สายวันถัดมา ณ ลำธารนอกเมืองหลวง สามแฝดและเหล่าผู้ติดตาม ได้ออกมาตกปลา จับกุ้งกันอย่างสนุกสนาน โดยมารดาและท่านลุงเจียง เลือกที่จะเข้าป่าหาสมุนไพร เพื่อทำตัวยาบำรุง ให้แก่คนชราทั้งหลายในบ้าน ซึ่งตอนนี้ทุกคน ต่างมารวมตัวกันที่สกุลเจียง ราวกับเป็นจวนพักคนชราเลยก็ว่าได้ และนั่นทำให้ต้วนอี้หรู เลือกที่จะปล่อยวางความเจ็บแค้นในอดีต คงเหลือเพียงความหวาดหวั่นเดียว ที่ต้วนอี้หรูยังคงมีติดค้างในใจ นั่นคืออดีตสามีเจ้าของร่าง ที่อู่กุ้ยเฟยช่วยให้หลบหนีออกจากคุกไป จนตอนนี้ก็ยังคงหาตัวไม่เจอ “พี่ใหญ่ พี่รอง ข้าได้กุ้งตัวใหญ่มากเจ้าค่ะ” ต้วนอี้หลิง ชูกุ้งตัวใหญ่อวดพี่ชายทั้งสอง ซึ่งกำลังนั่งตกปลาอยู่บนโขดหิน อีกฝั่งของลำธาร แน่นอนว่าไม่ห่างจากนายน้อยทั้งสาม ก็มีผู้ดูแลอยู่ใกล้ๆ จะมีเพิ่มเติม ก็คงเป็นสาวใช้วัยใกล้เคียง กับสามแฝดนั่งกอดตะกร้าใส่ขนม บนโขดหินเดียวกับคุณชายรอง มีบางครั้งที่เด็กหญิง เหลือบมองไปที่คุณชายรอง แล้วก้มหน้าอย่างคนขลาดกลัว นางไม่เคยได้ออกไปไหนมาก่อน นอกจากทำงานบ้าน แทนมารดาและลูกๆ ของบิดาเลี้ยง นี่นับเป็นครั้งแรกที่ได้ออกมานั่งอ
“บ่าวชื่อฉู่เมี่ยวเจ้าค่ะ”เด็กหญิงตอบด้วยน้ำเสียง ที่ยังคงมีความหวาดกลัวอยู่ แต่รอยยิ้มเจ้านายคนแรกในชีวิตของนาง กลับทำให้อาการตื่นกลัวนั้นเบาบางลงไปมากทีเดียว“ไปที่ร้านผ้ากันก่อนนะขอรับท่านตาชู่ นางควรได้รับสิ่งที่เหมาะสม”ต้วนอี้หลงรีบบอกแก่ชายชรา เพราะเขาคงไม่อาจทนมอง สภาพของเด็กหญิง ไปจนถึงบ้านได้เป็นแน่ มิใช่รังเกียจแต่มันรวดร้าวในหัวใจ กับสิ่งที่นางได้รับ“มีร้านผ้าทางนี้พอดีขอรับ”พ่อบ้านชู่ชี้ไปยังทิศทางของร้านเสื้อผ้า ที่ไม่ได้มีขนาดใหญ่โตเท่าใดนัก ทั้งสามเดินหายเข้าไปในร้าน โดยมีสายตาของสตรีผู้นั้น มองตามมิห่างต้วนอี้หลงรู้ดี ว่ามารดาของเด็กน้อยยังไม่ไปไหน แต่เขาก็ไม่จำเป็นต้องใส่ใจ เพราะนางจะมีโอกาสได้เห็นบุตรสาว ในช่วงเวลานี้เท่านั้น เพราะนับจากที่ฉู่เมี่ยว ก้าวเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของสกุลต้วน สตรีผู้นั้นก็จะมิได้เห็นนางอีกต่อไปพ่อบ้านชู่กับนายน้อย เลือกที่จะนั่งรอเด็กหญิง ที่กำลังไปอาบน้ำและสวมเสื้อผ้าชุดใหม่ โดยมีภรรยาเจ้าของร้าน ช่วยเป็นธุระจัดการให้ใช้เวลาอยู่ครู่ใหญ่ ภรรยาเจ้าของร้าน ได้จูงมือเด็กน้อยออกมาจากด้านหลังร้าน ต้วนอี้หลง คลี่ยิ้มน้อยๆ นางแต่งกายแบบนี้สิ!
