ภายในงานเลี้ยงจวนเสนาบดีต้วน เสวียนเฟยหลงแทบจะสิงกายภรรยาอยู่แล้ว ความงามอันโดดเด่นที่เคยมี บัดนี้มันเพิ่มเติมเพราะการตั้งครรภ์ ทำให้ภรรยาของเขาชวนมองกว่าที่เคยขึ้นอีกหลายเท่านัก “อย่าได้ยั่วยวนบุรุษอื่นต่อหน้าสามีเช่นนี้นะ หลิวเพ่ยเพ่ย” “เช่นนั้นท่านแม่ทัพก็หันไปทางอื่นสิเจ้าค่ะ จะได้มิเห็น อีกอย่างข้าแค่ส่งยิ้มตามมารยาท มิได้ทำอย่างที่ท่านกล่าวหาสักนิด” “ยิ้มก็มิได้ ผู้ใดอนุญาต” “ข้าเคยบอกท่านแม่ทัพไปกี่ครั้งแล้ว ว่าข้ามิใช่ทหารของท่าน เป็นข้าคือภรรยา ดังนั้นข้าไม่ต้องทำตามที่ท่านสั่งทั้งหมด ถ้าเรื่องนั้นมันมิสมเหตุสมผล” “เช่นนั้นกลับบ้าน” ไม่พูดเปล่าแม่ทัพหนุ่ม ลุกขึ้นจูงมือภรรยาไปบอกลาเจ้าของจวน โดยไม่สนใจคำพูดของใครทั้งสิ้น บุรุษหลายคนก็น่าชังนัก มองภรรยาของเขาปานจะกลืนกินก็มิปาน หลิวเพ่ยเพ่ยรู้สึกเสียดายที่ยังกินอาหารไม่ครบทุกอย่างเลย ด้วยนางกำลังตั้งครรภ์จึงเจริญอาหารเป็นพิเศษ และนางก็ไม่เข้าใจว่าเขาจะอะไรนักหนากับแค่การส่งยิ้มทักทายผู้คน จะมีบุรุษใดมาสนใจสตรีตั้งครรภ์ ทั้งยังมีสามีย
“ข้ารักท่านแม่ที่สุด” หลิวเชียนเชียนขยับนั่งชิดมารดาก่อนจะสวมกอดอย่างเอาใจ “แม่ก็รักเจ้ากว่าผู้ใด” นางต้องการเห็นความเจ็บปวดของหลิวเพ่ยเพ่ย เหมือนที่นางต้องแบกรับความรู้สึกนั้นมานานหลายปี ความผิดทั้งหมดมันอยู่ที่ลูกนอกสายตาที่เกิดมาทำให้นางต้องช้ำใจ ‘เพราะท่านที่ทำให้ข้าต้องทำเช่นนี้ ความผิดนี้มิใช่ข้าที่เป็นคนก่อท่านพี่’ หลิวลู่เฉินยืนกำหมัดแน่น เขาไม่คิดว่าจะได้ยินเรื่องเช่นนี้จากปากของน้องสะใภ้ นางเป็นมารดาแท้ ๆ ของหลานสาว แล้วไยต้องลงมือทำร้ายกันจนถึงชีวิต หรือมีสิ่งใดที่เขายังไม่รู้ เกี่ยวกับน้องชายที่ตายไปแล้ว ร่างสูงได้เดินออกจากเรือนของน้องสะใภ้ โดยที่ไม่คิดที่จะเข้าไปทักทายเจ้าของเรือน เพราะหากเขาก้าวเข้าไปด้านใน เกรงว่าจะมิอาจควบคุมอารมณ์เอาไว้ได้ คราแรกที่เขามาก็เพื่อจะนำของฝากจากภรรยา มามอบให้น้องสะใภ้กับหลานสาวคนเล็ก แต่กลับต้องมาได้ยินสิ่งที่ทำให้เขาไม่อาจรับได้มีแม่ที่ไหนกันกล้าทำลายลูกของตนเองเช่นนี้ ในอดีตเขาพอทำใจยอมรับได้ เรื่องที่เพ่ยเพ่ยเกิดมาเป็นบุตรสาว ทำให้น้องสะใภ้ต้องเสียใจกับการที่อนุได้ให้กำเนิดบุ
