“ลูกอนุชั้นต่ำเยี่ยงเจ้า ผู้ใดอนุญาตให้พูด” ไท้ฮูหยินเอ่ยแทรกด้วยน้ำเสียงหยามหยัน“ข้าคือข้า ปากนี่ก็ของข้าไม่จำเป็นต้องขอผู้ใด ในอดีตข้าอาจเป็นแค่คนที่พวกเจ้าผลักไส วันนี้พวกเจ้าคิดให้ดีก่อนจะพ่นวาจาต่ำ ๆ ออกมาให้ข้ากับหลานระคายหู หากเก่งจริงจะร่ำร้องให้หลานข้ากลับมาทำไม ถึงขนาดยอมรับว่าเมียรักเป็นเพียงอนุ โถ ๆ น่าอายยิ่งนัก”“นี่เจ้า!”“ข้ามิได้มีสายเลือดสกุลเยว่ อย่าได้มาชี้หน้าข้าเยี่ยงนี้อีก และจำไว้ต่อให้หลานสาวข้าทั้งสองคือสะใภ้ของสกุลเยว่ นั่นมิได้หมายความว่าข้าต้องก้มหัวให้แก่คนที่นี่”หยวนปิงจ้องเขม็งไปยังไท้ฮูหยิน ก่อนจะมองเลยไปยังจางอี้เหนียง ซึ่งเป็นหลานสาวและมารดาเลี้ยงของเยว่หมิงหลัน ความสัมพันธ์ระหว่างหลานสาวทั้งสองกับเยว่ฉง เป็นสิ่งที่นางและสกุลจางงุนงงอยู่มาก ลูกที่เกิดจากพ่อแม่เดียวกัน ไยแม่แท้ ๆ จึงยินยอมให้ลูกคนรองมาเป็นอนุของสามีลูกคนโตได้ที่สำคัญไปกว่านั้น พี่สาวของนางหาได้เคยมอบความเอ็นดูให้แก่หมิงหลัน ที่เป็นหลานสาวแท้ ๆ แม้แต่น้อย ซึ่งแตกต่างกับเยว่หลิวหลีที่พี่สาวของนางมอบความรักให้หมดใจ“ท่านน้าหญิงโปรดใจเย็นก่อนเจ้าค่ะ”ในที่สุดจางอี้เหนียงก็เอ่ยขึ้น เพื่
สายตาชิงชังทำเพียงมองตามหลังของสตรีสองนาง ที่ล้วนหยิ่งผยองจนนางอยากที่จะเด็ดปีกของทั้งคู่ลงบดขยี้ด้วยฝ่าเท้า วันนี้มิใช่วันของนาง แต่มิช้านางจะทำให้สองคนสูญหายไปเสมือนไม่เคยมีตัวตนบนโลกใบนี้เลยทีเดียวจวนอ๋องเก้า กั๋วหยวนเค่อ มือหยาบกำลังคลึงจอกสุราหยก เสมือนคนกำลังใช้ความคิดอย่างหนัก แน่นอนว่ามิใช่เรื่องการแต่งงาน ที่ผู้เป็นอาได้ทำการสู่ขอบุตรีสกุลเยว่ให้แก่เขามีหรือคนการขอภรรยาให้แก่เขา จะไม่มีเบื้องลึกเบื้องหลัง ยิ่งถ้าไม่รู้ที่มาของสตรีผู้นั้น คนเยี่ยงเสด็จอาของเขาน่ะรึ! จะยอมเสี่ยงรับเข้าสู่ราชวงศ์ทั้งแผ่นดินจะมีสตรีสักกี่คนเล่า กล้าที่จะมองหน้าเขา ร่องรอยบาดแผลและดวงตาที่มืดบอด คือสิ่งที่เขายังคงไร้พระชายาเคียงข้างมาจนถึงทุกวันนี้มือหยาบวางทาบบนหน้ากากสีเงินอย่างเบามือ เขาไม่เสียดายเลยสักนิด กับการเสียงดวงตาข้างนี้ไป เพราะอย่างน้อยร่างของใครอีกคน ก็ไม่ถูกกระทำ ให้เกิดร่องรอยความเจ็บปวดมากกว่าที่มีอยู่ก่อนแล้ว แม้ว่าคนผู้นั้นจะไม่มีโอกาสรับรู้ถึงสิ่งที่เขาทำเลยก็ตามที “เรียนท่านอ๋อง ว่าที่พระชายามาถึงเมืองหลวงแล้วขอรับ” เสียงรายงานจากคนสนิท
