“บางทีครอบครัวใหม่ อาจดีกว่าเช่นที่เรามีในตอนนี้นะขอรับ”“ใช่! อย่ายึดติดกับเรื่องอดีต และเรื่องขอผู้อื่นให้มาก จงมีความสุขในแบบของเราก็พอ”ต้วนอี้หลางเตือนสติน้องชาย แม้เขาเองก็ยากปล่อยวางในบางเรื่อง แต่เมื่อมีโอกาสเริ่มเส้นทางใหม่ ไยต้องนำสิ่งเหม็นเน่าในอดีต มาให้อนาคตแปดเปื้อนด้วยเล่า“ขอรับ”สองพี่น้องยังคงใส่ใจ กับเบ็ดที่อยู่ในมือ และมีบางครั้ง ที่หันไปตามเสียงหวีดร้อง ของเด็กหญิงทั้งสอง ที่จับกุ้งไปเล่นน้ำไป โดยมีสายตาโกรธแค้น ของใครบางคน มองออกมาจากราวป่า ห่างจากลำธารไปไม่มากนักสายตาคู่นั้นมองไปที่เด็กแฝดทั้งสาม มันช่างอัดแน่นไปด้วยไฟแค้นสุมอก ยิ่งเห็นความอิ่มเอิบของใบหน้า ที่เต็มไปด้วยความอุดมในการใช้ชีวิต ไหนจะอาภรณ์เนื้อดีบนกายของทั้งสามทำให้เขาอดยกมือ ลูบใบหน้าที่ซูบตอบของตนไม่ได้ ไหนจะเสื้อผ้าที่เปรอะเปื้อน เยี่ยงขอทาน มันช่างน่าอดสูนัก ชีวิตสวยหรูของเขาหายไป เพราะการมาของเด็กพวกนี้ โดยเฉพาะมารดาของพวกมัน... “พวกเจ้า! มันสมควรตายไปตั้งนานแล้ว” จางหย่งชาง สอดส่ายสายตา หาคนที่ทำลายเขาอย่างแท้จริง บุตรสาวที่เขามองนาง เป็นหนามหยอกอกมาตลอด ยิ่งเมื่อนึกถึงบุต
“เจ้า!” “ท่านเลือกเองนะเส้นทางนี้ ท่านยายกับท่านแม่ของข้า มิได้บังคับท่านแม้แต่ครึ่งคำ” “เจ้าจะไปรู้อะไร! พวกนางน่ะหรือไม่บีบคั้นข้า! ให้ทำเช่นนั้น หากนางมองว่าข้า มีความสามารถด้วยตนเอง มิใช่มาจากบารมีของนาง มีหรือข้าจะใจดำขนาดนั้น” จางหย่งชางเอ่ยถึงอดีตภรรยา ด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ เขาก้าวจากคนยากไร้ สู่การเป็นบัณฑิตมันมิใชเรื่องง่าย แต่พอแต่งงานกับนาง เขาถูกคนทั้งราชสำนัก มองว่าพึ่งบารมีสกุลภรรยา คนก้มหัวให้ในยามประจันหน้า แต่เมื่อหันหลังให้ ล้วนมีสายตาหยามหยันมองมาเสมอ “ฮ่าๆ มิว่าอดีตหรือปัจจุบัน รึแม้แต่อนาคต คนระดับล่างที่คิดก้าวหน้า ล้วนต้องมีคนที่อยู่เบื้องหลัง จึงจะสยายปีกได้ในโลกแห่งอำนาจและการแข่ง หากไร้ท่านยายในวันนั้น จะมีหรือเสนาบดีที่มีนามจางหย่งชาง ดื่มกินของเขายังเนรคุณได้ พอถึงตาตัวเองโดนบ้าง ทำเป็นร้อง!” “สารเลว!” จางหย่งชางไม่คิดเลยว่าสุดท้ายแล้ว เขาจะยังถูกหมิ่น แม้แต่หลานแท้ๆ ยังไร้ความยำเกรง ต้วนอี้หรู ไม่เอ่ยสิ่งใด แม้ว่าภายในใจนาง มีนับหมื่นล้านคำ ที่อยากถารมบุตรชายออกไปตรงๆ แต่แล้วอย่างไร ในเมื่อตอนนี้
