เมื่อซุนฟางเอ๋อร์เห็นว่านางกำลังจะหยิบเจ้าแม่กวนอิมคืนไป นางก็เอื้อมมือไปคว้ามันกลับมาโดยไม่รู้ตัว หูฮวนสี่ไม่ยอมปล่อยมือ แล้วแอบคิดในใจว่า 'หากเจ้าไม่ต้องการคืนให้ข้า แล้วข้าต้องการเอามันคืนมา แม่เฒ่าของข้าก็จะสร้างปัญหา'“บอกข้าที เหตุใดเจ้าถึงให้เจ้าแม่กวนอิมหยกขาวกับข้า ข้ารู้ว่าเจ้าให้สร้อยข้อมือทองคำเส้นใหญ่กับเซี่ยจื่ออัน” น้ำเสียงของซุนฟางเอ๋อร์อ่อนลง ใบหน้าของนางไม่ได้เย็นชาอีกต่อไปหูฮวนสี่ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากปล่อยมือ และปล่อยให้นางถือเจ้าแม่กวนอิมหยกขาวไว้ นางมีข้อแก้ตัวในใจอยู่แล้วว่า “ข้าให้สร้อยข้อมือทองคำเส้นใหญ่แก่จื่ออัน และเพื่อนคนอื่น ๆ เพราะข้าต้องการให้พวกนางช่วยโฆษณาให้ข้า ด้วยการเป็นผู้นำกระแส... ข้าหมายความว่าเครื่องประดับที่พวกนางใส่ จะทำให้เกิดกระแสฮือฮาในเมืองหลวง นี่คือแนวทางการทำธุรกิจของข้า ส่วนเรื่องที่ข้ามอบเจ้าแม่กวนอิมหยกขาวให้เจ้านั้น ข้าคิดว่าเจ้าค่อนข้างคล้ายกับหยกขาวนี้ พื้นผิวเย็น แต่หลังจากถือไว้นานก็จะอุ่น ข้าไม่ได้มีความคิดอื่นใด”เจ้าเล่ห์นัก!ซุนฟางเอ๋อร์สัมผัสเจ้าแม่กวนอิมหยกขาว และรู้สึกว่ามันก็อุ่นจริง ๆ นางถามด้วยเสียงแผ่วเบา “เจ้า
จื่ออันพยักหน้า “ตกลง ข้าจะไปหาหลินหลินเพื่อศึกษาเรื่องนี้”เซี่ยหลินเพิ่งกลับมาเมื่อวานนี้ และเป็นเวลาที่นางจะต้องเรียนกับเขาจื่ออันไปยังเรือนฟังเสียงฝน แล้วนำยาไปให้เซี่ยหลินเซี่ยหลินมองยา แล้วหยิบค้อนขึ้นมาทุบมันให้แตกออก เป็นเรื่องแปลกที่จะบอกว่า เมื่อขวดยาถูกทุบ ยาก็กลายเป็นผงทันทีผงยาลอยไปตามลมจนแทบมองไม่เห็น เซี่ยหลินรีบปิดปากจื่ออัน “กลั้นหายใจ”จื่ออันรีบปิดปากและจมูกอย่างรวดเร็ว ทั้งสองกลั้นหายใจชั่วขณะ ก่อนจะรีบออกไปเปิดประตูเซี่ยหลินกล่าวว่า “ผงเหล่านี้เป็นพิษจากแมลง และมีไข่ของแมลงผสมอยู่ มองเห็นด้วยตาเปล่าได้ยาก เมื่อสูดดมเข้าไปในร่างกาย พวกมันจะค่อย ๆ เติบโตและดูดเลือด”“สวรรค์ แล้วข้าควรทำอย่างไรกับตัวที่ลอยไปในอากาศโดยไม่ได้ตั้งใจ?” จื่ออันพูดขณะหน้าซีด“ไม่มีปัญหา หากไม่มีชั้นสีที่เคลือบไข่แมลงเหล่านี้ไว้ พวกมันจะตายเมื่อเจอแสงแดด พวกมันจะสามารถอยู่รอดและเติบโตได้ก็ต่อเมื่อพวกมันอาศัยอยู่ในร่างกายมนุษย์เท่านั้น” เซี่ยหลินอธิบายจื่ออันยังไม่ค่อยเข้าใจนัก “แต่วันนั้นมีคนสี่คนในวังหลวง ซุนฟางเอ๋อร์ กุ้ยไท่เฟย ซุนกงกง และไทเฮา เหตุใดไทเฮาจึงเป็นคนเดียวที่ถูก
