หลังจากที่จื่ออันสงบลง ก็โต้กลับไปว่า “ที่ว่ากันว่าเวลาเปลี่ยนคนย่อมเปลี่ยนนั้นคงเป็นความจริง หากดวงวิญญาณของฮองไทเฮาอยู่ที่แดนสุขาวดี ก็ไม่รู้ว่านางจะโกรธแค้นเพียงใด เมื่อเห็นผู้คนรอบตัวนางถูกสนมอี้ดูถูกเช่นนี้”“ไม่ต้องมาพูดเรื่องนี้กับข้า ข้าไม่เคยเชื่อเรื่องผี เมื่อมีคนตายก็คือตาย สูญสลายหายไป นางไม่มีทางรู้หรอกว่าข้าทำอันใดกับคนที่อยู่ข้างหลังนาง จะมาแค้นเคืองอันใดกัน”นางยกมือขึ้น “เอาล่ะ อย่ามายุ่งวุ่นวายกับข้า ตอบข้ามาตามตรง ข้าไปตำหนักเย็นได้หรือไม่”จื่ออันมองซุนกงกงเหมือนมีบางอย่างจะพูดซุนกงกงพยักหน้าให้จื่ออันเบา ๆ บ่งบอกว่าเขาจะยินยอมให้เข้าไปเยี่ยมแม้ว่าจื่ออันจะไม่รู้ว่าซุนกงกงวางแผนอันใดไว้ แต่เขาก็มีไหวพริบอยู่เสมอ บางทีถ้าสนมอี้เข้าไปที่นั่น ก็อาจจะไม่พบอันใดเลยก็เป็นได้นางจึงพูดว่า “ตกลง ในเมื่อสนมอี้ต้องการเห็นก็ไปเถิด แต่ข้าต้องไปด้วย เพราะอย่างไรเสีย สนมเหลียงก็ติดเชื้อหวัดที่สามารถแพร่เชื้อได้”“เจ้าชอบเป็นสุนัขที่คอยติดตามคนอยู่แล้ว แล้วข้าจะห้ามเจ้าได้อย่างไร?” สนมอี้พูดอย่างเย็นชา“หญิงแพศยาปากสกปรกเหม็นเน่ามาจากที่ใด? มันเหม็นเสียจนข้าไม่อาจงีบหลับ
ทั้งสองเดินออกไปทีละคน สนมอี้พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เซี่ยจื่ออัน เจ้าซ่อนตัวอยู่ข้างหลังองค์หญิงได้ไม่นานหรอก”“สนมอี้ก็ซ่อนตัวอยู่ข้างหลังกุ้ยไท่เฟยมิใช่หรือ หรือว่ากุ้ยไท่เฟยซ่อนตัวอยู่ข้างหลังสนมอี้กันแน่? ทุกคนล้วนเป็นนายของตนเอง เพียงแค่ต่อสู้อย่างเปิดเผยก็เพียงพอแล้ว อย่าคิดจะแอบใช้เล่ห์เหลี่ยมใด ๆ อยู่ในความมืด ข้าจะรอชม” จื่ออันพูดด้วยเสียงเรียบสนมอี้พ่นลมหายใจ “เหตุใดข้าถึงเกรงว่าเจ้าจะไม่ทำเช่นนั้น? ข้าจะบอกเจ้าไว้ก็ได้ ว่าวังอี้หลานมุ่งมั่นจะพิชิตทั้งตำแหน่งผู้ครองวังหลังและองค์รัชทายาท”“เรื่องนี้ต้องถามกุ้ยไท่เฟยก่อนว่าจะยินยอมหรือไม่”“คิดจะหว่านความบาดหมางกันหรือ? ไม่มีทาง!” สนมอี้พูดอย่างมั่นใจ น้ำเสียงของนางแสดงว่าไม่ได้แยแสกุ้ยไท่เฟยเลยแม้แต่น้อยจื่ออันรู้สึกงงมาก สนมอี้ไปเอาความมั่นใจจากที่ใดมา ถึงได้คิดว่านางสามารถโค่นกุ้ยไท่เฟยได้แน่นอน กุ้ยไท่เฟยวางแผนมานานมาก แม้ว่านางจะมีความทะเยอทะยาน แต่ในแง่ของสายสัมพันธ์และอิทธิพล นางไม่อาจเทียบเท่ากุ้ยไท่เฟยได้ซุนกงกงและนางข้าหลวงหยางเดินตามหลังไปไกลจนถึงตำหนักเย็นเมื่อมาถึงประตูตำหนักเย็น ก็เห็นตาวเหล่าต้าเดินออ
