“พี่อี้หลาง เราไปเข้าเฝ้าเสด็จพ่อกันเถอะเจ้าค่ะ” แม้ว่านางจะขุ่นเคืองลู่เยี่ยถิง แต่เมื่อเห็นสภาพของเขาตอนนี้ ก็ทำใจมองนานมิได้เช่นกัน หญิงสาวคว้ามือคู่หมั้น เดินออกจากตรงนั้นเงียบๆ ต้วนอี้หลางก้าวตามอย่างว่าง่าย มือหยาบกร้านกระชับมือบางให้แน่นขึ้น เป็นองค์หญิงที่ดื้อเพียงใดกันนะ มือของนางจึงไม่นุ่มนิ่มอย่างที่ควรจะเป็น ชายหนุ่มยิ้มน้อยๆ อย่างน้อยยามไกลตา นางก็ปกป้องตนเองได้ “เจ้ารู้ไหมว่าตนเองเทียบกับหลานชายข้า แม้แต่คนเล็กสุดยังไม่ได้เลย แต่ทำเป็นผองขนใส่ผู้อื่น ไร้องค์หญิงไฉอ้ายหนุนหลัง เจ้าก็เป็นได้แค่สวะเท่านั้น” จางหลีเกอ เอ่ยจบก็ก้าวผ่านร่าง ที่ยังกองอยู่บนพื้นไปอย่างมิแยแส โดยมีจู้กงกงและม่อเหลียวตามไปมิห่าง “ท่านอ๋อง เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ เจ็บมากหรือไม่” คุณหนูหลงรีบเข้าประคองอ๋องหนุ่ม ก่อนจะกลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคอ เมื่อเห็นใบหน้าของลู่อ๋อง ซึ่งมีฟันหน้าหายไปถึงสองซี่ทีเดียว “ไสหัวไป!” มู่เยี่ยถิง สะบัดแขนที่หญิงสาวเกาะกุม จนร่างบางเซล้มลง แค้นนี้เขาต้องชำระ ไอ้คนชั้นต่ำนั่นจะเป็นใครเขาไม่สน แผ่นดินนี้มี
“เจ้าจะออกเดินทางเมื่อไหร่”เมื่อโน้มน้าวชายหนุ่มไม่ได้ ฮ่องเต้ก็ทำเพียง ยอมรับต่อชะตาของคนเป็นลูก “กระหม่อมจะออกเดินทางในอีกสองวันพ่ะย่ะค่ะ เพราะกระหม่อมต้องเดินทางขึ้นเหนือ ไปหาน้องสามกับน้องเล็กก่อนพ่ะย่ะค่ะ ถือเป็นการพาองค์หญิงท่องเที่ยว เปิดหูเปิดตาไปด้วยในคราเดียวด้วยพ่ะย่ะค่ะ” “ทำไมรึ! น้องสาวกับน้องชายคนเล็กของเจ้า ไปทำอะไรที่แดนเหนือ” “นางกับน้องเล็กของกระหม่อม ติดตามท่านอาจารย์ ไปหาสมุนไพรล้ำค่า เมื่อสองเดือนก่อนพ่ะย่ะค่ะ” ชายหนุ่มมิได้ทูลฮ่องเต้ไปทั้งหมด ว่าแท้จริงแล้วน้องสาวฝาแฝด กับน้องชายคนเล็กเจียงอี้หยาง ซึ่งอายุเพียงสิบขวบ ได้พากันติดตามท่านปู่ฮั่วไปแดนเหนือ และขาดการติดต่อไปสักระยะแล้ว แต่ด้วยสัญญาที่ให้ไว้ ในเรื่องการแต่งงาน เขาจึงเลือกที่จะมารับเจ้าสาว ให้เดินทางไปพร้อมกัน ค่อยจัดงานแต่งใหญ่โตให้แก่นาง ที่ชายแดนตะวันออก ตามธรรมเนียมของบ้าน “ข้าจะทำสิ่งใดได้เล่า เอาเป็นว่าขาดเหลือสิ่งใด บอกข้าก็แล้วกัน จะได้จัดหาได้ทัน” “สิ่งของสินเดิมขององค์หญิง ให้คนจากสำนักคุ้มภัยนำกลับซานชี รอเราสองคนได้เลยพ่ะย่ะค่ะ เ