“เฟยหลง คารวะท่านลุงขอรับ” “อืม! สบายดีนะท่านแม่ทัพเสวียน” หลิวลู่เฉินตอบรับอย่างเสียไม่ได้ โดยอ้อมแขนที่โอบรัดหลานสาวยังมิยอมคลาย เขาเองอยากแน่ใจว่าสายตาที่เขาเห็นเมื่อครู่ มันสื่อถึงสิ่งที่หลายคนมิคาดคิดอยู่หรือไม่ มีหรือเขาจะไม่รู้ว่าหลานสาวมิได้เต็มใจแต่งงาน และตัวแม่ทัพหนุ่มเองก็หาได้ยินดีเช่นกัน ทว่ามันกลับน่าแปลกยิ่งนัก คนที่ชิงชังกันใยถึงมีสัมพันธ์จนตั้งครรภ์เช่นนี้ ‘สงสัยจะมีคนปากกับใจไม่ตรงกันแล้วสินะ!’ “เจ้าโตแล้วนะเพ่ยเพ่ย ทั้งยังออกเรือนแล้วจะไปยืนกอดออดอ้อนท่านลุงเหมือนเด็กอยู่อีก” เสวียนเฟยหลง อยากดึงร่างอวบอิ่มนั้น ออกจากอ้อมกอดของแม่ทัพใหญ่หลิวยิ่งนัก แต่เขามิอาจทำได้อย่างที่ใจคิด และที่เขาต้องการให้นางออกห่างจากบุรุษอื่น เพราะเขาไม่อยากให้ลูกรู้สึกอึดอัดเท่านั้นมิใช่เพราะหึงหวงนางสักนิด “ท่านลุงเปรียบเสมือนบิดาของข้า ดังนั้นข้าย่อมเป็นเด็กเสมอในสายตาของท่านลุง” “เห็นหรือไม่ขอรับท่านลุง ว่าเพ่ยเพ่ยดื้อรั้นต่อข้าที่เป็นสามียิ่งนัก” “ถ้าเช่นนั้นเจ้าควรให้นางกลับชา
“เจ้าต้องทรมานมากแน่เลยเพ่ยเพ่ยของปู่” “มิเป็นอันใดเจ้าค่ะ” “ท่านปู่…” “ฮ่า ๆ ข้าแค่เย้าเล่นน่า ดูหน้าเจ้าสิเฟยหลงตลกนัก ไป ๆ เจ้าจะไปทำอาหารก็ไป ให้เพ่ยเพ่ยอยู่ที่นี่กับปู่และท่านแม่ทัพใหญ่ ประเดี๋ยวย่าของเจ้าก็มา” “อย่าได้เดินไปดูนั่นนี่นะเข้าใจหรือไม่ หากเจ้าต้องการสิ่งใดให้บอกเยี่ยนอิงไปตามข้า หากเจ้ามิเชื่อฟังสามี ข้าจะทำให้เจ้ารู้ว่านรกแท้จริงเป็นเยี่ยงไร” “นี่ยังมิใช่นรกอีกหรือ” หญิงสาวเลิกคิ้วสูงมองสามี ก่อนจะเดินไปยืนข้างบุรุษต่างวัยทั้งสองคน โดยไม่สนใจอาการฮึดฮัดของสามี หลิวเพ่ยเพ่ยมองตามหลังเสวียนเฟยหลงไปด้วยความรู้สึกขอบคุณ เรื่องนี้เป็นความลับที่เขาและนางเท่านั้นที่รู้ เดือนก่อนนางเกือบจะต้องไปเกิดใหม่อีกครั้งแล้ว หากคืนนั้นเขาไม่มาหานางที่ห้อง และนั่นคือเห็นผลที่เขาไม่เคยให้นางห่างสายตาในเวลานี้เขาคือเกราะหนึ่งเดียว ที่ปกป้องนางได้ในยามอ่อนแอ ส่วนเรื่องอิสระในชีวิตข้างหน้า นางยังมีความหวังเช่นเดิม แต่ถ้าเป็นอย่างที่ท่านย่าของสามีบอกมา ว่าเสวียนเฟยหลงจะมีเพียงเมียเดียว นางก็ไม
‘อร่อยตาย ดีกว่าหิวตายน่า’ หญิงสาวแทบไม่ต้องคีบอาหารเองเลย เพราะสามีเป็นคนป้อนถึงปากทุกคำ แม้จะสงสัยกับพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปกะทันหัน แต่การเดินหมากที่ดีต้องนิ่งเข้าไว้ เพราะคนอย่างเสวียนเฟยหลงเจ้าเล่ห์ไม่น้อย ภาพการเอาใจภรรยาของเฟยหลง ทำให้หญิงสาวอีกคนที่เพิ่งก้าวมาถึงชะงักค้างอยู่กับที่ไปชั่วขณะ หญิงสาวบีบมือตัวเองเอาไว้แน่น ความชิงชังที่มีต่อพี่สาวมันเพิ่มมากขึ้นหลายเท่าตัวนัก นางด้อยกว่าหลิวเพ่ยเพ่ยตรงไหน ทำไมบุรุษมากมายถึงได้ชื่นชอบคนปวกเปียกเช่นนั้น