จ้วงจ้วงพยักหน้า “ข้ารู้ว่าเจ้ารู้ขอบเขต เจ้าไม่มีทางทำร้ายเขาแน่นอน เขาเป็นเพียงเด็กไม่รู้ประสา”จ้วงจ้วงกล่าวเช่นนั้นก็จริง แต่นางกลับขมวดคิ้ว องค์ชายเจ็ดเป็นเด็กก็จริง ทว่าวิสัยการเลี้ยงดูกลับผิดแปลกผิดจากเด็กทั่วไปบางทีอาจจะเป็นนิสัยส่วนตัวของเขาก็ได้ แต่นิสัยดังกล่าวไม่มีทางติดตัวมาแต่กำเนิด ต้องเป็นเพราะมีใครสักคนสอนเขาเป็นการดีที่องค์ชายเจ็ดถูกส่งไปร่ำเรียนในสำนักศึกษา เขาจะได้ไม่ถูกสนมอี้สั่งสอนจนเสียคน“หลังจากวันนี้เป็นต้นไป สนมอี้คงเพิ่มกองกำลังคุ้มกันให้มากขึ้น และสั่งให้คนปกป้องคุ้มครององค์ชายเจ็ดอย่างลับ ๆ” ตอนแรกจื่ออันไม่ต้องการใช้วิธีสกปรกเช่นนี้ด้วยซ้ำ เนื่องจากขั้นตอนก็ค่อนข้างเหี้ยมโหดพอตัวป้าอาเฉอไม่อาจอยู่ในวังได้หลายวัน ก่อนจากไป นางสั่งความกับจื่ออันและจ้วงจ้วงว่า “แม่น้ำหรือขุนเขาไม่เคยขาดแคลนผู้มากความสามารถ สำหรับเรื่องของเจ้า เหล่าเฉินและบรรพชนไม่อาจอยู่ดูแลได้ไปตลอด บางเรื่องข้าก็ไม่สามารถควบคุม พันปีหลังก็ไม่สามารถจัดการได้ เข้าใจหรือไม่?”“เจ้าค่ะ” จ้วงจ้วงตอบ “อย่ากังวลเลย ท่านออกไปกับเหล่าไท่จวินเถิด ตอนนี้นางคงไม่เคลื่อนไหวไปสักระยะ”“อืม ข้า
เนื่องจากไม่มีขุนนางในท้องพระโรงสนับสนุน แม้แต่เหลียงไท่ฟู่ก็ถูกขับออก ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ก็ออกไปร่วมสงครามพร้อมกับเซียวท่า ซูชิง และหนี่หรง ทำให้อ๋องเยี่ยมีกำลังคนไม่เพียงพอ เช่นนั้นควรทำอย่างไรดี? ผู้ใต้ยังคับบัญชาระดับล่างก็ไม่อาจล่วงรู้ได้ว่าคนไหนน่าเชื่อถือบ้าง ดังนั้นจึงทำได้เพียงใช้องครักษ์เงาที่แฝงกายอยู่รอบตัวองครักษ์เงาที่ว่านี้ไม่มีตำแหน่งอย่างเป็นทางการ สถานะเทียบเท่ากับสำนักที่เขาตั้งขึ้นในเจียงหู แต่อาจจะดีกว่าเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็ยังถือเป็นองครักษ์เงา ราชวงศ์อาจรู้จัก แต่ไม่เป็นที่ยอมรับของราชสำนักเมื่อหน่วยดังกล่าวไม่มีตำแหน่งอย่างเป็นทางการ เมื่อเริ่มทำงานจึงมักจะเผชิญกับข้อสงสัยมากมายอยู่บ่อยครั้ง คนแรกที่แสดงท่าทีไม่ยอมรับก็คือฝ่ายตรวจการ ผู้ที่ปกติไม่ยอมขยับแม้แต่ครึ่งเซนติเมตรแม้อยู่ใต้พายุลูกเห็บตอนประชุมราชการเช้า พวกเขาเสนอว่าหากปล่อยให้องครักษ์เงาเข้ามายุ่งเกี่ยวกับกิจการของราชสำนักอีก พวกเขาจะเข้าเฝ้าจักรพรรดิเพื่อกราบทูลรายงานลักษณะเด่นอย่างหนึ่งของฝ่ายตรวจการ คือการปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ หากทำผิดก็ยอมรับโดยดี แล้วกลับไปดำเนินชีวิตต