สามชั่วยามต่อมา ณ โรงเตี๊ยมจุดพักม้า ต้วนอี้หลางสั่งให้หยุดพัก ด้วยเกรงว่าภรรยาจะเหน็ดเหนื่อยจนเกินไป แม้นางจะนั่งในรถม้า มิได้ถูกแดดลม ทว่ามันก็มิใช่สิ่งสบายอันใดเลย แม้ว่าภายในใจนั้น จะห่วงใยน้องๆ รวมถึงท่านปู่ฮั่วและท่านลุงอู๋ ตลอดจนเหล่าผู้ติดตาม แต่เขาก็มิอาจทำให้ภรรยาเจ็บป่วยได้เช่นกัน… ซึ่งปกติแล้วท่านลุงอู๋ จะไม่เคยขาดการติดต่อเช่นนี้ แต่อยู่ๆ ทุกคนกลับพากันหายเงียบไป เรื่องนี้ทำให้ท่านพ่อกับท่านแม่ร้อนใจ จนคิดจะเดินทางขึ้นเหนือด้วยตนเอง แต่ด้วยระยะทางที่ห่างไกล และห่วงใยในสุขภาพของทั้งสอง เขาที่เดินทางเข้าเมืองหลวง มาได้เกินครึ่งทางแล้ว จึงส่งสาสน์ด่วนแจ้งแก่พ่อแม่ ว่าจะเป็นคนเดินทางขึ้นเหนือ ไปด้วยตนเอง หลังจากรับตัวเจ้าสาว “เจ้าจะไปหาน้องๆ ทำไมต้องพาข้าไปด้วย” เมื่ออยู่กันเพียงลำพังในห้องพัก หญิงสาวก็เริ่มแผลงฤทธิ์ในทันที และนั่นทำให้ชายหนุ่มหลุดออกจากภวังค์ ก่อนจะเหลียวมองภรรยา ที่ทำหน้าบูดบึ้งอย่างคนไม่สบอารมณ์ “ข้าจะมิต้องการห่วงหน้าพะวงหลัง มิว่าตัวเจ้าที่เป็นภรรยา หรือน้องชายหญิงที่หายตัวไป ข้าล้วนเป็นห่วงทั้งสิ้น แล
แม่ทัพหนุ่มทอดสายตาเย็นเยียบ มองไปที่สาวใช้ ก่อนจะชำเลืองมองไปที่ประตู ซึ่งกำลังแง้มเปิดออกมา อย่างคนขลาดกลัว ชายหญิงคู่หนึ่ง ก้มหน้าออกมาอย่างคนรู้ผิด “เจ้าช่างเป็นน้องชายที่ดี พี่ชายเสี่ยงตายท่ามกลางคมหอกคมดาบ เจ้าก็ช่วยเหลือภรรยาพี่ชาย มิให้เปล่าเปลี่ยว น่านับถือยิ่งนักน้องพี่” แม่ทัพหนุ่มหันกลับไปเผชิญหน้า กับน้องชายและภรรยาของตนเอง ทว่าความสลดบนใบหน้าของทั้งคู่ ก็มีได้เพียงชั่วครู่เท่านั้น ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นหยิ่งผยอง อย่างคนที่ไม่ได้รู้สำนึกผิดเช่นในคราแรก นั่นเพราะมีกลุ่มคน เดินมาหยุดยังลานหน้าเรือน แม่ทัพหนุ่มยกยิ้มอย่างเย้ยหยัน เขามิใช่บุตรชายของผู้มาใหม่หรือ ไยนางยังคงรีบเร่งมาที่นี่ เพื่อออกหน้าให้แก่น้องชายเขา เช่นทุกครั้งที่ฉือจ้าวหนานทำผิด “เจ้ากลับมาแล้ว ไยไม่ไปพบแม่ก่อน หรือเห็นเมียสำคัญกว่าข้าที่เป็นมารดา” ฉือฮูหยิน รีบตำหนิบุตรชายคนโต ด้วยน้ำเสียงที่ไม่ได้มีความรักใคร่แม้แต่น้อย “ข้าย่อมเห็นสายเลือด สำคัญกว่าคนนอกอยู่แล้วขอรับ” แม่ทัพหนุ่มหันกลับไปเผชิญหน้ากับมารดา สายตาชิงชังที่ได้รับจากคนเป็นแม่ ซึ่งเป็