“พี่สาวของหม่อมฉันงดงามยิ่งนักเพคะ กิริยาสูงส่งมิแพ้สตรีใดในเมืองหลวง วาดเขียนโคลงกลอนเหนือหม่อมฉันมากทีเดียวเพคะ” คำสรรเสริญที่มิได้มาจากใจจริง ทำให้อ๋องหนุ่มและผู้ติดตาม แสร้งตื่นตาตื่นใจไปด้วย แน่นอนว่าสิ่งที่เยว่หลิวหลีกล่าวมานั้น ล้วนเป็นความจริงที่เขาสืบรู้มาก่อนแล้วทั้งสิ้นทว่าสำหรับสกุลเยว่หาได้รู้จริงเท็จเรื่องนี้ ทุกถ้อยคำล้วนแต่งแต้มขึ้น เพื่อเบี่ยงเบนตัวเขาออกจากสกุลเยว่ทั้งสิ้น หากแต่ลับหลังกลับนำชื่อเยว่หมิงหลันไปล้อเลียนจนเป็นที่น่าขบขัน “ข้าจะเร่งวันแต่งงานให้เป็นในอีกเจ็ดวันข้างหน้า ข้ามิสนใจว่าจะเป็นนางหรือเจ้า หากมีการบิดพลิ้วสกุลเยว่คงมิแคล้วหายไปเยี่ยงสกุลใหญ่ในอดีต” “ท่านอ๋องเก้าโปรดวางพระทัย ในอีกเจ็ดวันข้างหน้า เจ้าสาวของท่านอ๋องจะรออยู่หน้าประตูเพื่อขึ้นเกี้ยวพ่ะย่ะค่ะ” “ข้าก็หวังเช่นนั้น” “น้อมส่งท่านอ๋อง” ทุกคนเอ่ยขึ้นพร้อมโค้งกายอย่างนอบน้อม ลับหลังอ๋องเก้าไปแล้ว ทุกคนต่างพ่นลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก ด้วยมิอาจตั้งรับกับอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันของท่านอ๋องเก้าได้ทัน “เต
หากเขาสองผัวเมีย ทำร้ายเพียงนางคนเดียว การแก้แค้นหาได้จำเป็นไม่ แต่หลายสกุลที่ไม่ได้คิดคดต่อแผ่นดิน ถูกใส่ความจนสิ้นลูกสิ้นหลานจะต้องได้รับความเป็นธรรม นางจึงได้เลือกกลับมาที่นี่ เพื่อลบรอยแปดเปื้อนเหล่านั้นให้แก่ทุกสกุลเสียก่อน ‘วันนี้ข้าพร้อมยิ่งนัก ชูเจี่ยน ฉีหยุนเหลียน หลายร้อยชีวิตที่พวกเจ้าสังหารจนสิ้น เวลานี้ข้าจะเป็นตัวแทนนำเจ้าสองคนไปชดใช้กรรม’ ร่างงามหมุนกายเดินกลับไปยังเรือนพักของตน ที่นี่คือหนึ่งในกิจการของนางและผู้เป็นยาย ที่สร้างมันขึ้นมาเพื่อเป็นหนึ่งในขุมกำลัง และรองรับข่าวสารจากทุกทิศ “นายหญิงน้อย ท่านผู้นั้นรออยู่ที่สวนขอรับ” “อืม!” หญิงสาวรับคำ ก่อนจะเปลี่ยนทิศทางไปยังสวนดอกไม้ นางยังไม่ทันได้นั่งพักให้หายเหนื่อย คนมาเยี่ยมเยียนไยจึงไม่คิดว่านางเพิ่งเดินทางมาถึง มิทันหลับตาแม้สักชั่วก้านธูปเลยด้วยซ้ำ “มาถึงก็รีบไปเจรจาแต่งงานเลยนะ ไม่คิดที่จะมายกสุราให้ตาแก่เยี่ยงข้าก่อนเลยหรืออย่างไร หืม!”คำตำหนิที่ปนไปด้วยคำหยอกเย้าและเอ็นดู ทำให้มุมปากงามยกขึ้นด้วยความคุ้นชิน “ดื่มมากมันไม่ดีต่อส