แม้แต่ท่านอ๋องเสิ่นยังไม่รับนางเข้าจวน ทั้งที่เขาได้เรือนร่างของนางไปครอบครองแล้วแท้ ๆ ความอับอายที่เกิดขึ้นในครานั้น ทำให้นางเลือกที่จะกลับมาหาเสวียนเฟยหลง เพื่อรักษาหน้าของตนเองและมารดาเอาไว้ เพราะหากแต่งแก่บ้านอื่นความลับของนาง อาจย้อนมาทำลายนางกับมารดาก็เป็นได้ “”นิ่งเข้าไว้เชียนเชียน มิเช่นนั้นเจ้าจะตกเป็นรองนางในทันที หลิวฮูหยินเตือนสติบุตรสาว นางตั้งใจมาที่นี่ เพื่อดูท่าทีของพี่สามี ว่าเขาได้ยินสิ่งที่นางกับลูกคุยกันมากน้อยเพียงใด ทั้งยังเป็นการหยั่งเชิงบุตรเขยไปในตัวด้
“วันนี้แม่ทำน้ำแกงบำรุงมาให้เจ้าด้วย” จ้าวลี่หลีรับถ้วยน้ำแกงจากสาวใช้ ยื่นส่งให้แก่บุตรสาว ทว่าคนที่รับมันไปกลับเป็นเสวียนเฟยหลง แม่ทัพหนุ่มมองแม่ยายด้วยสายตาแข็งกร้าว “ข้าต้องขอบคุณท่านแม่ แทนเพ่ยเพ่ยด้วยนะขอรับ เอาไว้ข้าจะให้สาวใช้อุ่นให้นางกินตอนเย็นนะขอรับ” “ทำไมต้องรอตอนเย็นด้วยเล่า มันจะเสียรสชาติไปเปล่า ๆ” “นางดื่มน้ำแกงไปมากแล้ว เกรงนางจะอึดอัดท้องเอาได้ขอรับ” “อ่อ…เช่นนั้นหรอกรึ” “ท่านแม่อย่าน้อยใจไปเลยเจ้าค่ะ เย็นนี้ข้าจะดื่มน้ำแกงของท่านแม่มิให้เหลือแม้แต่หยดเดียวเลยนะเจ้าคะ” “ดีจ๊ะ! แม่อยากให้เจ้ากับหลานแข็งแรง” “มาเถอะเจ้าค่ะ กินข้าวกันต่อดีกว่า” หลิวเพ่ยเพ่ยยังคงแสดงทีท่าเป็นปกติ แววตาอ่อนต่อโลกนั้นยังคงทำให้มารดาสบายใจ ว่านางยังคงมิเปลี่ยนไป แผนการของมารดาและน้องสาว ใช่ว่านางจะมองไม่ออก คนที่ระวังตัวเรื่องการกิน อาจจะมองว่าไม่มีผู้ใดกล้าวางยาพิษ โดยมีผู้ร่วมรู้เห็นมากมายเช่นนี้ เพราะใครกันจะโง่ทำให้คนพุ่งเป้ามาที่ตนเอง แต่หากคิดให้เหนือความคาดหมายอีกส
“ท่านลุงมาเมืองหลวง คงมิใช่แค่เยี่ยมเยียนท่านปู่และตัวข้าใช่หรือไม่เจ้าคะ” “หลานลุงรู้จักสังเกตเรื่องเล็กน้อยแบบนี้ ตั้งแต่เมื่อใดกัน หืม!” “ตั้งแต่ข้าต้องเผชิญกับอันตราย จากสายเลือดเดียวกันนั่นล่ะเจ้าคะ” “เหมือนเจ้าจะรู้เรื่องนี้อยู่แล้วสินะ ทำไมเจ้าไม่บอกเรื่องนี้กับลุงเล่า” “ข้าถูกกระทำให้กลายเป็นที่ชิงชังของผู้คน คำพูดย่อมไร้น้ำหนักเจ้าค่ะ อีกอย่างตัวข้าอยู่ที่นี่เมื่อก่อน ถูกจับจ้องจากคนของเชียนเชียน จึงไม่อาจส่งข่าวใดถึงท่านลุงได้เลยเจ้าค่ะ” หลิวเพ่ยเพ่ยบอกไม่ได้ว่าวางใจคนตรงหน้ามากแค่ไหน สิ่งที่นางถามและบอกออกไป เป็นเพียงการหยั่งเชิงเท่านั้น ความจริงหลายอย่างนางยังไม่คิดที่จะบอกกล่าวให้คนตรงหน้ารู้มากนัก “ไม่ผิดลุงเข้าเมืองหลวงเพราะมีกิจธุระสำคัญ ส่วนเรื่องมารดากับน้องสาวของเจ้านั้น เป็นสิ่งเหนือความคาดหมายของลุง รวมถึงสิ่งที่เจ้าต้องพบเจอด้วยเช่นกัน” “ข้าแค่อยากให้ท่านลุง ทวงความเป็นธรรมแก่ตัวข้าและท่านพ่อเท่านั้น มลทินที่ข้าต้องแบกรับ คงทำให้ท่านพ่อมิอาจตายตาหลับได้” “เจ้าหมายความว