“ใช่” อ๋องเหลียงเงยหน้าขึ้นอย่างภาคภูมิใจ “ข้าส่งจดหมายถึงนางวันเว้นวัน”“โอ้!” จ้วงจ้วงหัวเราะ “เหตุใดเจ้าถึงได้หมกมุ่นนัก? ไยไม่รีบไปรายงานเสด็จพ่อของเจ้าเสีย เพื่อที่พระองค์จะได้พระราชทานการแต่งงานให้เจ้าโดยเร็ว?”“วันรุ่งขึ้นข้าก็ต้องเขียนจดหมายถึงนางอีก” อ๋องเหลียงกล่าวด้วยความหดหู่ใจ สาวน้อยไม่ยอมเขียนจดหมายถึงเขามาครึ่งเดือนแล้ว“หืม? จะเขียนอีกแล้วหรือ? ส่งจดหมายวันเว้นวันเช่นนี้ เขียนเกี่ยวกับเรื่องอะไรบ้างล่ะ? มีเรื่องให้เล่ามากนักหรือ?” จ้วงจ้วงถามด้วยความสงสัย“ไม่มีอะไรที่ข้าเขียนไม่ได้ ข้ารายงานอาหารการกินและสิ่งที่ข้าทำในแต่ละวันให้นางรับรูเ้เสมอ"“นั่นต่างอะไรจากบันทึกประจำวันกัน?” จื่ออันส่ายหัว “หากเอาเวลาเขียนบันทึกประจำวันไปทำอย่างอื่น ป่านนี้วิ่งได้ขี่ม้าได้แล้วกระมัง”“จริงสิ!” อ๋องเหลียงกังวล “นับตั้งแต่สงครามเริ่มต้น พริบตาเดียวก็ผ่านมาครึ่งเดือนแล้ว เมื่อวานนี้โหย่วถังเพิ่งรายงานกลับมาว่ากองทัพกำลังตั้งค่ายอยู่ใกล้กับเป่ยเฉียว"“ตั้งค่ายอยู่ที่เป่ยเฉียว? ห่างจากกองทัพแนวหน้าแค่ไหน? เกิดอะไรขึ้นในเป่ยโม่กันแน่?” จื่ออันถามอย่างรวดเร็ว“ยังมีระยะห่างจากแน
“บอกข้ามาเร็ว เจ้าหญิงอี๋หลี่ผู้นี้เอาชนะฉินโจวได้อย่างไร?” จื่ออันถามอย่างรวดเร็ว นางต้องรู้จักตนเองและศัตรู หากองค์หญิงผู้นี้เอาชนะการสู้รบกับฉินโจวได้ หมายความว่าต้องทรงพลังมาก ดังนั้นควรศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับนางให้มากขึ้น“นางเป็นตัวแทนทูตของเป่ยโม่ที่ไปเยือนแคว้นเหลียงใต้ ในงานเฉลิมฉลองของแคว้น องค์หญิงอี๋หลี่สามารถเอาชนะนางได้ในด้านทักษะการขี่ม้า ในแง่ของการทหาร ฉินโจวจงใจทำให้เรื่องยุ่งยาก ทว่าองค์หญิงอี๋หลี่กลับแก้ไขได้ทั้งหมด”จื่ออันอดไม่ได้ที่จะผิดหวัง “นั่นเป็นเพียงการอวดศักดาหรือเปล่า? การอวดศักดาในงานเลี้ยง เทียบอะไรไม่ได้เลยกับเหตุการณ์จริงในสนามรบ”“แต่สำหรับฉินโจวซึ่งเป็นแม่ทัพผู้เลื่องชื่อแล้ว นางหวาดกลัวกลยุทธ์ทางทหารขององค์หญิงยิ่งกว่าอะไร หากเป็นเพียงการอวดศักดา คิดว่านางจะเกรงกลัวถึงเพียงนี้หรือ?” อ๋องเหลียงถาม“ท่านมีข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้หรือไม่?” จื่ออันรู้สึกว่าสิ่งที่เขาพูดก็มีเหตุผล“มี แต่ข้าต้องใช้เวลาสืบเสาะสักหน่อย เจ้าอยากรู้ไปทำไม?”“วิเคราะห์อย่างไรล่ะ”“ได้ หากรวบรวมเสร็จเรียบร้อยแล้ว ข้าจะให้คนนำไปส่งให้เจ้าถึงวัง” อ๋องเหลียงกล่าววันรุ่ง
