“เจ้ามิใช่คนโง่เยว่ฉง แค่นี้เจ้าคงเข้าใจความหมายดีแล้วสินะ!” “ข้าไม่คิดเสวนากับลูกอนุระดับล่าง” “หึ ๆ บินให้สูงกว่าข้าได้เมื่อใด ค่อยหมิ่นมารดาข้าเยว่ฉง บุรุษที่เป็นใหญ่เพราะชายกระโปรงสตรี มักจะไม่ค่อยได้แก่ตายสักเท่าใดนัก อ่อ...เส้นทางที่เจ้าเลือกมันกำลังจะขาด แต่น่าเสียดายที่ไร้เส้นทางอื่นให้เจ้าเดินแล้วเช่นกัน” หยวนปิงไม่คิดที่จะรอฟังคำตอบโต้ ร่างงามก้าวผ่านหลานเขยไปด้วยอารมณ์อันดี มีเพียงสายตาชิงชังที่มองตามไป ประหนึ่งคมดาบที่หมายเชือดเฉือนคนที่เพิ่งก้าวพ้นเข้าประตู ทุกอย่างที่เกิดขึ้นยังด้านหน้าเหลาชื่อดัง ได้ตกอยู่ภายใต้สายตาของกั๋วหยวนเค่อทั้งสิ้น หลายอย่างที่เขาคิดว่ารู้ วันนี้นับว่าได้เปิดหูเปิดตายิ่งนัก นอกจากความซับซ้อนทางสายสัมพันธ์ สกุลเยว่ยังมีเรื่องปิดบังเอาไว้อยู่อีก เห็นทีเขาคงต้องช่วยให้ว่าที่พระชายา บรรลุเป้าหมายอีกขั้นท่าจะดี “นางน่าสนใจยิ่งนัก” “แต่ข้าน้อยคิดว่าน่ากลัวมากกว่านะขอรับ” “ตรงไหนกัน!” “แค่วันแรกที่ก้าวมาถึงเมืองหลวง สิ่งใดที่นางต้องการ นางทำได้ทั้งที่พระอาทิ
“หึ ๆ ท่านเจียงเองก็มากด้วยฝีมือ ข้าหวังว่าเราจะได้เคียงกันออกทำหน้าที่นี้” “เช่นนั้นข้ายกหน้าที่นี้ให้ท่านสองคน ส่วนที่เหลือข้าจะส่งสาสน์ให้อีกครั้ง” “ขอรับนายท่าน” การสนทนาเกิดขึ้นอีกครู่ใหญ่ ก่อนที่ทุกคนจะแยกย้ายกันไป แน่นอนว่าโดยรอบนั้นได้รับการคุ้มกันอย่างดี จากผู้ติดตามที่ป้องกันมิให้ผู้อื่นล่วงล้ำเข้ามาได้ เมื่อพื้นที่ของการประชุมไร้ผู้คน หลงเหลือไว้เพียงความเงียบสงัด ร่างระหงในชุดสีเข้ม พร้อมชายหญิงอีกสองคน ได้ก้าวออกมายืนมองไปยังทิศทางที่เป้าหมายจากไป “ดูเหมือนเจ้าต้องรับศึกหนักแล้วนะ เจ่าหลง” “แค่คนรุ่นเก่ามิคณามือข้าสักนิด” “มั่นใจเกินไปแล้ว จิ้งจอกเจ้าเล่ห์ที่มีเขียวเล็บยาวเฟื้อย มิอาจประมาทได้” “ที่ข้ามั่นใจเพราะรู้ว่าเจ้า สามารถทำให้จิ้งจอกเสียการควบคุมได้อย่างไรเล่า” “ข้าหวังว่ามิตรภาพที่ดีระหว่างเรา จะไม่ทำให้เกิดสงคราม” “ในวันที่ข้าคิดว่าต้องตายไปแล้ว เจ้าคือมิตรที่มอบน้ำใจ เช่นนั้นแล้วอย่าได้ประเมินน้ำใจของข้าต่ำไปสหายข้า” ชายหนุ่มเอ่ยเสียงเรียบ
“พวกท่านมิรู้ให้เกียรติราชวงศ์เลยเช่นนั้นรึ! นี่เป็นงานแต่งของข้า กลับพากันมาทำเรื่องบัดสี มิพอยังทำให้ผู้คนวุ่นวายจนคืนเข้าหอของข้าถูกรบกวน” กั๋วหยวนเค่อเอ่ยเสียงกร้าวด้วยความไม่พอใจ โดยที่มือหนายังคงดันใบหน้าพระชายามิให้มองไปยังด้านในห้อง แม้ว่าตอนนี้ชูอ๋องจะปิดบังส่วนนั้นเอาไว้แล้วก็ตามที “เรื่องนี้ย่อมมีเบื้องหลัง ท่านอ๋องเก้าคงไม่ตัดสินสิ่งใดเพียงแค่ตาเห็นหรอกนะพ่ะย่ะค่ะ” ชูเจี่ยนรีบเอ่ยขึ้น