จื่ออันได้ยินเขาพูดอย่างใจเย็น จึงรู้ว่าเขาคิดแผนการบางอย่างไว้แล้ว “ท่านกำลังจะทำอะไร?”“จื่ออัน” มู่หรงเจี๋ยจับมือนาง “เจ้าต้องเข้าไปในวังด้วย”“ข้าหรือ?”“ใช่ เจ้ากับสนมเหมยต้องยืนอยู่ในฐานะเดียวกัน” มู่หรงเจี๋ยกล่าว“อืม ข้าจะทำตามที่ท่านบอก” จื่ออันพยักหน้าเมื่อกุ้ยไท่เฟยเข้าวัง นางก็ต้องเข้าวังเป็นธรรมดา อันที่จริงตอนนี้นางก็เหมือนอยู่ในวัง และกลับไปเยี่ยมบ้านเป็นครั้งคราวเท่านั้น“ท่านน้าก็จะกลับไปอยู่ที่วังชั่วคราวด้วย ถึงตอนนั้น พวกเจ้าทั้งสามจะเอาชนะพวกนางสองคนได้ แต่ระวังซุนฟางเอ๋อร์ด้วย” มู่หรงเจี๋ยพูด“ไม่ต้องห่วง ข้าจะระวัง” จื่ออันพูด นางรู้อยู่ในใจว่าทันทีที่นางเข้าไปในวัง มันหมายถึงการต่อสู้ระหว่างผู้หญิงห้าคนสนมอี้มีกุ้ยไท่เฟยและซุนฟางเอ๋อร์ แต่โชคดีที่นางมีต้าจ่างกงจู่“เรื่องปันส่วนเสบียงในกองทัพเป็นอย่างไรบ้าง?” จื่ออันถาม“หลังปีใหม่ผลผลิตธัญพืชไม่ค่อยดีนัก แต่ที่ผ่านมามีการสำรองปริมาณธัญพืช ในพื้นที่รอบ ๆ เทศมณฑลจี แต่จากการประมาณดูแล้ว เกรงว่าจะต้องใช้เวลาขนย้ายหนึ่งหรือสองวัน สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือศัตรูอาจจะมาโจมตีในสองวันนี้” มู่หรงเจี๋ยกล่าวด้วยค
“ท่านคิดว่าเป่ยโม่วางแผนโจมตีในวงกว้าง แทนที่จะกระจายออกไปหรือ?”“กลยุทธ์การเดินทัพของเป่ยโม่เป็นเช่นนี้เสมอ โจมตีอย่างอุกอาจ ไม่แยกย้ายกระจายตัวง่าย ๆ เวลานี้แม่ทัพของเป่ยโม่เป็นผู้หญิง ชื่อฉินโจว แม่นางผู้นี้สั่งการทหารราวกับเทพเจ้า มีอุปนิสัยโหดเหี้ยมยิ่ง พรสวรรค์ส่วนตัวคือการโจมตีอันดุดัน คนคนนี้ไม่ใช้กลยุทธ์ อาศัยเพียงความกล้าหาญเท่านั้น ดังนั้นทหารที่อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของนางล้วนกล้าหาญมาก”จื่ออันขมวดคิ้ว “ถ้าเป่ยโม่และเซียนเปยร่วมมือกัน กระทั่งเกิดสงครามขึ้นจริง เราคงไม่มีโอกาสชนะเลยใช่หรือไม่?”“ใช่” มู่หรงเจี๋ยลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรอีกจื่ออันเห็นว่าเขากำลังคิดคำนวณอยู่ในใจ ทว่าหากเขาไม่เป็นฝ่ายพูด นางก็จะไม่ถาม นางไม่สามารถช่วยเหลือเรื่องราชสำนักหรือประเทศชาติได้ เพียงหวังว่าตนอาจช่วยเหลือเขาได้บ้างเกี่ยวกับสงครามจลาจลหลังจากที่จื่ออันกลับเข้าวังแล้ว นางก็อาศัยอยู่ในตำหนักฉางเชิงตอนที่นางเข้ามาอยู่ในวังเพื่อรักษาอาการของอ๋องเหลียง นางแวะมาอาศัยอยู่ในตำหนักฉางเชิงสองสามวัน ที่นี่อยู่ใกล้แหล่งน้ำและล้อมรอบด้วยต้นไทร ความจริงที่นี่ไม่เหมาะกับจื่ออันท