“ความลับส่วนตัวอะไรกัน? พวกเจ้าสองคนเคยมีอะไรปิดบังข้าด้วยหรือ?” เซียวท่านั่งลงด้านข้างอย่างขุ่นเคือง มองไปที่หนี่หรง “เจ้าซ่อนจดหมายของข้าไว้หรือเปล่า?”“ใช่แล้ว ข้าซ่อนไว้หลายฉบับเชียว จากนั้นก็ถ่ายทอดข้อความประกาศให้ทหารทั้งหมดทราบ ผลตอบรับดีทีเดียว” หนี่หรงพูดติดตลกเซียวท่าตะคอก “ข้าว่าผู้หญิงคนนั้นสติฟั่นเฟือนไปแล้วแน่ ไม่นานก็จดจำข้าไม่ได้เสียแล้ว”“เอาน่า อยู่ท่ามกลางสนามรบเช่นนี้ เจ้ายังมีเวลามาคำนึงถึงเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ อีกหรือ?” ซู่ชิงอดไม่ได้ที่จะส่ายหน้า “ข้ารู้ซึ้งแล้วว่าบุรุษไม่ควรแต่งงานจริง ๆ หากถูกภรรยารักใคร่ เกรงว่าจะหายใจไม่ออกตายเอา”เซียวท่านั่งเท้าคาง “เป็นเช่นนั้นจริง ๆ หรือว่าข้าควรกลับไปตัดสินใจใหม่ดี”ซู่ชิงโวยวายทันที “ไอหยา ท่านบรรพชน อย่าเชียวนะ เจ้ากลับไปปรองดองกับภรรยาเถิด ประเดี๋ยวเหล่าไท่จวินก็ตัดเจ้าหัวแตกกันพอดี”หนี่หรงไม่สนใจการคุยนอกเรื่องของพวกเขาทั้งสอง ช่วงครึ่งเดือนที่ผ่านมาทุกคนตึงเครียดกันมาก หายากที่จะมีเรื่องอื่นคุยเพื่อผ่อนคลาย“ท่านอ๋อง พระชายาเขียนว่าอย่างไรบ้างขอรับ?” หนี่หรงไม่คิดว่าพระชายาตั้งใจส่งจดหมายถึงเขาเป็นพิเศษเพียงเพ
จดหมายถูกส่งกลับมาที่จุดส่งสาส์น จากนั้นก็ถูกส่งต่อผ่านม้าเร็ว หยุดพักที่ไปรษณีย์เปลี่ยนม้า สามวันต่อมา จดหมายก็มาถึงมือของจื่ออันเมื่อจื่ออันเห็นอักษรตัวใหญ่เป็นคำว่า “รักษาตัวด้วย” นางก็ไม่รู้ว่าควรหัวเราะหรือร้องไห้ดีช่างตระหนี่จริง ๆ แม้แต่สองประโยคก็ให้ข้าไม่ได้นิสัยเช่นนี้ใครจะไปชื่นชอบเจ้ากัน?ท้องพระโรงแตกออกเป็นสองเสียง ว่ากันว่านับตั้งแต่อ๋องเยี่ยเชือดไก่ให้ลิงดุแล้วครั้งหนึ่ง ความนิยมของเขาก็เพิ่มขึ้นอย่างมาก หลายคนยอมรับฟังคำกล่าวของเขาในการประชุมราชการไม่ง่ายเลยที่องค์ชายผู้เกียจคร้านอย่างเขาจะมีวันนี้ได้อย่างไรก็ตาม เห็นได้ชัดว่าเขาต้องการที่จะวิ่งต่อไปอย่างดุเดือดบนถนนที่นำไปสู่ความตายวันนี้เขาเข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิถึงพระราชวัง จักรพรรดิที่ประชวรหนักพยายามอย่างเต็มที่ที่จะพูดคุยกับเขาชั่วขณะหนึ่ง ในระหว่างการสนทนาในช่วงสั้น ๆ นี้ อ๋องเยี่ยบรรลุเป้าหมายของเขา ซึ่งก็คือการขับไล่อ๋องหนานหวายออกจากเมืองหลวงเดิมทีเขาอ้างว่าจะอยู่ที่เมืองหลวงต่อเพื่อจัดพิธีแต่งงาน แต่ต่อมามีคำสั่งให้เขากลับไปยังแคว้นซีหนานเพื่อแต่งงานแทน แต่ท้ายที่สุดหวงไท่โฮ่วกลับสิ้นพระชนม์เสีย
“อย่ากลัวไปเลย ข้าไม่โทษเจ้าที่ทรยศ จริง ๆ แล้วอาจเป็นการดีที่สุดด้วยซ้ำเมื่อเจ้าทำเช่นนี้ ต่อให้ข้าไม่สามารถบรรลุเป้าหมายด้วยการฆ่าเขาได้ แต่หากท่านแม่ตาย เขาก็ต้องตายตามอยู่ดี” อ๋องหนานหวายตบแก้มนางเบา ๆ “อย่างไรก็ตาม ครั้งเดียวก็มากเกินพอแล้วที่จะปิดบังเรื่องนี้จากข้า เจ้าเป็นคนฉลาด ควรรู้ว่าข้ารู้เรื่องนี้มานานแล้ว และสามารถฆ่าเจ้าได้จริง ๆ ฉะนั้นเจ้าอย่าได้คิดไปหาเซี่ยจื่ออัน เพื่อให้นางรู้ตัวก่อนเป็นอันขาด”ซุนฟางเอ๋อร์ไม่อยากเชื่อ “ท่านอ๋องรู้เรื่องนี้อยู่แล้วหรือเจ้าคะ?”