ห้องรับแขกพิเศษ เหลาหยวนหลัน เยว่หมิงหลันก้าวเข้าไปภายในห้องรับรองพิเศษ ก่อนจะหยุดกวาดสายตามองไปยังแขกที่มาเยือน เป็นอันว่าวันนี้นางยังไม่ทันได้ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า ก็พบกับความแปลกใจเกินกว่าที่คาดเอาไว้มากทีเดียว “เยว่หมิงหลันคารวะท่านเสนาบดี ฮูหยินเยว่” หญิงสาวประสานมือโค้งกายให้แก่แขกของตน ที่กำลังนั่งหน้าตึงอยู่ในขณะนี้ “บอกข้อเสนอของเจ้ามา” “ดูท่าท่านเสนาบดีจะรีบร้อนเหลือเกินไปนะเจ้าคะ เรื่องนี้คิดทบทวนให้ดี ๆ ก่อนได้นะเจ้าคะ” “อย่ามายอกย้อน ข้าไม่ได้มีเวลามาต่อคำไร้สาระกับคนเยี่ยงเจ้านักหรอกนะ” “ส่งคืนมารดาข้ามา”เมื่ออีกฝ่ายอยากได้ยินข้อเสนอ หญิงสาวก็ไม่คิดที่จะรั้งรอต่อไปให้เสียเวลา “เจ้ามันบ้าไปแล้ว! นางตายไปตั้งแต่เจ้ายังเล็กนัก” เยว่ฉงตอบบุตรสาวด้วยเสียงอันดัง ปนความตกใจ “ตายแน่หรือ!” “จะ...เจ้าหมายความเยี่ยงไร ผู้คนต่างรู้ว่านางตายไปพร้อมชู้รัก” เยว่ฮูหยินรีบเอ่ยแทรก ด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก เมื่อเอ่ยถึงพี่สาวแท้ ๆ ซึ่งเป็นมารดาของเยว่หมิงหลัน
เสียงหวานจากอีกด้านของห้องดังขึ้น ก่อนที่หยวนปิงจะก้าวออกมาจากประตูลับ “เขามิได้รักนาง แต่เขาแค่อยากทรมานนางเพื่อรักษาหน้าของตนเองเท่านั้นเจ้าค่ะ และเขาไม่คิดว่าข้าจะรอดกลับมายืนตรงนี้ได้ต่างหากเจ้าค่ะ” “เจ้ารู้ความจริงแล้วสินะ! ว่าเยี่ยนหลานมิเคยทำเยี่ยงนั้นเลย” “หากท่านเสนาบดีมิหลงมัวเมาในเรื่องตัณหา เขาย่อมจะเชื่อใจในตัวของท่านแม่ แต่บุรุษที่มองมิพ้นหว่างขาสตรี ดวงตามิอาจมองได้สูงนักหรอกเจ้าค่ะ” เยว่หมิงหลัน เอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบปนเย้ยหยันคนที่เพิ่งจากไป เมื่อนึกถึงสิ่งที่ฮูหยินใหญ่ต้องเผชิญ มันช่างคล้ายคลึงนางอยู่ไม่น้อย ในวันที่ฮูหยินใหญ่เยว่ตั้งครรภ์ น้องสาวร่วมมารดา ได้ก้าวเข้ามาเป็นอีกหนึ่งสตรีของสามี มิหนำซ้ำยังถูกใส่ความ ทั้งพลัดพรากจากบุตรสาวเพียงคนเดียว โชคชะตาอาจโหดร้าย แต่เมื่อนางอยู่ตรงนี้ทุกอย่างต้องเปลี่ยนไป ตราบใดที่นางยังหายใจ ใครที่มีส่วนร่วมทำลายสกุลเยี่ย นางจะส่งให้เดินบนเส้นทางเดียวกันให้สิ้น แน่นอนว่าเยว่ฉงก็คือหนึ่งในนั้น “หึ ๆ ข้าชอบความคิดของเจ้านัก มาเถอะดื่มสุราเป็นเพื่อนข้าต่อ”
“เจ้ามิใช่คนโง่เยว่ฉง แค่นี้เจ้าคงเข้าใจความหมายดีแล้วสินะ!” “ข้าไม่คิดเสวนากับลูกอนุระดับล่าง” “หึ ๆ บินให้สูงกว่าข้าได้เมื่อใด ค่อยหมิ่นมารดาข้าเยว่ฉง บุรุษที่เป็นใหญ่เพราะชายกระโปรงสตรี มักจะไม่ค่อยได้แก่ตายสักเท่าใดนัก อ่อ...