เมื่อตอนนี้อาการมึนงงของเขาได้หายไปแล้ว เหลือเพียงอารมณ์ที่พร้อมปะทุ เมื่อนึกได้แล้วว่าเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างเขากับบุตรสาวคนรองของท่านเสนาบดีเยว่มีความผิดปกติ “เรื่องนั้นอาจเป็นอย่างที่ท่านพูด แต่ความเสื่อมเสียที่เกิดขึ้นกับคุณหนูเยว่หลิวหลี ชูอ๋องมิอาจปล่อยเลยไปได้ ข้าหวังยิ่งนักว่าชูอ๋องจะแสดงความรับผิดชอบ มิให้เกิดความแตกแยกในแผ่นดิน” คำพูดของท่านอ๋องเก้าชัดเจนยิ่งนัก พระชายาฉีแทบจะครองสติเอาไว้ไม่อยู่ เมื่อสิ่งที่นางกลัวมาตลอดหลายปีเกิดขึ้นจนได้ นางยินยอมให้สามีเสพสมสตรีอื่น โดยไม่ผูกมัดหรือนำเข้ามายกย่องเป็นอนุ แต่เยว่หลิวหลีห
ทางด้านจวนสกุลเยว่เยว่หลิวหลีถึงกับล้มป่วยกะทันหัน เมื่อได้รับข่าวร้ายจากบิดา นางต้องแต่งเป็นรองมิพอ สามียังอายุน้อยกว่าบิดาเพียงไม่กี่ปี ชีวิตที่งดงามของนางมันพังลงนับตั้งแต่เยว่หมิงหลันกลับมาเมืองหลวง นี่ขนาดไม่กี่วันเท่านั้น ชีวิตของนางยังอยู่เยี่ยงตกนรก เห็นทีนางกับเยว่หมิงหลันคงอยู่ร่วมโลกกันไม่ได้แล้ว‘มีข้าต้องไม่มีเจ้าเยว่หมิงหลัน’“คุณหนูข้าน้อยน้ำแกงโสมมาให้ขอรับ”“กำจัดนางซะ! มีข้าต้องไม่มีมัน!”“คุณหนูโปรดวางใจ สิ่งใดที่คุณหนูต้องการข้าน้อยจะจัดการให้ขอรับ ดื่มน้ำแกงแล้วพักผ่อนก่อนนะขอรับ”พ่อบ้านที่เดินคล้ายคนไร้เรี่ยวแรงในทุกวัน พอก้าวพ้นเขตเรือนร่างสูงยืนตรง ดวงตาแปรเปลี่ยนเป็นเยือกเย็น ก่อนที่เขาจะหายไปอย่างรวดเร็วเพื่อทำตามปะสงค์ของหญิงสาวเหลาหยวนหลัน เยว่หมิงหลันป้อนอาหารให้มารดาอย่างใจเย็น เพียงไม่กี่วันที่มารดาได้รับการบำรุงและรักษาอาการ จากท่านหมอประจำสำนักคุ้มภัย ใบหน้าที่เคยไร้สีเลือดบัดนี้ดูสดยิ่งนัก คราแรกนางตั้งใจเข้าเมืองหลวง เพื่อใช้การค้าของน้องชายเป็นสิ่งต่อรองทวงศักดิ์ศรีของผู้เป็นแม่คืน ทว่ายังไม่ทันลงมือก็มีเรื่องการแต่งงานเข
“ทะ...”ก่อนที่คนสนิทจะทันได้เรียกผู้เป็นนาย หัวหน้าพ่อบ้านได้ใช้มือปิดปากของชายหนุ่มเอาไว้ พร้อมดึงร่างนั้นให้พ้นจากผู้เป็นนายทั้งสอง เขารอมานานปีที่จะได้อุ้มท่านชายท่านหญิงน้อย เขาจะไม่ยอมให้องครักษ์เซ่อซ่าทำพังเป็นอันขาด“มิรู้ดูตาม้าตาเรือ ข้าควรตัดลิ้นเจ้าเสียเลยดีไหม”หัวหน้าพ่อบ้านทำสีหน้าเคร่งเครียด ก่อนจะร่ายยาวถึงสิ่งที่เขาเฝ้ารอ และลงท้ายด้วยการตำหนิองครักษ์หนุ่ม ที่มิรู้ความวิ่งทะเล่อทะล่าเข้าไป ในเวลาส่วนตัวของผู้เป็นนาย“ก็ข้าไม่รู้นี่ขอรับ”“ชู่ว์!” หัวหน้าพ่อบ้านมองไปยงความมืดด้านหลัง“เจ้าไปนอนได้แล้ว ประเดี๋ยวข้าตรวจตราที่เรือนเล็กแล้วจะเขานอนเช่นกัน”หัวหน้าพ่อบ้านก้าวตรงไปยังทิศทางของสายตาเมื่อครู่ แม้จะรู้ว่าตอนนี้สิ่งผิดปกติได้หายไปแล้วเช่นกัน