สิบวันต่อมา หน้าประตูเมืองทิศตะวันออก รถม้าคันใหญ่ ที่มิบ่งบอกว่าเป็นของสกุลใด จอดนิ่งอยู่ไม่ห่างจากคณะเดินทาง ของครอบครัวสกุลต้วน ที่มีสำนักคุ้มภัยสกุลเจียง เป็นผู้คุ้มกันซึ่งเป็นการหลบเลี่ยงการโจมตี จากเหล่าขุนนาง ที่ยังคงมีใจเอนเนียงออกจากฮ่องเต้ ถึงกำจัดเสาหลักสำคัญของกบฏไปได้ แต่ก็มิได้หมายความว่าจะหมดสิ้นไปเสียทั้งหมด ซึ่งภายในรถม้า โอรสสวรรค์กำลังนั่งสบสายตา กับสองชายชรา ผู้เป็นประมุขสกุลเจียงและสกุลหยาง ต่อให้เขารู้ว่าสองสกุลภักดีแค่ไหน แต่มีหรือจะเชื่อได้จนสนิทใจ สองสกุลใหญ่เกี่ยวดองกัน ผ่านทางรุ่นหลาน ซึ่งได้มีการยกน้ำชาต่อหน้าเขาไปแล้ว เมื่อสองวันก่อน พร้อมทั้งตัวเขาได้ช่วยไกล่เกลี่ย เรื่องการแย่งชิงทายาทของสามสกุล ทั้งสกุลหยาง สกุลต้วน และสกุลเจียง เขาในฐานะผู้เป็นใหญ่ จำต้องให้เด็กแฝดทั้งสาม แบ่งให้คนละสกุลไปเสียเลย ซึ่งนี่ทำให้เขาต้องเฝ้าระวัง เมื่ออำนาจรวมตัวกันมากไป ย่อมไม่เป็นผลดีต่อบัลลังก์ “เหลนคนโตของพวกเจ้า จะต้องแต่งแก่บุตรสาวคนเล็กของข้า เรื่องนี้จะยินยอมหรือไม่ ข้าไม่สนใจ เมื่อถึงวัยที่เหมาะสม ต้วนอี้หลางต้องแต่งกับ
“มันหาใช่เรื่องที่ต้องคิดให้มากความขอรับ ข้าในฐานะบุตรชายคนโต ย่อมต้องตอบรับ มิเช่นนั้นฝ่าบาท ต้องหาเรื่องให้ท่านพ่อกับท่านแม่ สั่นคลอนกันในสักวัน” ต้วนอี้หลาง รู้ได้จากสายตาของฮ่องเต้ ว่าถ้าเขาปฏิเสธไป ย่อมต้องมอบสตรีอื่น มาให้แก่บิดาเลี้ยงของเขา หากเป็นเช่นนั้นต้องเกิดความขัดแย้ง หรือถ้ามารดายินยอม ฐานะของนางก็จะลดลงมาเป็นเพียงภรรยารอง แล้วเขาที่มีโอกาสเติบโตไปภายหน้า จะทำลายความสุขของพ่อแม่ ที่เดินไปตามเวลา ซึ่งจะลดลงในทุกวันได้อย่างไร แค่แต่งงานกับสตรีที่สูงศักดิ์ มันหาได้เหนือบ่ากว่าแรงเขาสักนิด บทเรียนคือสิ่งที่ต้องจดจำ และนำมาปรับใช้ให้เหมาะสม เรื่องนี้ก็เช่นกัน ฮ่องเต้มั่นใจว่าถือหมากเหนือกว่าเขา ไยเขาต้องไปขัดแย้งในเวลานี้ รอให้อีกฝ่ายแก่หงอม เขาค่อยยึดหมากมาเป็นของตัวเองก็มิสาย “เจ้ายังเล็กนัก ย่อมยากจะแยกแยะเรื่องหัวใจ หากวันใดเจ้าพบคนที่เจ้ารัก จะทำเยี่ยงไร กฎของบ้านเรามีได้เพียงหนึ่งภรรยาเท่านั้น” “ความรักเป็นสิ่งสวยงามขอรับ แต่ครอบครัวย่อมสำคัญกว่า หากข้าเสียสละหัวใจตนเองไป แล้วทุกคนในบ้านสงบสุข ก็ถือเสียว่านี่เป็นชะตาที่ถูกลิ
