หนึ่งเดือนถัดมา เมืองหลวง สกุลเยว่ ภายในห้องโถงเรือนหลัก สมาชิกทุกคนต่างมีใบหน้าที่เคร่งเครียด เพราะครั้งนี้นับว่าเป็นเรื่องใหญ่อยู่ไม่น้อย สำหรับสิ่งที่เกิดขึ้นกับครอบครัวเยว่หลิวหลีบุตรสาวอันเป็นที่รักของผู้นำตระกูล เกิดล้มป่วยอย่างกะทันหัน เนื่องจากตรอมใจกับข่าวการทาบทามสู่ขอจากจวนอ๋องเก้า แม้จะเป็นพระประสงค์ในองค์ฮ่องเต้ แต่มันหาใช่ความต้องการของเยว่หลิวหลีแม้แต่น้อยอ๋องเก้ากั๋วหยวนเค่อ ถูกผู้คนกล่าวขานว่าเป็นปีศาจเนตรเดียว สตรีปรนนิบัติหลายนางหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ทว่าฮ่องเต้องค์ปัจจุบันกลับวางใจและโปรดปราณท่านอ๋องกว่าผู้ใดแต่ทำไมอยู่ ๆ จึงทรงต้องการเลือกคู่ให้แก่ท่านอ๋องเก้าได้เล่า ทั้งที่อ๋องหนุ่มเลือกที่จะอยู่อย่างโดดเดี่ยวมานานหลายปี และยิ่งไปกว่านั้นฝ่าบาททรงเลือกบุตรสาวภรรยาเอกสกุลเยว่ ให้เป็นพระชายาในอ๋องเก้า เรื่องนี้จึงเป็นที่มาในความร้อนใจของสกุลเยว่เพราะเยว่หลิวหลีคือดงใจของพ่อแม่ แม้ว่านางจะกำเนิดจากภรรยารองที่ขยับฐานะขึ้นมาแทนที่อดีตภรรยาเอกคนก่อน ที่สิ้นใจไปนานหลายปีแล้วนี่จึงเป็นที่มาของการรวมตัวในครั้งนี้ เพราะบุตรสาวคนโตที่กำเนิดจากภรรยาเอกคนแร
“ลูกอนุชั้นต่ำเยี่ยงเจ้า ผู้ใดอนุญาตให้พูด” ไท้ฮูหยินเอ่ยแทรกด้วยน้ำเสียงหยามหยัน“ข้าคือข้า ปากนี่ก็ของข้าไม่จำเป็นต้องขอผู้ใด ในอดีตข้าอาจเป็นแค่คนที่พวกเจ้าผลักไส วันนี้พวกเจ้าคิดให้ดีก่อนจะพ่นวาจาต่ำ ๆ ออกมาให้ข้ากับหลานระคายหู หากเก่งจริงจะร่ำร้องให้หลานข้ากลับมาทำไม ถึงขนาดยอมรับว่าเมียรักเป็นเพียงอนุ โถ ๆ น่าอายยิ่งนัก”“นี่เจ้า!”“ข้ามิได้มีสายเลือดสกุลเยว่ อย่าได้มาชี้หน้าข้าเยี่ยงนี้อีก และจำไว้ต่อให้หลานสาวข้าทั้งสองคือสะใภ้ของสกุลเยว่ นั่นมิได้หมายความว่าข้าต้องก้มหัวให้แก่คนที่นี่”หยวนปิงจ้องเขม็งไปยังไท้ฮูหยิน ก่อนจะมองเลยไปยังจางอี้เหนียง ซึ่งเป็นหลานสาวและมารดาเลี้ยงของเยว่หมิงหลัน ความสัมพันธ์ระหว่างหลานสาวทั้งสองกับเยว่ฉง เป็นสิ่งที่นางและสกุลจางงุนงงอยู่มาก ลูกที่เกิดจากพ่อแม่เดียวกัน ไยแม่แท้ ๆ จึงยินยอมให้ลูกคนรองมาเป็นอนุของสามีลูกคนโตได้ที่สำคัญไปกว่านั้น พี่สาวของนางหาได้เคยมอบความเอ็นดูให้แก่หมิงหลัน ที่เป็นหลานสาวแท้ ๆ แม้แต่น้อย ซึ่งแตกต่างกับเยว่หลิวหลีที่พี่สาวของนางมอบความรักให้หมดใจ“ท่านน้าหญิงโปรดใจเย็นก่อนเจ้าค่ะ”ในที่สุดจางอี้เหนียงก็เอ่ยขึ้น เพื่