องครักษ์หนุ่มได้เดินไปยังที่พักของตน โดยไม่คิดที่จะกลับไปหาผู้เป็นนายทั้งสอง “มีเพียงคนโง่เท่านั้นที่คิดบุกรุกจวนท่านอ๋องเก้า”ชายชุดดำรู้สึกเย็นวาบที่ลำคอ ก่อนที่เขาจะรู้ตัวว่าตกเป็นเหยื่อ ดูเหมือนว่ามันจะช้าไปสักหน่อย“ข้าไม่คิดมาก่อนว่าแค่พ่อบ้านแก่ ๆ คนหนึ่ง จะมีฝีมือขนาดนี้”ชายชุดดำเอ่ยขึ้น เมื่อสัมผัสได้ถ
ฉึก! ด้วยความที่จิตใจหว้าวุ่น ทำให้ชายชุดดำถูกดาบคมเสือกแทงเข้ายังสีข้าง ก่อนจะดึงออกคล้ายจงใจที่จะให้เขาเพียงบาดเจ็บเท่านั้น สายตาของชายชุดดำกวาดมองไปยังถนน ซึ่งเมื่อครู่ยังมีการต่อสู้ แต่ในตอนนี้มีเพียงร่างของกลุ่มชายชุดดำทั้งสิ้น ที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นดินเมื่อรู้แล้วว่าทั้งหมดคือกลลวง ชายชุดดำรีบถอยรนกลับเข้าไปริมทาง ก่อนเร่งใช้วิชาตัวเบาจากไปในทันที ส่วนคนบนถนนทำเพียงยืนมองอย่างสงบ ให้คนเยี่ยงชูเจี่ยนตายในตอนนี้ มันสบายเกินไปควรเติมความกลมกล่อมลงไปอีกสักหน่อย จึงจะสาสมกับสิ่งที่บุรุษผู้นี้กระทำต่อผู้อื่นค่ำคืนในวันถัดมา ณ จวนชูอ๋อง ภายในเรือนหลิวหลี ร่างงามเดินวนไปมาด้วยความร้อนใจ เมื่อคนที่นางให้ไปจัดการเรื่องสำคัญ เงียบหายไปอย่างไร้ร่องรอย คืนนี้นางกลัวนักที่ต้องเข้าหอกับชูอ๋อง “คุณหนู” “ว่าอย่างไรได้ความหรือไม่” เยว่หลิวหลีเอ่ยถามสาวใช้ด้วยความร้อนใจ หากคืนนี้นางต้องตกเป็นของชูอ๋อง นางต้องทำให้ตนเองอยู่เหนือทุกคน แต่สิ่งที่นางจะชโลมใจของนางได้ในตอนนี้ คือการไม่มีอยู่ของเยว่หมิงหลัน สาวใช้ทำเพียงส่ายหน้าน้อย ก่อนจะรีบขย
นับตั้งแต่คืนเข้าหอ ผ่านมากว่าครึ่งเดือน พระชายาเอกฉีทำได้เพียงกรีดร้องด้วยความคับแค้นอยู่เพียงลำพังในเรือน สามีอันเป็นที่รักเวลานี้คลุกอยู่เพียงกับชายารอง ไม่แม้แต่จะมาเยี่ยมเยียน หรือให้นางเข้าพบในยามไปหา “อ้าวพี่หญิง! ไยมาหาข้าที่เรือนด้วยตนเองเล่าเจ้าคะ มิให้สาวใช้มาเรียกข้าจะไปพบพี่หญิงเอง” เยว่หลิวหลีในวันนี้แตกต่างจากเมื่อก่อนยิ่งนัก ใบหน้างามที่เคยแต่งแต้มด้วยที่อ่อนหวาน บัดนี้กลับฉูดฉาดรับกับดวงตาหยิ่งผยองของนางยิ่งนัก “ไม่จำเป็น!” ฉีหยุนเหลียนพยายามที่จะข่มกลั้นความชิงชังเอาไว้ให้ลึกที่สุด เพราะรู้ดีว่าเวลานี้ สามีอยู่ภายในเรือนของเยว่หลิวหลี หากนางบุ่มบ่ามล่วงเกินอีกฝ่ายไป สถานะของนางคงไม่มั่นคงอย่างแน่นอน “ข้ามพบท่านพี่” “ท่านอ๋องหลับอยู่เจ้าค่ะ คงไม่สะดวกนักที่จะปล่อยให้พี่หญิงเข้าไปโดยพลการ” “เจ้าควรรู้จุดยืนของตนเองบ้างนะ เยว่หลิวหลี!” “คำพูดนี้ข้าคิดว่า...พี่หญิงควรเก็บเอาไว้เตือนตนเองจะดีกว่านะเจ้าคะ หาไม่แล้วอาจล้มโดยมิทันตั้งตัวเอาได้” “เยว่หลิวหลี!”