สิบห้าปีต่อมา ณ เมืองหลวง “เจ้ามันต่ำช้า ไฉอ้าย!” ลู่อ๋องชี้นิ้วไปที่ใบหน้าขององค์หญิงไฉอ้าย พระธิดาองค์เล็กในองค์ฮ่องเต้ นางที่มีวัยห่างจากพี่น้องมากที่สุด จึงเป็นที่รักของพระบิดา ด้วยเหตุนี้นางจึงมีนิสัยดื้อรั้นและเอาแต่ใจ “แล้วอย่างไร! ในเมื่อข้ามิได้ทำ แต่ข้าก็มิใช่คนดี ที่จะทำตัวเยี่ยงนางเอก ในนิยายตามข้างถนน” หญิงสาวยังคงยืนกราน ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ นางมิได้มีส่วนรู้เห็น หรือลงมือทำร้ายผู้ใด นางยอมรับว่าออกจากตำหนักมาที่นี่ เพื่อได้พบหน้าเขา ชายที่นางรักปักใจ “ท่านอ๋อง โปรดอย่าได้ตำหนิองค์หญิงเลยเจ้าค่ะ” คุณหนูจากสกุลหลง รีบวางมือบนท่อนแขนของอ๋องหนุ่ม เพื่อปรามมิให้เขาเอาชีวิตไปเสี่ยง กับการต่อกรกับองค์หญิงไฉอ้าย สตรีผู้เอาแต่ใจ “เจ้ายอมนางเกินไปแล้ว คนเยี่ยงนางหากไม่ใช่องค์หญิง ก็หาค่าอันใดไม่ได้สักนิดเดียว” ไฉอ้ายมองชายที่นางหลงรัก และช่วยผลักดันครอบครัวอ๋องตราตั้งให้มั่งมี เพียงแค่นางมิใช่สตรีอ่อนโยน เช่นหญิงสาวที่ยืนเคียงเขา ผลตอบแทนที่นางทุ่มเทอยู่เบื้องหลัง คือความชิงชังที่เขามอบให้นี่หรือ...
“พี่อี้หลาง เราไปเข้าเฝ้าเสด็จพ่อกันเถอะเจ้าค่ะ” แม้ว่านางจะขุ่นเคืองลู่เยี่ยถิง แต่เมื่อเห็นสภาพของเขาตอนนี้ ก็ทำใจมองนานมิได้เช่นกัน หญิงสาวคว้ามือคู่หมั้น เดินออกจากตรงนั้นเงียบๆ ต้วนอี้หลางก้าวตามอย่างว่าง่าย มือหยาบกร้านกระชับมือบางให้แน่นขึ้น เป็นองค์หญิงที่ดื้อเพียงใดกันนะ มือของนางจึงไม่นุ่มนิ่มอย่างที่ควรจะเป็น ชายหนุ่มยิ้มน้อยๆ อย่างน้อยยามไกลตา นางก็ปกป้องตนเองได้ “เจ้ารู้ไหมว่าตนเองเทียบกับหลานชายข้า แม้แต่คนเล็กสุดยังไม่ได้เลย แต่ทำเป็นผองขนใส่ผู้อื่น ไร้องค์หญิงไฉอ้ายหนุนหลัง เจ้าก็เป็นได้แค่สวะเท่านั้น” จางหลีเกอ เอ่ยจบก็ก้าวผ่านร่าง ที่ยังกองอยู่บนพื้นไปอย่างมิแยแส โดยมีจู้กงกงและม่อเหลียวตามไปมิห่าง “ท่านอ๋อง เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ เจ็บมากหรือไม่” คุณหนูหลงรีบเข้าประคองอ๋องหนุ่ม ก่อนจะกลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคอ เมื่อเห็นใบหน้าของลู่อ๋อง ซึ่งมีฟันหน้าหายไปถึงสองซี่ทีเดียว “ไสหัวไป!” มู่เยี่ยถิง สะบัดแขนที่หญิงสาวเกาะกุม จนร่างบางเซล้มลง แค้นนี้เขาต้องชำระ ไอ้คนชั้นต่ำนั่นจะเป็นใครเขาไม่สน แผ่นดินนี้มี
“เจ้าจะออกเดินทางเมื่อไหร่”เมื่อโน้มน้าวชายหนุ่มไม่ได้ ฮ่องเต้ก็ทำเพียง ยอมรับต่อชะตาของคนเป็นลูก “กระหม่อมจะออกเดินทางในอีกสองวันพ่ะย่ะค่ะ เพราะกระหม่อมต้องเดินทางขึ้นเหนือ ไปหาน้องสามกับน้องเล็กก่อนพ่ะย่ะค่ะ ถือเป็นการพาองค์หญิงท่องเที่ยว เปิดหูเปิดตาไปด้วยในคราเดียวด้วยพ่ะย่ะค่ะ” “ทำไมรึ! น้องสาวกับน้องชายคนเล็กของเจ้า ไปทำอะไรที่แดนเหนือ” “นางกับน้องเล็กของกระหม่อม