เส้นทางที่เจ้าเลือกมันกำลังจะขาด แต่น่าเสียดายที่ไร้เส้นทางอื่นให้เจ้าเดินแล้วเช่นกัน” หยวนปิงไม่คิดที่จะรอฟังคำตอบโต้ ร่างงามก้าวผ่านหลานเขยไปด้วยอารมณ์อันดี มีเพียงสายตาชิงชังที่มองตามไป ประหนึ่งคมดาบที่หมายเชือดเฉือนคนที่เพิ่งก้าวพ้นเข้าประตู ทุกอย่างที่เกิดขึ้นยังด้านหน้าเหลาชื่อดัง ได้ตกอยู่ภายใต้สายตาของกั๋วหยวนเค่อทั้งสิ้น หลายอย่างที่เขาคิดว่ารู้ วันนี้นับว่าได้เปิดหูเปิดตายิ่งนัก นอกจากความซับซ้อนทางสายสัมพันธ์ สกุลเยว่ยังมีเรื่องปิดบังเอาไว้อยู่อีก เห็นทีเขาคงต้องช่วยให้ว่าที่พระชายา บรรลุเป้าหมายอีกขั้นท่าจะดี “นางน่าสนใจยิ่งนัก” “แต่ข้าน้อยคิดว่าน่ากลัวมากกว่านะขอรับ” “ตรงไหนกัน!” “แค่วันแรกที่ก้าวมาถึงเมืองหลวง สิ่งใดที่นางต้องการ นางทำได้ทั้งที่พระอาทิ
“หึ ๆ ท่านเจียงเองก็มากด้วยฝีมือ ข้าหวังว่าเราจะได้เคียงกันออกทำหน้าที่นี้” “เช่นนั้นข้ายกหน้าที่นี้ให้ท่านสองคน ส่วนที่เหลือข้าจะส่งสาสน์ให้อีกครั้ง” “ขอรับนายท่าน” การสนทนาเกิดขึ้นอีกครู่ใหญ่ ก่อนที่ทุกคนจะแยกย้ายกันไป แน่นอนว่าโดยรอบนั้นได้รับการคุ้มกันอย่างดี จากผู้ติดตามที่ป้องกันมิให้ผู้อื่นล่วงล้ำเข้ามาได้ เมื่อพื้นที่ของการประชุมไร้ผู้คน หลงเหลือไว้เพียงความเงียบสงัด ร่างระหงในชุดสีเข้ม พร้อมชายหญิงอีกสองคน ได้ก้าวออกมายืนมองไปยังทิศทางที่เป้าหมายจากไป “ดูเหมือนเจ้าต้องรับศึกหนักแล้วนะ เจ่าหลง” “แค่คนรุ่นเก่ามิคณามือข้าสักนิด” “มั่นใจเกินไปแล้ว จิ้งจอกเจ้าเล่ห์ที่มีเขียวเล็บยาวเฟื้อย มิอาจประมาทได้” “ที่ข้ามั่นใจเพราะรู้ว่าเจ้า สามารถทำให้จิ้งจอกเสียการควบคุมได้อย่างไรเล่า” “ข้าหวังว่ามิตรภาพที่ดีระหว่างเรา จะไม่ทำให้เกิดสงคราม” “ในวันที่ข้าคิดว่าต้องตายไปแล้ว เจ้าคือมิตรที่มอบน้ำใจ เช่นนั้นแล้วอย่าได้ประเมินน้ำใจของข้าต่ำไปสหายข้า” ชายหนุ่มเอ่ยเสียงเรียบ
“คนผู้นี้ คือท่านแม่ทัพพยัคฆ์ ใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะองค์ชาย”ชายหนุ่มแสร้งถาม ทั้งที่เขารู้ดีว่านางคือผู้ใด แต่จะให้เอ่ยออกไปตรง ๆ อาจเกิดความแคลงใจระหว่างกันได้“ย่อมเป็นนางท่านอ๋อง แม่ทัพผู้มิเป็นสองรองผู้ใด”องค์รัชทายาทตอบด้วยรอยยิ้ม ด้วยชื่อเสียงอันเลื่องลือของพ่อลูกสกุลจ้าว เป็นเหมือนเกราะคุ้มภัยอีกชั้นของแค้วน“จ้าวเซียวเถา คารวะท่านอ๋องเพคะ”เมื่อได้รับสัญญาณจากผู้เป็นนาย เซียวเถา ก้าวเข้ามาหยุดยืนห่างจากอ๋องหนุ่มพอสมควร ก่อนจะประสานมือทำความเคารพ ทว่าใบหน้างามหาได้มีรอยยิ้มให้เห็นไม่ กลับมีเพียงความเยือกเย็นส่งผ่านสายตามาเท่านั้น“ข้าได้ยินเสียงเล่าลือมานาน ว่าท่านแม่ทัพเก่งกาจยิ่งนัก ทั้งยังฉลาดปราดเปรื่องเหนือผู้ใด” ชายหนุ่มรู้สึกแปลกใจอยู่ไม่น้อย