ซุนฟางเอ๋อร์ยืนขึ้น แล้วมองไปที่จื่ออัน “ถ้าเจ้าต้องการล้างแค้นแทนนางก็เชิญเลย”“ข้าทำแน่!” จื่ออันตอบกลับอย่างเย็นชาซุนฟางเอ๋อร์แสยะยิ้ม “ข้าจะรอเจ้า”“เจ้าต้องการอะไรกันแน่?” จื่ออันอดถามไม่ได้ซุนฟางเอ๋อร์ไม่ส่งเสียงตอบ แต่ดวงตาของนางฉายความสับสน นางต้องการอะไร? นางไม่รู้ ก่อนหน้านี้นางรู้ตัวดี นางเพียงต้องการกลับมา และประกาศให้ตระกูลซุนรู้ว่าซุนฟางเอ๋อร์คนนี้ดีกว่าผู้หญิงทุกคนในตระกูลซุนเป็นไหน ๆ และต้องการบอกมู่หรงเจี๋ยว่าเขาโชคร้ายแค่ไหนที่เพิกเฉยต่อนางในเวลานั้นนางต้องการทำให้พวกเขาต้องเสียใจแต่ตอนนี้พอมาลองคิดทบทวนดูอีกครั้ง มันคุ้มค่าจริงหรือ?ชีวิตปัจจุบันของนางไม่เคยมีเวลาได้ผ่อนคลาย หรือมีความสุขมากขึ้นกว่าเดิม ตรงกันข้าม นางกลับทุกข์ทรมานยิ่งกว่าเก่าเสียอีกจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากที่นางช่วยให้อ๋องหนานหวายครองประเทศได้สำเร็จ? จุดหมายปลายทางของนางคืออะไร? แม้อ๋องหนานหวายจะอภิเษกสมรสกับนาง แต่หลังจากที่เขาขึ้นครองราชย์แล้ว สิ่งแรกที่เขาทำก็คือ สังหารนางทิ้ง“ข้าไม่ต้องการอะไร ข้าเพียงอยากใช้ชีวิตแบบนี้ ไม่ต้องการเปลี่ยนแปลง” ซุนฟางเอ๋อร์พูดเสียงเบา “ได้ยินมาว่าหวง
ถ้าไม่ใช่อ๋องหนานหวาย ก็ควรจะเป็นกุ้ยไท่เฟย แต่กุ้ยไท่เฟยไม่อาจหาวิธีสังหารนางได้โดยง่าย ในทางกลับกัน ซุนฟางเอ๋อร์สามารถหาทางฆ่ากุ้ยไท่เฟยได้ง่ายกว่าซุนฟางเอ๋อร์คนนี้ช่างทำตัวชวนสับสนมากขึ้นเรื่อย ๆจื่ออันกลับไปที่ตำหนักฉางเซิงทั้งที่ในใจเต็มไปด้วยคำถาม เห็นนางข้าหลวงข้างกายสนมเหมยรีบเข้ามาหา “พระชายา ท่านกลับมาเสียที พระสนมเหมยให้ข้ามาเรียกหาท่านเป็นการด่วนเจ้าค่ะ”“เกิดอะไรขึ้น?” จื่ออันยังไม่ได้จิบชาเลยด้วยซ้ำ“นักโทษในตำหนักเย็นฆ่าตัวตายเจ้าค่ะ!” สาวใช้ตอบกลับ้สียงเบา สนมเหลียง? คิ้วของจื่ออันกระตุก นึกถึงอ๋องเหลียงก่อนเป็นอันดับแรก“นางตายแล้วหรือ?” จื่ออันถามอย่างรวดเร็ว“ยังไม่ตายเจ้าค่ะ เพียงหยุดหายใจไปเท่านั้น พระสนมเหมยวานให้ท่านช่วยไปดูนางหน่อย แต่พระสนมอี้ยังไม่ทราบเจ้าค่ะ”“เจ้าล่วงหน้าไปก่อน ข้าจะตามไปเดี๋ยวนี้!" จื่ออันกล่าว การตายของสนมเหลียงไม่ใช่เรื่องน่าเสียดาย แต่จื่ออันไม่รู้ว่าอ๋องเหลียงจะคิดอย่างไรหากรู้ข่าวนางจำได้ว่าตอนที่นางเข้าวังครั้งแรกเพื่อรักษาอ๋องเหลียง ฮองเฮาแสดงท่าทีห่วงใยอ่องเหลียงมากเพียงใด จนถึงกับเป็นลมไปหลายครั้งเพราะอ๋องเหลียงแม้ว่
อ๋องเหลียงไม่ได้เข้าวังทันที หลังจากตาวเหล่าต้ารายงานเรื่องสนมเหลียงให้เขาฟัง เขาเพียงตอบรับในลำคอ และขอให้ตาวเหล่าต้ากลับไปตาวเหล้าต้ารู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย “ท่านจะไม่เข้าไปดูหน่อยหรือขอรับ?”