“นี่มันเรื่องอะไรกันอีก มีสิ่งใดที่ข้ายังต้องรู้อีกไหม!”ไทฮูหยินที่ก้าวเข้ามาภายในห้องของบุตรชาย เอ่ยถามเสียงดังดวงตาของหญิงชราแดงก่ำ เมื่อเห็นสิ่งที่เกิดกับครอบครัว นางเพียรดูแลปกป้องสกุลเยว่มาทั้งชีวิต แต่แล้วตอนนี้ทุกอย่างมันกำลังพังลงมิเป็นท่า“ไม่มีสิ่งเลยไทฮูหยิน ข้าเพียงแค่บอกว่าใครคือสายเลือดแท้จริงและจอมปลอมของสกุลเยว่”“พวกเจ้าสองคนบอกข้าสิ! ว่าที่ท่านอ๋องพูดมันมิใช่เรื่องจริง”แค่เรื่องทีถูกบุกคุมตัวกลางดึก ก็ทำให้นางแทบสิ้นสติคาที่ แล้วยังจะมีเรื่องที่เจ็บปวดกว่านั้นอีกหรืออย่างไร“ท่านอ๋องเก้าคิดที่จะป้ายสีสิ่งใดให้สกุลเยว่อีกเล่า แค่ที่ทำอยู่มันไม่มากพอหรืออย่างไร”เยว่ฮูหยินถามชายหนุ่มด้วยความคับแค้นใจ ดวงตาที่แดงก่ำบ่งบอกว่านางไม่ยอมรับข้อกล่าวหานี้“มารดาของท่านเคยทำเยี่ยงไร ตัวท่านก็ยังดำเนินรอยตามอยู่อีกหรือ ตัวท่านหาใช่บุตรสาวของท่านเจ้ากรมจาง แต่เป็นลูกของชู้รักที่มารดาของท่านไม่อาจครองคู่หลังแต่งงานแล้วคลอดบุตรสาวคนแรกจางเยี่ยหลาน ซึ่งก็คือท่านแม่ยายของข้า มารดาของท่านกับคนรักเก่าได้ลักลอบพบและมีสัมพันธ์ จนมีท่านที่เป็นดังโซ่ทองคล้องใจของทั้งคู่ ท่านไม่แปลกใจเล
“คนผู้นี้ คือท่านแม่ทัพพยัคฆ์ ใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะองค์ชาย”ชายหนุ่มแสร้งถาม ทั้งที่เขารู้ดีว่านางคือผู้ใด แต่จะให้เอ่ยออกไปตรง ๆ อาจเกิดความแคลงใจระหว่างกันได้“ย่อมเป็นนางท่านอ๋อง แม่ทัพผู้มิเป็นสองรองผู้ใด”องค์รัชทายาทตอบด้วยรอยยิ้ม ด้วยชื่อเสียงอันเลื่องลือของพ่อลูกสกุลจ้าว เป็นเหมือนเกราะคุ้มภัยอีกชั้นของแค้วน“จ้าวเซียวเถา คารวะท่านอ๋องเพคะ”เมื่อได้รับสัญญาณจากผู้เป็นนาย เซียวเถา ก้าวเข้ามาหยุดยืนห่างจากอ๋องหนุ่มพอสมควร ก่อนจะประสานมือทำความเคารพ ทว่าใบหน้างามหาได้มีรอยยิ้มให้เห็นไม่ กลับมีเพียงความเยือกเย็นส่งผ่านสายตามาเท่านั้น“ข้าได้ยินเสียงเล่าลือมานาน ว่าท่านแม่ทัพเก่งกาจยิ่งนัก ทั้งยังฉลาดปราดเปรื่องเหนือผู้ใด” ชายหนุ่มรู้สึกแปลกใจอยู่ไม่น้อย เมื่อสายตาของหญิงสาวเปลี่ยนไปมาก หรืออาจเพราะกาลเวลา ทำให้นางไร้ซึ่งแววตาเฉกเช่นเมื่อก่อน“ท่านอ๋องกล่าวชมเกินไปแล้วเพคะ หม่อมฉันเป็นเพียงทหาร ที่ได้รับพระเมตตา จนมีตำแหน่งก็เท่านั้นเพคะ”“ท่านแม่ทัพถ่อมตัวเกินไปแล้ว มีผู้ใดบ้างในเว่ยและแคว้นใกล้เคียง ที่มิรู้จักแม่ทัพหญิงผู้เก่งกาจแห่งเว่ยกัน ว่าแต่หนุ่มน้อยด้านหลังเล่า คือผู้ใดกัน”