“ข้ารวบรวมอิทธิพลในเมืองหลวงมานานหลายปี คิดว่าข้ามีที่พึ่งเพียงเจ้าและท่านแม่เท่านั้นหรือ?” อ๋องหนานหวายหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง“ข้างกายเซี่ยจื่ออันก็มีคนของท่านอ๋องแฝงตัวอยู่ด้วยหรือ?” ซุนฟางเอ๋อร์ไม่อยากเชื่อเลยจริง ๆ เซี่ยจื่ออันเป็นคนระมัดระวังตัวอยู่เสมอ นางจะไม่รู้ตัวว่ามีหนอนบ่อนไส้อยู่ข้างกายได้อย่างไรอ๋องหนานหวายเพียงแค่ยิ้มและไม่พูดอะไร ระหว่างคิ้วปรากฏร่องรอยแห่งความเย็นชา ใบหน้านุ่มนวลเต็มไปด้วยความดุร้ายซุนฟางเอ๋อร์กล่าวว่า “ขอเวลาให้ข้าครึ่งวัน ท่านอ๋อง แล้วข้าจะมอบหนอนกู่ให้กับท่าน”“ข้าจะรอ
วันนี้เป็นโอกาสหายากที่อ๋องหนานหวายมาเยือนตำหนักสีอัน“น่าเสียดาย เจ้าต้องออกจากเมืองหลวงเสียแล้ว เช่นนี้แผนของเราจะสำเร็จเมื่อใด?” กุ้ยไท่เฟยร้อนรนมาก นางรอโอกาสมานานเกินไป หวงไท่โฮ่วสิ้นพระชนม์ก็แล้ว แต่นางยังไม่มีความหวัง“ท่านแม่ไม่ต้องเป็นห่วง ตอนนี้บ้านเมืองกำลังวิกฤต ยังไม่อาจประทานตำแหน่งองค์รัชทายาทได้ หากทำเช่นนั้นก็เท่ากับทรยศต่อแผ่นดิน ยากจะขึ้นครองราชย์ท่ามกลางความเสื่อมเสีย พวกเรารอมาหลายปีแล้ว รอต่อไปอีกสักหน่อยไม่ได้เชียวหรือ?” อ๋องหนานหวายปลอบโยนกุ้ยไท่เฟยใจร้อนจริง ๆ “ใช่ว่าแม่รอไม่ได้ แต่ตอนนี้วังหลังอยู่ภายใต้การควบคุมของเซี่ยจื่ออันและมู่หรงจ้วงจ้วง ยายเฒ่าตระกูลเฉินก็มักจะมาสอดส่องเฝ้าดูตลอด แม่ล่ะอยากฆ่านางเป็นพัน ๆ ครั้ง”อ๋องหนานหวายขมวดคิ้ว “ฆ่านางหรือ?”“ไม่ดีหรือ? นางมาอยู่ที่นี่แแทบทั้งวัน แม่หาโอกาสวางยานางได้ง่ายจะตายไป” กุ้ยไท่เฟยตะคอกอย่างเย็นชา “ถ้าไม่ใช่เพราะคนแซ่เฉินนั่นรับมือยาก และอาจถูกสืบสาวความจริงได้ง่ายว่านางตายในตำหนักสีอัน กระทั่งพัวพันกับแม่ แม่คงลงมือฆ่านางจนตายไปนานแล้ว”อ๋องหนานหวายหยิบยาออกมาจากอกเสื้อของเขา “นี่คือสิ่งที่ข้าไปขอ
ร่างกายของแม่ทัพเฒ่าฉินสั่นสะท้านด้วยความโกรธ “เจ้าสาปแช่งปู่รึ เจ้าเคยคำนึงถึงญาติพี่น้องหรือไม่?”เมื่อหมอหลวงมาถึง กลับไม่มีคนในตระกูลฉินคอยเฝ้าเขาอยู่ในห้อง ดังนั้นจึงมีเพียงแต่บ่าวรับใช้หลังจากตรวจสอบอาการเสร็จ หมอหลวงก็กล่าวด้วยสีหน้าตกตะลึง “ท่านแม่ทัพเฒ่า เมื่อไม่กี่วันมานี้ท่านได้ไปที่ใดมา? แล้วท่านเคยเข้าไปในพื้นที่โรคระบาดหรือไม่?” “ไม่เคย ข้าไม่เคยไปที่นั่น” สีหน้าของแม่ทัพเฒ่าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เมื่อได้ยินคำพูดของหมอหลวง “ท่านกำลังสงสัยว่าข้าติดเชื้อโรคระบาดใช่หรือไม่?”“อาการช่างคล้ายคลึงกันยิ่งนัก” หมอกลวงกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด“เป็นไปไม่ได้!” แม่ทัพเฒ่าฉินรู้สึกตื่นตระหนกอย่างมาก “ท่านวินิจฉัยผิดหรือไม่?”