เมื่อเข้าไปในตำหนักเย็นที่สนมเหลียงอาศัยอยู่ สนมอี้ยังไม่ทันได้เข้าไป ทันใดนั้นก็เห็นคนผู้หนึ่งกระโจนออกมาจากข้างใน ศีรษะคนผู้นั้นกระแทกท้องของสนมอี้ ทำให้สนมอี้เซไปหนึ่งก้าวจื่ออันเห็นสนมอี้ดีดตัวขึ้น ทำให้ยังคงทรงตัวได้ จากนั้นก็แสร้งปล่อยให้สาวใช้ช่วยพยุงนางขึ้นแต่การกระทำนี้ไม่อาจตบตาจื่ออันได้ นางมีวิทยายุทธ์!สนมเหลียงไม่หยุดและยังคงรีบโจมตีต่อไป ครั้งนี้จื่ออันเลือกที่จะยืนดูปฏิกิริยาของสนมอี้สนมอี้สบถออกมา แล้วเรียกคนมาจับสนมเหลียง แต่สนมเหลียงมีพละกำลังมากขณะกำลังคลั่ง นางไม่ได้โจมตีใครอื่น นอกจากสนมอี้เพียงผู้เดียวสนมอี้พยายามหลบหลีก เห็นจื่ออันโบกมือขณะยืนดู นางก็อดไม่ได้ที่จะพูดด้วยความโกรธเคือง “เซี่ยจื่ออัน เหตุใดเจ้าไม่เรียกคนให้มาจับนางออกไปเล่า?”“จับเลยหรือ?” จื่ออันค่อย ๆ สั่ง “ใครก็ได้ จับสนมเหลียงไว้”องครักษ์ของตำหนักเย็นทุกคนต่างกรูเข้ามา แต่ก็ไม่สามารถจับนางไว้ได้ และพวกเขาไม่กล้าใช้กำลัง จึงได้แต่ยืนดูสนมเหลียงกระโจนเข้าหาสนมอี้ครั้งแล้วครั้งเล่าสนมอี้กลัวนางมาก จึงพูดด้วยความเดือดดาลว่า “แล้วกัน ข้าอุตส่าห์มาเยี่ยมเจ้าด้วยเจตนาดี เจ้าช่างไม่รู้ดีช
“ไม่น่าแปลกใจที่นางมีวิทยายุทธ์ แต่เหตุใดนางถึงซ่อนเร้นความสามารถตัวเอง?”“ไม่รู้สิ บางทีฮ่องเต้อาจไม่ชอบสตรีที่ฝึกวิทยายุทธ์” จ้วงจ้วงพูดเช่นนั้น แล้วพูดต่อว่า “แม้ว่าฮ่องเต้จะไม่ชอบสตรีที่ฝึกวิทยายุทธ์ ทว่าก็ยังชื่นชมสตรีที่มีความสามารถ”เมื่อจ้วงจ้วงพูดเช่นนั้น ก็พลันรู้สึกฉงนเช่นกัน “ใช่แล้ว เหตุใดนางถึงปิดบังเรื่องที่ตนมีวิทยายุทธ์? นี่อาจเป็นวิธีการต่อสู้เพื่อผลประโยชน์ของนาง”“เมื่อมีสิ่งผิดปกติย่อมมีผี” จื่ออันเชื่อหลักการข้อนี้เสมอ“เช่นนั้นก็สั่งให้คนไปตรวจสอบอย่างละเอียด ว่าเกิดอันใดขึ้นก่อนที่นางจะเข้าวังดีหรือไม่?” จ้วงจ้วงกล่าว“ดีเหมือนกัน ต้องตรวจสอบให้ชัดเจน รู้เขา รู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง”จ้วงจ้วงยกยิ้ม “มันไม่คุ้มเลยจริง ๆ ที่ต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจไปกับคนเช่นนาง เจ้าเป็นคนหวาดระแวงเกินไป”“องค์หญิงผู้ประเสริฐของข้า ระวังไว้ก่อนย่อมดีกว่าถูกแผนร้ายเล่นงาน สนมอี้ไม่ได้ธรรมดาเช่นนั้น ท่านคิดว่าเรื่องระหว่างนางกับองค์รัชทายาท เป็นเพียงเรื่องชู้สาวเท่านั้นหรือ?”“ไม่ใช่ว่าเป็นเรื่องชู้สาวเท่านั้น แต่นางก็ไม่ได้รับความโปรดปรานเป็นพิเศษ บางทีนางอาจจะต้องการหาค