สายตาชิงชังทำเพียงมองตามหลังของสตรีสองนาง ที่ล้วนหยิ่งผยองจนนางอยากที่จะเด็ดปีกของทั้งคู่ลงบดขยี้ด้วยฝ่าเท้า วันนี้มิใช่วันของนาง แต่มิช้านางจะทำให้สองคนสูญหายไปเสมือนไม่เคยมีตัวตนบนโลกใบนี้เลยทีเดียวจวนอ๋องเก้า กั๋วหยวนเค่อ มือหยาบกำลังคลึงจอกสุราหยก เสมือนคนกำลังใช้ความคิดอย่างหนัก แน่นอนว่ามิใช่เรื่องการแต่งงาน ที่ผู้เป็นอาได้ทำการสู่ขอบุตรีสกุลเยว่ให้แก่เขามีหรือคนการขอภรรยาให้แก่เขา จะไม่มีเบื้องลึกเบื้องหลัง ยิ่งถ้าไม่รู้ที่มาของสตรีผู้นั้น คนเยี่ยงเสด็จอาของเขาน่ะรึ! จะยอมเสี่ยงรับเข้าสู่ราชวงศ์ทั้งแผ่นดินจะมีสตรีสักกี่คนเล่า กล้าที่จะมองหน้าเขา ร่องรอยบาดแผลและดวงตาที่มืดบอด คือสิ่งที่เขายังคงไร้พระชายาเคียงข้างมาจนถึงทุกวันนี้มือหยาบวางทาบบนหน้ากากสีเงินอย่างเบามือ เขาไม่เสียดายเลยสักนิด กับการเสียงดวงตาข้างนี้ไป เพราะอย่างน้อยร่างของใครอีกคน ก็ไม่ถูกกระทำ ให้เกิดร่องรอยความเจ็บปวดมากกว่าที่มีอยู่ก่อนแล้ว แม้ว่าคนผู้นั้นจะไม่มีโอกาสรับรู้ถึงสิ่งที่เขาทำเลยก็ตามที “เรียนท่านอ๋อง ว่าที่พระชายามาถึงเมืองหลวงแล้วขอรับ” เสียงรายงานจากคนสนิท
“พี่สาวของหม่อมฉันงดงามยิ่งนักเพคะ กิริยาสูงส่งมิแพ้สตรีใดในเมืองหลวง วาดเขียนโคลงกลอนเหนือหม่อมฉันมากทีเดียวเพคะ” คำสรรเสริญที่มิได้มาจากใจจริง ทำให้อ๋องหนุ่มและผู้ติดตาม แสร้งตื่นตาตื่นใจไปด้วย แน่นอนว่าสิ่งที่เยว่หลิวหลีกล่าวมานั้น ล้วนเป็นความจริงที่เขาสืบรู้มาก่อนแล้วทั้งสิ้นทว่าสำหรับสกุลเยว่หาได้รู้จริงเท็จเรื่องนี้ ทุกถ้อยคำล้วนแต่งแต้มขึ้น เพื่อเบี่ยงเบนตัวเขาออกจากสกุลเยว่ทั้งสิ้น หากแต่ลับหลังกลับนำชื่อเยว่หมิงหลันไปล้อเลียนจนเป็นที่น่าขบขัน “ข้าจะเร่งวันแต่งงานให้เป็นในอีกเจ็ดวันข้างหน้า ข้ามิสนใจว่าจะเป็นนางหรือเจ้า หากมีการบิดพลิ้วสกุลเยว่คงมิแคล้วหายไปเยี่ยงสกุลใหญ่ในอดีต” “ท่านอ๋องเก้าโปรดวางพระทัย ในอีกเจ็ดวันข้างหน้า เจ้าสาวของท่านอ๋องจะรออยู่หน้าประตูเพื่อขึ้นเกี้ยวพ่ะย่ะค่ะ” “ข้าก็หวังเช่นนั้น” “น้อมส่งท่านอ๋อง” ทุกคนเอ่ยขึ้นพร้อมโค้งกายอย่างนอบน้อม ลับหลังอ๋องเก้าไปแล้ว ทุกคนต่างพ่นลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก ด้วยมิอาจตั้งรับกับอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันของท่านอ๋องเก้าได้ทัน “เต