“ท่านแม่ทัพ จะไปเป็นทูตระหว่างแคว้นจริงหรือเจ้าคะ” แม่นมจูเอ่ยถามขึ้น เป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วมิอาจนับได้“ที่เอาใจข้าขนาดนี้ คงมิอยากให้ข้าไปสินะ” เซียวเถาเอ่ยขึ้นอย่างรู้ทัน“เจ้าค่ะ” หญิงชราตอบรับ“สิบปีแล้ว คนพวกนั้นลืมเลือนข้าไปสิ้นแล้วกระมัง อย่าได้วิตกกังวลให้มาก ท่านพ่อมิสะดวกติดตามองค์ชายกับพระชายาไป จะมีก็แค่เพียงข้าเท่านั้น ที่ท่านพ่อวางใจ”เซียวเถาให้เหตุผลแก่แม่นมของตนเอง นางรับรู้ถึงความห่วงใย แต่นี่คือหน้าที่ ซึ่งนางมิอาจหลีกหนีได้เช่นกัน“บ่าวทราบเจ้าค่ะ ว่าท่านแม่ทัพใหญ่ จำต้องรั้งอยู่ที่นี่ แต่บ่าวเกรงว่าจะมีผู้ใดจดจำท่านแม่ทัพได้” หญิงชราเอ่ยขึ้นด้วยความกังวลใจ“จำได้แล้วอย่างไร จำมิได้แล้วจะอย่างไร ข้าหาใส่ใจไม่”คำพูดที่มิอ่อนมิแข็งของผู้เป็นนายนั้น แม่นมจูเคยสงสัยอยู่นาน รวมถึงเรื่องการต่อสู้ด้วยเช่นกัน ทว่าจะอย่างไรเสีย ผู้เป็นนายก็ปกป้องคุณชายน้อย และมิคิดทอดทิ้งนาง นับแต่นั้นมา นางจึงเลือกที่จะไม่ก้าวก่าย เรื่องการเปลี่ยนแปลงตนเองของผู้เป็นนายอีกเลย“บ่าวเอ่อ...”“หากท่านป้าติดตามข้ากับจ้าวหยางไป ย่อมทำให้คนเหล่านั้นจดจำได้มิยาก” เซียวเถาเอ่ยดักทางแม่นมจูขึ้นเสี
‘ขนาดฉันจะตาย ก็ยังมีภารกิจให้ทำอีกนะท่านยมบาล’ หยางปิง บ่นอยู่ภายในใจ ก่อนจะหันไปมองร่างของหญิงงาม ที่ยืนส่งยิ้มกว้างให้แก่เธอ ‘ไม่ชูป้ายเชียร์เลยล่ะแม่คุณ’ หยางปิง ปรับสายธนูให้พอเหมาะกับมือของตนเอง ก่อนจะมองหาจุดสำหรับซุ่มโจมตีฟิ้ว! ฉึก! ชายชุดดำต่างพากันตกใจ เมื่ออยู่หนึ่งในหกคน ล้มลงโดยมีลูกศรปักเข้าที่ลำคอทะลุมาด้านหน้า ทั้งหมดยกอาวุธขึ้นป้องกันตัวในทันที เพราะความเร็วของลูกศร บ่งบอกว่าถูกยิงมาในระยะใกล้“ลูกธนูของพวกเรา…สังหารพวกมันให้หมด”ยังไม่ทันที่จะวิ่งไปทิศทางของเป้าหมาย หลายคนได้ถูกจู่โจมจากลูกศร หยางปิง คิดคำนวณความเป็นไปได้ สลับกับการที่เธอ ต้องไม่ให้แขนบอบบางนี่หักไปเสียก่อน เลือดเริ่มไหลซึมออกจากบาดแผล ไม่เว้นแม้แต่จมูกและปากด้วยเช่นกัน ‘หากช้ากว่านี้ ฉันได้ตายในฝันอีกครั้งแน่นอน’ในที่สุดชายชุดดำที่เหลือ ก็ได้ยืนเผชิญหน้ากับหญิงสาว ที่พวกเขามั่นใจว่านางตายไปแล้ว ทว่าไยตอนนี้ นางจึงยังคงมีชีวิตอยู่อีกเล่า“ตายยากจริงนะขอรับ คุณใหญ่”“ข้ามันคนมีบุญ ทำยังได้ล่ะ”หยางปิงตอบกลับไปด้วยคำพูด ตามแบบฉบับของคนที่นี่ เธอเข้าใจเรื่องภาษาดี เพราะการเป็นหน่วยรบพิเศษ ย่อมต้องเรีย