“บางทีครอบครัวใหม่ อาจดีกว่าเช่นที่เรามีในตอนนี้นะขอรับ”“ใช่! อย่ายึดติดกับเรื่องอดีต และเรื่องขอผู้อื่นให้มาก จงมีความสุขในแบบของเราก็พอ”ต้วนอี้หลางเตือนสติน้องชาย แม้เขาเองก็ยากปล่อยวางในบางเรื่อง แต่เมื่อมีโอกาสเริ่มเส้นทางใหม่ ไยต้องนำสิ่งเหม็นเน่าในอดีต มาให้อนาคตแปดเปื้อนด้วยเล่า“ขอรับ”สองพี่น้องยังคงใส่ใจ กับเบ็ดที่อยู่ในมือ และมีบางครั้ง ที่หันไปตามเสียงหวีดร้อง ของเด็กหญิงทั้งสอง ที่จับกุ้งไปเล่นน้ำไป โดยมีสายตาโกรธแค้น ของใครบางคน มองออกมาจากราวป่า ห่างจากลำธารไปไม่มากนักสายตาคู่นั้นมองไปที่เด็กแฝดทั้งสาม มันช่างอัดแน่นไปด้วยไฟแค้นสุมอก ยิ่งเห็นความอิ่มเอิบของใบหน้า ที่เต็มไปด้วยความอุดมในการใช้ชีวิต ไหนจะอาภรณ์เนื้อดีบนกายของทั้งสามทำให้เขาอดยกมือ ลูบใบหน้าที่ซูบตอบของตนไม่ได้ ไหนจะเสื้อผ้าที่เปรอะเปื้อน เยี่ยงขอทาน มันช่างน่าอดสูนัก ชีวิตสวยหรูของเขาหายไป เพราะการมาของเด็กพวกนี้ โดยเฉพาะมารดาของพวกมัน... “พวกเจ้า! มันสมควรตายไปตั้งนานแล้ว” จางหย่งชาง สอดส่ายสายตา หาคนที่ทำลายเขาอย่างแท้จริง บุตรสาวที่เขามองนาง เป็นหนามหยอกอกมาตลอด ยิ่งเมื่อนึกถึงบุต
“เจ้า!” “ท่านเลือกเองนะเส้นทางนี้ ท่านยายกับท่านแม่ของข้า มิได้บังคับท่านแม้แต่ครึ่งคำ” “เจ้าจะไปรู้อะไร! พวกนางน่ะหรือไม่บีบคั้นข้า! ให้ทำเช่นนั้น หากนางมองว่าข้า มีความสามารถด้วยตนเอง มิใช่มาจากบารมีของนาง มีหรือข้าจะใจดำขนาดนั้น” จางหย่งชางเอ่ยถึงอดีตภรรยา ด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ เขาก้าวจากคนยากไร้ สู่การเป็นบัณฑิตมันมิใชเรื่องง่าย แต่พอแต่งงานกับนาง เขาถูกคนทั้งราชสำนัก มองว่าพึ่งบารมีสกุลภรรยา คนก้มหัวให้ในยามประจันหน้า แต่เมื่อหันหลังให้ ล้วนมีสายตาหยามหยันมองมาเสมอ “ฮ่าๆ มิว่าอดีตหรือปัจจุบัน รึแม้แต่อนาคต คนระดับล่างที่คิดก้าวหน้า ล้วนต้องมีคนที่อยู่เบื้องหลัง จึงจะสยายปีกได้ในโลกแห่งอำนาจและการแข่ง หากไร้ท่านยายในวันนั้น จะมีหรือเสนาบดีที่มีนามจางหย่งชาง ดื่มกินของเขายังเนรคุณได้ พอถึงตาตัวเองโดนบ้าง ทำเป็นร้อง!” “สารเลว!” จางหย่งชางไม่คิดเลยว่าสุดท้ายแล้ว เขาจะยังถูกหมิ่น แม้แต่หลานแท้ๆ ยังไร้ความยำเกรง ต้วนอี้หรู ไม่เอ่ยสิ่งใด แม้ว่าภายในใจนาง มีนับหมื่นล้านคำ ที่อยากถารมบุตรชายออกไปตรงๆ แต่แล้วอย่างไร ในเมื่อตอนนี้
สิบวันต่อมา หน้าประตูเมืองทิศตะวันออก รถม้าคันใหญ่ ที่มิบ่งบอกว่าเป็นของสกุลใด จอดนิ่งอยู่ไม่ห่างจากคณะเดินทาง ของครอบครัวสกุลต้วน ที่มีสำนักคุ้มภัยสกุลเจียง เป็นผู้คุ้มกันซึ่งเป็นการหลบเลี่ยงการโจมตี จากเหล่าขุนนาง ที่ยังคงมีใจเอนเนียงออกจากฮ่องเต้ ถึงกำจัดเสาหลักสำคัญของกบฏไปได้ แต่ก็มิได้หมายความว่าจะหมดสิ้นไปเสียทั้งหมด ซึ่งภายในรถม้า โอรสสวรรค์กำลังนั่งสบสายตา กับสองชายชรา ผู้เป็นประมุขสกุลเจียงและสกุลหยาง ต่อให้เขารู้ว่าสองสกุลภักดีแค่ไหน