“แล้วอย่างไร! เพราะยังมีอีกมากมายหลายวิธี ที่จะทำให้เจ้าเจ็บปวดเจียนตาย ความทรมานของเจ้าคือความสุขของข้า”“ข้าโชคดีนักที่มีคนคอยปกป้อง แต่ข้ากลับโชคร้ายที่มีนางมารร้ายเช่นท่านเป็นมารดา และที่แย่ไปกว่านั้นยังมีน้องสาวโง่เขลามาร่วมสายเลือดอีก”“หุบปากของเจ้าเสีย เจ้าไม่มีสิทธิ์แตะต้องเชียนเชียนของข้า”“ท่านสังหารท่านพ่อ และชิงชังข้า เพราะข้ากับท่านพ่อรู้ว่าชิงฉู่กับเชียนเชียน เป็นลูกของท่านแม่กับคนรักเก่าใช่หรือไม่เจ้าคะ”“เจ้ารู้ได้อย่างไร”“กำพรืดอย่างไรเล่าเจ้าค่ะ สองคนนั่นเป็นได้แค่กาฝากสกุลหลิว สายเลือดชั้นต่ำของพวกเขาแสดงออกชัดเจนเสียอย่างนั้น”หลิวเพ่ยเพ่ยแค่คาดเดา เพราะนางเห็นในนิยายหรือละครแนวนี้จะมีบทลูกชู้ นางแค่ลองทดสอบดูเท่านั้น ทว่าผลลัพธ์มันกลับเหนือความคาดหมาย“เจ้ากล้าว่าลูกของข้า เมื่อเจ้ารู้ทุกอย่างแล้ว ข้าก็ไม่จำเป็นต้องเก็บเจ้าไว้เป็นเสี้ยนหนามของลูก ๆ ของข้าอีกต่อไป”เชร้ง! หลิวเพ่ยเพ่ยยกดาบสั้นของนางขึ้นรับด้วยสัญชาตญาณ แขนเรียวสั่นระริกด้วยความเจ็บปวด นางรู้ดีว่าคงไม่มีทางที่จะสู้มารดาได้เลย หากไม่มีเจ้าก้อนแป้งอยู่ในท้อง นางอาจพอที่จะหาหนทางหลบหนีได้สะดวกกว่านี้
“องค์ชายอย่าทรงเป็นกังวลไปเลยเพคะ จ้าวหยางจะปลอดภัย”“ท่านหมอรีบมาดูหลานชายข้าเร็วเข้า เรื่องนี้ข้าต้องได้คำตอบก่อนรุ่งสาง”“เชิญองค์ชายทางด้านนี้พ่ะย่ะค่ะ”เสวี่ยจ้าน ต้องการที่จะคุยกับองค์ชายต่างแคว้นเพียงลำพัง ทั้งสองหายไปยังอีกห้อง ซึ่งอยู่ถัดไปพระชายาในองค์รัชทายาท ขยับไปยืนข้างกับแม่ทัพสาว นางเองก็รักในตัวจ้าวหยางมิแพ้ผู้ใด ถึงขนาดคิดเอาไว้ ว่าจะทรงยกพระธิดาองค์โต ให้เป็นภรรยาของจ้าวหยางในอนาคตเซียวเถาบีบเบา ๆ ยังมือของหญิงสาวผู้เป็นสหายรัก ก่อนจะเอ่ยปลอบโยนพระชายาเบา ๆ ท่านหมอประจำจวนอ๋องเหลียวมองไปยังมารดาของเด็กชาย ก่อนจะหันกลับมาจัดการรักษาคุณชายน้อยต่างแคว้นต่อองครักษ์คนสนิทของท่านอ๋องเก้า ได้บอกกับเขาขณะเดินทางมายังเรือนนี้ ว่าต่อให้ยมบาล ต้องการลมหายใจของคุณชายจ้าวหยาง ก็ให้ช่วงชิงกลับมาให้จงได้ มิเช่นนั้นจะทำให้ปีศาจร้ายพิโรธ ไม่บอกเขาก็รู้ว่าหมายถึงผู้ใดเวลาผ่านไปกว่าหนึ่งก้านธูป การรักษาได้เสร็จสิ้นลง จ้าวหยางหลับไปด้วยฤทธิ์ของยา พิษถูกขับออกจนหมด ทำให้ทุกคนรู้สึกโล่งใจ เป็นจังหวะเดียวกับที่องค์ชายแห่งเว่ย และท่านอ๋องเก้า กลับเข้ามาภายในห้อง“ท่านหมอ ทุกอย่างเรียบร