“โปรด...ช่วยหยางเอ๋อร์ด้วย บุญคุณครั้งนี้ข้าจะทดแทนในชาติหน้า ขอร้องช่วยเขาที”หยางปิงที่นั่งอยู่ข้างร่างของหญิงสาว ที่อยู่ในฝันของเธอมานับครั้งไม่ถ้วน กำลังพูดกับเธอ หยางปิงรู้ดีว่าถึงยังไง หญิงสาวบอบบางคนนี้ก็ไม่มีทางรอด เธอจึงหลับตาลง เพื่อให้ตนเองตื่นจากความฝันเสียทีหยางปิงรู้สึกหายใจติดขัด เจ็บร้าวไปทั้งตัว คงเพราะการถูกทรมาน หญิงสาวค่อย ๆ เปิดเปลือกตาขึ้น ทว่า...“นี่มันอะไรกันอีกล่ะคราวนี้ ทำไมฉันถึงมาอยู่ในชุดนี้ได้”หยางปิง ใช้มือคลำไปยังบริเวณที่เจ็บที่สุด เสื้อผ้าที่เปียกชื้น บอกได้เป็นอย่างดีว่านี่คือเลือด หยางปิงสุดหายใจลึก ๆ คิดทบทวนทุกอย่าง เธออาจตายไปแล้ว จากการที่ถูกจางต้าไจ๋กรีดที่ลำคอและตอนนี้อาจเป็นความฝัน แต่จะอะไรก็ตาม สิ่งที่เธอต้องทำคือ ห้ามเลือด ค่อยตามหญิงสาวคนนั้นไป หยางปิงมองไปยังใบหน้างาม ที่ขาวซีด กำลังยืนร่ำไห้ปานจะขาดใจ พร้อมพร่ำขอให้เธอไปช่วยลูกน้อยหยางปิง ใช้มือขูดพื้นดิน จนได้มาหนึ่งกำมือ แล้วพยายามปิดลงไปยังบาดแผล นับว่าโชคดี ที่มันยังอยู่ในจุดที่เธอเอื้อมถึง มีดสั้นถูกคนพวกนั้นดึงออกไปด้วย หยางปิงฉีกชายกระโปรง ผูกทับอีกชั้น ก่อนจะลุกขึ้นอย่างยาก
“น่าสงสารพี่ใหญ่ยิ่งนัก ที่วางใจคนเช่นซือเหยา” “เจ้าคิดว่านางทำหรือ”“เจ้ารู้จักนางน้อยไปสิ ! ขนาดสาวใช้คนสนิท นางยังกำจัดอย่างเลือดเย็น นับประสาอะไรกับพี่ใหญ่ ฆ่าให้ตายจะด้วยวิธีใด ก็สามารถสาวถึงนางได้ แต่ถ้าพี่ใหญ่ตายด้วยคำสั่งของท่านพ่อ ผู้ใดจะรู้ว่าเบื้องหลังคือนางทำ”“ระวังปากของพวกเจ้าด้วย ซือเหยาคือบุตรสาวภรรยาเอก หากอยากอยู่อย่างสงบ ก็จงปิดหูปิดตาเสีย”ฮูหยินรอง เจียวหลิงเอ่ยกับบุตรสาวทั้งสอง ก่อนจะก้าวนำสองพี่น้องกลับเรือนเมื่อไม่ได้รับคำตอบจากบุตรสาว ที่กำเนิดจากภรรยาอันเป็นที่รัก เสนาบดีถงจิ่ง ไม่อาจหักใจสังหารเซียวเถาได้ จึงได้ส่งนางไปอยู่ยังหมู่บ้านห่างไกล โดยไม่ให้ผู้ใดรู้ส่วนบุตรสาวคนรอง ที่กำเนิดจากฮูหยินใหญ่คนปัจจุบัน ได้ก้าวเข้าสู่จวนสกุลกู้ ในฐานะฮูหยินใหญ่ของแม่ทัพหนุ่ม เหตุผลที่ชายหนุ่มได้รับในการเปลี่ยนตัวเจ้าสาว นั่นเพราะเซียวเถาเป็นโรคติดต่อร้ายแรง ไม่อาจอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้และเซียวเถาสิ้นใจ ก่อนงานแต่งเพียงแค่ขวบเดือน ที่ไม่แจ้งแก่ทางสกุลกู้ เพราะมิอยากให้เกิดความอัปมงคล ในการเริ่มชีวิตคู่ของชายหนุ่มทุกอย่างควรที่จะจบลง เพียงแค่ทุกคน ได้ในสิ่ง