เพล้ง! เสียงสิ่งของตกกระทบพื้นแตก ทำให้ต้วนอี้หลางที่หลับลึกอยู่ในห้วงฝัน พลันสะดุ้งตื่นขึ้นมาอย่างกะทันหัน ก่อนที่เขาจะดีดตัวลุกขึ้น พุ่งไปยังหลังฉากกั้น ซึ่งภรรยากำลังอาบน้ำอยู่“คนบ้า! หลับตาเดี๋ยวนี้นะ!”หญิงสาวกอดตัวเองเอาไว้แน่น แม้ว่าบนกายจะสวมเสื้อคลุมเอาไว้แล้วก็ตาม“เมื่อครู่ข้าเผลอหลับไป เจ้าเป็นอะไรหรือไม่”ต้วนอี้หลางหลับตาลงตามที่ภรรยาบอก ทว่าเขาก็ยังเปิดประสาทสัมผัสทั้งหมด เพื่อตรวจจับสิ่งแปลกปลอม ที่อาจเข้ามาในช่วงเวลาที่เขาหลับลึกไป“มือข้าลื่น เลยทำแจกันตกแตกเท่านั้น เจ้าออกไปก่อน ข้าจะแต่งตัว”หญิงสาวพยักพเยิดไปยังแจกัน ที่แตกกระจายอยู่บนพื้น ไม่ห่างจากนางเท่าใดนัก“เช่นนั้น ข้าจะไปบอกให้คนยกอาหารมาให้”เมื่อเห็นแล้วว่าภรรยา ไม่ได้รับบาดเจ็บ ต้วนอี้หลางจึงรีบหาข้ออ้าง สำหรับออกไปจากตรงนี้ เพื่อให้ความเป็นส่วนตัวต่อนาง“ไม่ต้องหรอก เรากินกับทุกคนนั่นล่ะ เจ้าออกไปรอข้าข้างนอกเลยนะ”“ได้”หลังเสียงประตูปิดลง หญิงสาวก็ชะเง้อไปมองจากหลังฉากกั้น เพื่อให้แน่ใจว่าเขามิได้ใช้เล่ห์กลต่อนาง และเมื่อนางมั่นใจแล้ว ว่าสามีมิได้อยู่ภายในห้อง ใบหน้างามพลันเปลี่ยนเป็นเย็นชาหญิงสาวห
“ภรรยา...เจ้าใจเย็นก่อน”ต้วนอี้หลางรวบกอดร่างงาม ที่กำลังดิ้นรนให้พ้นอ้อมแขนของเขา ด้วยท่าทางราวนางเสือ“ใจเย็น! เจ้าจะให้ข้าใช้สามีร่วมกับผู้อื่นหรือ ข้าไม่ต้องการแบ่งเจ้ากับผู้ใด! ได้ยินไหม!”ทุกคำพูดของภรรยา ทำให้ต้วนอี้หลางอดยิ้มวกว้างไม่ได้ ชีวิตเดิมของเขา ไม่เคยมีสตรีใดหวงแหนเขาเช่นนี้มาก่อน นี่ขนาดนางประกาศว่าไม่มีใจ ยังหวงเขาขนาดนี้ ถ้ามีใจให้แก่เขา นางคงสิงร่างเขาเลยกระมัง“พี่สะใภ้โปรดใจเย็นขอรับ”น้ำเสียงปนขำขัน ทำให้สองสามีภรรยา หันไปมองยังหน้าประตู ด้วยอารมณ์ที่แตกต่างกันยิ่งนัก ไฉอ้ายดวงตาเบิกกว้าง เมื่อเห็นใบหน้าที่เหมือนกับสามีของนาง เรียกว่าแทบจะทุกจุด เพียงแค่คร้ามแดดกว่าเล็กน้อยส่วนต้วนอี้หลาง กลับมีความวิตกกังวล เข้ามาแทนที่เสียอย่างนั้น น้องชายของเขาเป็นแม่ทัพ การทิ้งกองทัพมาเช่นนี้ ย่อมหมายถึงโทษมหันต์“หยางอี้หลง! เจ้ากำลังทำสิ่งใดอยู่”น้ำเสียงกดลึกของพี่ชาย ทำให้แม่ทัพหนุ่มได้แต่ยิ้มๆ เขารู้ถึงความกังวลของคนเป็นพี่ดี แต่เขาก็รู้อีกนั่นล่ะ ว่าเหตุผลของเขาที่มายืนตรงนี้ ก็มีน้ำหนักมากพอ ที่จะทำให้พี่ชายคลายกังวลลงได้แน่นอน แต่ตอนนี้ขอเย้าแหย่ คู่ข้าวใหม่ปลามัน
ชายแดนเหนือ หุบเขาพิษ เจียงอี้หยาง ข่มกลั้นความหวาดกลัว เพื่อที่จะนำผลไม้ที่หามาได้ กลับไปให้พี่สาวกับท่านปู่ฮั่ว และท่านลุงอู๋ เพราะเขาคนเดียวที่ทำให้ทุกคน ต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ เด็กชายรู้สึกได้ ถึงสายตาที่กำลังจับจ้องเขาอยู่ แม้ว่าเขาจะผ่านการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี แต่ถ้าเทียบกับพี่ๆ ทั้งสามแล้ว เขายังห่างชั้นอยู่มากนัก หากพี่สาวไม่เอาร่างกายปกป้องเขา นางคงไม่บาดเจ็บ เมื่อนึกถึงตรงนี้ น้ำตาก็พลันไหลพราก ด้วยความเสียใจ ที่ตัวเขาคือต้นเหตุทั้งหมด กรร!!! เสียงขู่จากรอบทิศ ทำให้เจียงอี้หยาง ถึงกับสั่นเทาไปทั้งกาย สุดท้ายแล้ว...