาก็ให้อวิ๋นฟางไปทำงานเป็นบ่าวชั้นต่ำที่เรือนคนรับใช้ ซูถิงหว่านถูกส่งตัวออกไปแล้ว ก็พาไปแต่อิ๋นซิ่ง เซี่ยซางไม่ยุ่งกับเรื่องของผู้หญิงในเรือน เขาเอ่ยปากไล่นางไปเรือนคนรับใช้แล้วก็ลืมอวิ๋นฟางไปเสียสนิท นางจึงถือว่ารอดจากความซวยมาได้ อวิ๋นฟางเฉียบแหลมมาก นางรู้สึกได้ว่าซูถิงหว่านห่างเหินจากนาง ถึงขั้นไม่เชื่อใจ นางก็เริ่มทดสอบดูนี่จึงเพิ่งรู้จากปากซูถิงหว่านว่า ที่จริงเหิงอ๋องรู้เรื่องเหล่านั้นที่พวกนางทำ และถึงกับรู้ว่านางเป็นคนยุแยงพระชายารองให้ไปทำอีกด้วย นางคิดอยากหนีเอาตัวรอด แต่เมื่อนึกว่าหากนางหนีไปจริง ๆ ต่อไปก็จะไม่มีโอกาสอีกแล้ว นอกจากนั้นนางไม่มีหนังสือยืนยันสถานะอยู่กับตัว สัญญาขายตัวเป็นบ่าวของนางยังอยู่ในวังนางไม่เคลื่อนไหวมาตลอด จนกระทั่งจีเฉินปรากฏตัว นางคิดว่าโอกาสของตัวเองมาถึงอีกครั้งแล้วนางรู้ว่าตัวเองหน้าตามีความงามอยู่บ้าง เพราะฉะนั้นจีเฉินจึงคอยส่งสายตาให้นาง แต่ที่ผ่านมานางก็ไม่ยอมด้อยกว่าคนอื่น ยิ่งไม่อยากให้จีเฉินได้เปรียบ จึงไว้เชิงมาตลอดไว้เชิงอย่างไร นางก็มีกลวิธีของตัวเองจีเฉินนึกว่าแค่พูดจาหวานหูไม่ก
เจียงเฟิ่งหัวออกจากตำหนักคุนหนิงก็ตรงไปยังตำหนักเฉินซีทันที ในตอนนั้น เห็นนางกำนัลคนหนึ่งท่าทางลับ ๆ ล่อ ๆ ก็โพล่งเสียงตำหนิออกไป “ใคร” อ้าวเสวี่ยตั้งรับทันที ไม่รอให้นางเดินเข้าไปใกล้ อวิ๋นฟางก็เดินงก ๆ เงิ่น ๆ มาหยุดเบื้องหน้าเจียงเฟิ่งหัว “บ่าวคารวะเพคะพระชายา” เจียงเฟิ่งหัวเห็นนางชัดถนัดตาแล้วก็แอบคิดเงียบ ๆ ในใจ นางมีฝีมือไม่เบาเลยทีเดียว แอบลอบกลับวังมาได้ ทว่าด้วยสถานการณ์ของนางตอนนี้ ซูถิงหว่านไม่มีทางปล่อยนางไปแน่ นางจนตรอกไม่มีทางถอยแล้ว จำต้องวิ่งเข้ามาหลบในวังถึงจะไม่ถูกคนไล่ล่า อ้าวเสวี่ยและเหลียนเย่เองก็ชะงักงันไปแล้วเช่นกัน อวิ๋นฟางช่างกล้าหาญยิ่งนัก กล้ากลับเข้ามาในวังหลวงอีก พวกนางคิดว่าหลังจากอวิ๋นฟางหนีไปทางประตูหลังของเขตเมืองหลวงแล้ว นางจะหนีออกไปจากเมืองเซิ่งจิง อย่างน้อยก็ต้องหนีให้ห่างไกลจากเรื่องวุ่นวาย ปกป้องชีวิตไว้เป็นสำคัญ “เข้ามาเถิด!” เจียงเฟิ่งหัวกล่าว อวิ๋นฟางตามเข้าไปในตำหนักเฉินซี นางกำนัลได้ต้มน้ำร้อนเตรียมไว้ล่วงหน้าแล้ว ภายในห้องอบอุ่นเป็นอย่างยิ่ง ภายใต้แสงตะเกียงสว่างรุบรู่ อวิ๋นฟางก็เริ่มขะมักเขม้นทำงานสารพัดทั้งยกน้ำเทน้ำ นางยังกระตือ