เมื่อสายตาของหญิงสาวเปลี่ยนไปมาก หรืออาจเพราะกาลเวลา ทำให้นางไร้ซึ่งแววตาเฉกเช่นเมื่อก่อน“ท่านอ๋องกล่าวชมเกินไปแล้วเพคะ หม่อมฉันเป็นเพียงทหาร ที่ได้รับพระเมตตา จนมีตำแหน่งก็เท่านั้นเพคะ”“ท่านแม่ทัพถ่อมตัวเกินไปแล้ว มีผู้ใดบ้างในเว่ยและแคว้นใกล้เคียง ที่มิรู้จักแม่ทัพหญิงผู้เก่งกาจแห่งเว่ยกัน ว่าแต่หนุ่มน้อยด้านหลังเล่า คือผู้ใดกัน”
“ท่านแม่ทัพ จะไปเป็นทูตระหว่างแคว้นจริงหรือเจ้าคะ” แม่นมจูเอ่ยถามขึ้น เป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วมิอาจนับได้“ที่เอาใจข้าขนาดนี้ คงมิอยากให้ข้าไปสินะ” เซียวเถาเอ่ยขึ้นอย่างรู้ทัน“เจ้าค่ะ” หญิงชราตอบรับ“สิบปีแล้ว คนพวกนั้นลืมเลือนข้าไปสิ้นแล้วกระมัง อย่าได้วิตกกังวลให้มาก ท่านพ่อมิสะดวกติดตามองค์ชายกับพระชายาไป จะมีก็แค่เพียงข้าเท่านั้น ที่ท่านพ่อวางใจ”เซียวเถาให้เหตุผลแก่แม่นมของตนเอง นางรับรู้ถึงความห่วงใย แต่นี่คือหน้าที่ ซึ่งนางมิอาจหลีกหนีได้เช่นกัน“บ่าวทราบเจ้าค่ะ ว่าท่านแม่ทัพใหญ่ จำต้องรั้งอยู่ที่นี่ แต่บ่าวเกรงว่าจะมีผู้ใดจดจำท่านแม่ทัพได้” หญิงชราเอ่ยขึ้นด้วยความกังวลใจ“จำได้แล้วอย่างไร จำมิได้แล้วจะอย่างไร ข้าหาใส่ใจไม่”คำพูดที่มิอ่อนมิแข็งของผู้เป็นนายนั้น แม่นมจูเคยสงสัยอยู่นาน รวมถึงเรื่องการต่อสู้ด้วยเช่นกัน ทว่าจะอย่างไรเสีย ผู้เป็นนายก็ปกป้องคุณชายน้อย และมิคิดทอดทิ้งนาง นับแต่นั้นมา นางจึงเลือกที่จะไม่ก้าวก่าย เรื่องการเปลี่ยนแปลงตนเองของผู้เป็นนายอีกเลย“บ่าวเอ่อ...”“หากท่านป้าติดตามข้ากับจ้าวหยางไป ย่อมทำให้คนเหล่านั้นจดจำได้มิยาก” เซียวเถาเอ่ยดักทางแม่นมจูขึ้นเสี
‘ขนาดฉันจะตาย ก็ยังมีภารกิจให้ทำอีกนะท่านยมบาล’ หยางปิง บ่นอยู่ภายในใจ ก่อนจะหันไปมองร่างของหญิงงาม ที่ยืนส่งยิ้มกว้างให้แก่เธอ ‘ไม่ชูป้ายเชียร์เลยล่ะแม่คุณ’ หยางปิง ปรับสายธนูให้พอเหมาะกับมือของตนเอง ก่อนจะมองหาจุดสำหรับซุ่มโจมตีฟิ้ว! ฉึก! ชายชุดดำต่างพากันตกใจ เมื่ออยู่หนึ่งในหกคน ล้มลงโดยมีลูกศรปักเข้าที่ลำคอทะลุมาด้านหน้า ทั้งหมดยกอาวุธขึ้นป้องกันตัวในทันที เพราะความเร็วของลูกศร บ่งบอกว่าถูกยิงมาในระยะใกล้“ลูกธนูของพวกเรา…สังหารพวกมันให้หมด”ยังไม่ทันที่จะวิ่งไปทิศทางของเป้าหมาย หลายคนได้ถูกจู่โจมจากลูกศร หยางปิง คิดคำนวณความเป็นไปได้ สลับกับการที่เธอ ต้องไม่ให้แขนบอบบางนี่หักไปเสียก่อน เลือดเริ่มไหลซึมออกจากบาดแผล ไม่เว้นแม้แต่จมูกและปากด้วยเช่นกัน ‘หากช้ากว่านี้ ฉันได้ตายในฝันอีกครั้งแน่นอน’ในที่สุดชายชุดดำที่เหลือ ก็ได้ยืนเผชิญหน้ากับหญิงสาว ที่พวกเขามั่นใจว่านางตายไปแล้ว ทว่าไยตอนนี้ นางจึงยังคงมีชีวิตอยู่อีกเล่า“ตายยากจริงนะขอรับ คุณใหญ่”“ข้ามันคนมีบุญ ทำยังได้ล่ะ”หยางปิงตอบกลับไปด้วยคำพูด ตามแบบฉบับของคนที่นี่ เธอเข้าใจเรื่องภาษาดี เพราะการเป็นหน่วยรบพิเศษ ย่อมต้องเรีย