จ้วงจ้วงถาม “เจ้าสนิทกับนางในวัง และรู้เรื่องระหว่างนางกับมู่หรงเฉียวมากที่สุด เจ้าคิดว่านางชอบมู่หรงเฉียวจริงหรือ?”สนมเหมยตกใจเมื่อได้ยินคำพูดของจ้วงจ้วง นางรีบกวาดสายตามองไปรอบ ๆ แล้วพูดด้วยเสียงแผ่วเบา “องค์หญิง ท่านไม่อาจพูดเหลวไหลได้นะเพคะ เราไม่มีหลักฐาน”จื่ออันกล่าวว่า “สนมเหมยวางใจได้ เจ้าสามารถพูดทุกอย่างที่นี่ได้อย่างอิสระ อย่างที่ข้าบอกกับองค์หญิงเมื่อครู่นี้ ต้องพิจารณาให้ชัดเจน และตรวจสอบอย่างรอบคอบ”สนมเหมยมองจ้วงจ้วง “คือว่า... ข้าไม่รู้จะพูดอันใดดี”จ้วงจ้วงถามด้วยความสงสัย “นางไม่ได้เปิดเผยต่อหน้าเจ้าหรอกหรือ?”“ไม่ใช่ว่าไม่ได้เปิดเผยเพคะ แต่ข้าเคยพบสองหรือสามครั้ง องค์รัชทายาทเข้า ๆ ออก ๆ ตำหนักของนาง ตั้งแต่ตอนที่พระองค์มีพระชนมายุได้สิบหกพรรษา”“นั่นมันสี่หรือห้าปีมาแล้ว” จ้วงจ้วงกลอกตา “สนมอี้ผู้นี้ช่างกล้าหาญนัก ขณะนั้นฮ่องเต้ยังไม่ทรงพระประชวรเลย”“นางกล้าหาญจริงเพคะ ข้ายังไม่เข้าใจว่าเหตุใดนางถึงไม่หลีกเลี่ยง เรื่องเช่นนี้เราไม่กล้าแม้แต่จะคิดด้วยซ้ำ นับประสาอันใดกับกล้าทำ นางทำเช่นนั้นโดยไม่เกรงกลัวว่าคนจะรู้”หลังจากหยุดครู่หนึ่ง นางก็รู้สึกว่าไม่เหม
“ช่วงนี้ท่านงานยุ่งจนแทบไม่มีเวลานอน จะไม่ให้ปวดได้อย่างไร” จื่ออันถอนหายใจ รู้สึกเป็นทุกข์มาก เมื่อก่อนเขากลัวเข็มยิ่งกว่าอะไร แต่ตอนนี้เขากลับร้องขอมันด้วยตนเอง หมายความว่าเขาต้องเจ็บปวดมากมู่หรงเจี๋ยหลับตาลง “ภรรยา หลังจากเรื่องไร้สาระทั้งหมดนี้จบลงแล้ว เราไปภูเขาน้ำแข็งกันเถอะ”“ได้สิ” จื่ออันยิ้ม หมุนเข็มทองคำในมือแล้วแทงลึกลงไปในผิวหนัง “หากท่านต้องการไปที่ใด ข้าจะติดตามท่านไปทุกที่”“ข้าไปนรกก็จะไปรึ?” มู่หรงเจี๋ยถามด้วยรอยยิ้ม“เพียงมีท่านอยู่ ข้าก็ไม่รู้สึกเหมือนตกนรกแล้ว”มู่หรงเจี๋ยลืมตาขึ้นทันที รั้งร่างนางให้มาอยู่ข้างหน้า “เจ้าคิดอย่างนั้นจริง ๆ หรือ?”“แต่งกับไก่ก็ตามไก่ แต่งกับสุนัขก็ตามสุนัข ในเมื่อข้าแต่งงานกับจิ้งจอกเช่นท่าน ข้าไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องวิ่งตามไปทั่วทั้งภูเขา”“ข้าหวังว่าเรื่องวุ่นวายเหล่านี้จะจบลงโดยเร็วที่สุด” มู่หรงเจี๋ยถอนหายใจอีกครั้ง จื่ออันพบว่าช่วงที่ผ่านมานี้เขาถอนหายใจบ่อยขึ้น จนดูเหมือนคนแก่เล็กน้อย“ทุกอย่างจะผ่านไปด้วยดี” จื่ออันผละเขาออก แล้วดึงเข็มออกมา “ดีขึ้นหรือไม่?”มู่หรงเจี๋ยนวดระหว่างคิ้วของตนเอง “ดีขึ้นกว่าเดิมมาก”
จื่ออันรู้ว่าคืนนี้ถึงเวลาอันสมควรแล้วที่นางต้องสารภาพทุกอย่าง ตอนนี้สถานการณ์ไม่ชัดเจน พวกเขาไม่รู้ว่าวันพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้นบ้างให้เขารู้ว่าอย่างน้อยนางก็ไม่มีอะไรที่ซ่อนเร้นจากเขาอีกต่อไป“ชื่อเดิมของข้าคือเซี่ยจื่ออัน ข้าไม่ใช่คนจากราชวงศ์โจว หรือเก่ากว่านั้น ข้าไม่ได้มาจากยุคนี้ด้วยซ้ำไป ยุคสมัยที่ข้าเคยอยู่นั้นห่างจากช่วงเวลานี้ไปอย่างน้อยหลายร้อยถึงหลายพันปี…” นางไม่รู้จริง ๆ ว่าราชวงศ์นี้ตรงกับราชวงศ์ไหนในบันทึกประวัติศาสตร์ แต่จากความก้าวหน้าด้านอารยธรรม สามารถอนุมานได้ว่าเป็นราชวงศ์ถัง และราชวงศ์ซ่งมู่หรงเจี๋ยรู้สึกสับสนเล็กน้อยกับการเปิดเรื่องเช่นนี้ของนาง ประโยคที่นางกล่าวออกฟังไม่เข้าใจเอาซะเลย “เจ้ากำลังพูดเรื่องอะไร? หืม?”