เฉิงฮองเฮาเปิดเปลือกตา ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงราบเรียบว่า “มาแล้ว จัดการเรื่องข้างนอกวังเรียบร้อยดีแล้วหรือยัง? ออกจากวังไปครึ่งเดือนแล้วมิใช่หรือ!” เจียงเฟิ่งหัวท่าทางมิได้หยิ่งยโสเกินควรแต่ก็มิได้ถ่อมตัวจนเกินเหตุ “ทูลเสด็จแม่ จัดการเหมาะสมเรียบร้อยดีแล้วเพคะ” “ข้าได้ยินว่าเมื่อสิบวันก่อนสินค้าและวัตถุดิบถูกส่งไปหมดแล้ว” แม่สามีของนางก็ดูจะวางมาดขึ้นเช่นกัน ราวกับต้องการให้นางยอมเชื่อฟังคำสั่งสอน เหมือนกับเมื่อชาติก่อนไม่มีผิด “เพคะ เพียงแต่ของที่ส่งออกไปเมื่อสิบวันก่อนเป็นแค่ชุดแรกเพคะ เพราะมีจำนวนมากเกินไป ชุดต่อไปจะต้องทยอยลำเลียงออกไปเพคะ” เจียงเฟิ่งหัวกล่าวอย่างละเอียด มองแล้วอ่อนโยนนอบน้อม สงบเสงี่ยมเรียบร้อยมารยาทเพียบพร้อมไร้ที่ติ แม้แต่เฉิงฮองเฮายังมิอาจหาจุดใส่ไฟได้เลย “ลุกขึ้นมานั่งเถิด” น้ำเสียงของเฉิงฮองเฮาฟังดูดีขึ้นเล็กน้อย “ซางเอ๋อร์มีสกุลซูคอยจุนเจือ บัดนี้เด็กในครรภ์ของเจ้าสำคัญเหนือสิ่งใด อย่ามัวเพ่นพ่านด้านนอกมากนัก อย่าไปข้องเกี่ยวกับสตรีในหมู่ขุนนางราชสำนักมากเกินไป ที่สำคัญจงอย่าได้มัวละโมบใฝ่หาความดีความชอบจนลำดับความสำคัญผิดไป” เจียงเฟิ่งหัวคิดในใจ ตอนอ
“เพคะ สะใภ้รับบัญชา”จากนั้น เจียงเฟิ่งหัวก็วางหมากลงไปตัวหนึ่ง “เสด็จพ่อ ทรงแพ้แล้วเพคะ”ฮ่องเต้เหลือบมองกระดานหมากคราหนึ่ง เริ่มจากความตกตะลึง ตามด้วยสีหน้ามืดครึ้มที่มองไม่ออก จากนั้นก็ทรงหัวเราะออกมาว่า “ดูเหมือนเราไม่อาจไม่ตกรางวัลนี้แล้ว มาเล่นอีกตา หากเจ้าชนะเราอีก เราก็จะมอบรางวัลให้อีกครั้ง”เจียงเฟิ่งหัวเก็บหมากบนกระดานขึ้นมาอย่างเยือกเย็น ไร้ความลนลาน “ลูกก็ชนะมาได้อย่างหวุดหวิดเพคะ ต้องเป็นเพราะเมื่อครู่เสด็จพ่อทรงฟังลูกพูดเพลิน จึงได้ออมมือให้ลูกแน่เลยเพคะ”“เจ้าคงไม่รู้สินะ หลายวันมานี้เรามีราชโองการเรียกตัวบิดาของเจ้าเข้าวังมาเดินหมากเป็นเพื่อนเราทุกวัน เขากลับไม่เคยชนะเราเลยสักตา ช่างน่าเบื่อนัก แต่เขาบอกว่าบุตรสาวของเขาเป็นยอดฝีมือในการเดินหมาก เรายังคิดว่าเขาพูดเกินจริงเสียอีก แต่วันนี้ หลังได้เดินหมากไปกระดานหนึ่งเราก็เชื่อแล้ว”“ท่านพ่อก็เหมือนยายหวังขายแตง ที่ชอบขายเองชมเองเพคะ ต่อให้บุตรสาวของท่านจะทำสิ่งใดไม่เป็นเลย ท่านก็รู้สึกว่าดีอยู่ดีเพคะ”“ยังถ่อมตัวเข้าเสียแล้ว เมื่อมาเป็นลูกสะใภ้ของราชวงศ์เรา แค่การถ่อมตนอย่างเดียวไม่พอหรอกนะ ในอนาคตยังต้องช่วยซางเอ