แต่มีหรือจะเชื่อได้จนสนิทใจ สองสกุลใหญ่เกี่ยวดองกัน ผ่านทางรุ่นหลาน ซึ่งได้มีการยกน้ำชาต่อหน้าเขาไปแล้ว เมื่อสองวันก่อน พร้อมทั้งตัวเขาได้ช่วยไกล่เกลี่ย เรื่องการแย่งชิงทายาทของสามสกุล ทั้งสกุลหยาง สกุลต้วน และสกุลเจียง เขาในฐานะผู้เป็นใหญ่ จำต้องให้เด็กแฝดทั้งสาม แบ่งให้คนละสกุลไปเสียเลย ซึ่งนี่ทำให้เขาต้องเฝ้าระวัง เมื่ออำนาจรวมตัวกันมากไป ย่อมไม่เป็นผลดีต่อบัลลังก์ “เหลนคนโตของพวกเจ้า จะต้องแต่งแก่บุตรสาวคนเล็กของข้า เรื่องนี้จะยินยอมหรือไม่ ข้าไม่สนใจ เมื่อถึงวัยที่เหมาะสม ต้วนอี้หลางต้องแต่งกับ
“มันหาใช่เรื่องที่ต้องคิดให้มากความขอรับ ข้าในฐานะบุตรชายคนโต ย่อมต้องตอบรับ มิเช่นนั้นฝ่าบาท ต้องหาเรื่องให้ท่านพ่อกับท่านแม่ สั่นคลอนกันในสักวัน” ต้วนอี้หลาง รู้ได้จากสายตาของฮ่องเต้ ว่าถ้าเขาปฏิเสธไป ย่อมต้องมอบสตรีอื่น มาให้แก่บิดาเลี้ยงของเขา หากเป็นเช่นนั้นต้องเกิดความขัดแย้ง หรือถ้ามารดายินยอม ฐานะของนางก็จะลดลงมาเป็นเพียงภรรยารอง แล้วเขาที่มีโอกาสเติบโตไปภายหน้า จะทำลายความสุขของพ่อแม่ ที่เดินไปตามเวลา ซึ่งจะลดลงในทุกวันได้อย่างไร แค่แต่งงานกับสตรีที่สูงศักดิ์ มันหาได้เหนือบ่ากว่าแรงเขาสักนิด บทเรียนคือสิ่งที่ต้องจดจำ และนำมาปรับใช้ให้เหมาะสม เรื่องนี้ก็เช่นกัน ฮ่องเต้มั่นใจว่าถือหมากเหนือกว่าเขา ไยเขาต้องไปขัดแย้งในเวลานี้ รอให้อีกฝ่ายแก่หงอม เขาค่อยยึดหมากมาเป็นของตัวเองก็มิสาย “เจ้ายังเล็กนัก ย่อมยากจะแยกแยะเรื่องหัวใจ หากวันใดเจ้าพบคนที่เจ้ารัก จะทำเยี่ยงไร กฎของบ้านเรามีได้เพียงหนึ่งภรรยาเท่านั้น” “ความรักเป็นสิ่งสวยงามขอรับ แต่ครอบครัวย่อมสำคัญกว่า หากข้าเสียสละหัวใจตนเองไป แล้วทุกคนในบ้านสงบสุข ก็ถือเสียว่านี่เป็นชะตาที่ถูกลิ
สิบห้าปีต่อมา ณ เมืองหลวง “เจ้ามันต่ำช้า ไฉอ้าย!” ลู่อ๋องชี้นิ้วไปที่ใบหน้าขององค์หญิงไฉอ้าย พระธิดาองค์เล็กในองค์ฮ่องเต้ นางที่มีวัยห่างจากพี่น้องมากที่สุด จึงเป็นที่รักของพระบิดา ด้วยเหตุนี้นางจึงมีนิสัยดื้อรั้นและเอาแต่ใจ “แล้วอย่างไร! ในเมื่อข้ามิได้ทำ แต่ข้าก็มิใช่คนดี ที่จะทำตัวเยี่ยงนางเอก ในนิยายตามข้างถนน” หญิงสาวยังคงยืนกราน ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ นางมิได้มีส่วนรู้เห็น หรือลงมือทำร้ายผู้ใด นางยอมรับว่าออกจากตำหนักมาที่นี่ เพื่อได้พบหน้าเขา ชายที่นางรักปักใจ “ท่านอ๋อง โปรดอย่าได้ตำหนิองค์หญิงเลยเจ้าค่ะ” คุณหนูจากสกุลหลง รีบวางมือบนท่อนแขนของอ๋องหนุ่ม เพื่อปรามมิให้เขาเอาชีวิตไปเสี่ยง กับการต่อกรกับองค์หญิงไฉอ้าย สตรีผู้เอาแต่ใจ “เจ้ายอมนางเกินไปแล้ว คนเยี่ยงนางหากไม่ใช่องค์หญิง ก็หาค่าอันใดไม่ได้สักนิดเดียว” ไฉอ้ายมองชายที่นางหลงรัก และช่วยผลักดันครอบครัวอ๋องตราตั้งให้มั่งมี เพียงแค่นางมิใช่สตรีอ่อนโยน เช่นหญิงสาวที่ยืนเคียงเขา ผลตอบแทนที่นางทุ่มเทอยู่เบื้องหลัง คือความชิงชังที่เขามอบให้นี่หรือ...