ติดตามท่านอาจารย์ ไปหาสมุนไพรล้ำค่า เมื่อสองเดือนก่อนพ่ะย่ะค่ะ” ชายหนุ่มมิได้ทูลฮ่องเต้ไปทั้งหมด ว่าแท้จริงแล้วน้องสาวฝาแฝด กับน้องชายคนเล็กเจียงอี้หยาง ซึ่งอายุเพียงสิบขวบ ได้พากันติดตามท่านปู่ฮั่วไปแดนเหนือ และขาดการติดต่อไปสักระยะแล้ว แต่ด้วยสัญญาที่ให้ไว้ ในเรื่องการแต่งงาน เขาจึงเลือกที่จะมารับเจ้าสาว ให้เดินทางไปพร้อมกัน ค่อยจัดงานแต่งใหญ่โตให้แก่นาง ที่ชายแดนตะวันออก ตามธรรมเนียมของบ้าน “ข้าจะทำสิ่งใดได้เล่า เอาเป็นว่าขาดเหลือสิ่งใด บอกข้าก็แล้วกัน จะได้จัดหาได้ทัน” “สิ่งของสินเดิมขององค์หญิง ให้คนจากสำนักคุ้มภัยนำกลับซานชี รอเราสองคนได้เลยพ่ะย่ะค่ะ เ
สามชั่วยามต่อมา ณ โรงเตี๊ยมจุดพักม้า ต้วนอี้หลางสั่งให้หยุดพัก ด้วยเกรงว่าภรรยาจะเหน็ดเหนื่อยจนเกินไป แม้นางจะนั่งในรถม้า มิได้ถูกแดดลม ทว่ามันก็มิใช่สิ่งสบายอันใดเลย แม้ว่าภายในใจนั้น จะห่วงใยน้องๆ รวมถึงท่านปู่ฮั่วและท่านลุงอู๋ ตลอดจนเหล่าผู้ติดตาม แต่เขาก็มิอาจทำให้ภรรยาเจ็บป่วยได้เช่นกัน… ซึ่งปกติแล้วท่านลุงอู๋ จะไม่เคยขาดการติดต่อเช่นนี้ แต่อยู่ๆ ทุกคนกลับพากันหายเงียบไป เรื่องนี้ทำให้ท่านพ่อกับท่านแม่ร้อนใจ จนคิดจะเดินทางขึ้นเหนือด้วยตนเอง แต่ด้วยระยะทางที่ห่างไกล และห่วงใยในสุขภาพของทั้งสอง เขาที่เดินทางเข้าเมืองหลวง มาได้เกินครึ่งทางแล้ว จึงส่งสาสน์ด่วนแจ้งแก่พ่อแม่ ว่าจะเป็นคนเดินทางขึ้นเหนือ ไปด้วยตนเอง หลังจากรับตัวเจ้าสาว “เจ้าจะไปหาน้องๆ ทำไมต้องพาข้าไปด้วย” เมื่ออยู่กันเพียงลำพังในห้องพัก หญิงสาวก็เริ่มแผลงฤทธิ์ในทันที และนั่นทำให้ชายหนุ่มหลุดออกจากภวังค์ ก่อนจะเหลียวมองภรรยา ที่ทำหน้าบูดบึ้งอย่างคนไม่สบอารมณ์ “ข้าจะมิต้องการห่วงหน้าพะวงหลัง มิว่าตัวเจ้าที่เป็นภรรยา หรือน้องชายหญิงที่หายตัวไป ข้าล้วนเป็นห่วงทั้งสิ้น แล
“ว๊าย!!! พรู๊ด!!”หญิงสาวถึงกับพ่นชาในปากออกมา เมื่อความร้อนของชาในถ้วย ทำให้นางปากแทบพอง นางลืมไปว่ามันร้อนอยู่ “เจ็บมากหรือไม่!” ม่อเหลียวรีบถามด้วยน้ำเสียงรนราน ก่อนจะล่วงเอาขวดยาเล็กๆ ออกมาจากอกเสื้อ แล้วป้อนเข้าปากหญิงสาว “คราวหน้าต้องระวังให้มากเข้าใจหรือไม่” ชายหนุ่มเอ่ยอย่างอ่อนโยน ซึ่งหากถ้าเป็นสตรีอื่น เขาไม่แม้แต่จะมองเลยด้วยซ้ำ เรื่องนี้ถือว่าเป็นสิ่งคุ้นชิน สำหรับคนทั้งสาม เว้นแต่อวี๋มู่หลงเท่านั้น ที่ยังไม่รู้ถึงเรื่องของหนุ่มสาวคู่นี้ แต่จากสายตาแล้วอวี๋มู่หลงเอง ก็พอจะคาดเดาได้แล้ว ว่าคนทั้งสองนั้น ต้องมีความรู้สึกลึกซึ้งต่อกัน