ชายแดนเหนือของจีน เสียงฝีเท้าของคนจำนวนมากไล่หลังมา หญิงสาวในชุดลายพราง กำลังวิ่งอย่างไม่คิดชีวิต เพื่อรักษาสิ่งที่เธอได้มา ก่อนที่เพื่อนร่วมทีมคนอื่นจะถูกสังหาร หลักฐานทั้งหมดในไดร์ฟ แลกมาด้วยลมหายใจ ของใครอีกหลายคนร้อยเอกหญิงหยางปิง ได้ร่วมทำภารกิจสำคัญ โดยมีพันเอกจางต้าไจ๋เป็นหัวหน้าทีม แต่สิ่งที่ทำให้หญิงสาวเพียงหนึ่งเดียว ต้องวิ่งสุดชีวิตในตอนนี้ นั่นเพราะผู้พันจาง กลายเป็นคนทรยศเสียเอง หลักฐานในมือของหญิงสาว คือสิ่งเดียวที่จะทำให้ เรื่องของเขาเปิดเผย หยางปิงคือคนเดียวที่ยังรอดชีวิตในตอนนี้ แต่ไม่รู้ว่าจะรอดได้นานแค่ไหน จุดนัดพบคือที่อันตราย ที่สุดในตอนนี้ หญิงสาวจึงเปลี่ยนเส้นทางหลบหนี เพื่อกลับไปยังปักกิ่งให้ได้ หยางปิงตรงไปยังหมู่บ้านที่ใกล้ที่สุดในตอนนี้ เพราะหากเกิดความผิดพลาดใด ๆ อย่างน้อยสิ่งสำคัญก็จะส่งถึงมือของผู้บัญชาการแน่นอน เสียงสุนัขดมกลิ่น และคนจำนวนมากวิ่งไล่หลังมา เธอไม่มีแม้แต่โอกาสจะหยุดพักหายใจ หยางปิงดึงเอาหลักฐานสำคัญที่เธอได้ แอบโหลดข้อมูลเก็บไว้ในแฟลตไดร์ฟ ก่อนที่พวกเธอจะถูกสังหารไปทีละคน ด้วยฝีมือของผู้นำทีม
หลังจากจัดการทุกอย่างเรียบร้อย ฮ่องเต้ได้สั่งห้องเครื่องทำอาหารออกมาแจกจ่ายให้แก่ประชาชน พร้อมทั้งทรงอยู่ร่วมพูดคุยกับทุกคนอย่างเป็นกันเอง“ท่านแม่ทัพเยี่ย”“พระชายาทรงมีสิ่งใดกับกระหม่อมหรือพ่ะย่ะค่ะ”“ของสิ่งนี้ข้าขอส่งคืนสกุลเยี่ย”เยว่หมิงหลันยื่นส่งดาบไห่ซินให้แก่เยี่ยไค่หลาง มือหนาสั่นเทาเมื่อเห็นว่ามันคือดาบคู่กายของน้องสาว แม้ว่าดาบตรงหน้าอาจมิใช่อันเดิม แต่ทุกลวดลายนั้นคือตัวตนของน้องสาวเขาทั้งสิ้น“พานางกลับสู่อ้อมกอดของครอบครัวเถิด หากวันหน้าครอบครัวเราปรองดองกันในรุ่นลูกหลาน ข้าก็มิขัดข้อง”“พ่ะย่ะค่ะ...พระชายา!”เยี่ยไค่หลางกำลังจะผวาเข้ารับร่างหญิงสาว ทว่ายังช้ากว่ากั๋วหยวนเค่อ ที่จับตามองภรรยาแทบทุกฝีก้าวอยู่ก่อนแล้ว“ตามหมอหลวงเร็วเข้า”ท่านแม่ทัพเยี่ยรีบสั่งการ ก่อนที่ตัวเขาจะรีบเปิดทางให้ท่านอ๋องเก้าพาพระชายาเข้าไปยังเหลาหยวนหลัน โดยมีฮ่องเต้กับเชื้อพระวงศ์และขุนนางอีกหลายคนติดตามเข้าไปด้วยเวลานี้ฮ่องเต้กับหยวนปิงเดินสวนกันไปมา เพื่อรอฟังผลการตรวจถึงอาการป่วยกะทันหันของเยว่หมิงหลัน ทั้งคู่รู้ดีว่าเยว่หมิงหลันเคี่ยวเข็ญตนเองอย่างหนัก กว่าจะสามารถยืนทัดเทียมศัตรูได้ แ