“พี่อี้หลาง เราไปเข้าเฝ้าเสด็จพ่อกันเถอะเจ้าค่ะ” แม้ว่านางจะขุ่นเคืองลู่เยี่ยถิง แต่เมื่อเห็นสภาพของเขาตอนนี้ ก็ทำใจมองนานมิได้เช่นกัน หญิงสาวคว้ามือคู่หมั้น เดินออกจากตรงนั้นเงียบๆ ต้วนอี้หลางก้าวตามอย่างว่าง่าย มือหยาบกร้านกระชับมือบางให้แน่นขึ้น เป็นองค์หญิงที่ดื้อเพียงใดกันนะ มือของนางจึงไม่นุ่มนิ่มอย่างที่ควรจะเป็น ชายหนุ่มยิ้มน้อยๆ อย่างน้อยยามไกลตา นางก็ปกป้องตนเองได้ “เจ้ารู้ไหมว่าตนเองเทียบกับหลานชายข้า แม้แต่คนเล็กสุดยังไม่ได้เลย แต่ทำเป็นผองขนใส่ผู้อื่น ไร้องค์หญิงไฉอ้ายหนุนหลัง เจ้าก็เป็นได้แค่สวะเท่านั้น” จางหลีเกอ เอ่ยจบก็ก้าวผ่านร่าง ที่ยังกองอยู่บนพื้นไปอย่างมิแยแส โดยมีจู้กงกงและม่อเหลียวตามไปมิห่าง “ท่านอ๋อง เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ เจ็บมากหรือไม่” คุณหนูหลงรีบเข้าประคองอ๋องหนุ่ม ก่อนจะกลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคอ เมื่อเห็นใบหน้าของลู่อ๋อง ซึ่งมีฟันหน้าหายไปถึงสองซี่ทีเดียว “ไสหัวไป!” มู่เยี่ยถิง สะบัดแขนที่หญิงสาวเกาะกุม จนร่างบางเซล้มลง แค้นนี้เขาต้องชำระ ไอ้คนชั้นต่ำนั่นจะเป็นใครเขาไม่สน แผ่นดินนี้มี
“กรี๊ด!! สวี่เทียน! เจ้าคนเลือดเย็น เจ้ากล้าที่จะทอดทิ้งลูกของข้าได้อย่างไรกัน” ร่างงามทรุดลงนั่งบนเก้าอี้ พร้อมทั้งประคองหยกในมือ ซึ่งเป็นตัวแทนของบุตรชายเอาไว้แนบอก นางผิดตรงไหนหรือสวรรค์ ไยจึงต้องทำร้ายลูกๆ ของนางเช่นนี้ด้วย ฉินชวงทำได้เพียงตัดต่อสวรรค์ ที่ไม่เมตตานางกับลูกเลย ไม่ว่าจะเรื่องฐานะหรือความรุ่งโรจน์ ล้วนแต่เป็นนางที่อยู่ใต้เงาผู้อื่นมาตลอด พอวันนี้นางได้มีโอกาส เชิดหน้าสู้ฟ้าได้อย่างภาคภูมิ ไยสวรรค์จึงได้กลั่นแกล้ง ช่วงชิงหัวใจของนางไปเช่นนี้เล่า นางไม่ได้โง่ขนาดจะดูไม่ออก ว่าตอนนี้ลูกๆ ของนางกำลังตกอยู่ในอันตราย หรืออาจสังเวยชีวิตไปแล้วก็เป็นได้ คงไม่มีใครที่ไหนตัดลิ้นของคนอื่น แล้วช่วงชิงเสื้อผ้า และสิ่งของติดตัวใครสักคน แล้วส่งมาข่มขู่ครอบครัวเขาเยี่ยงนี้เป็นแน่ ดูได้จากสายตาของสามี มันก็ชัดเจนว่าเขารู้แล้ว ว่าลิ้นในกล่องนั่น เป็นของบุตรชายนาง ใช่สิ! จดหมายนั่นต้องไขความกระจ่างให้ข้าได้ เมื่อนึกถึงจดหมาย ที่สามีเก็บเอาไว้ในอกเสื้อ ร่างระหงจึงลุกพรวดขึ้นในทันที นางต้องรู้ให้ได้ ว่าข้างในเขียนว่าอย่างไร เพราะนั่นอาจเป็นเบาะ