เขาก็ยังเป็นตัวถ่วงของทุกคนอยู่ดี แต่ถ้าเขาต้องรอให้คนเจ็บทั้งสาม ตื่นมาหาของกินก็คงมืดค่ำเสียก่อน เจียงอี้หยาง พยายามมองตรงไปเบื้องหน้า เพื่อมิให้สิ่งที่กำลังข่มขวัญเขาอยู่ จู่โจมเข้ามาในตอนนี้ เขาคือน้องชายของสามแฝด ผู้เก่งกาจแห่งแดนตะวันออก แค่นี้จะผ่านไปไม่ได้เชียวหรือ! แก๊ก! เสียงกิ่งไม้หัก ทำให้เด็กชายยืนตัวแข็งทื่อ ราวกับขาของเขากลายเป็นหินไปเสียอย่างนั้น ดวงตาที่พร่ามัวจากม่านน้ำตา มิอาจปกปิดแววหวาดหวั่นใ
“คุณชายใหญ่ คุณชายรอง” ฉู่เมี่ยวเองก็รู้เรื่องนี้ดี อาการเจ็บปวดของนายทั้งสอง นับว่ารุนแรงกว่าทุกครั้ง ดูได้จากใบหน้าที่เริ่มขาวซีด คุณหนูสามกำลังตกอยู่ในอันตราย... “พวกเจ้าเป็นอะไรไป หมอล่ะ! หมออยู่ในคณะของเรามีมิใช่หรือ!” ไฉอ้ายเอ่ยถามสามี และน้องชายของเขา ด้วยความแตกตื่น ยิ่งเห็นใบหน้าของทั้งสอง เริ่มไร้สีเลือด ความดื้อรั้นที่มีมาตลอด พลันเลือนหายไป กลายเป็นความห่วงใยเข้ามาแทนที่ “ไม่เป็นไร...เจ้าอย่าได้กังวล” มือที่ยังสั่นระริก ด้วยความเจ็บปวด ยกขึ้นวางทาบข้างแก้มของภรรยา เพื่อปลอบโยน ชายหนุ่มพยายามสูดลมหายใจ ให้ลึกที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทว่าทุกการหายใจเข้า มันเสียดแทงไปทั้งอก ราวมีดนับหมื่นเล่มแทงทะลุงไปในจุดเดียว น้องน้อยของเขากำลังตกอยู่ในอันตราย ครานี้นางต้องพบชะตากรรมที่ร้ายแรงเป็นแน่ มันมิเคยเจ็บเจียนตายเช่นนี้มาก่อนเลย อี้หลิงเจ้าอย่าทำให้พี่กลัว... “ดื่มชาสักหน่อยไหม เผื่อมันจะดีขึ้น” อาการแตกตื่น จนเหมือนควบคุมตนเองไม่ได้ ของหญิงสาวทำให้ต้วนอี้หลาง ปีติในใจยิ่งนัก ทว่าเวลานี้ เขาคงไม่อาจเอื้อนเอ่ยสิ่งใด
“แต่ข้ามีข้อเสนอที่ดีกว่านั้น หากเจ้าตอบรับมัน ข้าจะมิถือสาเรื่องเมื่อครู่นี้” เมื่อมีสิ่งอื่นที่ดึงดูดใจ มากกว่าการที่นางสามหาวต่อบิดา สวี่หวางจึงยื่นข้อเสนอในทันที หญิงสาวตรงหน้าอาจเพียงแค่ อยากเรียกร้องความสนใจจากเขา หาไม่แล้วมีหรือหัวหน้าผู้คุ้มกัน จะพาเขามาที่นี่ “ข้อเสนอ...