หากเขาสองผัวเมีย ทำร้ายเพียงนางคนเดียว การแก้แค้นหาได้จำเป็นไม่ แต่หลายสกุลที่ไม่ได้คิดคดต่อแผ่นดิน ถูกใส่ความจนสิ้นลูกสิ้นหลานจะต้องได้รับความเป็นธรรม นางจึงได้เลือกกลับมาที่นี่ เพื่อลบรอยแปดเปื้อนเหล่านั้นให้แก่ทุกสกุลเสียก่อน ‘วันนี้ข้าพร้อมยิ่งนัก ชูเจี่ยน ฉีหยุนเหลียน หลายร้อยชีวิตที่พวกเจ้าสังหารจนสิ้น เวลานี้ข้าจะเป็นตัวแทนนำเจ้าสองคนไปชดใช้กรรม’ ร่างงามหมุนกายเดินกลับไปยังเรือนพักของตน ที่นี่คือหนึ่งในกิจการของนางและผู้เป็นยาย ที่สร้างมันขึ้นมาเพื่อเป็นหนึ่งในขุมกำลัง และรองรับข่าวสารจากทุกทิศ “นายหญิงน้อย ท่านผู้นั้นรออยู่ที่สวนขอรับ” “อืม!” หญิงสาวรับคำ ก่อนจะเปลี่ยนทิศทางไปยังสวนดอกไม้ นางยังไม่ทันได้นั่งพักให้หายเหนื่อย คนมาเยี่ยมเยียนไยจึงไม่คิดว่านางเพิ่งเดินทางมาถึง มิทันหลับตาแม้สักชั่วก้านธูปเลยด้วยซ้ำ “มาถึงก็รีบไปเจรจาแต่งงานเลยนะ ไม่คิดที่จะมายกสุราให้ตาแก่เยี่ยงข้าก่อนเลยหรืออย่างไร หืม!”คำตำหนิที่ปนไปด้วยคำหยอกเย้าและเอ็นดู ทำให้มุมปากงามยกขึ้นด้วยความคุ้นชิน “ดื่มมากมันไม่ดีต่อส
ห้องรับแขกพิเศษ เหลาหยวนหลัน เยว่หมิงหลันก้าวเข้าไปภายในห้องรับรองพิเศษ ก่อนจะหยุดกวาดสายตามองไปยังแขกที่มาเยือน เป็นอันว่าวันนี้นางยังไม่ทันได้ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า ก็พบกับความแปลกใจเกินกว่าที่คาดเอาไว้มากทีเดียว “เยว่หมิงหลันคารวะท่านเสนาบดี ฮูหยินเยว่” หญิงสาวประสานมือโค้งกายให้แก่แขกของตน ที่กำลังนั่งหน้าตึงอยู่ในขณะนี้ “บอกข้อเสนอของเจ้ามา” “ดูท่าท่านเสนาบดีจะรีบร้อนเหลือเกินไปนะเจ้าคะ เรื่องนี้คิดทบทวนให้ดี ๆ ก่อนได้นะเจ้าคะ” “อย่ามายอกย้อน ข้าไม่ได้มีเวลามาต่อคำไร้สาระกับคนเยี่ยงเจ้านักหรอกนะ” “ส่งคืนมารดาข้ามา”เมื่ออีกฝ่ายอยากได้ยินข้อเสนอ หญิงสาวก็ไม่คิดที่จะรั้งรอต่อไปให้เสียเวลา “เจ้ามันบ้าไปแล้ว! นางตายไปตั้งแต่เจ้ายังเล็กนัก” เยว่ฉงตอบบุตรสาวด้วยเสียงอันดัง ปนความตกใจ “ตายแน่หรือ!” “จะ...เจ้าหมายความเยี่ยงไร ผู้คนต่างรู้ว่านางตายไปพร้อมชู้รัก” เยว่ฮูหยินรีบเอ่ยแทรก ด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก เมื่อเอ่ยถึงพี่สาวแท้ ๆ ซึ่งเป็นมารดาของเยว่หมิงหลัน
เสียงหวานจากอีกด้านของห้องดังขึ้น ก่อนที่หยวนปิงจะก้าวออกมาจากประตูลับ “เขามิได้รักนาง แต่เขาแค่อยากทรมานนางเพื่อรักษาหน้าของตนเองเท่านั้นเจ้าค่ะ และเขาไม่คิดว่าข้าจะรอดกลับมายืนตรงนี้ได้ต่างหากเจ้าค่ะ” “เจ้ารู้ความจริงแล้วสินะ! ว่าเยี่ยนหลานมิเคยทำเยี่ยงนั้นเลย” “หากท่านเสนาบดีมิหลงมัวเมาในเรื่องตัณหา เขาย่อมจะเชื่อใจในตัวของท่านแม่ แต่บุรุษที่มองมิพ้นหว่างขาสตรี ดวงตามิอาจมองได้สูงนักหรอกเจ้าค่ะ” เยว่หมิงหลัน เอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบปนเย้ยหยันคนที่เพิ่งจากไป