เมื่อเจียงเฟิ่งหัวกลับวังก็ถูกฮ่องเต้เรียนตัวไปที่ห้องทรงอักษร หลังนางรายงานเรื่องภารกิจที่ฮ่องเต้มอบหมายให้นาง ก็วางแผนจะกลับตำหนักคุนหนิงไปคารวะฮองเฮาแต่จู่ๆ ฮ่องเต้ก็ตรัสขึ้นมาว่า “ได้ยินว่าพระชายาของเหิงอ๋องชำนาญการวางหมาก เราอยากหาคนมาเล่นด้วยสักตาพอดี ว่าอย่างไร จะอยู่เล่นเป็นเพื่อนเราสักตาหรือไม่”เจียงเฟิ่งหัวคารวะลงรอบหนึ่งด้วยมารยาที่พอเหมาะ ไม่ถ่อมตัวไม่เย่อหยิ่ง แล้วกล่าวอย่างเคารพว่า “เคารพมิสู้เชื่อฟัง สะใภ้ย่อมทำตามพระบัญชาของเสด็จพ่อเพคะ แต่หากเสด็จพ่อทรงเป็นฝ่ายปราชัย ลูกจะขอรางวัลจากเสด็จพ่อสักอย่างได้ไหมเพคะ”ฮ่องเต้ตรัสว่า “อยากได้อะไรก็พูดมาได้เลย หากเจ้าเอาชนะข้าได้ ก็ถือเป็นรางวัลที่เจ้ามีผลงานใดการทำคดี แต่หากพ่ายแพ้ รางวัลก็จะไม่มีแล้วนะ”เจียงเฟิ่งหัวแอบคิดว่า “ฮ่องเต้ยังคงเป็นพวกที่ไม่ยอมเสียเปรียบ ถึงกับเอารางวัลของนางมาใช้เดิมพันหมาก หากนางชนะหมากควรนับเป็นรางวัลพิเศษไม่ใช่หรือ!”“เพคะ” นางตอบอย่างว่าง่ายเพราะในท้องของเจียงเฟิ่งหัวมีเด็กอยู่ เพื่อดูแลเด็กในท้องของนาง จึงให้หัวหน้าขันทีเฉายกโต๊ะที่สูงขึ้นเล็กน้อยเข้ามาตัวหนึ่งมาใช้แก้ขัด และยังเตรียม
คนทั้งสองเท้าสะเอวหัวเราะขึ้นมา “คนที่คิดจะช่วยคุณหนูหลินของเราไถ่ตัวมีเต็มไปหมด ท่านต่อแถวไม่ทันหรอก อีกอย่าง ท่านก็ไม่มีคุณสมบัตินั้นด้วย อย่าได้เพ้อฝันอีกเลย” คุณหนูหลินไม่ขาดแคลนเงินทอง ทั่วทั้งหออี๋ชุนล้วนอยู่ใต้การตัดสินใจของนาง ไม่จำเป็นต้องไถ่ตัวเพราะนางไม่มีสัญญาขายตัว“ข้าจะต้องแต่งนางเป็นภรรยาให้ได้ พวกเจ้ารอก่อนเถอะ” กัวเซี่ยวตัดสินใจเด็ดขาดแล้วว่าจะแต่งกับหลินอวี่ให้ได้ในบรรดาเหล่าคุณชายตระกูลใหญ่ กัวเซี่ยวก็พอมีชื่อเสียงอยู่บ้าง เขาหน้าตาไม่เลว ชาติตระกูลก็ไม่เลว เขาจึงคิดว่าหลินอวี่ไม่มีทางปฏิเสธแน่ได้ยินเขาพูดเช่นนั้น จื่อฮุ่ยจึงเอ่ยบ้างว่า “หากคิดจะแต่งกับคุณหนูของข้า นอกเสียจากว่าท่านจะเป็นจอหงวน นั่นอาจพอมีโอกาสบ้าง ไม่เช่นนั้นก็อย่าได้เสียเวลาอีกเลย”กัวเซี่ยวตะลึงงันไปแล้ว ที่เขาไม่ชอบที่สุดก็คือการอ่านตำรานี่แหละเห็นเขายังคงไม่ยอมจากไปอีก พวกนางก็ไม่อยากเปลืองน้ำลายกับเขาแล้ว จึงตีกัวเซี่ยวจนสลบแล้วโยนเขาออกไปนอกหออี๋ชุนเสียเลย “ช่างน่ารำคาญเหลือเกิน คนที่อยากแต่งงานกับคุณหนูของข้าตอนนี้ต่อแถวไปถึงนอกประตูเมืองนู่นแล้ว ค่อยๆ ไปต่อแถวเถอะ” พวกนางย่อมไม่เห็น