คนเยี่ยงเจ้า มีข้อเสนอใดกับข้าเช่นนั้นรึ!” น้ำเสียงปนเย้ยหยันของหญิงสาว ทำให้สวี่หวางจำต้องข่มกลั้นเอาไว้ก่อน ในเมื่อหมากกระดานนี้ นางอยากควบคุม เขาก็จะยินยอมเล่นไปกับนางสักหน่อย ค่อยจบมันในหมากตัวสุดท้าย “เป็นอนุของข้า แล้วเรื่องเมื่อครู่ข้าจะปล่อยผ่านไป” “อยากฟังข้อเสนอของข้าบ้างไหม” หญิงสาวย่อนถามกลับ ด้วยน้ำเสียงที่ดูไม่จริงจังเท่าใดนัก “ว่ามาสิ! ข้าคือบุตรชายของประมุขแห่งหุบเขานี้ ไม่มีสิ่งใดที่จะหามิได้” สวี่หวางตบตนเอง พร้อมประกาศให้รู้ถึงอำนาจในมือ เขาคือบุตรชายคนโต ภายหน้าเขาก็คือประมุขผู้มั่งคั่ง เจ้าของหุบเขาแห่งนี้ แค่สตรีต่างถิ่นคนหนึ่ง มีหรือเขาจะเลี้ยงดูนางไม่ได้ “จริงหรือ...บิดาเจ้าแซ่สวี่ ไหนเลยจะเป็นประมุขได้” เมื่อได้ยินพูดของหญิงสาวตรงหน้า สวี่หวางถึงกับหน้าถอดสี หรือนี่จะ
“ข้าน้อยเพียงจะมาแจ้ง ให้ท่านผู้รักษาการทราบ ว่าตอนนี้...มีคนพบเห็น ท่านประมุขน้อยแล้วขอรับ” “ที่ไหน!” สวี่หวางรีบถามด้วยความตื่นเต้น หากวันนี้เขาสามารถทำให้อวี๋มู่หลง หายไปจากโลกนี้เสีย อนาคตของเขา ก็จะได้ไม่ต้องอยู่ภายใต้เงาผู้ใดอีก มารดาที่เป็นภรรยาแรก กลับกลายเป็นได้เพียงอนุ ที่รับเข้าสู่บ้านเท่านั้น ไม่อาจก้าวขึ้นทัดเทียมอดีตประมุข และเขาก็เป็นได้เพียงแค่ลูกที่บิดา ไม่อาจเชิดชูออกหน้าได้แม้คนเหล่านี้ จะให้ความนอบน้อมต่อเขา แต่ความเป็นจริงแล้วพวกมัน ก็ไม่เคยเห็นเขาในสายตาจริงๆ สักครั้ง หากเทียบกับอวี๋มู่หลง เจ้าสวะไร้ค่านั่น! “ในป่าท้อทิศตะวันออกของหุบเขาขอรับ” หัวหนาผู้ดูแล ตอบไปตามหน้าที่ แม้ว่าใจเขามิได้ชื่นชอบอนุและลูกๆ ของนาง ที่อาจหาญทำตัวทัดเทียมท่านประมุขน้อย แต่เขาก็ยังไม่มีอำนาจมากพอ ที่จะต่อกรกับผู้รักษาการได้ จนกว่าท่านประมุขน้อย จะก้าวขึ้นสู่อำนาจอย่างแท้จริง “พาข้าไป!” “แต่...” หัวหน้าผู้คุ้มกัน คิดที่จะปฏิเสธ ทว่า... “ฮึ! หรือเจ้าคิดจะปกป้องคนไร้ค่านั่น” สวี่หวาง พูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจเ
สิบห้าวันถัดมา ณ เรือนผู้รักษาการ เมืองหยินกวง เพล้ง! เสียงจอกสุรา ถูกปาลงพื้นจนแตกกระจาย ทำให้สาวใช้หลายนางที่ยืนรอรับใช้อยู่ พากันสะดุ้งจนสุดตัว เมื่อผู้เป็นนายกำลังมีโทสะ ก่อนที่สตรีผู้เป็นอนุของท่านผู้รักษาการ จะเดินเข้ามา แล้วส่งสัญญาให้บรรดาสาวใช้ออกไปเสีย “ท่านพี่ ไยต้องมีโทสะด้วยเจ้าคะ” ฉินชวงเดินไปยืนด้านหลังสามี ก่อนจะวางมือบนไหล่หนา แล้วออกแรงบีบนวด เพื่อให้สามีรู้สึกผ่อนคลาย แม้ว่าการอยู่อย่างไรเกียรติของนาง จะมิใช่สิ่งที่วาดฝัน แต่นางก็ยังอยากให้บุตรชายคนโต เป็นผู้สืบทอดเมืองแห่งนี้ “มีคนพามันหนีไปได้ จนตอนนี้! ข้ายังหามันไม่พบเลย” สวี่เทียนกำหมัดแน่น ยิ่งเมื่อนึกถึงตอนที่บุตรชายคนเล็ก หนีไปพร้อมกับคนแปลกหน้า