เมื่อนึกถึงสิ่งที่ฮูหยินใหญ่ต้องเผชิญ มันช่างคล้ายคลึงนางอยู่ไม่น้อย ในวันที่ฮูหยินใหญ่เยว่ตั้งครรภ์ น้องสาวร่วมมารดา ได้ก้าวเข้ามาเป็นอีกหนึ่งสตรีของสามี มิหนำซ้ำยังถูกใส่ความ ทั้งพลัดพรากจากบุตรสาวเพียงคนเดียว โชคชะตาอาจโหดร้าย แต่เมื่อนางอยู่ตรงนี้ทุกอย่างต้องเปลี่ยนไป ตราบใดที่นางยังหายใจ ใครที่มีส่วนร่วมทำลายสกุลเยี่ย นางจะส่งให้เดินบนเส้นทางเดียวกันให้สิ้น แน่นอนว่าเยว่ฉงก็คือหนึ่งในนั้น “หึ ๆ ข้าชอบความคิดของเจ้านัก มาเถอะดื่มสุราเป็นเพื่อนข้าต่อ”
“เจ้ามิใช่คนโง่เยว่ฉง แค่นี้เจ้าคงเข้าใจความหมายดีแล้วสินะ!” “ข้าไม่คิดเสวนากับลูกอนุระดับล่าง” “หึ ๆ บินให้สูงกว่าข้าได้เมื่อใด ค่อยหมิ่นมารดาข้าเยว่ฉง บุรุษที่เป็นใหญ่เพราะชายกระโปรงสตรี มักจะไม่ค่อยได้แก่ตายสักเท่าใดนัก อ่อ...เส้นทางที่เจ้าเลือกมันกำลังจะขาด แต่น่าเสียดายที่ไร้เส้นทางอื่นให้เจ้าเดินแล้วเช่นกัน” หยวนปิงไม่คิดที่จะรอฟังคำตอบโต้ ร่างงามก้าวผ่านหลานเขยไปด้วยอารมณ์อันดี มีเพียงสายตาชิงชังที่มองตามไป ประหนึ่งคมดาบที่หมายเชือดเฉือนคนที่เพิ่งก้าวพ้นเข้าประตู ทุกอย่างที่เกิดขึ้นยังด้านหน้าเหลาชื่อดัง ได้ตกอยู่ภายใต้สายตาของกั๋วหยวนเค่อทั้งสิ้น หลายอย่างที่เขาคิดว่ารู้ วันนี้นับว่าได้เปิดหูเปิดตายิ่งนัก นอกจากความซับซ้อนทางสายสัมพันธ์ สกุลเยว่ยังมีเรื่องปิดบังเอาไว้อยู่อีก เห็นทีเขาคงต้องช่วยให้ว่าที่พระชายา บรรลุเป้าหมายอีกขั้นท่าจะดี “นางน่าสนใจยิ่งนัก” “แต่ข้าน้อยคิดว่าน่ากลัวมากกว่านะขอรับ” “ตรงไหนกัน!” “แค่วันแรกที่ก้าวมาถึงเมืองหลวง สิ่งใดที่นางต้องการ นางทำได้ทั้งที่พระอาทิ
“องค์ชายอย่าทรงเป็นกังวลไปเลยเพคะ จ้าวหยางจะปลอดภัย”“ท่านหมอรีบมาดูหลานชายข้าเร็วเข้า เรื่องนี้ข้าต้องได้คำตอบก่อนรุ่งสาง”“เชิญองค์ชายทางด้านนี้พ่ะย่ะค่ะ”เสวี่ยจ้าน ต้องการที่จะคุยกับองค์ชายต่างแคว้นเพียงลำพัง ทั้งสองหายไปยังอีกห้อง ซึ่งอยู่ถัดไปพระชายาในองค์รัชทายาท ขยับไปยืนข้างกับแม่ทัพสาว นางเองก็รักในตัวจ้าวหยางมิแพ้ผู้ใด ถึงขนาดคิดเอาไว้ ว่าจะทรงยกพระธิดาองค์โต ให้เป็นภรรยาของจ้าวหยางในอนาคตเซียวเถาบีบเบา ๆ ยังมือของหญิงสาวผู้เป็นสหายรัก ก่อนจะเอ่ยปลอบโยนพระชายาเบา ๆ ท่านหมอประจำจวนอ๋องเหลียวมองไปยังมารดาของเด็กชาย ก่อนจะหันกลับมาจัดการรักษาคุณชายน้อยต่างแคว้นต่อองครักษ์คนสนิทของท่านอ๋องเก้า ได้บอกกับเขาขณะเดินทางมายังเรือนนี้ ว่าต่อให้ยมบาล ต้องการลมหายใจของคุณชายจ้าวหยาง ก็ให้ช่วงชิงกลับมาให้จงได้ มิเช่นนั้นจะทำให้ปีศาจร้ายพิโรธ ไม่บอกเขาก็รู้ว่าหมายถึงผู้ใดเวลาผ่านไปกว่าหนึ่งก้านธูป การรักษาได้เสร็จสิ้นลง จ้าวหยางหลับไปด้วยฤทธิ์ของยา พิษถูกขับออกจนหมด ทำให้ทุกคนรู้สึกโล่งใจ เป็นจังหวะเดียวกับที่องค์ชายแห่งเว่ย และท่านอ๋องเก้า กลับเข้ามาภายในห้อง“ท่านหมอ ทุกอย่างเรียบร