“อย่าใจร้อนสิ ค่อย ๆ ฟังต่อไปแล้วจะเข้าใจ ในยุคสมัยนั้น ข้าเป็นแพทย์ทหารประจำหน่วยสืบราชการลับ หน่วยราชการลับพิเศษที่ข้าสังกัดอยู่คือ หน่วยราชการลับต่อต้านศัตรูของประเทศ ข้าได้รับภารกิจลับ ในฐานะที่เป็นแพทย์ทหารของหน่วยสืบราชการลับ ข้าจึงรับหน้าที่สองบทบาทในคราวเดียว บางครั้งก็เป็นหมอ บางครั้งก็เป็นสายลับ แล้วข้าก็ถูกยิง… อาวุธในสมัยของข้าเรียก
มู่หรงเจี๋ยมองนางพลางทำหน้าแปลก ๆ “เป็นโอกาสที่หายากยิ่งนักที่เจ้ายินดีรินสุราให้ข้าด้วยตัวเอง? เจ้าไม่คัดค้านการดื่มของข้าแล้วหรือ?”“ถึงอย่างไรก็ดีกว่าดื่มน้ำส้มสายชู รายนั้นยิ่งกินยิ่งปวดท้อง” จนถึงตอนนี้จื่ออันก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงเอาแต่ดื่มน้ำส้มสายชูอยู่เป็นนิจ อีกทั้งบางครั้งยังบังคับให้นางดื่มอีกด้วย“การดื่มน้ำส้มสายชูเป็นความลับเล็ก ๆ น้อย ๆ ของข้า ข้าไม่ขอบอกเจ้าแล้วกัน” มู่หรงเจี๋ยกล่าวอย่างภาคภูมิใจ“ได้ เช่นนั้นข้าจะไม่ถาม” ว่าแล้วนางก็ลุกไปเตรียมน้ำอาบให้เขามู่หรงเจี๋ยจับมือนางไว้ “จื่ออัน ข้ามีอะไรจะบอกเจ้า่”เมื่อเห็นว่าใบหน้าของเขาเคร่งขรึมขึ้นทันใด จื่ออันก็อดไม่ได้ที่จะประหม่า “มีอะไรหรือ?”มู่หรงเจี๋ยจ้องมองนาง “ข้าตั้งใจว่าจะนำกองทัพไปออกรบ”สีหน้าของจื่ออันแปรเปลี่ยนไปทันที “ใครเป็นผู้ออกคำสั่งกัน? ก่อนหน้านี้ท่านเคยบอกว่าท่านเซียวโหวจะเป็นผู้นำทัพมิใช่หรือ?”“เปล่า ข้าจะนำกองทัพไปต่อสู้กับกองทัพเป่ยโม่ ส่วนท่านเซียวโหวป้องกันเซียนเปย”หัวใจของจื่ออันยิ่งอึดอัดเข้าไปใหญ่ “ท่านแน่ใจหรือว่าเซียนเปยและเป่ยโม่สมรู้ร่วมคิดกันจริง ๆ”“ข้าเพิ่งได้รับข่า
ร่างกายของแม่ทัพเฒ่าฉินสั่นสะท้านด้วยความโกรธ “เจ้าสาปแช่งปู่รึ เจ้าเคยคำนึงถึงญาติพี่น้องหรือไม่?”เมื่อหมอหลวงมาถึง กลับไม่มีคนในตระกูลฉินคอยเฝ้าเขาอยู่ในห้อง ดังนั้นจึงมีเพียงแต่บ่าวรับใช้หลังจากตรวจสอบอาการเสร็จ หมอหลวงก็กล่าวด้วยสีหน้าตกตะลึง “ท่านแม่ทัพเฒ่า เมื่อไม่กี่วันมานี้ท่านได้ไปที่ใดมา? แล้วท่านเคยเข้าไปในพื้นที่โรคระบาดหรือไม่?” “ไม่เคย ข้าไม่เคยไปที่นั่น” สีหน้าของแม่ทัพเฒ่าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เมื่อได้ยินคำพูดของหมอหลวง “ท่านกำลังสงสัยว่าข้าติดเชื้อโรคระบาดใช่หรือไม่?”“อาการช่างคล้ายคลึงกันยิ่งนัก” หมอกลวงกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด“เป็นไปไม่ได้!” แม่ทัพเฒ่าฉินรู้สึกตื่นตระหนกอย่างมาก “ท่านวินิจฉัยผิดหรือไม่?”