มันทำให้เขาราวกับถูกตบหน้า นี่มิใช่ครั้งแรก ที่บุตรชายรอดพ้นเงื้อมือเขาไปได้อย่างหวุดหวิดเพราะนับตั้งแต่บุตรชาย ล่วงรู้ความจริงหลายอย่าง ความสัมพันธ์พ่อลูกก็ยิ่งห่างไกล แล้วอย่างไรเล่า ก็ในเมื่อสิ่งที่เขาต้องการ ไม่ใช่ความเป็นพ่อลูก แต่เขาต้องการตราประทับเท่านั้น “อาจเป็นเหล่าผู้อาวุโส ที่แอบช่วยเขาลับหลัง แต่อย่า
“ว๊าย!!! พรู๊ด!!”หญิงสาวถึงกับพ่นชาในปากออกมา เมื่อความร้อนของชาในถ้วย ทำให้นางปากแทบพอง นางลืมไปว่ามันร้อนอยู่ “เจ็บมากหรือไม่!” ม่อเหลียวรีบถามด้วยน้ำเสียงรนราน ก่อนจะล่วงเอาขวดยาเล็กๆ ออกมาจากอกเสื้อ แล้วป้อนเข้าปากหญิงสาว “คราวหน้าต้องระวังให้มากเข้าใจหรือไม่” ชายหนุ่มเอ่ยอย่างอ่อนโยน ซึ่งหากถ้าเป็นสตรีอื่น เขาไม่แม้แต่จะมองเลยด้วยซ้ำ เรื่องนี้ถือว่าเป็นสิ่งคุ้นชิน สำหรับคนทั้งสาม เว้นแต่อวี๋มู่หลงเท่านั้น ที่ยังไม่รู้ถึงเรื่องของหนุ่มสาวคู่นี้ แต่จากสายตาแล้วอวี๋มู่หลงเอง ก็พอจะคาดเดาได้แล้ว ว่าคนทั้งสองนั้น ต้องมีความรู้สึกลึกซึ้งต่อกัน แต่อาจด้วยหลายสิ่งอย่าง ทำให้ทั้งคู่ยังไม่แต่งงาน หรือสานสัมพันธ์รักไปมากกว่านี้ “พี่สาม”เมื่อเห็นพี่สาวไม่ได้เอ่ยสิ่งใดกับตนเองเลย นับตั้งแต่ก้าวเข้ามาถึงกระท่อม อี้หยางจึงเรียกผู้เป็นพี่ ด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ใช่เขาริษยาพี่ม่อเหลียว แต่เขาทั้งดีใจและน้อยใจปนกัน ก็ในเมื่อเขายืนหัวโด่อยู่ตรงนี้ พี่สาวก็มองเพียงพี่ม่อเหลียวคนเดียว “เจ้าเป็นผู้นำสกุลเจียงคนต่อไป แค่นี้จะมีน้ำตาได้อย่า
“ไม่คิดว่าจะพบคนจากแดนหนาน” ผู้คุ้มกันเมืองหยินกวง เอ่ยกับชายวันกลางคน ที่ยืนประจันหน้ากับเขาอยู่ในตอนนี้ ซึ่งการที่เขารู้ว่าคนกลุ่มนี้มาจากที่ไหน ก็เพราะการแต่งกาย และใบหน้าที่บ่งบอกเชื้อสายเผ่าพันธุ์ “พวกข้าเป็นเพียงพ่อค้า ที่ต้องการหาสินค้า เพื่อสร้างรายได้ การเข้ามาที่หุบเขา ก็มิได้ผิดต่อกฎของที่นี่แม้แต่ข้อเดียว” คนจากแคว้นหนาน เอ่ยกับผู้คุ้มกันเมือง ซึ่งเป็นที่รู้กันดีว่าเวลานี้ ผู้รักษาการแทนประมุข ได้คิดเปลี่ยนแปลงการปกครอง และคิดจะแทรกซึมเข้าสู่แคว้นต่างๆ เพื่อหวังผลที่ยิ่งใหญ่กว่า การเป็นแค่ผู้ปรุงยาแก้พิษ และขายสมุนไพรล้ำค่าเท่านั้น “พวกข้าก็ไม่ได้คิดจะกล่าวหาสิ่งใดพวกท่าน แค่อยากตรวจดูผู้คนเข้าออก เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีกบฏ ที่กำลังหลบหนีซ่อนตัวอยู่ในคณะของพวกท่าน” คำพูดของผู้คุ้มกันเมือง ทำให้อวี๋มู่หลง ที่ซ่อนตัวอยู่ไม่ไกล กำหมัดแน่นจนเส้นเลือดปูดโปน เขาคือประมุขที่แท้จริง แต่ไยเวลานี้กลายเป็นเพียงกบฏคนหนึ่งไปได้ “ตามสบาย” ชายผู้นั้นผายมือให้แก่เหล่าผู้คุ้มกันเมือง ก่อนจะชำเลืองมองไปที่ผู้ติดตามของตน ทุกคนจึงขย