ฟริ้ว! ฉึก! ลูกธนูปักยังเสาศาลา แทนที่จะเป็นเป้าหมาย ซึ่งตอนนี้ทั้งคู่ได้หยุดสิ่งที่กำลังทำ เพื่อเตรียมการรับมือ ผู้บุกรุกยามค่ำคืน“หาญกล้าบุกรุกจวนข้า สงสัยคงอยากที่จะเร่งไปยมโลกกระมัง”อ๋องหนุ่มเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ เรื่องมีคนลอบทำร้ายเขาหาได้ใส่ใจไม่ แต่พวกมันกลับมาในเวลา ที่เขากำลังจะช่วงชิงหัวใจของหญิงสาว นี่ต่างหากที่ทำให้เขาขุ่นเคืองเป็นที่สุดคืนนี้เขาสั่งให้องครักษ์ มิให้เข้ามารบกวนเวลาส่วนตัว ไม่ว่าจะอย่างไรเขาก็มิต้องการให้ผู้ใดมานั่งมอง เรื่องระหว่างเขากับมารดาของบุตรชายเป็นอันขาดเซียวเถาปลดสายคาดเอวออก เพื่อใช้เป็นอาวุธ เพียงครู่เดียวห่าธนูได้พุ่งเข้าหาคนทั้งสอง ทั้งคู่ได้สลับกันปัดป้อง มิให้ลูกธนูถูกกายได้ เมื่อทุกอย่างหยุดลง บุรุษชุดดำกว่าสิบชีวิต ได้ปรากฏตัวขึ้นล้อมรอบทั้งคู่เอาไว้“ท่านอ๋องเก้า ชะตามิน่าสิ้นสุดเพียงเท่านี้เลย หากท่านอ๋องไม่ทรงอยู่ร่วมกับนาง ก็คงมิต้องจบชีวิตเช่นนี้” หนึ่งในชายชุดดำเอ่ยขึ้น เรื่องนี้เป็นเหตุสุดวิสัยอย่างแท้จริง ผู้ใดจะคิดว่า ท่านอ๋องเก้า จะมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับแม่ทัพต่างแคว้นเช่นนี้“หึ ๆ เข้ามาในบ้านข้า ยังกล้าปากดีอยู่อีก
“แต่หากเรื่องเช่นนี้เกิดกับหญิงสาวคนอื่น เด็กอาจมิโชคดีเช่นนี้”“สิ่งที่อยากจะหยั่งถึง คือใจของคน ท่านอ๋องอย่าได้ยกย่องหม่อมฉันนักเลยเพคะ ท่านอ๋องจะรู้ได้อย่างไร ว่าคราแรกที่หม่อมฉันรู้ว่าตั้งครรภ์ หม่อมฉันยินดีหรือเสียใจ”“ข้ารู้ดีว่าเจ้าเสียใจ แต่เจ้าก็รักลูกในครรภ์มากกว่าคำครหา”“ดูเหมือนท่านอ๋องจะรู้เรื่องนี้ดีนะเพคะ”“ข้ามีนิท่านเรื่องหนึ่ง จะเล่าให้เจ้าฟัง”“เวลาของค่ำคืนนี้อีกยาวนาน หม่อมฉันยินดีที่จะฟังเพคะ”เรื่องราวต่าง ๆ ถูกถ่ายทอดออกมาทีละน้อย อ๋องหนุ่มหวนนึกถึง วันที่เขาเพิ่งกลับจากชายแดน เนื้อตัวนั้นมิได้ดูสง่าอันใด เพื่อสืบเรื่องราวบางอย่าง ทำให้เขาจำต้องปลอมตัวเป็นเพียงนักเดินทางทว่าสิ่งที่ไม่คาดคิดก็ได้เกิดขึ้น เมื่อเขาต้องการหญิงคณิกามาปลดปล่อย ความเป็นบุรุษ ร่างบอบบางที่ดูเหมือนจะหมดสติ และถูกวางยาปลุกกำหนัดถูกนำมาส่งให้ถึงห้อง เขาคิดเพียงว่าเจ้าของหอนางโลม ต้องการสร้างความตื่นเต้นให้แก่เขา จึงได้ทำเช่นนี้ ทว่าเมื่อเขารับรู้ถึงความบริสุทธิ์ของนาง จึงได้คิดที่จะเลี้ยงดูนางเป็นอนุแต่เมื่อเขากลับมาจากทำธุระ หญิงสาวบนเตียงได้หายไปแล้ว มีเพียงหยกของนาง ที่ถูกลืมเอาไว้