สวี่หวิ๋นไม่เอ่ยสิ่งใดอีก หญิงสาวตวัดกระบี่ในมือ พุ่งเข้าหาหญิงสาวแปลกหน้าในทันที เจียงอี้หลิง ทำเพียงขยับเท้าแค่เล็กน้อยเท่านั้น นางก็สามารถหลบหลีกการโจมตี ของสวี่หวิ๋นได้อย่างง่ายได้ แต่มีหรือสตรีเลือดร้อนเยี่ยงสวี่หวิ๋น จะยอมล่าถอยไปโดยง่าย หญิงสาวพลิกข้อมือเล็กน้อย ก่อนจะพุ่งปลายกระบี่ เข้าหาคู่ต่อสู้อีกครั้ง เจียงอี้หลิง ทำเพียงหลบหลีก การโจมตีของอีกฝ่ายไปเรื่อยๆ นางยังอยากดูฝีมือ ของบุตรสาวสวะตนนั้นอีกสักหน่อย และนั่นยิ่งเพิ่มโทสะให้แก่สวี่หวิ๋น นางไม่เคยถูกผู้ใด หหรือยามหน้าเท่านี้มาก่อนเลยในชีวิต ในเมื่อตอนนี้สตรีแปลกหน้า ทำเพียงขยับเท้า เคลื่อนไหวหลบหลีกนางเท่านั้น แต่ไม่ยอมจับอาวุธมาต่อสู้กับนาง ให้รู้ผลแพ้ชนะกันไปเลย การทำเช่นนี้มันเหมือนจงใจตบหน้านางชัดๆ “เจ้ากำลังดูถูกข้าอย่างนั้นรึ! น่าตายนัก!” สวี่หวิ๋น คำรามก้องด้วยโทสะที่ระเบิดออกมา นางไม่อยากเชื่อว่าวันนี้นางจะพ่ายให้แก่คนนอกได้ “หึๆ เจ้ายังไม่คู่ควรให้กระบี่ข้าออกจากฝัก” เจียงอี้หลิง เอ่ยด้วยน้ำเสียงเนิบช้า นางไม่ได้พูดไปส่งๆ แต่มันเป็นเช่นนั้นจริงๆ หากก
“ข้าน้อย...” “หุบปากของเจ้าซะ! เรื่องเมื่อครู่ หากหลุดออกไป ข้าจะตัดลิ้นพวกเจ้าทั้งหมด” ยังไม่ทันที่ชายหนุ่มจะเอ่ยสิ่งใด หญิงสาวกลับชี้หน้าข่มขู่เขา และวาดปลายนิ้วไปที่อีกหนึ่งผู้คุ้มกัน กับสาวใช้ของนางให้เงียบปากเสีย เพราะหากใครคนใดเอ่ยถึงเรื่องที่เห็น ว่านางกอดกับบ่าวต่ำชั้น นางจะไม่มีวันปล่อยให้รอดไปได้แม้แต่คนเดียว นางคือคุณหนูสูงศักดิ์ แต่ผู้คุ้มกันที่บิดาหา มาล้วนเป็นพวกไร้หัวนอนปลายเท้าทั้งสิ้น จะเอาสิ่งใดมาคู่ควรแตะต้องตัวนาง แปะ! แปะ! เสียงตบมือเป็นจังหวะเนิบช้า ราวกับกำลังเย้ยหยันต่อคำพูดของนาง ดังขึ้นจากเบื้องหลัง หญิงสาวตวัดสายตามองไปยังที่มาของเสียง ก่อนจะดวงตาเหลือกค้าง เมื่อเห็นว่าพี่ชายของนาง ถูกมัดห้อยตัวอยู่บนกิ่งท้อ เมื่อครู่ที่นางเห็นเขามันคือเรื่องจริง มิใชเพียงภาพลวงตา ที่ทำให้นางหยุดม้าอย่างกะทันหัน จนเกิดเรื่องเมื่อครู่ขึ้น “พี่ใหญ่!” หญิงสาววิ่งตรงไปหาพี่ชาย นางดึงกระบี่ในมืออกจากฝัก ก่อนจะตวัดปลายกระบี่ ไปยังเชือกที่ผู้ข้อมือทั้งสองข้างของพี่ชาย จนขาดสะบั้น ทำให้ร่างโชกเลือด ล่วงลงสู่พื้นดินอย่างรวดเร็ว ท