“น้องชายเจ้ากับอู๋หยาง ทำรางส่งน้ำมาไว้ห้องข้างๆ นี่เอง เจ้าต้องแช่ยาทุกสามชั่วยาม ในช่วงห้าวันแรกของการรักษา อี้หยางดูแลเจ้าไม่ห่างไปไหน อ่อ...วางใจได้ ไม่มีใครได้เห็นในสิ่งไม่ควรทั้งสิ้น”แน่นอนว่าคนที่จัดการทุกอย่างให้แก่พี่สาว ย่อมต้องเป็นเจียงอี้หยาง เด็กน้อยคนนี้ชำนาญนักในการทำแผล ดังนั้นต่อให้หลับตา เขาก็สามารถเปลี่ยนผ้าพันแผลได้อย่างไม่ผิดพลาด และยังมีหลากหลายวิธี ในการเปลี่ยนเสื้อผ้าของคนป่วย โดยไม่เห็นสัดส่วนของคนเจ็บได้การเรียนรู้เหล่านี้ มารดาล้วนสอนพวกนางสี่พี่น้อง และฝึกฝนจนชำนาญ แต่หากเทียบกับอี้หยางแล้ว สามแฝดนับว่าฝีมือห่างชั้นกับน้องชายคนเล็กมากทีเดียว“เช่นนั้นรบกวนท่านปู่ ส่งข้าที่ห้องนั้นได้หรือไม่นะเจ้าคะ”หญิงสาวยิ้มน้อยๆ ด้วยเรี่ยวแรงตอนนี้ มันหดหายไปเกินครึ่งที่มีเลยทีเดียว แม้แต่หายใจยังรู้สึกเหนื่อยตลาดเมืองหยินกวง หุบเขาพิษ ม่อเหลียวที่นั่งดื่มชาอยู่ ชะงักมือเล็กน้อย ก่อนจะหันมองไปยังกลุ่มคนที่ยืนเลือกสิ่งของอยู่ ชายหนุ่มวางถ้วยชาลง ก่อนจะส่งสัญญาณเรียกเจ้าของร้าน เพื่อมาคิดเงินค่าชา ที่เขาดื่มไปเมื่อครู่ ชายหนุ่มจ่ายเงินเรียบร้อย ก็ลุกข
ใบหน้างามที่ชื้นเหงื่อ ส่ายไปมาน้อยๆ เมื่อรู้สึกได้ถึงความเย็นที่สัมผัสกับใบหน้า ทว่าดวงตานั้นยังคงปิดสนิทอยู่“อี้หลิง”ชายชราเรียกหญิงสาวด้วยความดีใจ กว่ายี่สิบวัน ที่ศิษย์รักของเขาสิ้นสติไป และการมีสติรับรู้ของนางในวันนี้ นับว่าสมุนไพรในกระท่อมลับแห่งนี้ ทรงคุณค่ายิ่งนัก“น้ำ...ขอน้ำ”น้ำเสียงแหบโหยร้องขอน้ำดื่ม ด้วยคอของนางแห้งผาด ราวทะเลทรายอันแห้งแล้ง ทว่าดวงตานั้นยังคงปิดสนิท มีเพียงเปลือกตาที่ขยับน้อยๆ ก่อนจะค่อยๆ เปิดขึ้น แล้วปิดลงอย่างรวดเร็วอีกครั้ง เมื่อสายตาของนาง มิอาจสู้แสงได้อย่างกะทันหัน“นี่...น้ำจากต้นไผ่ มันจะช่วยให้เจ้ารู้สึกชุ่มคอขึ้น”ฮั่วเจ๋อ เอ่ยอย่างใจเย็น รอให้ดวงตาคู่งามของหญิงสาว เปิดขึ้นอีกครั้ง ในฐานะหมอคนหนึ่ง การที่ทำให้คนไข้ พ้นจากมือมัจจุราชได้ นับว่าเป็นความสำเร็จอีกขั้นเมื่อสิบกว่าวันก่อน เขากับอู๋หยางได้ตื่นขึ้นมา ทว่ารอบกายกลับไร้เงาของศิษย์รักทั้งสอง ทำให้เขาสองคนที่อาการยังหนักอยู่ ร้อนใจยิ่งนักยิ่งเมื่อมองสำรวจโดยรอบที่พัก สัมภาระที่ยังเหลือติดตัวของทุกคน ยังคงอยู่ที่เดิม นั่นยิ่งทำให้เขาสองคน ไม่อาจนิ่งดูดายได้ ฝืนกินยาต้องห้าม ที่จะมีฤทธิ์