“เจ้ากลับไปก่อนเถอะ” อ๋องเหลียงส่งเขากลับแม้ว่าตาวเหล่าต้าจะไม่ค่อยเข้าใจนัก ทว่าเขาก็ต้องออกไปเมื่ออ๋องเหลียงกล่าวเช่นนั้นเมื่อตาวเหล่าต้ากลับเข้ามาในวัง จื่ออันยังอยู่ในตำหนักเย็นตำหนักเย็นมีคนเฝ้าน้อยนิด มีทหารองครักษ์เพียงไม่กี่คนคอยคุ้มกัน แน่นอนว่าไม่มีใครอยู่รับใช้คนภายใน ทุก ๆ วันจะมีนางข้าหลวงชราส่งของมาให้ โดยทั่วไปพวกนางไม่ค่อยอยากเข้าใกล้ตำหนักเย็นนัก เพราะว่ากลัวความโชคร้ายจื่ออันไม่สามารถถามใครได้เลยว่าช่วงที่ผ่านมานี้สนมเหลียงได้ติดต่อกับใครบ้าง เพราะประตูของตำหนักเย็นถูกล็อก คนที่อยู่ข้างในถูกกักขังไม่ให้ออกมา คนนอกก็เข้าไปไม่ได้ ดังนั้นเมื่อพวกเขาปฏิบัติหน้าที่ พวกเขาแค่เดินตรวจตราไปรอบ ๆ ก่อนจะเข้าไปหลบอยู่ในบ้านหลังเล็ก ๆ ด้านข้างของตำหนักเย็นเพื่อให้ร่างกายอบอุ่นนางข้าหลวงชราที่นำของมามักจะโยนของข้ามประตูแล้วจากไป ไม่มีการเปิดประตูเข้าไปข้างในในเมื่อไม่มีใครเข้
"เหตุผลล่ะ?”จื่ออันตอบกลับ “สนมเหลียงป่วย ข้าไม่อนุญาตให้ใครเข้าไปรบกวนนางก็เท่านั้น”สนมอี้ตะคอกอย่างเย็นชา “เจ้าไม่อนุญาต ถือดีอย่างไรถึงไม่อนุญาต? เจ้าไม่ให้คนเข้าตำหนักตนเองก็ช่างเถิด แต่ทำไมถึงห้ามไม่ให้คนเข้าไปที่ตำหนักเย็น? นอกจากนี้ สนมเหลียงก็ได้รับโทษหนักพออยู่แล้ว ไม่ว่านางจะบาดเจ็บ ป่วย หรือตาย ฝ่าบาทย่อมไม่สนใจอยู่แล้ว เจ้าจะวุ่นวายอะไรขนาดนี้?”“แม้ว่าสนมเหลียงจะถูกโยนเข้าไปในตำหนักเย็น แต่นางก็ยังมียศถาบรรดาศักดิ์ ทั้งยังเป็นมารดาผู้ให้กำเนิดของอ๋องแห่งแคว้นเหลียง จะให้ข้าละเลยนางได้อย่างไร? ไม่เห็นแก่หน้าภิกษุสงฆ์ ก็ควรต้องเห็นแก่หน้าพระพุทธรูป” จื่ออันหันหลังกลับทันทีสนมอี้ตะคอกต่อไป “ไม่ต้องยกเอาอ๋องเหลียงมาอ้าง อ๋องเหลียงไม่แม้แต่จะขอร้องแทนนางด้วยซ้ำ ฝ่าบาทต่างหากที่ทรงพระกรุณา จึงจับนางเข้าไปอยู่ในตำหนักเย็น นางเจ็บป่วย ถ้าต้องการเรียกหาหมอหลวงก็ควรแจ้งข้ากับสนมเหมย เจ้าเป็นแค่ชายา ไม่มีสิทธิ์จัดการเรื่องภายในวัง”“นางไม่ได้เรียกหาหมอหลวง แต่เรียกข้าให้ไปรักษาแทน ใช่ ข้าเป็นเพียงชายา แต่ฝ่าบาทไม่ได้สั่งห้ามข้าไม่ให้รักษาคนในวังเสียหน่อย แล้วสนมอี้จะห้ามข้าได
ร่างกายของแม่ทัพเฒ่าฉินสั่นสะท้านด้วยความโกรธ “เจ้าสาปแช่งปู่รึ เจ้าเคยคำนึงถึงญาติพี่น้องหรือไม่?”เมื่อหมอหลวงมาถึง กลับไม่มีคนในตระกูลฉินคอยเฝ้าเขาอยู่ในห้อง ดังนั้นจึงมีเพียงแต่บ่าวรับใช้หลังจากตรวจสอบอาการเสร็จ หมอหลวงก็กล่าวด้วยสีหน้าตกตะลึง “ท่านแม่ทัพเฒ่า เมื่อไม่กี่วันมานี้ท่านได้ไปที่ใดมา? แล้วท่านเคยเข้าไปในพื้นที่โรคระบาดหรือไม่?” “ไม่เคย ข้าไม่เคยไปที่นั่น” สีหน้าของแม่ทัพเฒ่าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เมื่อได้ยินคำพูดของหมอหลวง “ท่านกำลังสงสัยว่าข้าติดเชื้อโรคระบาดใช่หรือไม่?”“อาการช่างคล้ายคลึงกันยิ่งนัก” หมอกลวงกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด“เป็นไปไม่ได้!” แม่ทัพเฒ่าฉินรู้สึกตื่นตระหนกอย่างมาก “ท่านวินิจฉัยผิดหรือไม่?”