“ข้าจะจัดยาให้ท่านสองชนิดก่อน หากดื่มยาเหล่านี้แล้วไม่ได้ผล เช่นนั้นไม่ใช่ก็ใกล้เคียงแล้วขอรับ” หมอหลวงกล่าวแม่ทัพเฒ่าฉินกล่าวด้วยความลนลาน “ฉินโจวบังคับให้ท่านพูดเช่นนี้ใช่หรือไม่?”หมอหลวงรู้สึกประหลาดใจ “แม่ทัพเฒ่า ท่านหมายความว่าอย่างไร? เหตุใดแม่ทัพฉินถึงต้องบังคับให้ข้าพูดเช่นนี้?”หมอหลวงชะงักไปชั่วครู่หนึ่งแล้วโพล่งถาม “ท่านเคยพูดคุยกับองค์ชายเ
นางสามารถเสียสละได้ แต่จะไม่มีทางทรยศต่อประชาชนเป่ยโม่เด็ดขาดสำหรับความจงรักภักดีต่อองค์จักรพรรดิและประเทศชาติ นางจะต้องรักประชาชนก่อน จึงจะสามารถภักดีต่อองค์จักรพรรดิได้ฉินโจวกล่าวคำเบา “ข้าเข้าไปในพระราชวังเพื่อเชิญหมอหลวงแล้ว ท่านปู่พักผ่อนก่อนเถิด ข้าจะออกไปเดินเล่นรับลมสักหน่อย”ดวงตาของแม่ทัพเฒ่าฉินอัดแน่นด้วยความโกรธ แต่ก็พยายามอย่างหนักเพื่อระงับมันฉินโจวเดินออกจากห้อง และเห็นว่าฉินเป้าน้องชายของตนนั่งอยู่ที่สวน เมื่อเห็นนางเดินออกมา เขาก็ถามว่า “ท่านปู่เป็นอย่างไรบ้าง?”ฉินโจวจำคำพูดของท่านปู่ได้อย่างแม่นยำ จึงเมินเฉยต่อเขาและตอบอย่างใจเย็น “เข้าไปดูด้วยตนเองสิ”ฉินเป้าคลี่ยิ้ม แต่มันกลับดูอ้างว้างอย่างยิ่ง “ข้าได้ยินสิ่งที่ท่านปู่พูดกับท่านแล้ว ข้าไม่อยากเข้าไป”ฉินโจวตกตะลึง “เพราะเหตุใด เขาทุ่มเทความพยายามทั้งหมดไปกับหารวางแผนเพื่อเจ้า เจ้าควรขอบคุณท่านปู่สิ”ฉินเป้าหัวเราะเยาะ “จริงรึ? หากเขาทอดทิ้งท่านเพื่อตระกูลได้ ในอนาคตเขาจะไม่ทอดทิ้งข้าหรือ? ข้าไม่ต้องการชื่อเสียงหรือความดีงามใด ๆ พวกมันไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการเลย”ฉินโจวดูถูกน้องชายมาโดยตลอด เพราะเขาไม่ได
ทั้งสองคนเดินออกไปและหยุดอยู่บนทางเดิน หมอมองฉินโจวพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “ท่านแม่ทัพ ข้ากำลังสงสัยว่าท่านแม่ทัพเฒ่าจะป่วยด้วยโรคระบาดขอรับ”ฉินโจวตกตะลึง “โรคระบาด? เป็นไปได้อย่างไร? ปู่ของข้าไม่เคยออกไปข้างนอก และไม่เคยติดต่อกับผู้ป่วยโรคนี้เลย แล้วเขาจะติดเชื้อโรคระบาดได้อย่างไร?”“ข้าเคยรักษาผู้ป่วยโรคระบาดมาก่อน ซึ่งอาการคล้ายคลึงกันอย่างมาก ผู้ป่วยจะมีไข้สูง ไอ ตาแดง หายใจเร็วขึ้น เมื่อเกิดอาการเหล่านี้พร้อมกันจะอันตรายอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นโรคนี้ยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาดขอรับ” หมอกล่าว“เป็นไปไม่ได้ หากจะติดเชื้อโรคระบาดก็ต้องสัมผัสกับผู้ป่วยที่มีเชื้ออยู่แล้ว แต่ท่านปู่ของข้าไม่เคยใกล้ชิดคนเหล่านั้นเลย แล้วเขาจะติดเชื้อได้อย่างไร?” ฉินโจวยังคงไม่เชื่อหมอประสานหมัด “ทั้งหมดนี้คือคำวินิจฉัยของข้า หากท่านแม่ทัพไม่เชื่อ ก็สามารถขอให้หมอคนอื่นมาตรวจดูได้ หรือท่านจะพาเขาไปที่พระราชวัง และขอให้หมอหลวงช่วยตรวจอาการ ข้าไร้ความสามารถ จึงอาจวินิจฉัยผิดพลาดได้ ลาก่อนขอรับ ๆ!”สิ้นคำ หมอก็หยิบกล่องยาแล้วออกไปโดยไม่เขียนใบสั่งยาด้วยซ้ำฉินโจวสับสนไม่น้อย ท่านปู่ติดเชื้อโร