ฟริ้ว! ฉึก! ลูกธนูปักยังเสาศาลา แทนที่จะเป็นเป้าหมาย ซึ่งตอนนี้ทั้งคู่ได้หยุดสิ่งที่กำลังทำ เพื่อเตรียมการรับมือ ผู้บุกรุกยามค่ำคืน“หาญกล้าบุกรุกจวนข้า สงสัยคงอยากที่จะเร่งไปยมโลกกระมัง”อ๋องหนุ่มเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ เรื่องมีคนลอบทำร้ายเขาหาได้ใส่ใจไม่ แต่พวกมันกลับมาในเวลา ที่เขากำลังจะช่วงชิงหัวใจของหญิงสาว นี่ต่างหากที่ทำให้เขาขุ่นเคืองเป็นที่สุดคืนนี้เขาสั่งให้องครักษ์ มิให้เข้ามารบกวนเวลาส่วนตัว ไม่ว่าจะอย่างไรเขาก็มิต้องการให้ผู้ใดมานั่งมอง เรื่องระหว่างเขากับมารดาของบุตรชายเป็นอันขาดเซียวเถาปลดสายคาดเอวออก เพื่อใช้เป็นอาวุธ เพียงครู่เดียวห่าธนูได้พุ่งเข้าหาคนทั้งสอง ทั้งคู่ได้สลับกันปัดป้อง มิให้ลูกธนูถูกกายได้ เมื่อทุกอย่างหยุดลง บุรุษชุดดำกว่าสิบชีวิต ได้ปรากฏตัวขึ้นล้อมรอบทั้งคู่เอาไว้“ท่านอ๋องเก้า ชะตามิน่าสิ้นสุดเพียงเท่านี้เลย หากท่านอ๋องไม่ทรงอยู่ร่วมกับนาง ก็คงมิต้องจบชีวิตเช่นนี้” หนึ่งในชายชุดดำเอ่ยขึ้น เรื่องนี้เป็นเหตุสุดวิสัยอย่างแท้จริง ผู้ใดจะคิดว่า ท่านอ๋องเก้า จะมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับแม่ทัพต่างแคว้นเช่นนี้“หึ ๆ เข้ามาในบ้านข้า ยังกล้าปากดีอยู่อีก
“แต่หากเรื่องเช่นนี้เกิดกับหญิงสาวคนอื่น เด็กอาจมิโชคดีเช่นนี้”“สิ่งที่อยากจะหยั่งถึง คือใจของคน ท่านอ๋องอย่าได้ยกย่องหม่อมฉันนักเลยเพคะ ท่านอ๋องจะรู้ได้อย่างไร ว่าคราแรกที่หม่อมฉันรู้ว่าตั้งครรภ์ หม่อมฉันยินดีหรือเสียใจ”“ข้ารู้ดีว่าเจ้าเสียใจ แต่เจ้าก็รักลูกในครรภ์มากกว่าคำครหา”“ดูเหมือนท่านอ๋องจะรู้เรื่องนี้ดีนะเพคะ”“ข้ามีนิท่านเรื่องหนึ่ง จะเล่าให้เจ้าฟัง”“เวลาของค่ำคืนนี้อีกยาวนาน หม่อมฉันยินดีที่จะฟังเพคะ”เรื่องราวต่าง ๆ ถูกถ่ายทอดออกมาทีละน้อย อ๋องหนุ่มหวนนึกถึง วันที่เขาเพิ่งกลับจากชายแดน เนื้อตัวนั้นมิได้ดูสง่าอันใด เพื่อสืบเรื่องราวบางอย่าง ทำให้เขาจำต้องปลอมตัวเป็นเพียงนักเดินทางทว่าสิ่งที่ไม่คาดคิดก็ได้เกิดขึ้น เมื่อเขาต้องการหญิงคณิกามาปลดปล่อย ความเป็นบุรุษ ร่างบอบบางที่ดูเหมือนจะหมดสติ และถูกวางยาปลุกกำหนัดถูกนำมาส่งให้ถึงห้อง เขาคิดเพียงว่าเจ้าของหอนางโลม ต้องการสร้างความตื่นเต้นให้แก่เขา จึงได้ทำเช่นนี้ ทว่าเมื่อเขารับรู้ถึงความบริสุทธิ์ของนาง จึงได้คิดที่จะเลี้ยงดูนางเป็นอนุแต่เมื่อเขากลับมาจากทำธุระ หญิงสาวบนเตียงได้หายไปแล้ว มีเพียงหยกของนาง ที่ถูกลืมเอาไว้