ภายในห้องหนังสือ จวนแม่ทัพกู้หมิง สองสามีภรรยา นั่งประจันหน้ากัน ด้วยความเคร่งเครียด ทุกคำถาม เสมือนน้ำที่เทลงพื้นก็มิปาน เมื่อผู้เป็นภรรยาหาได้ตอบคำถามนั้น แม้แต่ครึ่งคำถงซือเหยา ยังคงใช้ความนิ่งเงียบ สยบทุกคำถามของสามี ด้วยหลายคำถามนั้น มันมิต่างจากคมมีดที่ปักลงสู่กลางใจนาง“สรุป...เจ้ามิคิด ตอบคำถามข้าเลยเช่นนั้นรึ”“ท่านพี่ สิ่งที่ท่านถามมา ข้าไม่ทราบเรื่องเลยแม้แต่น้อยเจ้าค่ะ”“แล้วสิ่งที่เจ้าพูด ตอนอยู่ในสนามประลองมันหมายว่าอย่างไรเล่า”“ข้าแค่พูดไป ตามที่ผู้คนเล่าลือกันเท่านั้นเจ้าค่ะ”“เรื่องเล่าลือเช่นนั้นรึ แม่ทัพจ้าวเป็นคนแคว้นเว่ย จะมีข่าวเช่นนั้นมาเกิดที่ฉินได้อย่างไรกัน”“ท่านพี่พูดเหมือนข้า เป็นผู้ที่ทำเรื่องเช่นนั้น ข้าเป็นภรรยาของท่านนะเจ้าคะ จะลดตัวไปทำเรื่องต่ำช้าเช่นนั้นได้อย่างไรกัน”“ก็ขอให้มันจริง เพราะเท่าที่ข้ารู้มา เรื่องต่ำช้ากว่านี้ คนเช่นเจ้าก็เคยทำมันมาแล้ว ข้านิ่งเฉยมาตลอด เพราะคิดว่าเจ้าจะปรับปรุงตัว”“ท่านพี่ หมายความว่าอย่างไรเจ้าคะ”“กลับไปเถอะ แล้วทบทวนสิ่งที่เจ้าทำ และคิดให้มากว่านี้ เจ้าจะมีความสุขเช่นที่ผ่านมา หรือให้ทุกอย่างแตกแยก”“ฮึ! เพราะมั
เซียวเถาเลิกคิ้วสูง เป็นเชิงถามชายหนุ่ม ที่กำลังยืนหายใจประหนึ่งม้าศึก ที่ผ่านการวิ่งมาอย่างสุดกำลัง ก่อนจะคลี่ยิ้มน้อย ๆ กับท่าทางของท่านอ๋องหนุ่ม“ไม่เลยขอรับท่านแม่ หากมิได้ท่านแม่ช่วยไว้ จ้าวหยางคงลำบากกว่านี้”“หึ ๆ แม่มิได้ทำอันใดเลย แค่เบื่อท่าทางอวดดีของลูกนกในกรงทอง ก็เท่านั้นเอง”“ข้าเกือบจะลงมือจริง ๆ เสียแล้ว”“แค่เรื่องขำขัน อย่าได้ใส่ใจ”การสนทนาของสองแม่ลูก ทำให้อ๋องหนุ่มถึงกับลอบกลืนน้ำลาย จ้าวหยางเติบโตขึ้น ย่อมต้องเป็นคนที่น่ากลัว กว่าที่ผู้ใดจะคาดคิดเป็นแน่ ดูแล้วเซียวเหยาผู้นี้ มิใช่เพียงสตรีที่เก่งทางด้านการต่อสู้เพียงอย่างเดียวสินะ จะมีใครบ้าดีเดือดขนาดทำเช่นนางได้ไหนจะเจ้าลูกชายตัวดี ที่ดูจะเข้าขากับผู้เป็นแม่ เสียจนเขากลายเป็นเพียงลาโง่ไปในทันที“ไปกันเถอะ ยืนตรงนี้นาน เกรงจะทำให้คุณชายน้อยผู้นั้น อกแตกตาย”เซียวเถาเอ่ยขึ้น ในขณะที่ถงซือเหยา กำลังเดินผ่าน เพื่อไปจัดเตรียมสิ่งของนำบุตรชายกลับจวน“เจ้าหมายความว่าอย่างไร”ถงซือเหยาถามขึ้น ด้วยน้ำเสียงกรุ่นโทสะ นิ้วเรียวสั่นระริก ชี้ไปยังแม่ทัพต่างแคว้น“เป็นคุณหนูสูงศักดิ์ ทั้งยังเป็นถึงภรรยาแม่ทัพ แต่ไร้มารยาทที