“มันไม่ใช่สิ่งที่น่ามอง เจ้าอย่าได้คิดสิ่งใดไปไกลนัก นี่อาจเป็นเพียงกลลวง ยิ่งเจ้าคิดว่าใช่ นั่นเท่ากับเจ้าเดินตามเส้นทางที่พวกมันขีดไว้ ที่ผ่านมาเจ้ามิใช่หรือ คือผู้ขีดเส้นกำหนดมาตลอด ไยวันนี้...เจ้าจึงคิดคล้อยตามกลลวงศัตรูไปได้เล่า” สวี่เทียน หยิบยกตัวตนของภรรยาขึ้นมาเอ่ยอ้าง ต่อให้นั่นคือลิ้นบุตรชาย แล้วอย่างไรล่ะ จะให้เขาดิ้นพล่านราวสุนัขถูกน้ำร้อนราดอย่างนั้นรึ! เหอะ! เขาก็จะไม่มีวันให้ความอ่อนแอของใครก็ตาม มาทำลายสิ่งที่เขา เฝ้ารอมาทั้งชีวิต ลูก...ฮึ! ก็แค่นั้น เขาไม่ได้คิดที่จะสนใจว่าอยู่หรือตาย เพราะสิ่งเดียวที่เขาสนใจ คืออำนาจที่พึงเป็นของเขาเท่านั้น ยี่สิบปีเชียวนะ! ที่เขาสละเวลามาอยู่ในหุบเขาแห่งนี้ หากเขามีหนทาง ที่สามารถปีนป่ายให้สูงกว่านี้ได้จากที่อื่น มีหรือเขาจะยอมทำตามขอเสนอของภรรยา มาอยู่ให้สกุลอวี๋เหยียบย่ำเป็นเวลายาวนานขนาดนี้ เขยแต่งเข้าที่ไม่อาจใช้สกุลภรรยา คิดหรือว่าจะถูกมองอย่างให้เกียรติ แม้คนจะก้มหัวให้ยามพบเจอ แต่นั่นเพราะข้างกายเขา มีอวี๋เมี่ยวหรือไม่ก็บุตรชายของนาง หากเป็นเขาเดินเพียงลำพัง แทบจะไม่เคยได้รับรอยยิ้มที่ออกจ
สองชั่วยามต่อมา ณ เรือนผู้รักษาการ สองสามีภรรยากำลังนั่งกินขนมจิบชา ด้วยความสำราญ หลังจากบทรักเล่าร้อน ได้จบลงไปได้ครู่ใหญ่แล้ว การหยอกเย้ากันของทั้งคู่ ยังคงมีเป็นปกติ ราวกับพวกเขายังคงเป็นหนุ่มสาว เช่นในวันวานก็มิปาน “เรียนนายท่าน มีของขวัญมาส่งขอรับ” เสียงรายงานจากด้านหน้าประตู ทำให้สองสามีภรรยา ขยับนั่งตัวตรงอย่างมีสง่า “เข้ามา” สวี่เทียนเอ่ยปากอนุญาต ให้คนด้านนอกเข้ามาข้างในได้ เพียงบ่าวชายก้าวพ้นประตูเข้ามา สายตาของเขาก็จับจ้องไปที่กล่องไม้ในมือของบ่างผู้นั้นทันทีใครกันที่ส่งของขวัญมาให้เขากัน ด้วยในช่วงเวลานี้ หาได้มีวันสำคัญ หรือเทศกาลใด ที่ต้องมอบของขวัญของกำนัลต่อกัน หากจะเป็นคนจากภายนอกหุบเขา ก็ไม่น่าจะมีใครส่งมา โดยไม่แจ้งล่วงหน้าถึงการมาเยือน “เป็นของขวัญที่ไม่ทราบที่มาขอรับ ข้าน้อยคิดจะเปิดดู แต่...มิกล้าทำโดยพลการขอรับ” บ่าวชายรีบชี้แจง ต่อการที่เขาไม่อาจบอกถึงสิ่งของข้างในได้ เพราะเคยมีคนเปิดดูของขวัญ เพื่อตรวจสอบก่อนจะนำมาส่งมอบให้แก่ผู้เป็นนาย ผลก็คือบ่าวคนนั้น ได้สิ้นใจภายใต้คมดาบของท่านผู้รักษาการ