ภายในห้องหนังสือ จวนแม่ทัพกู้หมิง สองสามีภรรยา นั่งประจันหน้ากัน ด้วยความเคร่งเครียด ทุกคำถาม เสมือนน้ำที่เทลงพื้นก็มิปาน เมื่อผู้เป็นภรรยาหาได้ตอบคำถามนั้น แม้แต่ครึ่งคำถงซือเหยา ยังคงใช้ความนิ่งเงียบ สยบทุกคำถามของสามี ด้วยหลายคำถามนั้น มันมิต่างจากคมมีดที่ปักลงสู่กลางใจนาง“สรุป...เจ้ามิคิด ตอบคำถามข้าเลยเช่นนั้นรึ”“ท่านพี่ สิ่งที่ท่านถามมา ข้าไม่ทราบเรื่องเลยแม้แต่น้อยเจ้าค่ะ”“แล้วสิ่งที่เจ้าพูด ตอนอยู่ในสนามประลองมันหมายว่าอย่างไรเล่า”“ข้าแค่พูดไป ตามที่ผู้คนเล่าลือกันเท่านั้นเจ้าค่ะ”“เรื่องเล่าลือเช่นนั้นรึ แม่ทัพจ้าวเป็นคนแคว้นเว่ย จะมีข่าวเช่นนั้นมาเกิดที่ฉินได้อย่างไรกัน”“ท่านพี่พูดเหมือนข้า เป็นผู้ที่ทำเรื่องเช่นนั้น ข้าเป็นภรรยาของท่านนะเจ้าคะ จะลดตัวไปทำเรื่องต่ำช้าเช่นนั้นได้อย่างไรกัน”“ก็ขอให้มันจริง เพราะเท่าที่ข้ารู้มา เรื่องต่ำช้ากว่านี้ คนเช่นเจ้าก็เคยทำมันมาแล้ว ข้านิ่งเฉยมาตลอด เพราะคิดว่าเจ้าจะปรับปรุงตัว”“ท่านพี่ หมายความว่าอย่างไรเจ้าคะ”“กลับไปเถอะ แล้วทบทวนสิ่งที่เจ้าทำ และคิดให้มากว่านี้ เจ้าจะมีความสุขเช่นที่ผ่านมา หรือให้ทุกอย่างแตกแยก”“ฮึ! เพราะมั
เซียวเถาเลิกคิ้วสูง เป็นเชิงถามชายหนุ่ม ที่กำลังยืนหายใจประหนึ่งม้าศึก ที่ผ่านการวิ่งมาอย่างสุดกำลัง ก่อนจะคลี่ยิ้มน้อย ๆ กับท่าทางของท่านอ๋องหนุ่ม“ไม่เลยขอรับท่านแม่ หากมิได้ท่านแม่ช่วยไว้ จ้าวหยางคงลำบากกว่านี้”“หึ ๆ แม่มิได้ทำอันใดเลย แค่เบื่อท่าทางอวดดีของลูกนกในกรงทอง ก็เท่านั้นเอง”“ข้าเกือบจะลงมือจริง ๆ เสียแล้ว”“แค่เรื่องขำขัน อย่าได้ใส่ใจ”การสนทนาของสองแม่ลูก ทำให้อ๋องหนุ่มถึงกับลอบกลืนน้ำลาย จ้าวหยางเติบโตขึ้น ย่อมต้องเป็นคนที่น่ากลัว กว่าที่ผู้ใดจะคาดคิดเป็นแน่ ดูแล้วเซียวเหยาผู้นี้ มิใช่เพียงสตรีที่เก่งทางด้านการต่อสู้เพียงอย่างเดียวสินะ จะมีใครบ้าดีเดือดขนาดทำเช่นนางได้ไหนจะเจ้าลูกชายตัวดี ที่ดูจะเข้าขากับผู้เป็นแม่ เสียจนเขากลายเป็นเพียงลาโง่ไปในทันที“ไปกันเถอะ ยืนตรงนี้นาน เกรงจะทำให้คุณชายน้อยผู้นั้น อกแตกตาย”เซียวเถาเอ่ยขึ้น ในขณะที่ถงซือเหยา กำลังเดินผ่าน เพื่อไปจัดเตรียมสิ่งของนำบุตรชายกลับจวน“เจ้าหมายความว่าอย่างไร”ถงซือเหยาถามขึ้น ด้วยน้ำเสียงกรุ่นโทสะ นิ้วเรียวสั่นระริก ชี้ไปยังแม่ทัพต่างแคว้น“เป็นคุณหนูสูงศักดิ์ ทั้งยังเป็นถึงภรรยาแม่ทัพ แต่ไร้มารยาทที