“โปรด...ช่วยหยางเอ๋อร์ด้วย บุญคุณครั้งนี้ข้าจะทดแทนในชาติหน้า ขอร้องช่วยเขาที”หยางปิงที่นั่งอยู่ข้างร่างของหญิงสาว ที่อยู่ในฝันของเธอมานับครั้งไม่ถ้วน กำลังพูดกับเธอ หยางปิงรู้ดีว่าถึงยังไง หญิงสาวบอบบางคนนี้ก็ไม่มีทางรอด เธอจึงหลับตาลง เพื่อให้ตนเองตื่นจากความฝันเสียทีหยางปิงรู้สึกหายใจติดขัด เจ็บร้าวไปทั้งตัว คงเพราะการถูกทรมาน หญิงสาวค่อย ๆ เปิดเปลือกตาขึ้น ทว่า...“นี่มันอะไรกันอีกล่ะคราวนี้ ทำไมฉันถึงมาอยู่ในชุดนี้ได้”หยางปิง ใช้มือคลำไปยังบริเวณที่เจ็บที่สุด เสื้อผ้าที่เปียกชื้น บอกได้เป็นอย่างดีว่านี่คือเลือด หยางปิงสุดหายใจลึก ๆ คิดทบทวนทุกอย่าง เธออาจตายไปแล้ว จากการที่ถูกจางต้าไจ๋กรีดที่ลำคอและตอนนี้อาจเป็นความฝัน แต่จะอะไรก็ตาม สิ่งที่เธอต้องทำคือ ห้ามเลือด ค่อยตามหญิงสาวคนนั้นไป หยางปิงมองไปยังใบหน้างาม ที่ขาวซีด กำลังยืนร่ำไห้ปานจะขาดใจ พร้อมพร่ำขอให้เธอไปช่วยลูกน้อยหยางปิง ใช้มือขูดพื้นดิน จนได้มาหนึ่งกำมือ แล้วพยายามปิดลงไปยังบาดแผล นับว่าโชคดี ที่มันยังอยู่ในจุดที่เธอเอื้อมถึง มีดสั้นถูกคนพวกนั้นดึงออกไปด้วย หยางปิงฉีกชายกระโปรง ผูกทับอีกชั้น ก่อนจะลุกขึ้นอย่างยาก
“น่าสงสารพี่ใหญ่ยิ่งนัก ที่วางใจคนเช่นซือเหยา” “เจ้าคิดว่านางทำหรือ”“เจ้ารู้จักนางน้อยไปสิ ! ขนาดสาวใช้คนสนิท นางยังกำจัดอย่างเลือดเย็น นับประสาอะไรกับพี่ใหญ่ ฆ่าให้ตายจะด้วยวิธีใด ก็สามารถสาวถึงนางได้ แต่ถ้าพี่ใหญ่ตายด้วยคำสั่งของท่านพ่อ ผู้ใดจะรู้ว่าเบื้องหลังคือนางทำ”“ระวังปากของพวกเจ้าด้วย ซือเหยาคือบุตรสาวภรรยาเอก หากอยากอยู่อย่างสงบ ก็จงปิดหูปิดตาเสีย”ฮูหยินรอง เจียวหลิงเอ่ยกับบุตรสาวทั้งสอง ก่อนจะก้าวนำสองพี่น้องกลับเรือนเมื่อไม่ได้รับคำตอบจากบุตรสาว ที่กำเนิดจากภรรยาอันเป็นที่รัก เสนาบดีถงจิ่ง ไม่อาจหักใจสังหารเซียวเถาได้ จึงได้ส่งนางไปอยู่ยังหมู่บ้านห่างไกล โดยไม่ให้ผู้ใดรู้ส่วนบุตรสาวคนรอง ที่กำเนิดจากฮูหยินใหญ่คนปัจจุบัน ได้ก้าวเข้าสู่จวนสกุลกู้ ในฐานะฮูหยินใหญ่ของแม่ทัพหนุ่ม เหตุผลที่ชายหนุ่มได้รับในการเปลี่ยนตัวเจ้าสาว นั่นเพราะเซียวเถาเป็นโรคติดต่อร้ายแรง ไม่อาจอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้และเซียวเถาสิ้นใจ ก่อนงานแต่งเพียงแค่ขวบเดือน ที่ไม่แจ้งแก่ทางสกุลกู้ เพราะมิอยากให้เกิดความอัปมงคล ในการเริ่มชีวิตคู่ของชายหนุ่มทุกอย่างควรที่จะจบลง เพียงแค่ทุกคน ได้ในสิ่ง