แต่อาจด้วยหลายสิ่งอย่าง ทำให้ทั้งคู่ยังไม่แต่งงาน หรือสานสัมพันธ์รักไปมากกว่านี้ “พี่สาม”เมื่อเห็นพี่สาวไม่ได้เอ่ยสิ่งใดกับตนเองเลย นับตั้งแต่ก้าวเข้ามาถึงกระท่อม อี้หยางจึงเรียกผู้เป็นพี่ ด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ใช่เขาริษยาพี่ม่อเหลียว แต่เขาทั้งดีใจและน้อยใจปนกัน ก็ในเมื่อเขายืนหัวโด่อยู่ตรงนี้ พี่สาวก็มองเพียงพี่ม่อเหลียวคนเดียว “เจ้าเป็นผู้นำสกุลเจียงคนต่อไป แค่นี้จะมีน้ำตาได้อย่า
“ไม่คิดว่าจะพบคนจากแดนหนาน” ผู้คุ้มกันเมืองหยินกวง เอ่ยกับชายวันกลางคน ที่ยืนประจันหน้ากับเขาอยู่ในตอนนี้ ซึ่งการที่เขารู้ว่าคนกลุ่มนี้มาจากที่ไหน ก็เพราะการแต่งกาย และใบหน้าที่บ่งบอกเชื้อสายเผ่าพันธุ์ “พวกข้าเป็นเพียงพ่อค้า ที่ต้องการหาสินค้า เพื่อสร้างรายได้ การเข้ามาที่หุบเขา ก็มิได้ผิดต่อกฎของที่นี่แม้แต่ข้อเดียว” คนจากแคว้นหนาน เอ่ยกับผู้คุ้มกันเมือง ซึ่งเป็นที่รู้กันดีว่าเวลานี้ ผู้รักษาการแทนประมุข ได้คิดเปลี่ยนแปลงการปกครอง และคิดจะแทรกซึมเข้าสู่แคว้นต่างๆ เพื่อหวังผลที่ยิ่งใหญ่กว่า การเป็นแค่ผู้ปรุงยาแก้พิษ และขายสมุนไพรล้ำค่าเท่านั้น “พวกข้าก็ไม่ได้คิดจะกล่าวหาสิ่งใดพวกท่าน แค่อยากตรวจดูผู้คนเข้าออก เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีกบฏ ที่กำลังหลบหนีซ่อนตัวอยู่ในคณะของพวกท่าน” คำพูดของผู้คุ้มกันเมือง ทำให้อวี๋มู่หลง ที่ซ่อนตัวอยู่ไม่ไกล กำหมัดแน่นจนเส้นเลือดปูดโปน เขาคือประมุขที่แท้จริง แต่ไยเวลานี้กลายเป็นเพียงกบฏคนหนึ่งไปได้ “ตามสบาย” ชายผู้นั้นผายมือให้แก่เหล่าผู้คุ้มกันเมือง ก่อนจะชำเลืองมองไปที่ผู้ติดตามของตน ทุกคนจึงขย
“น้องชายเจ้ากับอู๋หยาง ทำรางส่งน้ำมาไว้ห้องข้างๆ นี่เอง เจ้าต้องแช่ยาทุกสามชั่วยาม ในช่วงห้าวันแรกของการรักษา อี้หยางดูแลเจ้าไม่ห่างไปไหน อ่อ...วางใจได้ ไม่มีใครได้เห็นในสิ่งไม่ควรทั้งสิ้น”แน่นอนว่าคนที่จัดการทุกอย่างให้แก่พี่สาว ย่อมต้องเป็นเจียงอี้หยาง เด็กน้อยคนนี้ชำนาญนักในการทำแผล ดังนั้นต่อให้หลับตา เขาก็สามารถเปลี่ยนผ้าพันแผลได้อย่างไม่ผิดพลาด และยังมีหลากหลายวิธี ในการเปลี่ยนเสื้อผ้าของคนป่วย โดยไม่เห็นสัดส่วนของคนเจ็บได้การเรียนรู้เหล่านี้ มารดาล้วนสอนพวกนางสี่พี่น้อง และฝึกฝนจนชำนาญ แต่หากเทียบกับอี้หยางแล้ว สามแฝดนับว่าฝีมือห่างชั้นกับน้องชายคนเล็กมากทีเดียว“เช่นนั้นรบกวนท่านปู่ ส่งข้าที่ห้องนั้นได้หรือไม่นะเจ้าคะ”หญิงสาวยิ้มน้อยๆ ด้วยเรี่ยวแรงตอนนี้ มันหดหายไปเกินครึ่งที่มีเลยทีเดียว แม้แต่หายใจยังรู้สึกเหนื่อยตลาดเมืองหยินกวง หุบเขาพิษ ม่อเหลียวที่นั่งดื่มชาอยู่ ชะงักมือเล็กน้อย ก่อนจะหันมองไปยังกลุ่มคนที่ยืนเลือกสิ่งของอยู่ ชายหนุ่มวางถ้วยชาลง ก่อนจะส่งสัญญาณเรียกเจ้าของร้าน เพื่อมาคิดเงินค่าชา ที่เขาดื่มไปเมื่อครู่ ชายหนุ่มจ่ายเงินเรียบร้อย ก็ลุกข
ใบหน้างามที่ชื้นเหงื่อ ส่ายไปมาน้อยๆ เมื่อรู้สึกได้ถึงความเย็นที่สัมผัสกับใบหน้า ทว่าดวงตานั้นยังคงปิดสนิทอยู่“อี้หลิง”ชายชราเรียกหญิงสาวด้วยความดีใจ กว่ายี่สิบวัน ที่ศิษย์รักของเขาสิ้นสติไป และการมีสติรับรู้ของนางในวันนี้ นับว่าสมุนไพรในกระท่อมลับแห่งนี้ ทรงคุณค่ายิ่งนัก“น้ำ...ขอน้ำ”น้ำเสียงแหบโหยร้องขอน้ำดื่ม ด้วยคอของนางแห้งผาด ราวทะเลทรายอันแห้งแล้ง ทว่าดวงตานั้นยังคงปิดสนิท มีเพียงเปลือกตาที่ขยับน้อยๆ ก่อนจะค่อยๆ เปิดขึ้น แล้วปิดลงอย่างรวดเร็วอีกครั้ง เมื่อสายตาของนาง มิอาจสู้แสงได้อย่างกะทันหัน“นี่...น้ำจากต้นไผ่ มันจะช่วยให้เจ้ารู้สึกชุ่มคอขึ้น”ฮั่วเจ๋อ เอ่ยอย่างใจเย็น รอให้ดวงตาคู่งามของหญิงสาว เปิดขึ้นอีกครั้ง ในฐานะหมอคนหนึ่ง การที่ทำให้คนไข้ พ้นจากมือมัจจุราชได้ นับว่าเป็นความสำเร็จอีกขั้นเมื่อสิบกว่าวันก่อน เขากับอู๋หยางได้ตื่นขึ้นมา ทว่ารอบกายกลับไร้เงาของศิษย์รักทั้งสอง ทำให้เขาสองคนที่อาการยังหนักอยู่ ร้อนใจยิ่งนักยิ่งเมื่อมองสำรวจโดยรอบที่พัก สัมภาระที่ยังเหลือติดตัวของทุกคน ยังคงอยู่ที่เดิม นั่นยิ่งทำให้เขาสองคน ไม่อาจนิ่งดูดายได้ ฝืนกินยาต้องห้าม ที่จะมีฤทธิ์
ภายในงานเลี้ยง ฉลองวันครบรอบห้าขวบของคุณชายอวี๋มู่หลง มีความบันเทิงมากมายจากหลายสกุล ที่นำมาร่วมแสดง สองแม่ลูกสกุลอวี๋นั่งจับมือกันนิ่ง สายตามองตรงไปยังลานกว้าง ที่มีการแสดงจากสกุลผู้อาวุโส จนเมื่อเสียงดนตรีหยุดลง หญิงสาวยังคงฝืนข่มกลั้นอาการเจ็บร้าวในร่างกายเอาไว้ แล้วลุกขึ้นจูงบุตรชาย ออกไปยืนต่อหน้าทุกคน เพื่อทำให้สิ่งที่นางจะทำได้ ตอนยังหายใจอยู่ “ข้าขอขอบคุณทุกท่าน ที่มาร่วมยินดีกับมู่หลงในวันนี้ และข้าก็ถือโอกาส มอบของขวัญที่ล้ำค่าแก่เขา บุตรชายเพียงคนเดียวของข้าอวี๋เมี่ยว” เด็กชายเงยหน้ามองมารดา แม้เขาจะยังเด็กอยู่ แต่ก็พอรู้ว่ามารดานั้นกำลังเจ็บป่วย และเขาได้จดจำ ทุกคำสอนของนางเอาไว้เป็นอย่างดี เขาคือผู้นำคนต่อไป อย่าได้แสดงทุกความรู้สึกออกมา เหมือนนาง...จนนำพาครอบครัวพังพินาศ แม้เขาจะยังไม่เข้าใจมากนัก ว่าอะไรคือคำว่าพินาศ แต่ก็ไม่เคยคิดที่จะละเลยคำกล่าวของมารดา ยิ่งตอนนี้เขาเห็นเด็กชายหญิง ที่อายุมากกว่าตนเอง ได้รับความสนใจจากบิดา เขาจึงยิ่งต้องการมารดาคอยปลอบขวัญ “ข้าก็เป็นสตรีผู้หนึ่ง ที่ได้มีโอกาสให้กำเนิดบุตร ซึ่งข้ายอมรับอย่า