“ข้าจะจัดยาให้ท่านสองชนิดก่อน หากดื่มยาเหล่านี้แล้วไม่ได้ผล เช่นนั้นไม่ใช่ก็ใกล้เคียงแล้วขอรับ” หมอหลวงกล่าวแม่ทัพเฒ่าฉินกล่าวด้วยความลนลาน “ฉินโจวบังคับให้ท่านพูดเช่นนี้ใช่หรือไม่?”หมอหลวงรู้สึกประหลาดใจ “แม่ทัพเฒ่า ท่านหมายความว่าอย่างไร? เหตุใดแม่ทัพฉินถึงต้องบังคับให้ข้าพูดเช่นนี้?”หมอหลวงชะงักไปชั่วครู่หนึ่งแล้วโพล่งถาม “ท่านเคยพูดคุยกับองค์ชายเ
นางสามารถเสียสละได้ แต่จะไม่มีทางทรยศต่อประชาชนเป่ยโม่เด็ดขาดสำหรับความจงรักภักดีต่อองค์จักรพรรดิและประเทศชาติ นางจะต้องรักประชาชนก่อน จึงจะสามารถภักดีต่อองค์จักรพรรดิได้ฉินโจวกล่าวคำเบา “ข้าเข้าไปในพระราชวังเพื่อเชิญหมอหลวงแล้ว ท่านปู่พักผ่อนก่อนเถิด ข้าจะออกไปเดินเล่นรับลมสักหน่อย”ดวงตาของแม่ทัพเฒ่าฉินอัดแน่นด้วยความโกรธ แต่ก็พยายามอย่างหนักเพื่อระงับมันฉินโจวเดินออกจากห้อง และเห็นว่าฉินเป้าน้องชายของตนนั่งอยู่ที่สวน เมื่อเห็นนางเดินออกมา เขาก็ถามว่า “ท่านปู่เป็นอย่างไรบ้าง?”ฉินโจวจำคำพูดของท่านปู่ได้อย่างแม่นยำ จึงเมินเฉยต่อเขาและตอบอย่างใจเย็น “เข้าไปดูด้วยตนเองสิ”ฉินเป้าคลี่ยิ้ม แต่มันกลับดูอ้างว้างอย่างยิ่ง “ข้าได้ยินสิ่งที่ท่านปู่พูดกับท่านแล้ว ข้าไม่อยากเข้าไป”ฉินโจวตกตะลึง “เพราะเหตุใด เขาทุ่มเทความพยายามทั้งหมดไปกับหารวางแผนเพื่อเจ้า เจ้าควรขอบคุณท่านปู่สิ”ฉินเป้าหัวเราะเยาะ “จริงรึ? หากเขาทอดทิ้งท่านเพื่อตระกูลได้ ในอนาคตเขาจะไม่ทอดทิ้งข้าหรือ? ข้าไม่ต้องการชื่อเสียงหรือความดีงามใด ๆ พวกมันไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการเลย”ฉินโจวดูถูกน้องชายมาโดยตลอด เพราะเขาไม่ได
ทั้งสองคนเดินออกไปและหยุดอยู่บนทางเดิน หมอมองฉินโจวพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “ท่านแม่ทัพ ข้ากำลังสงสัยว่าท่านแม่ทัพเฒ่าจะป่วยด้วยโรคระบาดขอรับ”ฉินโจวตกตะลึง “โรคระบาด? เป็นไปได้อย่างไร? ปู่ของข้าไม่เคยออกไปข้างนอก และไม่เคยติดต่อกับผู้ป่วยโรคนี้เลย แล้วเขาจะติดเชื้อโรคระบาดได้อย่างไร?”“ข้าเคยรักษาผู้ป่วยโรคระบาดมาก่อน ซึ่งอาการคล้ายคลึงกันอย่างมาก ผู้ป่วยจะมีไข้สูง ไอ ตาแดง หายใจเร็วขึ้น เมื่อเกิดอาการเหล่านี้พร้อมกันจะอันตรายอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นโรคนี้ยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาดขอรับ” หมอกล่าว“เป็นไปไม่ได้ หากจะติดเชื้อโรคระบาดก็ต้องสัมผัสกับผู้ป่วยที่มีเชื้ออยู่แล้ว แต่ท่านปู่ของข้าไม่เคยใกล้ชิดคนเหล่านั้นเลย แล้วเขาจะติดเชื้อได้อย่างไร?” ฉินโจวยังคงไม่เชื่อหมอประสานหมัด “ทั้งหมดนี้คือคำวินิจฉัยของข้า หากท่านแม่ทัพไม่เชื่อ ก็สามารถขอให้หมอคนอื่นมาตรวจดูได้ หรือท่านจะพาเขาไปที่พระราชวัง และขอให้หมอหลวงช่วยตรวจอาการ ข้าไร้ความสามารถ จึงอาจวินิจฉัยผิดพลาดได้ ลาก่อนขอรับ ๆ!”