“หึ ๆ แม่มิได้ต้องการให้เจ้าลำพองตน จงถ่อมตัวให้มาก แต่อย่ายินยอมให้ผู้ใด มาช่วงชิงลมหายใจของเราไปได้เช่นกัน”“ลูกจะจดจำไว้ขอรับ”สองแม่ลูกเปลี่ยนบทสนทนา เมื่อท่านอ๋องต่างแคว้น เดินเข้ามาหา พร้อมขนมในมือ ชายหนุ่มนั่งลงอีกด้านของจ้าวหยาง“ขนมกลีบเหมยกุ้ยป่า เป็นของที่ท่านย่าจะ...เอ่อ หมายถึงท่านแม่ของข้า ชอบทำให้กินยามเหนื่อยล้าจากการฝึก ข้าอยากให้เจ้าได้ลิ้มลองสักหน่อย”จ้าวหยางหันกลับไปหาผู้เป็นแม่ ก่อนจะได้รับคำอนุญาต เด็กชายจึงรับขนมในจาน มากินอย่างช้า ๆ ทำให้เสวี่ยจ้านยิ้มกว้าง ด้วยความยินดีชายหนุ่มอยากตบปากตนเองยิ่งนัก ที่รีบร้อนจนเกินไป เกือบจะเอ่ยว่ามารดาของเขา คือย่าของจ้าวหยางเสียแล้วเสนาบดีถง หรี่ตามองภาพนั้นด้วยความรู้สึกอัดแน่น เขาไม่อยากที่จะคิดเลยว่า ทั้งสามคนนั้นคือครอบครัว บุตรสาวที่หายตัวไปนับสิบปี หลานชายผู้มีใบหน้าถอดแบบบุรุษสูงศักดิ์ กับท่านอ๋องผู้เป็นดั่งปีศาจร้ายในยามสงคราม ‘เป็นไปมิได้’เขาจำได้ดี ว่าบุตรสาวคนโตนั้น พึงใจในตัวของกู้หมิงมากเพียงใด ไม่มีทางที่นางจะไปผู้สัมพันธ์กับท่านอ๋องเก้าได้ ทั้งคู่มิเคยพบเจอกันสักครั้ง แล้วไยจะเป็นท่านอ๋องเล่า ที่เป็นบิดาขอ
ทางด้านเซียวเหยา หาได้ใส่ใจกับสายตาแตกตื่นของผู้คนไม่ การที่นางให้บุตรชายใช้ม้าของตนเอง เพราะรู้อยู่แล้วว่าม้าของจ้าวหยาง ถูกวางยา เมื่อออกวิ่งเกินขีดจำกัดเมื่อใด ก็จะเกิดอันตรายต่อบุตรชายของนาง และนี่เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่สายลับ ของคนเหล่านั้นไม่เคยรู้มาก่อน ว่านางฝึกฝนจ้าวหยาง ด้วยม้าคู่ใจของตนเองมาโดยตลอด“ไยเจ้าดูมิห่วงใยเขาเลย”เสวี่ยจ้าน เอ่ยถามคนข้างกาย ด้วยน้ำเสียงมิใคร่พอใจเท่าใดนัก หากเกิดสิ่งมิคาดฝันขึ้น จะทำเช่นไร ‘สตรีวิปลาสผู้นี้ คิดจะอวดเบ่งไปเพื่อสิ่งใดกัน’“ท่านอ๋อง หม่อมฉันคือมารดา คือผู้ที่คลอดเขาออกมาด้วยตนเอง ย่อมรู้จักเขาดีกว่าผู้ใด ในเมื่อมีคนคิดสกปรก หม่อมฉันก็แค่ทำให้คนเหล่านั้นผิดหวัง หาได้ทำอันใดผิดไม่เพคะ”เซียวเถาตอบท่านอ๋องเก้า ด้วยน้ำเสียงราบเรียบ จนบางครั้งชายหนุ่มเองก็รู้สึกขัดเคืองใจอยู่ไม่น้อย กับท่าทีไร้อารมณ์ของหญิงสาวข้างกาย“เจ้าหมายความว่าอย่างไร” เสวี่ยจ้าน ขมวดคิ้วจนเป็นปม เมื่อได้ยินในสิ่งที่เขา ไม่คิดว่าจะมีผู้ใดหาญกล้าทำเช่นนี้“ท่านอ๋องมิได้ขลาดเขลา ย่อมเข้าใจมันได้ไม่ยาก มิเห็นต้องให้หม่อมฉันอธิบายมากความเลยนะเพคะ”อ๋องหนุ่มมองไปยัง ม้าสอง