ความหมางเมินของประมุขและสามี ดูจะเป็นที่พอใจของสาวใช้ข้างกายยิ่งนัก จนเวลาที่ล่วงเลยจากเดือนเป็นปี ทุกอย่างดูเหมือนจะเลวร้ายลงกว่าเดิมหลายเท่านัก และวันนี้บุตรชายของทั้งคู่ ก็อายุครบห้าขวบ ในฐานะทายาทเพียงหนึ่งเดียว แน่นอนว่าการเฉลิมฉลอง ย่อมมีขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ อวี๋เมี่ยวแต่งกายด้วยชุดเต็มยศ นางใช้เวลามาหลายปี เพื่อที่จะปรุงยาถอนพิษ ทว่ามันยังคงเกินความสามารถของนางไปมาจริงๆ ไหนจะอุปสรรคจากคนรอบกายของนาง ล้วนแล้วแต่เป็นคนของสามี ไม่เว้นแม้แต่สาวใช้ที่เติบโตมาด้วยกัน ยังแปรพรรคไปแล้วหลายปี ซึ่งทุกอย่าง...ล้วนเป็นความผิดของนางทั้งสิ้น ที่เลือกคนแบบสวี่เทียนเข้ามาในชีวิต คนจรที่นางชุบกายให้เขาให้สูงค่า บัดนี้เป็นเขาที่แว้งกัดนาง ยังดีที่ชาวเมืองยังคงยึดมั่น ต่อสายเลือดและสิ่งยืนยันฐานะ ของประมุขในทุกรุ่น “เสี่ยวไป๋ เจ้าจงมอบมันให้นายน้อย เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม ข้าคงอยู่กับเขาและเจ้าได้อีกไม่นานแล้ว” หญิงสาวลูบหัวของหมาป่าคู่ใจ มันย่อมรู้ดีไม่แพ้นาง ว่าลมหายใจที่มีของนาง มันกำลังจะหมดลงในไม่ช้า เช่นเดียวกับที่ตัวตนของสามี ได้แสดงออกมาให้นางได้เห็นในเวลา
ณ หุบเขาพิษ ชายแดนเหนือ หญิงสาวผู้เป็นทายาทหนึ่งเดียว ของเจ้าผู้ครอบครองดินแดนแห่งพิษ ได้ส่งยิ้มหวานละมุน ให้แก่ชายหนุ่มผู้เป็นเพียงผู้ดูแลภายในสำนัก และในตอนนี้ เขาคือสามีที่แต่งเข้าของนาง “วันนี้นอกจากจะเป็นวันที่บุตรสาวของข้า แต่งสามีเข้าบ้าน ข้ายังมีข่าวดีที่จะประกาศ บุตรสาวข้าอวี๋เมี่ยว คือประมุขคนใหม่ของเมืองหยินกวง เจ้าผู้ครองหุบเขาพิษคนใหม่” ชายชราจับมือบุตรสาว ชูขึ้นสูงเพื่อประกาศให้ชาวเมืองได้รับรู้ ว่าบัดนี้เก้าอี้ผู้นำ ได้เปลี่ยนคนนั่งแล้ว หญิงสาวโค้งกายให้แก่ทุกคนอย่างนอบน้อม “อวี๋เมี่ยว สัญญาว่าจะดูแลเมืองของเราให้ดีที่สุดเจ้าค่ะ” เสียงโห่ร้องยินดีดังเซ็งแซ่ไปทั้งลานกว้าง เจ้าสาวได้รับการประคองจากบิดา ก้าวไปนั่งยังเก้าอี้ประมุข นางคือบุตรสาวเพียงคนเดียว ซึ่งที่ผ่านมานางก็แสดงความสามารถ ในทุกๆ ด้านได้เป็นอย่างดี ก่อนที่เจ้าบ่าวจะเดินไปยืนเคียงข้างเก้าอี้ผู้นำ พร้อมส่งรอยยิ้มละมุนให้แก่ทุกคน ทว่าเจ้าบ่าวกลับทำให้ชาวเมือง รู้สึกค้านต่อสายตา ในความเหมาะสมของทั้งคู่ ชายหนุ่มนั้นเป็นคนที่มาอาศัยอยู่ในหุบเขาหลายปี และฐานะก็เ