สิ้นคำ หมอก็หยิบกล่องยาแล้วออกไปโดยไม่เขียนใบสั่งยาด้วยซ้ำฉินโจวสับสนไม่น้อย ท่านปู่ติดเชื้อโร
หัวใจของฉินโจวเย็นเยียบราวกับน้ำ “ใช่ ตราบใดที่ข้าตายในสนามรบ ตระกูลฉินก็ยังจะเป็นผู้กล้า และเป็นขุนนางผู้มีเกียรติ”แม่ทัพเฒ่าฉินเงียบไปครู่ใหญ่ จากนั้นกล่าวคำเบา “ในฐานะหลานสาวตระกูลฉิน มันเป็นหน้าที่ของเจ้าที่ต้องเสียสละเพื่อชื่อเสียง และรากฐานของตระกูล”ฉินโจวกำหมัดแน่นด้วยความไม่พอใจ “หลายปีที่ผ่านมานี้ ข้ายังทำไม่พออีกหรือ? ตอนนี้มีใครในตระกูลฉินบ้างที่ไม่เกาะกินเลือดนี้ของข้า?”แม่ทัพเฒ่าฉินลุกยืนขึ้นพลางกล่าวอย่างเย็นชา “ข้าเคยเตือนเจ้าแล้ว คราวนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เจ้าจะต้องเข้าไปในพระราชวัง ข้าให้คำมั่นกับฮองเฮาเฉาแล้ว ว่าวันนี้เจ้าจะไปที่นั่นเพื่อทูลขอรับคำสั่ง หากเจ้าไม่ไป ข้าก็จะรับคำสั่งและออกรบด้วยตนเอง”“ท่าน...” ฉินโจวมองเขาด้วยสายตาโศกเศร้า “ท่านปู่ ข้าก็เป็นหลานสาวของท่านเหมือนกัน ท่านไม่สงสารข้าบ้างหรือ?”“ปู่สงสารเจ้าสิ แต่ภารกิจหน้าที่ของตระกูลฉินจะต้องถูกส่งต่อ ตอนนี้น้องชายของเจ้าโตพอแล้ว เจ้าจะต้องพาเขาไปสร้างความสำเร็จทางการทหารด้วย และเจ้าจะได้รับส่วนแบ่งของน้องเจ้า เมื่อถึงเวลานั้น ตระกูลฉินก็จะได้ผู้สืบทอดคนใหม่”ฉินโจวผงะไปชั่วครู่ ก่อนระเบิดหัวเราะ
เมื่อได้ยินคำพูดของฉินโจว แม่ทัพเฒ่าฉินก็โมโหมากจนเคราสั่นสะท้าน “อาโจว อะไรจะสำคัญไปกว่าการบรรลุเป้าหมายอันยิ่งใหญ่? องค์จักรพรรดิเพียงต้องการขยายอาณาเขตของแคว้น เจ้าควรรู้เอาไว้ว่าเมื่อเรายึดครองต้าโจวสำเร็จ เป่ยโม่จะมีพื้นที่เพิ่มมากกว่าครึ่งหนึ่ง และมันจะเป็นความดีความชอบของตระกูลฉิน ทำให้ตระกูลของเราถูกจดจำไปหลายชั่วอายุคน! นี่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าต้องการมาตลอดรึ? เจ้าไม่ต้องการบอกคนทั้งโลก ว่าแม้ฉินโจวจะเป็นสตรี แต่นางก็สามารถประสบความสำเร็จได้อย่างผ่าเผยหรือ?”ฉินโจวมองดูใบหน้าที่ฉายแววตื่นเต้นปนโกรธเกรี้ยวของปู่ ทันใดนั้นนางก็สัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติถูกต้อง มันคือความต้องการของนาง แต่ความสำเร็จของนางจะต้องไม่แลกกับการเหยียบย่ำกระดูกของประชาชนชาวเป่ยโม่นางรักเป่ยโม่และหวังที่จะขยายอาณาเขตของแคว้น นอกจากนี้นางยังต้องการเสาะหาดินแดนอุดมสมบูรณ์เพื่อประชาชน เพราะหวังว่าพวกเขาจะสามารถอยู่อาศัยและทำกินอย่างสงบสุข และพึงพอใจโดยไม่ต้องทนทุกข์จากการพลัดถิ่นอย่างไรก็ตาม ในตอนนี้หากต้องการบรรลุอำนาจ นางจำต้องสละชีวิตประชาชนจำนวนมาก และนำเงินภาษีของทุกคนมาใช้ในการทำสงคราม ทำให้โรคร