“แต่ข้ามีข้อเสนอที่ดีกว่านั้น หากเจ้าตอบรับมัน ข้าจะมิถือสาเรื่องเมื่อครู่นี้” เมื่อมีสิ่งอื่นที่ดึงดูดใจ มากกว่าการที่นางสามหาวต่อบิดา สวี่หวางจึงยื่นข้อเสนอในทันที หญิงสาวตรงหน้าอาจเพียงแค่ อยากเรียกร้องความสนใจจากเขา หาไม่แล้วมีหรือหัวหน้าผู้คุ้มกัน จะพาเขามาที่นี่ “ข้อเสนอ...คนเยี่ยงเจ้า มีข้อเสนอใดกับข้าเช่นนั้นรึ!” น้ำเสียงปนเย้ยหยันของหญิงสาว ทำให้สวี่หวางจำต้องข่มกลั้นเอาไว้ก่อน ในเมื่อหมากกระดานนี้ นางอยากควบคุม เขาก็จะยินยอมเล่นไปกับนางสักหน่อย ค่อยจบมันในหมากตัวสุดท้าย “เป็นอนุของข้า แล้วเรื่องเมื่อครู่ข้าจะปล่อยผ่านไป” “อยากฟังข้อเสนอของข้าบ้างไหม” หญิงสาวย่อนถามกลับ ด้วยน้ำเสียงที่ดูไม่จริงจังเท่าใดนัก “ว่ามาสิ! ข้าคือบุตรชายของประมุขแห่งหุบเขานี้ ไม่มีสิ่งใดที่จะหามิได้” สวี่หวางตบตนเอง พร้อมประกาศให้รู้ถึงอำนาจในมือ เขาคือบุตรชายคนโต ภายหน้าเขาก็คือประมุขผู้มั่งคั่ง เจ้าของหุบเขาแห่งนี้ แค่สตรีต่างถิ่นคนหนึ่ง มีหรือเขาจะเลี้ยงดูนางไม่ได้ “จริงหรือ...บิดาเจ้าแซ่สวี่ ไหนเลยจะเป็นประมุขได้” เมื่อได้ยินพูดของหญิงสาวตรงหน้า สวี่หวางถึงกับหน้าถอดสี หรือนี่จะ
“ข้าน้อยเพียงจะมาแจ้ง ให้ท่านผู้รักษาการทราบ ว่าตอนนี้...มีคนพบเห็น ท่านประมุขน้อยแล้วขอรับ” “ที่ไหน!” สวี่หวางรีบถามด้วยความตื่นเต้น หากวันนี้เขาสามารถทำให้อวี๋มู่หลง หายไปจากโลกนี้เสีย อนาคตของเขา ก็จะได้ไม่ต้องอยู่ภายใต้เงาผู้ใดอีก มารดาที่เป็นภรรยาแรก กลับกลายเป็นได้เพียงอนุ ที่รับเข้าสู่บ้านเท่านั้น ไม่อาจก้าวขึ้นทัดเทียมอดีตประมุข และเขาก็เป็นได้เพียงแค่ลูกที่บิดา ไม่อาจเชิดชูออกหน้าได้แม้คนเหล่านี้ จะให้ความนอบน้อมต่อเขา แต่ความเป็นจริงแล้วพวกมัน ก็ไม่เคยเห็นเขาในสายตาจริงๆ สักครั้ง หากเทียบกับอวี๋มู่หลง เจ้าสวะไร้ค่านั่น! “ในป่าท้อทิศตะวันออกของหุบเขาขอรับ” หัวหนาผู้ดูแล ตอบไปตามหน้าที่ แม้ว่าใจเขามิได้ชื่นชอบอนุและลูกๆ ของนาง ที่อาจหาญทำตัวทัดเทียมท่านประมุขน้อย แต่เขาก็ยังไม่มีอำนาจมากพอ ที่จะต่อกรกับผู้รักษาการได้ จนกว่าท่านประมุขน้อย จะก้าวขึ้นสู่อำนาจอย่างแท้จริง “พาข้าไป!” “แต่...” หัวหน้าผู้คุ้มกัน คิดที่จะปฏิเสธ ทว่า... “ฮึ! หรือเจ้าคิดจะปกป้องคนไร้ค่านั่น” สวี่หวาง พูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจเ
สิบห้าวันถัดมา ณ เรือนผู้รักษาการ เมืองหยินกวง เพล้ง! เสียงจอกสุรา ถูกปาลงพื้นจนแตกกระจาย ทำให้สาวใช้หลายนางที่ยืนรอรับใช้อยู่ พากันสะดุ้งจนสุดตัว เมื่อผู้เป็นนายกำลังมีโทสะ ก่อนที่สตรีผู้เป็นอนุของท่านผู้รักษาการ จะเดินเข้ามา แล้วส่งสัญญาให้บรรดาสาวใช้ออกไปเสีย “ท่านพี่ ไยต้องมีโทสะด้วยเจ้าคะ” ฉินชวงเดินไปยืนด้านหลังสามี ก่อนจะวางมือบนไหล่หนา แล้วออกแรงบีบนวด เพื่อให้สามีรู้สึกผ่อนคลาย แม้ว่าการอยู่อย่างไรเกียรติของนาง จะมิใช่สิ่งที่วาดฝัน แต่นางก็ยังอยากให้บุตรชายคนโต เป็นผู้สืบทอดเมืองแห่งนี้ “มีคนพามันหนีไปได้ จนตอนนี้! ข้ายังหามันไม่พบเลย” สวี่เทียนกำหมัดแน่น ยิ่งเมื่อนึกถึงตอนที่บุตรชายคนเล็ก หนีไปพร้อมกับคนแปลกหน้า มันทำให้เขาราวกับถูกตบหน้า นี่มิใช่ครั้งแรก ที่บุตรชายรอดพ้นเงื้อมือเขาไปได้อย่างหวุดหวิดเพราะนับตั้งแต่บุตรชาย ล่วงรู้ความจริงหลายอย่าง ความสัมพันธ์พ่อลูกก็ยิ่งห่างไกล แล้วอย่างไรเล่า ก็ในเมื่อสิ่งที่เขาต้องการ ไม่ใช่ความเป็นพ่อลูก แต่เขาต้องการตราประทับเท่านั้น “อาจเป็นเหล่าผู้อาวุโส ที่แอบช่วยเขาลับหลัง แต่อย่า
“ว๊าย!!! พรู๊ด!!”หญิงสาวถึงกับพ่นชาในปากออกมา เมื่อความร้อนของชาในถ้วย ทำให้นางปากแทบพอง นางลืมไปว่ามันร้อนอยู่ “เจ็บมากหรือไม่!” ม่อเหลียวรีบถามด้วยน้ำเสียงรนราน ก่อนจะล่วงเอาขวดยาเล็กๆ ออกมาจากอกเสื้อ แล้วป้อนเข้าปากหญิงสาว “คราวหน้าต้องระวังให้มากเข้าใจหรือไม่” ชายหนุ่มเอ่ยอย่างอ่อนโยน ซึ่งหากถ้าเป็นสตรีอื่น เขาไม่แม้แต่จะมองเลยด้วยซ้ำ เรื่องนี้ถือว่าเป็นสิ่งคุ้นชิน สำหรับคนทั้งสาม เว้นแต่อวี๋มู่หลงเท่านั้น ที่ยังไม่รู้ถึงเรื่องของหนุ่มสาวคู่นี้ แต่จากสายตาแล้วอวี๋มู่หลงเอง ก็พอจะคาดเดาได้แล้ว ว่าคนทั้งสองนั้น ต้องมีความรู้สึกลึกซึ้งต่อกัน แต่อาจด้วยหลายสิ่งอย่าง ทำให้ทั้งคู่ยังไม่แต่งงาน หรือสานสัมพันธ์รักไปมากกว่านี้ “พี่สาม”เมื่อเห็นพี่สาวไม่ได้เอ่ยสิ่งใดกับตนเองเลย นับตั้งแต่ก้าวเข้ามาถึงกระท่อม อี้หยางจึงเรียกผู้เป็นพี่ ด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ใช่เขาริษยาพี่ม่อเหลียว แต่เขาทั้งดีใจและน้อยใจปนกัน ก็ในเมื่อเขายืนหัวโด่อยู่ตรงนี้ พี่สาวก็มองเพียงพี่ม่อเหลียวคนเดียว “เจ้าเป็นผู้นำสกุลเจียงคนต่อไป แค่นี้จะมีน้ำตาได้อย่า