“ข้าจะจัดยาให้ท่านสองชนิดก่อน หากดื่มยาเหล่านี้แล้วไม่ได้ผล เช่นนั้นไม่ใช่ก็ใกล้เคียงแล้วขอรับ” หมอหลวงกล่าวแม่ทัพเฒ่าฉินกล่าวด้วยความลนลาน “ฉินโจวบังคับให้ท่านพูดเช่นนี้ใช่หรือไม่?”หมอหลวงรู้สึกประหลาดใจ “แม่ทัพเฒ่า ท่านหมายความว่าอย่างไร? เหตุใดแม่ทัพฉินถึงต้องบังคับให้ข้าพูดเช่นนี้?”หมอหลวงชะงักไปชั่วครู่หนึ่งแล้วโพล่งถาม “ท่านเคยพูดคุยกับองค์ชายเ
นางสามารถเสียสละได้ แต่จะไม่มีทางทรยศต่อประชาชนเป่ยโม่เด็ดขาดสำหรับความจงรักภักดีต่อองค์จักรพรรดิและประเทศชาติ นางจะต้องรักประชาชนก่อน จึงจะสามารถภักดีต่อองค์จักรพรรดิได้ฉินโจวกล่าวคำเบา “ข้าเข้าไปในพระราชวังเพื่อเชิญหมอหลวงแล้ว ท่านปู่พักผ่อนก่อนเถิด ข้าจะออกไปเดินเล่นรับลมสักหน่อย”ดวงตาของแม่ทัพเฒ่าฉินอัดแน่นด้วยความโกรธ แต่ก็พยายามอย่างหนักเพื่อระงับมันฉินโจวเดินออกจากห้อง และเห็นว่าฉินเป้าน้องชายของตนนั่งอยู่ที่สวน เมื่อเห็นนางเดินออกมา เขาก็ถามว่า “ท่านปู่เป็นอย่างไรบ้าง?”ฉินโจวจำคำพูดของท่านปู่ได้อย่างแม่นยำ จึงเมินเฉยต่อเขาและตอบอย่างใจเย็น “เข้าไปดูด้วยตนเองสิ”ฉินเป้าคลี่ยิ้ม แต่มันกลับดูอ้างว้างอย่างยิ่ง “ข้าได้ยินสิ่งที่ท่านปู่พูดกับท่านแล้ว ข้าไม่อยากเข้าไป”ฉินโจวตกตะลึง “เพราะเหตุใด เขาทุ่มเทความพยายามทั้งหมดไปกับหารวางแผนเพื่อเจ้า เจ้าควรขอบคุณท่านปู่สิ”ฉินเป้าหัวเราะเยาะ “จริงรึ? หากเขาทอดทิ้งท่านเพื่อตระกูลได้ ในอนาคตเขาจะไม่ทอดทิ้งข้าหรือ? ข้าไม่ต้องการชื่อเสียงหรือความดีงามใด ๆ พวกมันไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการเลย”ฉินโจวดูถูกน้องชายมาโดยตลอด เพราะเขาไม่ได
ทั้งสองคนเดินออกไปและหยุดอยู่บนทางเดิน หมอมองฉินโจวพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “ท่านแม่ทัพ ข้ากำลังสงสัยว่าท่านแม่ทัพเฒ่าจะป่วยด้วยโรคระบาดขอรับ”ฉินโจวตกตะลึง “โรคระบาด? เป็นไปได้อย่างไร? ปู่ของข้าไม่เคยออกไปข้างนอก และไม่เคยติดต่อกับผู้ป่วยโรคนี้เลย แล้วเขาจะติดเชื้อโรคระบาดได้อย่างไร?”“ข้าเคยรักษาผู้ป่วยโรคระบาดมาก่อน ซึ่งอาการคล้ายคลึงกันอย่างมาก ผู้ป่วยจะมีไข้สูง ไอ ตาแดง หายใจเร็วขึ้น เมื่อเกิดอาการเหล่านี้พร้อมกันจะอันตรายอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นโรคนี้ยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาดขอรับ” หมอกล่าว“เป็นไปไม่ได้ หากจะติดเชื้อโรคระบาดก็ต้องสัมผัสกับผู้ป่วยที่มีเชื้ออยู่แล้ว แต่ท่านปู่ของข้าไม่เคยใกล้ชิดคนเหล่านั้นเลย แล้วเขาจะติดเชื้อได้อย่างไร?” ฉินโจวยังคงไม่เชื่อหมอประสานหมัด “ทั้งหมดนี้คือคำวินิจฉัยของข้า หากท่านแม่ทัพไม่เชื่อ ก็สามารถขอให้หมอคนอื่นมาตรวจดูได้ หรือท่านจะพาเขาไปที่พระราชวัง และขอให้หมอหลวงช่วยตรวจอาการ ข้าไร้ความสามารถ จึงอาจวินิจฉัยผิดพลาดได้ ลาก่อนขอรับ ๆ!”สิ้นคำ หมอก็หยิบกล่องยาแล้วออกไปโดยไม่เขียนใบสั่งยาด้วยซ้ำฉินโจวสับสนไม่น้อย ท่านปู่ติดเชื้อโร