“ชูเจี่ยนอ๋องยังเสมอต้นเสมอปลาย เลือดเย็นต่อคนข้างกายเช่นไรก็ยังคงเดิม”“อย่าสู่รู้!”“หึ ๆ ระหว่างเจ้ากับข้าแตกต่างกันตรงไหนรู้ไหมชูเจี่ยน ข้ารู้ทุกอย่างเกี่ยวกับเจ้า แต่เจ้ามิรู้สิ่งใดเลยกับข้า”“แค่นี้รึ! ที่เจ้าคิดจะกำราบข้าได้”เคร้ง! ร่างงามตวัดดาบในมือต้านการจู่โจม ไม่มีคำว่าออมมือสำหรับการต่อสู้ครั้งนี้ ชูเจี่ยนเก็บความแตกตื่นเอาไว้ภายในใจ เมื่อหลายกระบวนท่าของเยว่หมิงหลัน เหมือนกับใครอีกคนที่เขาคุ้นเคยเป็นอย่างดี “ข้าไม่จำต้องเสียเวลากับคนเยี่ยงเจ้า แต่มันจะสนุกอะไรหากไม่ได้ยินคำร้องขอความตายจากเจ้า” ชูเจี่ยนผงะถอยหลังเล็กน้อย เมื่อได้ยินคำพูดของหญิงสาว กลิ่นอายบางอย่างของเยว่หมิงหลัน ทำให้ภาพต่าง ๆ ในอดีตผุดขึ้นราวดอกเห็ดต้องสายฝน แววตาที่เขาเคยได้รับก่อนที่มันจะเลือนหายไปตลอดกาล ทำให้สมาธิของเขาเลือนหายไปกว่าครึ่งเลยทีเดียว ฉึก! ยังไม่ทันที่จะดึงสติออกจากภวังค์ได้ดีนัก กลางอีกของเขากลับมีปลายอาวุธแหลมคมอาบเลือดโผล่พ้นให้เห็น “คนต่ำช้าเยี่ยงเจ้าไม่สมควรอยู่ให้หนักแผ่นดิน เจ้าพรากทุกอย่างไปจากข้า แล้วยังจะพาข้าลงสู่นรกเพราะความเล
กว่าที่เขากับผู้เป็นอาจะก้าวมายืนอยู่ตรงนี้ได้ ต้องแสร้งเป็นคนหูหนวกตาบอด เพื่อรอเวลาชำระความ และไม่คิดว่าวันนี้มาถึง เขาจะมีใครอีกคนมาเคียงข้างให้ปกป้องเขายอมเป็นปีศาจในสายตาของคนทั้งแผ่น ส่วนฮ่องเต้เป็นเพียงตาแก่ปวกเปียกในสายตาของคนคิดคด การนิ่งเงียบเพียงเพื่อรอให้อสรพิษร้ายตัวจริงโผล่หางเท่านั้นดวงตาของเขาที่เสียไปเพื่อปกป้องร่างไร้ลมหายใจของนาง อาจดูโง่เขลาแต่ในยามที่คนเราใกล้ตาย แล้วมีมือหนึ่งยืนเข้ามาประคอง มันย่อมมีค่ากว่าสิ่งใดมือหนาเลื่อนไปยังแผ่นอกกว้าง ก่อนจะกดลงเบา ๆ เพื่อสัมผัสกับสิ่งที่อยู่ภายใน มันยังคงอยู่ดีบนกายของเขา หยกชิ้นนั้นสลักชื่อของนางเอาไว้ วันนี้เขาจะทวงทุกอย่าง เพื่อคืนความเป็นธรรมให้แก่นางและครอบครัว ‘ไห่ซิน’ สักวันเราจะได้พบกันพี่สาวรุ่งสาง ณ จวนชูอ๋อง หมับ! ข้อมือบางถูกคว้าจับเอาไว้ได้ทัน ก่อนที่ปิ่นแหลมในมือจะปักลงบนลำคอของชูอ๋อง “ท่านกล้าทำลายใจข้า!” พระชายาเอกเอ่ยด้วยน้ำเสียงรวดร้าว ข้อมือบางเจ็บร้าวยิ่งนัก เมื่อสามีมิได้ออมแรงในการตอบโต้นาง แค่เสี้ยวใจของเขาในตอนนี้ มันไม่มีนางหลงเหลืออยู่เลยเช่นนั้นรึ!