“หึ ๆ แม่มิได้ต้องการให้เจ้าลำพองตน จงถ่อมตัวให้มาก แต่อย่ายินยอมให้ผู้ใด มาช่วงชิงลมหายใจของเราไปได้เช่นกัน”“ลูกจะจดจำไว้ขอรับ”สองแม่ลูกเปลี่ยนบทสนทนา เมื่อท่านอ๋องต่างแคว้น เดินเข้ามาหา พร้อมขนมในมือ ชายหนุ่มนั่งลงอีกด้านของจ้าวหยาง“ขนมกลีบเหมยกุ้ยป่า เป็นของที่ท่านย่าจะ...เอ่อ หมายถึงท่านแม่ของข้า ชอบทำให้กินยามเหนื่อยล้าจากการฝึก ข้าอยากให้เจ้าได้ลิ้มลองสักหน่อย”จ้าวหยางหันกลับไปหาผู้เป็นแม่ ก่อนจะได้รับคำอนุญาต เด็กชายจึงรับขนมในจาน มากินอย่างช้า ๆ ทำให้เสวี่ยจ้านยิ้มกว้าง ด้วยความยินดีชายหนุ่มอยากตบปากตนเองยิ่งนัก ที่รีบร้อนจนเกินไป เกือบจะเอ่ยว่ามารดาของเขา คือย่าของจ้าวหยางเสียแล้วเสนาบดีถง หรี่ตามองภาพนั้นด้วยความรู้สึกอัดแน่น เขาไม่อยากที่จะคิดเลยว่า ทั้งสามคนนั้นคือครอบครัว บุตรสาวที่หายตัวไปนับสิบปี หลานชายผู้มีใบหน้าถอดแบบบุรุษสูงศักดิ์ กับท่านอ๋องผู้เป็นดั่งปีศาจร้ายในยามสงคราม ‘เป็นไปมิได้’เขาจำได้ดี ว่าบุตรสาวคนโตนั้น พึงใจในตัวของกู้หมิงมากเพียงใด ไม่มีทางที่นางจะไปผู้สัมพันธ์กับท่านอ๋องเก้าได้ ทั้งคู่มิเคยพบเจอกันสักครั้ง แล้วไยจะเป็นท่านอ๋องเล่า ที่เป็นบิดาขอ
ทางด้านเซียวเหยา หาได้ใส่ใจกับสายตาแตกตื่นของผู้คนไม่ การที่นางให้บุตรชายใช้ม้าของตนเอง เพราะรู้อยู่แล้วว่าม้าของจ้าวหยาง ถูกวางยา เมื่อออกวิ่งเกินขีดจำกัดเมื่อใด ก็จะเกิดอันตรายต่อบุตรชายของนาง และนี่เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่สายลับ ของคนเหล่านั้นไม่เคยรู้มาก่อน ว่านางฝึกฝนจ้าวหยาง ด้วยม้าคู่ใจของตนเองมาโดยตลอด“ไยเจ้าดูมิห่วงใยเขาเลย”เสวี่ยจ้าน เอ่ยถามคนข้างกาย ด้วยน้ำเสียงมิใคร่พอใจเท่าใดนัก หากเกิดสิ่งมิคาดฝันขึ้น จะทำเช่นไร ‘สตรีวิปลาสผู้นี้ คิดจะอวดเบ่งไปเพื่อสิ่งใดกัน’“ท่านอ๋อง หม่อมฉันคือมารดา คือผู้ที่คลอดเขาออกมาด้วยตนเอง ย่อมรู้จักเขาดีกว่าผู้ใด ในเมื่อมีคนคิดสกปรก หม่อมฉันก็แค่ทำให้คนเหล่านั้นผิดหวัง หาได้ทำอันใดผิดไม่เพคะ”เซียวเถาตอบท่านอ๋องเก้า ด้วยน้ำเสียงราบเรียบ จนบางครั้งชายหนุ่มเองก็รู้สึกขัดเคืองใจอยู่ไม่น้อย กับท่าทีไร้อารมณ์ของหญิงสาวข้างกาย“เจ้าหมายความว่าอย่างไร” เสวี่ยจ้าน ขมวดคิ้วจนเป็นปม เมื่อได้ยินในสิ่งที่เขา ไม่คิดว่าจะมีผู้ใดหาญกล้าทำเช่นนี้“ท่านอ๋องมิได้ขลาดเขลา ย่อมเข้าใจมันได้ไม่ยาก มิเห็นต้องให้หม่อมฉันอธิบายมากความเลยนะเพคะ”อ๋องหนุ่มมองไปยัง ม้าสอง