หัวใจของฉินโจวเย็นเยียบราวกับน้ำ “ใช่ ตราบใดที่ข้าตายในสนามรบ ตระกูลฉินก็ยังจะเป็นผู้กล้า และเป็นขุนนางผู้มีเกียรติ”แม่ทัพเฒ่าฉินเงียบไปครู่ใหญ่ จากนั้นกล่าวคำเบา “ในฐานะหลานสาวตระกูลฉิน มันเป็นหน้าที่ของเจ้าที่ต้องเสียสละเพื่อชื่อเสียง และรากฐานของตระกูล”ฉินโจวกำหมัดแน่นด้วยความไม่พอใจ “หลายปีที่ผ่านมานี้ ข้ายังทำไม่พออีกหรือ? ตอนนี้มีใครในตระกูลฉินบ้างที่ไม่เกาะกินเลือดนี้ของข้า?”แม่ทัพเฒ่าฉินลุกยืนขึ้นพลางกล่าวอย่างเย็นชา “ข้าเคยเตือนเจ้าแล้ว คราวนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เจ้าจะต้องเข้าไปในพระราชวัง ข้าให้คำมั่นกับฮองเฮาเฉาแล้ว ว่าวันนี้เจ้าจะไปที่นั่นเพื่อทูลขอรับคำสั่ง หากเจ้าไม่ไป ข้าก็จะรับคำสั่งและออกรบด้วยตนเอง”“ท่าน...” ฉินโจวมองเขาด้วยสายตาโศกเศร้า “ท่านปู่ ข้าก็เป็นหลานสาวของท่านเหมือนกัน ท่านไม่สงสารข้าบ้างหรือ?”“ปู่สงสารเจ้าสิ แต่ภารกิจหน้าที่ของตระกูลฉินจะต้องถูกส่งต่อ ตอนนี้น้องชายของเจ้าโตพอแล้ว เจ้าจะต้องพาเขาไปสร้างความสำเร็จทางการทหารด้วย และเจ้าจะได้รับส่วนแบ่งของน้องเจ้า เมื่อถึงเวลานั้น ตระกูลฉินก็จะได้ผู้สืบทอดคนใหม่”ฉินโจวผงะไปชั่วครู่ ก่อนระเบิดหัวเราะ
เมื่อได้ยินคำพูดของฉินโจว แม่ทัพเฒ่าฉินก็โมโหมากจนเคราสั่นสะท้าน “อาโจว อะไรจะสำคัญไปกว่าการบรรลุเป้าหมายอันยิ่งใหญ่? องค์จักรพรรดิเพียงต้องการขยายอาณาเขตของแคว้น เจ้าควรรู้เอาไว้ว่าเมื่อเรายึดครองต้าโจวสำเร็จ เป่ยโม่จะมีพื้นที่เพิ่มมากกว่าครึ่งหนึ่ง และมันจะเป็นความดีความชอบของตระกูลฉิน ทำให้ตระกูลของเราถูกจดจำไปหลายชั่วอายุคน! นี่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าต้องการมาตลอดรึ? เจ้าไม่ต้องการบอกคนทั้งโลก ว่าแม้ฉินโจวจะเป็นสตรี แต่นางก็สามารถประสบความสำเร็จได้อย่างผ่าเผยหรือ?”ฉินโจวมองดูใบหน้าที่ฉายแววตื่นเต้นปนโกรธเกรี้ยวของปู่ ทันใดนั้นนางก็สัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติถูกต้อง มันคือความต้องการของนาง แต่ความสำเร็จของนางจะต้องไม่แลกกับการเหยียบย่ำกระดูกของประชาชนชาวเป่ยโม่นางรักเป่ยโม่และหวังที่จะขยายอาณาเขตของแคว้น นอกจากนี้นางยังต้องการเสาะหาดินแดนอุดมสมบูรณ์เพื่อประชาชน เพราะหวังว่าพวกเขาจะสามารถอยู่อาศัยและทำกินอย่างสงบสุข และพึงพอใจโดยไม่ต้องทนทุกข์จากการพลัดถิ่นอย่างไรก็ตาม ในตอนนี้หากต้องการบรรลุอำนาจ นางจำต้องสละชีวิตประชาชนจำนวนมาก และนำเงินภาษีของทุกคนมาใช้ในการทำสงคราม ทำให้โรคร