“แม่นางหลิน เจ้าดื่มช้าๆ หน่อย” กัวเซี่ยวไม่เหลือท่าทางเสเพลไร้ความสำรวมในอดีตอีก เขาเอ่ยห้ามปรามว่า “แม่นางหลิน เจ้าอารมณ์ไม่ดีหรือ!”“ผู้ใดบอกว่าข้าอารมณ์ไม่ดีกัน” หลินอวี่กล่าวต่อว่า “สุรานี้เจ้าเป็นคนออกเงินซื้อ ท่านจะดื่มไม่ดื่ม?” กัวเซี่ยวรีบเทเหล้าออกมาอีกจอกแล้วดื่มลงไปจนหมดในอึกเดียว “ข้าดื่ม” ไม่ง่ายเลยกว่าเขาจะได้ดื่มสุรากับนาง แน่นอนว่าต้องคว้าโอกาสนี้ไว้ให้มั่นสุราผ่านไปสามรอบ กัวเซี่ยวก็ดื่มจนหน้าแดงก่ำแล้ว แม้แต่นั่งก็นั่งไม่มั่น “ดื่มอีก ข้ายังดื่มได้…ดื่ม…แม่นาง…แม่นางหลิน เจ้าช่างงามนัก”สีหน้าของหลินอวี่ยิ่งเปล่งปลั่งแดงระเรื่อ จู่ๆ นิ้วเรียวงามทั้งสิบของนางก็สัมผัสลงบนแก้มของเขา คนที่อยู่เบื้องหน้าราวกับได้กลายเป็นผู้ที่อยู่ในใจนางไปแล้ว นางพึมพำว่า “คุณชายน้อย ดื่มสุราสิ”กัวเซี่ยวถูกอารมณ์รักทำให้เลอะเลือนไปแล้ว เขาคว้ามือนางไว้แล้วดึงนางเข้าสู่อ้อมกอด “แม่นางหลิน ข้าชอบเจ้า”หลินอวี่หัวเราะอย่างหยาดเยิ้ม ตั้งแต่เด็กนางก็เรียนรู้ทักษะการล่อลวงบุรุษพวกนั้นกับเจียงเฟิ่งหัว ยามนี้นำมาใช้กับกัวเซี่ยวก็เกินจะพอ อาศัยเพียงยิ้มเดียวของนางก็ทำให้กัวเซี่ยวมัวเมาลุ่มห
ไม่รอให้ชายฉกรรจ์ตอบสนอง หลินอวี่ก็เอ่ยเสียงหนักว่า “นำสุรามา คืนนี้พี่ชายจะออกเงินครั้งละร้อยตำลึงได้มากเท่าใด ข้าก็จะดื่มเป็นเพื่อนท่านมากเท่านั้น ว่าอย่างไร?”ม่านตาของชายฉกรรจ์หดแคบลง สุราเช่นนี้พวกเขาดื่มไม่ไหวดอก ทันใดนั้น คนทั้งสองก็ห่อเหี่ยวลงทันทีหลินอวี่ลุกขึ้นมา กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ข้าว่าสองท่านคงไม่ได้คิดมาดื่มสุราหาความสำราญ แต่เหมือนจะมาก่อเรื่องในหออี๋ชุนของข้ามากกว่า”“ผู้ใดบอกว่าไม่ได้มาดื่มสุรากัน” บุรุษหนึ่งในนั้นลุกขึ้นมา ชี้จมูกหลินอวี่ได้ก็ด่าออกมาทันทีว่า “หอสุราเน่าๆ อะไรของพวกเจ้ากัน เหล้าจอกละร้อยตำลึง ทำไมพวกเจ้าไม่ไปปล้นเสียเลยล่ะ”พูดจบเขาก็คิดจะเริ่มทำลายข้าวของ สุราอาหารกับจอกสุราถูกเขาพลิกโต๊ะจนล้มคว่ำหลินอวี่ทนไม่ไหวอีกต่อไป แต่ไม่ทันที่นางจะลงมือ ในเวลานั้นเอง ที่หน้าประตูก็มีบุรุษผู้หนึ่งบุกเข้ามาปกป้องอยู่เบื้องหน้าของนางอย่างสง่างามน่าเกรงขาม “ข้ามาแล้ว เป็นไอ้ลูกเต่าลูกตะพาบตัวไหนกล้ามาก่อเรื่องที่หออี๋ชุนกัน”“แม่นางหลินวางใจเถอะ มีข้าอยู่ไม่มีใครกล้ามาสร้างความวุ่นวายที่นี่แน่” ใบหน้ากัวเซี่ยวเต็มไปด้วยความกระตือรือร้นหลินอวี่ถอ