ลานที่ตั้งกระโจมพัก สองพี่น้องที่เดินกลับมาถึงที่พัก ได้พากันตรงไปยังกระโจมของต้วนอี้หลางก่อน เพื่อรับตัวของฉู่เมี่ยว ที่อยู่เป็นเพื่อนไฉอ้าย รอพวกเขาไปอาบน้ำกลับมา ชายหนุ่มทั้งสองก้าวเข้าไปภายในกระโจม และสนทนากันเพียงเล็กน้อย หยางอี้หลงก็รีบคว้ามือของฉู่เมี่ยว แล้วก้าวออกจากกระโจมไปอย่างรีบร้อน ปล่อยให้ไฉอ้ายมองตามอย่างงุนงง กับท่าทางของแม่ทัพหนุ่ม ที่ดูจะรีบร้อนจนไม่มีคำกล่าวราตรีสวัสดิ์ เช่นในทุกค่ำคืน “ภรรยา...” ไฉอ้ายหันกลับไปมองสามี ก่อนจะรีบถลาเข้าประคองร่างเขาเอาไว้ เมื่อเห็นใบหน้าที่แดงก่ำ ราวกุ้งถูกน้ำร้อนของเขา ไหนจะอาการหายใจหอบถี่เยี่ยงม้าศึกนั้นอีกเล่า เขากำลังป่วยหรือ “อื้อ...” แต่ยังไม่ทันที่จะได้ถามอะไรออกไป ริมฝีปากอิ่มก็ถูกปิดลง ด้วยเรียวปากหนาของสามี ลมหายใจร้อนผ่าวที่เป่ารดใบหน้า ทำให้หญิงสาวในอ้อมแขน รู้สึกวูบวาบอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนร่างงามถูกรวบกอดเอาไว้แน่น จนไม่สามารถขยับตัวไปไหนได้ ฟึ่บ! เทียนที่ลุกโซนเมื่อครู่ ดับลงด้วยพลังปราณขั้นสูง จากการสะบัดมือเพียงครั้งของชายหนุ่ม เงาร่างที่แนบชิดกันซึ่งสะท้อนให
ชายหนุ่มใช้นิ้วเรียวยาว แยกกลีบบางออก เพื่อให้เขาได้สัมผัสเม็ดสวาท ได้ถนัดมากขึ้น ชายหนุ่มก้มลงดูดเม้มเกสรอ่อนนุ่ม สลับลากปลายลิ้นขึ้นลงตามร่องสวาท ที่ฉ่ำแฉะไปด้วยน้ำหวาน ซึ่งไหลออกมามิขาดสาย หญิงสาวยกก้นกลมกลึง ขึ้นสวนรับปลายลิ้น ของชายหนุ่มอย่างกระสันเสียว ร่างงามบิดเร้าประหนึ่งงูเลื้อย โดยที่ปากของนางยังคงดูดดึงท่อนเอ็นอุ่นร้อน ของชายหนุ่มอีกคน ที่ยังขยับเข้าออกตามมือบางที่รูดขึ้นลง ตามจังหวะขับเคลื่อน ชายหนุ่มทั้งสองครางเสียงต่ำ เมื่อความเสียวซ่านกระจายไปทั่วทุกอณูขุมขน ร่างสูงผละใบหน้าออกจากเนินเนื้ออวบอูม เปลี่ยนเป็นนั่งคุกเข่า อยู่ตรงหว่างขาเรียวงามแทน มือหยาบจับต้นขาหญิงสาวแยกออกกว้าง ก่อนที่เขาจะขยับให้ท่อนเอ็นอันใหญ่โต แนบชิดกับเนินเนื้อ ชายหนุ่มขยับโยกกายเล็กน้อย ให้ท่อนอุ่นร้อนเสียดสีกับเนินสวาทของนาง “อื้อ!!!”หญิงสาวครางในลำคอ ด้วยปากของนางยังคงไม่ได้รับอิสระ มือหยาบจับที่ท่อนเอ็นของตนเอง แล้วเอามันถูกขึ้นลงตามร่องสวาท เขามิได้เร่งร้อนที่จะสอดมันเข้าไปข้างในเพราะยิ่งเจ้าของร่างงามเสียวซ่านมากเพียงใด น้ำหวานหล่อลื่นจะออกมามากเท่านั้น