มือสังหารเหล่านั้นแต่งกายคล้ายกับชาวต้าโจวและสวมหน้ากากผ้าสีดำ กลุ่มคนนิรนามราวเจ็ดถึงแปดคนกระโดดลงมาจากท้องฟ้ากลางวันแสก ๆ ทันทีที่เท้าของคนเหล่านั้นแตะพื้น พวกมันก็เริ่มโจมตีอย่างดุดันฉินโจวเห็นมือสังหารคนหนึ่งกระโดดขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกับกระบี่ยาว จากนั้นร่ายรำอยู่หลายกระบวนท่าราวกับนางฟ้าโปรยดอกไม้ ขณะแสงแดดตกกระทบกระบี่ส่องกระจายไปทั่วเหล่าทหารที่เพิ่งมาถึงกระโจนเข้าไปร่วมวงต่อสู้อย่างรวดเร็วหลังจากประดาบกันไปกว่าร้อยครั้ง มือสังหารก็ถูกบีบบังคับให้ล่าถอย ฉินโจวจ่อกระบี่ไปที่คอของหนึ่งในมือสังหาร พลางถามเสียงเข้ม “ตอบข้า ใครเป็นคนส่งเจ้ามา?”มือสังหารตอบอย่างเย็นชา “ฆ่าไอ้หมารับใช้เป่ยโม่ให้หมด!”“หมารับใช้เป่ยโม่? เห็นได้ชัดว่าพวกเจ้าไม่ได้เป็นคนเป่ยโม่ พวกเจ้ามาจากต้าโจวใช่หรือไม่?” ฉินโจวโมโหอย่างมาก ขณะชี้ดาบไปยังหน้าอกของอีกฝ่าย “ไอ้เลวมู่หรงเจี๋ยส่งพวกเจ้ามาใช่หรือไม่?”“หญิงเลวอย่าเจ้ากล้าเอ่ยชื่อของท่านอ๋อง ทำให้พระองค์มัวหมองได้อย่างไร?” มือสังหารตะโกนฉินโจวชักดาบกลับพร้อมกล่าวอย่างเย็นชา “กลับไปซะ!”มือสังหารตกตะลึง ราวกับไม่คาดคิดว่าฉินโจวจะปล่อยตัวเขาไป”เ
ฉินโจวกล่าวด้วยความโมโห “ข้าหลอกลวงเจ้าเมื่อไร?”“ไม่งั้นรึ? เจ้าและอ๋องฉีเอ่ยปากว่า หากจื่ออันตกลงเดินทางมาที่เป่ยโม่ พวกเจ้าจะส่งองค์ชายรัชทายาทไปที่ต้าโจวเป็นองค์ประกัน แล้วพวกเจ้าทำตามที่พูดแล้วหรือไม่?”“องค์ชายรัชทายาทเดินทางไปยังต้าโจวแล้ว!”“ผู้ที่เดินทางไปยังต้าโจวคือองค์ชายเจ็ด ไม่ใช่องค์ชายรัชทายาท องค์ชายเจ็ดไม่ได้เป็นที่โปรดปราน ดังนั้นจักรพรรดิเป่ยโม่จะส่งเขาไปสังเวยเมื่อใดก็ได้”“เป็นไปไม่ได้!” ฉินโจวประหลาดใจอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าผู้ที่เดินทางไปคือองค์ชายรัชทายาท เพราะองค์จักรพรรดิทรงตรัสด้วยตนเองว่าจะส่งเขาไปที่ต้าโจว“เจ้าอย่าเพิ่งสนใจเรื่องนี้เลย ก่อนหน้านี้ทั้งสองแคว้นตกลงทำสนธิสัญญาสงบศึก หลังจากการแพร่ระบาดสิ้นสุดลง แต่เจ้ากลับวางแผนโจมตีพวกเราในขณะที่ข้ายังอยู่ที่เป่ยโม่ เจ้าจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร?” มู่หรงเจี๋ยกล่าวอย่างเคร่งเครียดฉินโจวตอบ “ผิดแล้ว เป็นเพราะต้าโจวที่เคลื่อนทัพโจมตีทหารฝั่งขวาของเราก่อน และสังหารทหารของเราไปกว่าร้อยคน ข้าจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากเคลื่อนทัพเข้าไปใกล้ เพื่อบีบบังคับให้พวกเจ้าถอยกลับ”“ไร้สาระ กองทัพของเราหยุดเคลื่อนท