“ลูกจะมิทำอันใด หากว่าเขายังมิก้าวล้ำจนเกินไป”จ้าวหยาง กล่าวด้วยน้ำเสียงเนิบช้า อีกทั้งรอยยิ้มละมุนยังมิจางหายจากใบหน้า เซียวเถาคลี่ยิ้มน้อย ๆ แค่มองตานางก็รับรู้ถึงสิ่งที่บุตรชายคิด การเลี้ยงดูของนางนั้น แตกต่างจากมารดาอื่นอยู่มาก แต่ทุกสิ่งที่นางได้กระทำก็เพื่อจ้าวหยางทั้งสิ้นเซียวเถา บีบไหล่บุตรชายหนัก ๆ เพื่อเป็นการให้กำลังใจ ก่อนจะหมุนกายเดินกลับไปยังที่นั่งของตน โดยมิได้รั้งรอเพื่อส่งจ้าวหยางขึ้นหลังม้า ซึ่งทหารของนางกำลังจูงอาชาสีดำสนิท ตรงมายังบุตรชายของนาง ทุกการกระทำนั้น ในทุกสายตาที่มองมาต่างรู้สึกสงสารจ้าวหยางยิ่งนัก ที่มารดานั้นหาได้ใส่ใจในตัวเด็กชายไม่ ซึ่งแตกต่างจากแม่ทัพกู้หมิง ที่ยังคงแนะนำการขี่ม้า เพื่อช่วงชิงธงให้แก่บุตรชายอย่างเคร่งเครียด“ไยแม่ทัพจ้าว จึงดูมิใส่ใจบุตรชายเอาเสียเลยเล่า” ฮ่องเต้ชราเอ่ยขึ้น เมื่อมองเห็นสิ่งที่เซียวเถาแสดงออกต่อจ้าวหยาง“นางรักบุตรชายมากต่างหากเล่าพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”องค์รัชทายาทแห่งเว่ยเอ่ยขึ้นบ้าง พร้อมทั้งมองไปยังจ้าวหยาง ที่กำลังทำการสำรวจความพร้อมของอาชาคู่กายของผู้เป้นมารดา“อย่างไรที่ว่ารักมาก”“ทูลฝ่าบาท หากจะทรงสังเกตจ้าวหยา
สวนดอกไม้หน้าเรือนรับรอง เสวี่ยจ้านหยุดมองไปยังร่างบาง ที่ยังอยู่ในชุดงานเลี้ยง“อะ...แฮ่ม” ชายหนุ่มแสร้งกระแอมเล็กน้อย เพื่อให้อีกฝ่ายรู้ตัว ซึ่งเขามั่นใจว่านางรับรู้ถึงการมีอยู่ของเขา นับตั้งแต่ก้าวผ่านประตูทางเข้าเรือนมาแล้ว“ท่านอ๋องมีเรื่องใด ให้หม่อมฉันรับใช้หรือไม่เพคะ”หญิงสาวเอ่ยถามขึ้น พร้อมหมุนกายกลับมาเผชิญหน้ากับผู้มาเยือน“มิได้ ข้าเอาน้ำแกงมาให้ก็เท่านั้น พอดีข้าเห็นเจ้าดื่มหนักอยู่พอสมควร เกรงจะมิสร่างเมาในยามเช้า เลยเอามาให้”ชายหนุ่มรีบยกตะกร้าใส่น้ำแกง ที่เขาได้ให้องครักษ์สั่งห้องครัว จัดเตรียมไว้รอท่า ก่อนที่ทุกคนจะกลับจากวังหลวง“ท่านอ๋อง มิเห็นต้องลำบากมาด้วยตนเองเลยนะเพคะ”“ข้าไม่เคยรู้สึกเช่นนั้นเลย มาเถอะประเดี๋ยวจะเย็นซะก่อน”ชายหนุ่มก้าวตรงไปยังศาลาภายในสวน ก่อนจะจัดแจงนำน้ำแกงออกมาจากตะกร้า ทุกการกระทำของชายหนุ่มนั้น ดูนิ่มนวลและใส่ใจต่อสิ่งที่อยู่ในมือยิ่งนักเซียวเถาเดินตามมาเงียบ ๆ เมื่ออีกฝ่ายมีน้ำใจ จะด้วยเหตุผลใดก็ตาม นางก็มิสมควรทำลายน้ำใจนี้ลง สุราเพียงเท่านี้ไม่อาจทำให้นางเป็นอันใดได้เลย“ท่านอ๋อง ดื่มด้วยกันเถอะเพคะ น้ำแกงนี่หม่อมฉันกินคนเดียวไม่ห