หัวใจของฉินโจวเย็นเยียบราวกับน้ำ “ใช่ ตราบใดที่ข้าตายในสนามรบ ตระกูลฉินก็ยังจะเป็นผู้กล้า และเป็นขุนนางผู้มีเกียรติ”แม่ทัพเฒ่าฉินเงียบไปครู่ใหญ่ จากนั้นกล่าวคำเบา “ในฐานะหลานสาวตระกูลฉิน มันเป็นหน้าที่ของเจ้าที่ต้องเสียสละเพื่อชื่อเสียง และรากฐานของตระกูล”ฉินโจวกำหมัดแน่นด้วยความไม่พอใจ “หลายปีที่ผ่านมานี้ ข้ายังทำไม่พออีกหรือ? ตอนนี้มีใครในตระกูลฉินบ้างที่ไม่เกาะกินเลือดนี้ของข้า?”แม่ทัพเฒ่าฉินลุกยืนขึ้นพลางกล่าวอย่างเย็นชา “ข้าเคยเตือนเจ้าแล้ว คราวนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เจ้าจะต้องเข้าไปในพระราชวัง ข้าให้คำมั่นกับฮองเฮาเฉาแล้ว ว่าวันนี้เจ้าจะไปที่นั่นเพื่อทูลขอรับคำสั่ง หากเจ้าไม่ไป ข้าก็จะรับคำสั่งและออกรบด้วยตนเอง”“ท่าน...” ฉินโจวมองเขาด้วยสายตาโศกเศร้า “ท่านปู่ ข้าก็เป็นหลานสาวของท่านเหมือนกัน ท่านไม่สงสารข้าบ้างหรือ?”“ปู่สงสารเจ้าสิ แต่ภารกิจหน้าที่ของตระกูลฉินจะต้องถูกส่งต่อ ตอนนี้น้องชายของเจ้าโตพอแล้ว เจ้าจะต้องพาเขาไปสร้างความสำเร็จทางการทหารด้วย และเจ้าจะได้รับส่วนแบ่งของน้องเจ้า เมื่อถึงเวลานั้น ตระกูลฉินก็จะได้ผู้สืบทอดคนใหม่”ฉินโจวผงะไปชั่วครู่ ก่อนระเบิดหัวเราะ
เมื่อได้ยินคำพูดของฉินโจว แม่ทัพเฒ่าฉินก็โมโหมากจนเคราสั่นสะท้าน “อาโจว อะไรจะสำคัญไปกว่าการบรรลุเป้าหมายอันยิ่งใหญ่? องค์จักรพรรดิเพียงต้องการขยายอาณาเขตของแคว้น เจ้าควรรู้เอาไว้ว่าเมื่อเรายึดครองต้าโจวสำเร็จ เป่ยโม่จะมีพื้นที่เพิ่มมากกว่าครึ่งหนึ่ง และมันจะเป็นความดีความชอบของตระกูลฉิน ทำให้ตระกูลของเราถูกจดจำไปหลายชั่วอายุคน! นี่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าต้องการมาตลอดรึ? เจ้าไม่ต้องการบอกคนทั้งโลก ว่าแม้ฉินโจวจะเป็นสตรี แต่นางก็สามารถประสบความสำเร็จได้อย่างผ่าเผยหรือ?”ฉินโจวมองดูใบหน้าที่ฉายแววตื่นเต้นปนโกรธเกรี้ยวของปู่ ทันใดนั้นนางก็สัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติถูกต้อง มันคือความต้องการของนาง แต่ความสำเร็จของนางจะต้องไม่แลกกับการเหยียบย่ำกระดูกของประชาชนชาวเป่ยโม่นางรักเป่ยโม่และหวังที่จะขยายอาณาเขตของแคว้น นอกจากนี้นางยังต้องการเสาะหาดินแดนอุดมสมบูรณ์เพื่อประชาชน เพราะหวังว่าพวกเขาจะสามารถอยู่อาศัยและทำกินอย่างสงบสุข และพึงพอใจโดยไม่ต้องทนทุกข์จากการพลัดถิ่นอย่างไรก็ตาม ในตอนนี้หากต้องการบรรลุอำนาจ นางจำต้องสละชีวิตประชาชนจำนวนมาก และนำเงินภาษีของทุกคนมาใช้ในการทำสงคราม ทำให้โรคร