มือสังหารเหล่านั้นแต่งกายคล้ายกับชาวต้าโจวและสวมหน้ากากผ้าสีดำ กลุ่มคนนิรนามราวเจ็ดถึงแปดคนกระโดดลงมาจากท้องฟ้ากลางวันแสก ๆ ทันทีที่เท้าของคนเหล่านั้นแตะพื้น พวกมันก็เริ่มโจมตีอย่างดุดันฉินโจวเห็นมือสังหารคนหนึ่งกระโดดขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกับกระบี่ยาว จากนั้นร่ายรำอยู่หลายกระบวนท่าราวกับนางฟ้าโปรยดอกไม้ ขณะแสงแดดตกกระทบกระบี่ส่องกระจายไปทั่วเหล่าทหารที่เพิ่งมาถึงกระโจนเข้าไปร่วมวงต่อสู้อย่างรวดเร็วหลังจากประดาบกันไปกว่าร้อยครั้ง มือสังหารก็ถูกบีบบังคับให้ล่าถอย ฉินโจวจ่อกระบี่ไปที่คอของหนึ่งในมือสังหาร พลางถามเสียงเข้ม “ตอบข้า ใครเป็นคนส่งเจ้ามา?”มือสังหารตอบอย่างเย็นชา “ฆ่าไอ้หมารับใช้เป่ยโม่ให้หมด!”“หมารับใช้เป่ยโม่? เห็นได้ชัดว่าพวกเจ้าไม่ได้เป็นคนเป่ยโม่ พวกเจ้ามาจากต้าโจวใช่หรือไม่?” ฉินโจวโมโหอย่างมาก ขณะชี้ดาบไปยังหน้าอกของอีกฝ่าย “ไอ้เลวมู่หรงเจี๋ยส่งพวกเจ้ามาใช่หรือไม่?”“หญิงเลวอย่าเจ้ากล้าเอ่ยชื่อของท่านอ๋อง ทำให้พระองค์มัวหมองได้อย่างไร?” มือสังหารตะโกนฉินโจวชักดาบกลับพร้อมกล่าวอย่างเย็นชา “กลับไปซะ!”มือสังหารตกตะลึง ราวกับไม่คาดคิดว่าฉินโจวจะปล่อยตัวเขาไป”เ
ฉินโจวกล่าวด้วยความโมโห “ข้าหลอกลวงเจ้าเมื่อไร?”“ไม่งั้นรึ? เจ้าและอ๋องฉีเอ่ยปากว่า หากจื่ออันตกลงเดินทางมาที่เป่ยโม่ พวกเจ้าจะส่งองค์ชายรัชทายาทไปที่ต้าโจวเป็นองค์ประกัน แล้วพวกเจ้าทำตามที่พูดแล้วหรือไม่?”“องค์ชายรัชทายาทเดินทางไปยังต้าโจวแล้ว!”“ผู้ที่เดินทางไปยังต้าโจวคือองค์ชายเจ็ด ไม่ใช่องค์ชายรัชทายาท องค์ชายเจ็ดไม่ได้เป็นที่โปรดปราน ดังนั้นจักรพรรดิเป่ยโม่จะส่งเขาไปสังเวยเมื่อใดก็ได้”“เป็นไปไม่ได้!” ฉินโจวประหลาดใจอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าผู้ที่เดินทางไปคือองค์ชายรัชทายาท เพราะองค์จักรพรรดิทรงตรัสด้วยตนเองว่าจะส่งเขาไปที่ต้าโจว“เจ้าอย่าเพิ่งสนใจเรื่องนี้เลย ก่อนหน้านี้ทั้งสองแคว้นตกลงทำสนธิสัญญาสงบศึก หลังจากการแพร่ระบาดสิ้นสุดลง แต่เจ้ากลับวางแผนโจมตีพวกเราในขณะที่ข้ายังอยู่ที่เป่ยโม่ เจ้าจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร?” มู่หรงเจี๋ยกล่าวอย่างเคร่งเครียดฉินโจวตอบ “ผิดแล้ว เป็นเพราะต้าโจวที่เคลื่อนทัพโจมตีทหารฝั่งขวาของเราก่อน และสังหารทหารของเราไปกว่าร้อยคน ข้าจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากเคลื่อนทัพเข้าไปใกล้ เพื่อบีบบังคับให้พวกเจ้าถอยกลับ”“ไร้สาระ กองทัพของเราหยุดเคลื่อนท