อย่างไรก็ตาม การจัดหาเสบียงอาหารสำหรับพื้นที่ภัยพิบัติยังไม่เพียงพอ และยังขาดแคลนเสื้อผ้าอาภรณ์ นอกจากนี้หลังจากที่พระชายาผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มาถึงเป่ยโม่ ก็ยังไม่ได้รับใบสั่งยาแม้แต่ฉบับเดียว ดังนั้นความอดทนของประชาชนจึงค่อย ๆ หมดลง แต่ความโกรธและความขุ่นเคืองกลับยิ่งมากขึ้นทันทีที่ข่าวลือแพร่สะพัด ก็เป็นเสมือนเป็นการขว้างเปลวไฟใส่ ‘ระเบิด’ หนึ่งหมื่นตุน ทำให้มันระเบิดออกอย่างรวดเร็วผู้ประสบภัยนับไม่ถ้วนหลั่งไหลเข้าสู่เมืองหลวงอย่างรวดเร็วหลังจากที่ฉินโจวลงจากภูเขา นางก็พบว่าองค์จักรพรรดิทำอะไรกับทหารม้า และทหารเจ็ดหมื่นนายที่ประจำการที่เมืองหลวง ซึ่งเขาออกคำสั่งให้ทหารเหล่านั้นขับไล่เหล่าผู้ประสบภัยออกไปนางเห็นด้วยตาตนเองว่าทหารใต้บังคับบัญชาของนางสร้างกำแพงมนุษย์อันแน่นหนา เมื่อผู้ประสภัยเดินทางเข้ามา พวกเขาก็จะโบกหอกเพื่อขับไล่คนเหล่านั้นออกไปผู้ประสบภัยมากกว่าสิบรายได้รับบาดเจ็บจากหอกทหารเหล่านั้นอยู่ใต้บังคับบัญชาของนาง แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะไม่ได้ฆ่าผู้ใด แต่เมื่อสถานการณ์รุนแรงขึ้นจะต้องมีการฆ่าแกงกันอย่างแน่นอนฉินโจวโกรธจัดจึงขี่ม้าเข้าไปขวางเอาไว้ “หยุด หยุดเ
ฉินโจวกวาดสายตามองพลางเยาะเย้ยจื่ออันไม่สนใจนาง และพาหลินตานไปยังเขตตะวันตกภายในสองวันนี้มีผู้เสียชีวิตถึงสามคน ซึ่งทั้งหมดถูกหามออกไปหลังจากที่หลินตามเดินเข้ามาเขาหลั่งน้ำตาหลั่งน้ำตาขณะมองดูการเผาศพจื่ออันไม่คิดว่าเขาจะมีความอ่อนไหวมากเพียงนี้ “ท่านหมอหลิน ท่านเป็นอะไรหรือไม่?”หลินตานปาดน้ำตา “ข้าขอโทษ ข้าเพียง... คิดถึงครอบครัวขอรับ”“ครอบครัวของท่าน? แล้วตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ใดหรือ?” จื่ออันถาม“ตายหมดแล้วขอรับ ภรรยาและลูกสะใภ้ของข้าตายเพราะเหตุแผ่นดินไหวทั้งคู่ ส่วนลูกชายและหลานชายติดเชื้อโรคระบาดก่อนตายไปเช่นกัน ข้าจึงเป็นคนเดียวที่เหลือรอด” หลินตานสูดหายใจเข้าลึก ใบหน้าที่อยู่ภายใต้ผมสีขาวฉายแววความเศร้าโศกและหดหู่จื่ออันไม่คาดคิดว่าเขาจะมาจากพื้นที่โรคระบาดเช่นกัน เมื่อเห็นสีหน้าเศร้าสร้อย จื่ออันก็ไม่รู้จะปลอบใจเขาเช่นไร จึงได้แต่นิ่งเงียบและอยู่เคียงข้างไม่นานหลินตานก็ถามว่า “ท่านหมอเซี่ย โรคระบาดนี้สามารถรักษาหายได้จริงหรือขอรับ?”ตอนนั้นเองจื่ออันก็นึกได้ว่าเขาเป็นหมอเท้าเปล่า และหลังจากเดินทางพเนจรไปที่ต่าง ๆ เขาอาจรู้จักจินเย่าฉือก็เป็นได้ ดังนั้นจึงรีบถามว