มือสังหารเหล่านั้นแต่งกายคล้ายกับชาวต้าโจวและสวมหน้ากากผ้าสีดำ กลุ่มคนนิรนามราวเจ็ดถึงแปดคนกระโดดลงมาจากท้องฟ้ากลางวันแสก ๆ ทันทีที่เท้าของคนเหล่านั้นแตะพื้น พวกมันก็เริ่มโจมตีอย่างดุดันฉินโจวเห็นมือสังหารคนหนึ่งกระโดดขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกับกระบี่ยาว จากนั้นร่ายรำอยู่หลายกระบวนท่าราวกับนางฟ้าโปรยดอกไม้ ขณะแสงแดดตกกระทบกระบี่ส่องกระจายไปทั่วเหล่าทหารที่เพิ่งมาถึงกระโจนเข้าไปร่วมวงต่อสู้อย่างรวดเร็วหลังจากประดาบกันไปกว่าร้อยครั้ง มือสังหารก็ถูกบีบบังคับให้ล่าถอย ฉินโจวจ่อกระบี่ไปที่คอของหนึ่งในมือสังหาร พลางถามเสียงเข้ม “ตอบข้า ใครเป็นคนส่งเจ้ามา?”มือสังหารตอบอย่างเย็นชา “ฆ่าไอ้หมารับใช้เป่ยโม่ให้หมด!”“หมารับใช้เป่ยโม่? เห็นได้ชัดว่าพวกเจ้าไม่ได้เป็นคนเป่ยโม่ พวกเจ้ามาจากต้าโจวใช่หรือไม่?” ฉินโจวโมโหอย่างมาก ขณะชี้ดาบไปยังหน้าอกของอีกฝ่าย “ไอ้เลวมู่หรงเจี๋ยส่งพวกเจ้ามาใช่หรือไม่?”“หญิงเลวอย่าเจ้ากล้าเอ่ยชื่อของท่านอ๋อง ทำให้พระองค์มัวหมองได้อย่างไร?” มือสังหารตะโกนฉินโจวชักดาบกลับพร้อมกล่าวอย่างเย็นชา “กลับไปซะ!”มือสังหารตกตะลึง ราวกับไม่คาดคิดว่าฉินโจวจะปล่อยตัวเขาไป”เ
ฉินโจวกล่าวด้วยความโมโห “ข้าหลอกลวงเจ้าเมื่อไร?”“ไม่งั้นรึ? เจ้าและอ๋องฉีเอ่ยปากว่า หากจื่ออันตกลงเดินทางมาที่เป่ยโม่ พวกเจ้าจะส่งองค์ชายรัชทายาทไปที่ต้าโจวเป็นองค์ประกัน แล้วพวกเจ้าทำตามที่พูดแล้วหรือไม่?”“องค์ชายรัชทายาทเดินทางไปยังต้าโจวแล้ว!”“ผู้ที่เดินทางไปยังต้าโจวคือองค์ชายเจ็ด ไม่ใช่องค์ชายรัชทายาท องค์ชายเจ็ดไม่ได้เป็นที่โปรดปราน ดังนั้นจักรพรรดิเป่ยโม่จะส่งเขาไปสังเวยเมื่อใดก็ได้”“เป็นไปไม่ได้!” ฉินโจวประหลาดใจอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าผู้ที่เดินทางไปคือองค์ชายรัชทายาท เพราะองค์จักรพรรดิทรงตรัสด้วยตนเองว่าจะส่งเขาไปที่ต้าโจว“เจ้าอย่าเพิ่งสนใจเรื่องนี้เลย ก่อนหน้านี้ทั้งสองแคว้นตกลงทำสนธิสัญญาสงบศึก หลังจากการแพร่ระบาดสิ้นสุดลง แต่เจ้ากลับวางแผนโจมตีพวกเราในขณะที่ข้ายังอยู่ที่เป่ยโม่ เจ้าจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร?” มู่หรงเจี๋ยกล่าวอย่างเคร่งเครียดฉินโจวตอบ “ผิดแล้ว เป็นเพราะต้าโจวที่เคลื่อนทัพโจมตีทหารฝั่งขวาของเราก่อน และสังหารทหารของเราไปกว่าร้อยคน ข้าจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากเคลื่อนทัพเข้าไปใกล้ เพื่อบีบบังคับให้พวกเจ้าถอยกลับ”“ไร้สาระ กองทัพของเราหยุดเคลื่อนท