หิมะตกแล้ว หิมะที่ตกหนักและปลิวไสวดุจขนห่าน ทำให้เมืองหลวงอันเรืองรองประดุจปกคลุมไปด้วยอาภรณ์สีเงิน ทัศนียภาพที่ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะนี้ก็ดูงดงามมีเอกลักษณ์ไปอีกแบบไม่ว่าสงครามที่ชายแดนจะรบกันหนักหน่วงเพียงใด ล้วนไม่อาจส่งผลกระทบต่อเมืองหลวง ที่ยังคงคึกคักและรุ่งเรืองเช่นเดิมเจียงเฟิ่งหัวสวมเสื้อคลุมอันหรูหราที่มีหมวกคลุมศีรษะยืนอยู่ข้างหน้าต่างพลางทอดสายตาออกไปไกล ความคิดของนางล่องลอยออกไปไกลแสนไกล แววตาที่ลึกล้ำดุจบึงน้ำอันหนาวเหน็บสาดประกายเย็นเยียบออกมาคิดไม่ถึงว่าจะจัดการกับจีเฉินได้รวดเร็วเช่นนี้ ในชาติก่อน จีเฉินเป็นแรงหนุนคนสำคัญของซูถิงหว่าน พวกเขาคนหนึ่งอยู่ในวังคนหนึ่งอยู่นอกวัง ในนอกเสริมประสาน การกำจัดเขาทิ้งในเวลานี้จึงถือเป็นการกำจัดศัตรูคู่แค้นที่สำคัญไปได้คนหนึ่ง“เจ้าต้องกลับวังอีกแล้วสินะ! ข้าจะไม่ได้เห็นเจ้าอีกหลายเดือนอีกแล้วใช่หรือไม่ หวังจริงว่า ข้าจะอยู่เคียงข้างเจ้าตอนเจ้าคลอดลูกได้ คนอื่นล้วนบอกว่า การคลอดลูกเป็นด่านความเป็นตายของผู้หญิงที่เท้าข้างหนึ่งก้าวไปอยู่ในตำหนักมัจจุราช” หลินอวี่ยืนอยู่ข้างนาย มองตามสายตาของนางไปยังควันที่ลอยอ้อยอิ่งอยู่ไกลออกไป
เนื่องจากสายสัมพันธ์กับซูฮองเฮา บัดนี้ อำนาจของซูไทเฮาจึงเหนือล้ำเฉิงฮองเฮาไปแล้วดังนั้น ฝูลู่จึงไม่กล้าล่วงเกินฮองเฮาเช่นกัน เพราะไม่ว่าอย่างไรยามอยู่ต่อหน้าฮ่องเต้ ตำแหน่งแห่งที่ของเขาก็ยังไม่มั่นคงนัก ขันทีผู้หนึ่งแบบเขาจะไปช่วยใครได้ เขาช่วยผู้ใดไม่ได้ทั้งนั้นยังคงยุ่งเรื่องผู้อื่นให้น้อยลงจะดีกว่า!“คืนนี้ ฝ่าบาทจะทรงพลิกป้ายของพระสนมท่านใดพ่ะย่ะค่ะ?”ฮ่องเต้กล่าวว่า “ไม่พลิกป้ายแล้ว ช่วงนี้ข้างานราชกิจรัดตัว ไม่ต้องจัดนางสนมมาปรนนิบัติแล้ว ตรงไปที่ห้องทรงอักษรเลยเถอะ!”“พ่ะย่ะค่ะ” ฝูลู่กล่าว นับตั้งแต่ฮ่องเต้กลายเป็นองค์รัชทายาท มีวันใดที่ทรงไม่ยุ่งบ้าง เหล่าพระสนมในวังล้วนได้ไทเฮาดูแลทั้งนั้น ก็น่าจะทรงไปทำความรู้จักบ้างเฮ้อ! สถานที่ที่ฮ่องเต้ไปมากที่สุดยังคงเป็นตำหนักคุนหนิงของฮองเฮา ดูท่าเสียนเฟยคงไม่มีโอกาสแล้ว ยังดีที่นางมีลูกสองคนจึงยังรักษาตำแหน่งเสียนเฟยไว้ได้เมื่อจีเฉินที่ลอยอยู่บนท้องฟ้าเห็นฉากนี้ ในใจก็ยิ่งตื่นเต้น อย่างนั้นก็แปลว่าในอนาคตเจียงเฟิ่งหัวจะไม่ได้เป็นฮองเฮา และเซี่ยซางก็ไม่ได้ชอบนางด้วยแต่ไม่ถูกสิ!ลูกก็คลอดออกมาแล้ว เหตุใดพวกเขาสองคนจึงยังดู