อย่างไรก็ตาม การจัดหาเสบียงอาหารสำหรับพื้นที่ภัยพิบัติยังไม่เพียงพอ และยังขาดแคลนเสื้อผ้าอาภรณ์ นอกจากนี้หลังจากที่พระชายาผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มาถึงเป่ยโม่ ก็ยังไม่ได้รับใบสั่งยาแม้แต่ฉบับเดียว ดังนั้นความอดทนของประชาชนจึงค่อย ๆ หมดลง แต่ความโกรธและความขุ่นเคืองกลับยิ่งมากขึ้นทันทีที่ข่าวลือแพร่สะพัด ก็เป็นเสมือนเป็นการขว้างเปลวไฟใส่ ‘ระเบิด’ หนึ่งหมื่นตุน ทำให้มันระเบิดออกอย่างรวดเร็วผู้ประสบภัยนับไม่ถ้วนหลั่งไหลเข้าสู่เมืองหลวงอย่างรวดเร็วหลังจากที่ฉินโจวลงจากภูเขา นางก็พบว่าองค์จักรพรรดิทำอะไรกับทหารม้า และทหารเจ็ดหมื่นนายที่ประจำการที่เมืองหลวง ซึ่งเขาออกคำสั่งให้ทหารเหล่านั้นขับไล่เหล่าผู้ประสบภัยออกไปนางเห็นด้วยตาตนเองว่าทหารใต้บังคับบัญชาของนางสร้างกำแพงมนุษย์อันแน่นหนา เมื่อผู้ประสภัยเดินทางเข้ามา พวกเขาก็จะโบกหอกเพื่อขับไล่คนเหล่านั้นออกไปผู้ประสบภัยมากกว่าสิบรายได้รับบาดเจ็บจากหอกทหารเหล่านั้นอยู่ใต้บังคับบัญชาของนาง แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะไม่ได้ฆ่าผู้ใด แต่เมื่อสถานการณ์รุนแรงขึ้นจะต้องมีการฆ่าแกงกันอย่างแน่นอนฉินโจวโกรธจัดจึงขี่ม้าเข้าไปขวางเอาไว้ “หยุด หยุดเ
ฉินโจวกวาดสายตามองพลางเยาะเย้ยจื่ออันไม่สนใจนาง และพาหลินตานไปยังเขตตะวันตกภายในสองวันนี้มีผู้เสียชีวิตถึงสามคน ซึ่งทั้งหมดถูกหามออกไปหลังจากที่หลินตามเดินเข้ามาเขาหลั่งน้ำตาหลั่งน้ำตาขณะมองดูการเผาศพจื่ออันไม่คิดว่าเขาจะมีความอ่อนไหวมากเพียงนี้ “ท่านหมอหลิน ท่านเป็นอะไรหรือไม่?”หลินตานปาดน้ำตา “ข้าขอโทษ ข้าเพียง... คิดถึงครอบครัวขอรับ”“ครอบครัวของท่าน? แล้วตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ใดหรือ?” จื่ออันถาม“ตายหมดแล้วขอรับ ภรรยาและลูกสะใภ้ของข้าตายเพราะเหตุแผ่นดินไหวทั้งคู่ ส่วนลูกชายและหลานชายติดเชื้อโรคระบาดก่อนตายไปเช่นกัน ข้าจึงเป็นคนเดียวที่เหลือรอด” หลินตานสูดหายใจเข้าลึก ใบหน้าที่อยู่ภายใต้ผมสีขาวฉายแววความเศร้าโศกและหดหู่จื่ออันไม่คาดคิดว่าเขาจะมาจากพื้นที่โรคระบาดเช่นกัน เมื่อเห็นสีหน้าเศร้าสร้อย จื่ออันก็ไม่รู้จะปลอบใจเขาเช่นไร จึงได้แต่นิ่งเงียบและอยู่เคียงข้างไม่นานหลินตานก็ถามว่า “ท่านหมอเซี่ย โรคระบาดนี้สามารถรักษาหายได้จริงหรือขอรับ?”ตอนนั้นเองจื่ออันก็นึกได้ว่าเขาเป็นหมอเท้าเปล่า และหลังจากเดินทางพเนจรไปที่ต่าง ๆ เขาอาจรู้จักจินเย่าฉือก็เป็นได้ ดังนั้นจึงรีบถามว