อย่างไรก็ตาม การจัดหาเสบียงอาหารสำหรับพื้นที่ภัยพิบัติยังไม่เพียงพอ และยังขาดแคลนเสื้อผ้าอาภรณ์ นอกจากนี้หลังจากที่พระชายาผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มาถึงเป่ยโม่ ก็ยังไม่ได้รับใบสั่งยาแม้แต่ฉบับเดียว ดังนั้นความอดทนของประชาชนจึงค่อย ๆ หมดลง แต่ความโกรธและความขุ่นเคืองกลับยิ่งมากขึ้นทันทีที่ข่าวลือแพร่สะพัด ก็เป็นเสมือนเป็นการขว้างเปลวไฟใส่ ‘ระเบิด’ หนึ่งหมื่นตุน ทำให้มันระเบิดออกอย่างรวดเร็วผู้ประสบภัยนับไม่ถ้วนหลั่งไหลเข้าสู่เมืองหลวงอย่างรวดเร็วหลังจากที่ฉินโจวลงจากภูเขา นางก็พบว่าองค์จักรพรรดิทำอะไรกับทหารม้า และทหารเจ็ดหมื่นนายที่ประจำการที่เมืองหลวง ซึ่งเขาออกคำสั่งให้ทหารเหล่านั้นขับไล่เหล่าผู้ประสบภัยออกไปนางเห็นด้วยตาตนเองว่าทหารใต้บังคับบัญชาของนางสร้างกำแพงมนุษย์อันแน่นหนา เมื่อผู้ประสภัยเดินทางเข้ามา พวกเขาก็จะโบกหอกเพื่อขับไล่คนเหล่านั้นออกไปผู้ประสบภัยมากกว่าสิบรายได้รับบาดเจ็บจากหอกทหารเหล่านั้นอยู่ใต้บังคับบัญชาของนาง แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะไม่ได้ฆ่าผู้ใด แต่เมื่อสถานการณ์รุนแรงขึ้นจะต้องมีการฆ่าแกงกันอย่างแน่นอนฉินโจวโกรธจัดจึงขี่ม้าเข้าไปขวางเอาไว้ “หยุด หยุดเ
ฉินโจวกวาดสายตามองพลางเยาะเย้ยจื่ออันไม่สนใจนาง และพาหลินตานไปยังเขตตะวันตกภายในสองวันนี้มีผู้เสียชีวิตถึงสามคน ซึ่งทั้งหมดถูกหามออกไปหลังจากที่หลินตามเดินเข้ามาเขาหลั่งน้ำตาหลั่งน้ำตาขณะมองดูการเผาศพจื่ออันไม่คิดว่าเขาจะมีความอ่อนไหวมากเพียงนี้ “ท่านหมอหลิน ท่านเป็นอะไรหรือไม่?”หลินตานปาดน้ำตา “ข้าขอโทษ ข้าเพียง... คิดถึงครอบครัวขอรับ”“ครอบครัวของท่าน? แล้วตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ใดหรือ?” จื่ออันถาม“ตายหมดแล้วขอรับ ภรรยาและลูกสะใภ้ของข้าตายเพราะเหตุแผ่นดินไหวทั้งคู่ ส่วนลูกชายและหลานชายติดเชื้อโรคระบาดก่อนตายไปเช่นกัน ข้าจึงเป็นคนเดียวที่เหลือรอด” หลินตานสูดหายใจเข้าลึก ใบหน้าที่อยู่ภายใต้ผมสีขาวฉายแววความเศร้าโศกและหดหู่จื่ออันไม่คาดคิดว่าเขาจะมาจากพื้นที่โรคระบาดเช่นกัน เมื่อเห็นสีหน้าเศร้าสร้อย จื่ออันก็ไม่รู้จะปลอบใจเขาเช่นไร จึงได้แต่นิ่งเงียบและอยู่เคียงข้างไม่นานหลินตานก็ถามว่า “ท่านหมอเซี่ย โรคระบาดนี้สามารถรักษาหายได้จริงหรือขอรับ?”ตอนนั้นเองจื่ออันก็นึกได้ว่าเขาเป็นหมอเท้าเปล่า และหลังจากเดินทางพเนจรไปที่ต่าง ๆ เขาอาจรู้จักจินเย่าฉือก็เป็นได้ ดังนั้นจึงรีบถามว