ภายในงานเลี้ยง ฉลองวันครบรอบห้าขวบของคุณชายอวี๋มู่หลง มีความบันเทิงมากมายจากหลายสกุล ที่นำมาร่วมแสดง สองแม่ลูกสกุลอวี๋นั่งจับมือกันนิ่ง สายตามองตรงไปยังลานกว้าง ที่มีการแสดงจากสกุลผู้อาวุโส จนเมื่อเสียงดนตรีหยุดลง หญิงสาวยังคงฝืนข่มกลั้นอาการเจ็บร้าวในร่างกายเอาไว้ แล้วลุกขึ้นจูงบุตรชาย ออกไปยืนต่อหน้าทุกคน เพื่อทำให้สิ่งที่นางจะทำได้ ตอนยังหายใจอยู่ “ข้าขอขอบคุณทุกท่าน ที่มาร่วมยินดีกับมู่หลงในวันนี้ และข้าก็ถือโอกาส มอบของขวัญที่ล้ำค่าแก่เขา บุตรชายเพียงคนเดียวของข้าอวี๋เมี่ยว” เด็กชายเงยหน้ามองมารดา แม้เขาจะยังเด็กอยู่ แต่ก็พอรู้ว่ามารดานั้นกำลังเจ็บป่วย และเขาได้จดจำ ทุกคำสอนของนางเอาไว้เป็นอย่างดี เขาคือผู้นำคนต่อไป อย่าได้แสดงทุกความรู้สึกออกมา เหมือนนาง...จนนำพาครอบครัวพังพินาศ แม้เขาจะยังไม่เข้าใจมากนัก ว่าอะไรคือคำว่าพินาศ แต่ก็ไม่เคยคิดที่จะละเลยคำกล่าวของมารดา ยิ่งตอนนี้เขาเห็นเด็กชายหญิง ที่อายุมากกว่าตนเอง ได้รับความสนใจจากบิดา เขาจึงยิ่งต้องการมารดาคอยปลอบขวัญ “ข้าก็เป็นสตรีผู้หนึ่ง ที่ได้มีโอกาสให้กำเนิดบุตร ซึ่งข้ายอมรับอย่า
ความหมางเมินของประมุขและสามี ดูจะเป็นที่พอใจของสาวใช้ข้างกายยิ่งนัก จนเวลาที่ล่วงเลยจากเดือนเป็นปี ทุกอย่างดูเหมือนจะเลวร้ายลงกว่าเดิมหลายเท่านัก และวันนี้บุตรชายของทั้งคู่ ก็อายุครบห้าขวบ ในฐานะทายาทเพียงหนึ่งเดียว แน่นอนว่าการเฉลิมฉลอง ย่อมมีขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ อวี๋เมี่ยวแต่งกายด้วยชุดเต็มยศ นางใช้เวลามาหลายปี เพื่อที่จะปรุงยาถอนพิษ ทว่ามันยังคงเกินความสามารถของนางไปมาจริงๆ ไหนจะอุปสรรคจากคนรอบกายของนาง ล้วนแล้วแต่เป็นคนของสามี ไม่เว้นแม้แต่สาวใช้ที่เติบโตมาด้วยกัน ยังแปรพรรคไปแล้วหลายปี ซึ่งทุกอย่าง...ล้วนเป็นความผิดของนางทั้งสิ้น ที่เลือกคนแบบสวี่เทียนเข้ามาในชีวิต คนจรที่นางชุบกายให้เขาให้สูงค่า บัดนี้เป็นเขาที่แว้งกัดนาง ยังดีที่ชาวเมืองยังคงยึดมั่น ต่อสายเลือดและสิ่งยืนยันฐานะ ของประมุขในทุกรุ่น “เสี่ยวไป๋ เจ้าจงมอบมันให้นายน้อย เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม ข้าคงอยู่กับเขาและเจ้าได้อีกไม่นานแล้ว” หญิงสาวลูบหัวของหมาป่าคู่ใจ มันย่อมรู้ดีไม่แพ้นาง ว่าลมหายใจที่มีของนาง มันกำลังจะหมดลงในไม่ช้า เช่นเดียวกับที่ตัวตนของสามี ได้แสดงออกมาให้นางได้เห็นในเวลา