“ลูกจะมิทำอันใด หากว่าเขายังมิก้าวล้ำจนเกินไป”จ้าวหยาง กล่าวด้วยน้ำเสียงเนิบช้า อีกทั้งรอยยิ้มละมุนยังมิจางหายจากใบหน้า เซียวเถาคลี่ยิ้มน้อย ๆ แค่มองตานางก็รับรู้ถึงสิ่งที่บุตรชายคิด การเลี้ยงดูของนางนั้น แตกต่างจากมารดาอื่นอยู่มาก แต่ทุกสิ่งที่นางได้กระทำก็เพื่อจ้าวหยางทั้งสิ้นเซียวเถา บีบไหล่บุตรชายหนัก ๆ เพื่อเป็นการให้กำลังใจ ก่อนจะหมุนกายเดินกลับไปยังที่นั่งของตน โดยมิได้รั้งรอเพื่อส่งจ้าวหยางขึ้นหลังม้า ซึ่งทหารของนางกำลังจูงอาชาสีดำสนิท ตรงมายังบุตรชายของนาง ทุกการกระทำนั้น ในทุกสายตาที่มองมาต่างรู้สึกสงสารจ้าวหยางยิ่งนัก ที่มารดานั้นหาได้ใส่ใจในตัวเด็กชายไม่ ซึ่งแตกต่างจากแม่ทัพกู้หมิง ที่ยังคงแนะนำการขี่ม้า เพื่อช่วงชิงธงให้แก่บุตรชายอย่างเคร่งเครียด“ไยแม่ทัพจ้าว จึงดูมิใส่ใจบุตรชายเอาเสียเลยเล่า” ฮ่องเต้ชราเอ่ยขึ้น เมื่อมองเห็นสิ่งที่เซียวเถาแสดงออกต่อจ้าวหยาง“นางรักบุตรชายมากต่างหากเล่าพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”องค์รัชทายาทแห่งเว่ยเอ่ยขึ้นบ้าง พร้อมทั้งมองไปยังจ้าวหยาง ที่กำลังทำการสำรวจความพร้อมของอาชาคู่กายของผู้เป้นมารดา“อย่างไรที่ว่ารักมาก”“ทูลฝ่าบาท หากจะทรงสังเกตจ้าวหยา
สวนดอกไม้หน้าเรือนรับรอง เสวี่ยจ้านหยุดมองไปยังร่างบาง ที่ยังอยู่ในชุดงานเลี้ยง“อะ...แฮ่ม” ชายหนุ่มแสร้งกระแอมเล็กน้อย เพื่อให้อีกฝ่ายรู้ตัว ซึ่งเขามั่นใจว่านางรับรู้ถึงการมีอยู่ของเขา นับตั้งแต่ก้าวผ่านประตูทางเข้าเรือนมาแล้ว“ท่านอ๋องมีเรื่องใด ให้หม่อมฉันรับใช้หรือไม่เพคะ”หญิงสาวเอ่ยถามขึ้น พร้อมหมุนกายกลับมาเผชิญหน้ากับผู้มาเยือน“มิได้ ข้าเอาน้ำแกงมาให้ก็เท่านั้น พอดีข้าเห็นเจ้าดื่มหนักอยู่พอสมควร เกรงจะมิสร่างเมาในยามเช้า เลยเอามาให้”ชายหนุ่มรีบยกตะกร้าใส่น้ำแกง ที่เขาได้ให้องครักษ์สั่งห้องครัว จัดเตรียมไว้รอท่า ก่อนที่ทุกคนจะกลับจากวังหลวง“ท่านอ๋อง มิเห็นต้องลำบากมาด้วยตนเองเลยนะเพคะ”“ข้าไม่เคยรู้สึกเช่นนั้นเลย มาเถอะประเดี๋ยวจะเย็นซะก่อน”ชายหนุ่มก้าวตรงไปยังศาลาภายในสวน ก่อนจะจัดแจงนำน้ำแกงออกมาจากตะกร้า ทุกการกระทำของชายหนุ่มนั้น ดูนิ่มนวลและใส่ใจต่อสิ่งที่อยู่ในมือยิ่งนักเซียวเถาเดินตามมาเงียบ ๆ เมื่ออีกฝ่ายมีน้ำใจ จะด้วยเหตุผลใดก็ตาม นางก็มิสมควรทำลายน้ำใจนี้ลง สุราเพียงเท่านี้ไม่อาจทำให้นางเป็นอันใดได้เลย“ท่านอ๋อง ดื่มด้วยกันเถอะเพคะ น้ำแกงนี่หม่อมฉันกินคนเดียวไม่ห