ชายแดนเหนือของจีน เสียงฝีเท้าของคนจำนวนมากไล่หลังมา หญิงสาวในชุดลายพราง กำลังวิ่งอย่างไม่คิดชีวิต เพื่อรักษาสิ่งที่เธอได้มา ก่อนที่เพื่อนร่วมทีมคนอื่นจะถูกสังหาร หลักฐานทั้งหมดในไดร์ฟ แลกมาด้วยลมหายใจ ของใครอีกหลายคนร้อยเอกหญิงหยางปิง ได้ร่วมทำภารกิจสำคัญ โดยมีพันเอกจางต้าไจ๋เป็นหัวหน้าทีม แต่สิ่งที่ทำให้หญิงสาวเพียงหนึ่งเดียว ต้องวิ่งสุดชีวิตในตอนนี้ นั่นเพราะผู้พันจาง กลายเป็นคนทรยศเสียเอง หลักฐานในมือของหญิงสาว คือสิ่งเดียวที่จะทำให้ เรื่องของเขาเปิดเผย หยางปิงคือคนเดียวที่ยังรอดชีวิตในตอนนี้ แต่ไม่รู้ว่าจะรอดได้นานแค่ไหน จุดนัดพบคือที่อันตราย ที่สุดในตอนนี้ หญิงสาวจึงเปลี่ยนเส้นทางหลบหนี เพื่อกลับไปยังปักกิ่งให้ได้ หยางปิงตรงไปยังหมู่บ้านที่ใกล้ที่สุดในตอนนี้ เพราะหากเกิดความผิดพลาดใด ๆ อย่างน้อยสิ่งสำคัญก็จะส่งถึงมือของผู้บัญชาการแน่นอน เสียงสุนัขดมกลิ่น และคนจำนวนมากวิ่งไล่หลังมา เธอไม่มีแม้แต่โอกาสจะหยุดพักหายใจ หยางปิงดึงเอาหลักฐานสำคัญที่เธอได้ แอบโหลดข้อมูลเก็บไว้ในแฟลตไดร์ฟ ก่อนที่พวกเธอจะถูกสังหารไปทีละคน ด้วยฝีมือของผู้นำทีม
หลังจากจัดการทุกอย่างเรียบร้อย ฮ่องเต้ได้สั่งห้องเครื่องทำอาหารออกมาแจกจ่ายให้แก่ประชาชน พร้อมทั้งทรงอยู่ร่วมพูดคุยกับทุกคนอย่างเป็นกันเอง“ท่านแม่ทัพเยี่ย”“พระชายาทรงมีสิ่งใดกับกระหม่อมหรือพ่ะย่ะค่ะ”“ของสิ่งนี้ข้าขอส่งคืนสกุลเยี่ย”เยว่หมิงหลันยื่นส่งดาบไห่ซินให้แก่เยี่ยไค่หลาง มือหนาสั่นเทาเมื่อเห็นว่ามันคือดาบคู่กายของน้องสาว แม้ว่าดาบตรงหน้าอาจมิใช่อันเดิม แต่ทุกลวดลายนั้นคือตัวตนของน้องสาวเขาทั้งสิ้น“พานางกลับสู่อ้อมกอดของครอบครัวเถิด หากวันหน้าครอบครัวเราปรองดองกันในรุ่นลูกหลาน ข้าก็มิขัดข้อง”“พ่ะย่ะค่ะ...พระชายา!”เยี่ยไค่หลางกำลังจะผวาเข้ารับร่างหญิงสาว ทว่ายังช้ากว่ากั๋วหยวนเค่อ ที่จับตามองภรรยาแทบทุกฝีก้าวอยู่ก่อนแล้ว“ตามหมอหลวงเร็วเข้า”ท่านแม่ทัพเยี่ยรีบสั่งการ ก่อนที่ตัวเขาจะรีบเปิดทางให้ท่านอ๋องเก้าพาพระชายาเข้าไปยังเหลาหยวนหลัน โดยมีฮ่องเต้กับเชื้อพระวงศ์และขุนนางอีกหลายคนติดตามเข้าไปด้วยเวลานี้ฮ่องเต้กับหยวนปิงเดินสวนกันไปมา เพื่อรอฟังผลการตรวจถึงอาการป่วยกะทันหันของเยว่หมิงหลัน ทั้งคู่รู้ดีว่าเยว่หมิงหลันเคี่ยวเข็ญตนเองอย่างหนัก กว่าจะสามารถยืนทัดเทียมศัตรูได้ แ
“ชูเจี่ยนอ๋องยังเสมอต้นเสมอปลาย เลือดเย็นต่อคนข้างกายเช่นไรก็ยังคงเดิม”“อย่าสู่รู้!”“หึ ๆ ระหว่างเจ้ากับข้าแตกต่างกันตรงไหนรู้ไหมชูเจี่ยน ข้ารู้ทุกอย่างเกี่ยวกับเจ้า แต่เจ้ามิรู้สิ่งใดเลยกับข้า”“แค่นี้รึ! ที่เจ้าคิดจะกำราบข้าได้”เคร้ง! ร่างงามตวัดดาบในมือต้านการจู่โจม ไม่มีคำว่าออมมือสำหรับการต่อสู้ครั้งนี้ ชูเจี่ยนเก็บความแตกตื่นเอาไว้ภายในใจ เมื่อหลายกระบวนท่าของเยว่หมิงหลัน เหมือนกับใครอีกคนที่เขาคุ้นเคยเป็นอย่างดี “ข้าไม่จำต้องเสียเวลากับคนเยี่ยงเจ้า แต่มันจะสนุกอะไรหากไม่ได้ยินคำร้องขอความตายจากเจ้า” ชูเจี่ยนผงะถอยหลังเล็กน้อย เมื่อได้ยินคำพูดของหญิงสาว กลิ่นอายบางอย่างของเยว่หมิงหลัน ทำให้ภาพต่าง ๆ ในอดีตผุดขึ้นราวดอกเห็ดต้องสายฝน แววตาที่เขาเคยได้รับก่อนที่มันจะเลือนหายไปตลอดกาล ทำให้สมาธิของเขาเลือนหายไปกว่าครึ่งเลยทีเดียว ฉึก! ยังไม่ทันที่จะดึงสติออกจากภวังค์ได้ดีนัก กลางอีกของเขากลับมีปลายอาวุธแหลมคมอาบเลือดโผล่พ้นให้เห็น “คนต่ำช้าเยี่ยงเจ้าไม่สมควรอยู่ให้หนักแผ่นดิน เจ้าพรากทุกอย่างไปจากข้า แล้วยังจะพาข้าลงสู่นรกเพราะความเล
กว่าที่เขากับผู้เป็นอาจะก้าวมายืนอยู่ตรงนี้ได้ ต้องแสร้งเป็นคนหูหนวกตาบอด เพื่อรอเวลาชำระความ และไม่คิดว่าวันนี้มาถึง เขาจะมีใครอีกคนมาเคียงข้างให้ปกป้องเขายอมเป็นปีศาจในสายตาของคนทั้งแผ่น ส่วนฮ่องเต้เป็นเพียงตาแก่ปวกเปียกในสายตาของคนคิดคด การนิ่งเงียบเพียงเพื่อรอให้อสรพิษร้ายตัวจริงโผล่หางเท่านั้นดวงตาของเขาที่เสียไปเพื่อปกป้องร่างไร้ลมหายใจของนาง อาจดูโง่เขลาแต่ในยามที่คนเราใกล้ตาย แล้วมีมือหนึ่งยืนเข้ามาประคอง มันย่อมมีค่ากว่าสิ่งใดมือหนาเลื่อนไปยังแผ่นอกกว้าง ก่อนจะกดลงเบา ๆ เพื่อสัมผัสกับสิ่งที่อยู่ภายใน มันยังคงอยู่ดีบนกายของเขา หยกชิ้นนั้นสลักชื่อของนางเอาไว้ วันนี้เขาจะทวงทุกอย่าง เพื่อคืนความเป็นธรรมให้แก่นางและครอบครัว ‘ไห่ซิน’ สักวันเราจะได้พบกันพี่สาวรุ่งสาง ณ จวนชูอ๋อง หมับ! ข้อมือบางถูกคว้าจับเอาไว้ได้ทัน ก่อนที่ปิ่นแหลมในมือจะปักลงบนลำคอของชูอ๋อง “ท่านกล้าทำลายใจข้า!” พระชายาเอกเอ่ยด้วยน้ำเสียงรวดร้าว ข้อมือบางเจ็บร้าวยิ่งนัก เมื่อสามีมิได้ออมแรงในการตอบโต้นาง แค่เสี้ยวใจของเขาในตอนนี้ มันไม่มีนางหลงเหลืออยู่เลยเช่นนั้นรึ!