“ช่วงนี้ท่านงานยุ่งจนแทบไม่มีเวลานอน จะไม่ให้ปวดได้อย่างไร” จื่ออันถอนหายใจ รู้สึกเป็นทุกข์มาก เมื่อก่อนเขากลัวเข็มยิ่งกว่าอะไร แต่ตอนนี้เขากลับร้องขอมันด้วยตนเอง หมายความว่าเขาต้องเจ็บปวดมากมู่หรงเจี๋ยหลับตาลง “ภรรยา หลังจากเรื่องไร้สาระทั้งหมดนี้จบลงแล้ว เราไปภูเขาน้ำแข็งกันเถอะ”“ได้สิ” จื่ออันยิ้ม หมุนเข็มทองคำในมือแล้วแทงลึกลงไปในผิวหนัง “หากท่านต้องการไปที่ใด ข้าจะติดตามท่านไปทุกที่”“ข้าไปนรกก็จะไปรึ?” มู่หรงเจี๋ยถามด้วยรอยยิ้ม“เพียงมีท่านอยู่ ข้าก็ไม่รู้สึกเหมือนตกนรกแล้ว”มู่หรงเจี๋ยลืมตาขึ้นทันที รั้งร่างนางให้มาอยู่ข้างหน้า “เจ้าคิดอย่างนั้นจริง ๆ หรือ?”“แต่งกับไก่ก็ตามไก่ แต่งกับสุนัขก็ตามสุนัข ในเมื่อข้าแต่งงานกับจิ้งจอกเช่นท่าน ข้าไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องวิ่งตามไปทั่วทั้งภูเขา”“ข้าหวังว่าเรื่องวุ่นวายเหล่านี้จะจบลงโดยเร็วที่สุด” มู่หรงเจี๋ยถอนหายใจอีกครั้ง จื่ออันพบว่าช่วงที่ผ่านมานี้เขาถอนหายใจบ่อยขึ้น จนดูเหมือนคนแก่เล็กน้อย“ทุกอย่างจะผ่านไปด้วยดี” จื่ออันผละเขาออก แล้วดึงเข็มออกมา “ดีขึ้นหรือไม่?”มู่หรงเจี๋ยนวดระหว่างคิ้วของตนเอง “ดีขึ้นกว่าเดิมมาก”
จื่ออันรู้ว่าคืนนี้ถึงเวลาอันสมควรแล้วที่นางต้องสารภาพทุกอย่าง ตอนนี้สถานการณ์ไม่ชัดเจน พวกเขาไม่รู้ว่าวันพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้นบ้างให้เขารู้ว่าอย่างน้อยนางก็ไม่มีอะไรที่ซ่อนเร้นจากเขาอีกต่อไป“ชื่อเดิมของข้าคือเซี่ยจื่ออัน ข้าไม่ใช่คนจากราชวงศ์โจว หรือเก่ากว่านั้น ข้าไม่ได้มาจากยุคนี้ด้วยซ้ำไป ยุคสมัยที่ข้าเคยอยู่นั้นห่างจากช่วงเวลานี้ไปอย่างน้อยหลายร้อยถึงหลายพันปี…” นางไม่รู้จริง ๆ ว่าราชวงศ์นี้ตรงกับราชวงศ์ไหนในบันทึกประวัติศาสตร์ แต่จากความก้าวหน้าด้านอารยธรรม สามารถอนุมานได้ว่าเป็นราชวงศ์ถัง และราชวงศ์ซ่งมู่หรงเจี๋ยรู้สึกสับสนเล็กน้อยกับการเปิดเรื่องเช่นนี้ของนาง ประโยคที่นางกล่าวออกฟังไม่เข้าใจเอาซะเลย “เจ้ากำลังพูดเรื่องอะไร? หืม?”“อย่าใจร้อนสิ ค่อย ๆ ฟังต่อไปแล้วจะเข้าใจ ในยุคสมัยนั้น ข้าเป็นแพทย์ทหารประจำหน่วยสืบราชการลับ หน่วยราชการลับพิเศษที่ข้าสังกัดอยู่คือ หน่วยราชการลับต่อต้านศัตรูของประเทศ ข้าได้รับภารกิจลับ ในฐานะที่เป็นแพทย์ทหารของหน่วยสืบราชการลับ ข้าจึงรับหน้าที่สองบทบาทในคราวเดียว บางครั้งก็เป็นหมอ บางครั้งก็เป็นสายลับ แล้วข้าก็ถูกยิง… อาวุธในสมัยของข้าเรียก
มู่หรงเจี๋ยมองนางพลางทำหน้าแปลก ๆ “เป็นโอกาสที่หายากยิ่งนักที่เจ้ายินดีรินสุราให้ข้าด้วยตัวเอง? เจ้าไม่คัดค้านการดื่มของข้าแล้วหรือ?”“ถึงอย่างไรก็ดีกว่าดื่มน้ำส้มสายชู รายนั้นยิ่งกินยิ่งปวดท้อง” จนถึงตอนนี้จื่ออันก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงเอาแต่ดื่มน้ำส้มสายชูอยู่เป็นนิจ อีกทั้งบางครั้งยังบังคับให้นางดื่มอีกด้วย“การดื่มน้ำส้มสายชูเป็นความลับเล็ก ๆ น้อย ๆ ของข้า ข้าไม่ขอบอกเจ้าแล้วกัน” มู่หรงเจี๋ยกล่าวอย่างภาคภูมิใจ“ได้ เช่นนั้นข้าจะไม่ถาม” ว่าแล้วนางก็ลุกไปเตรียมน้ำอาบให้เขามู่หรงเจี๋ยจับมือนางไว้ “จื่ออัน ข้ามีอะไรจะบอกเจ้า่”เมื่อเห็นว่าใบหน้าของเขาเคร่งขรึมขึ้นทันใด จื่ออันก็อดไม่ได้ที่จะประหม่า “มีอะไรหรือ?”มู่หรงเจี๋ยจ้องมองนาง “ข้าตั้งใจว่าจะนำกองทัพไปออกรบ”สีหน้าของจื่ออันแปรเปลี่ยนไปทันที “ใครเป็นผู้ออกคำสั่งกัน? ก่อนหน้านี้ท่านเคยบอกว่าท่านเซียวโหวจะเป็นผู้นำทัพมิใช่หรือ?”“เปล่า ข้าจะนำกองทัพไปต่อสู้กับกองทัพเป่ยโม่ ส่วนท่านเซียวโหวป้องกันเซียนเปย”หัวใจของจื่ออันยิ่งอึดอัดเข้าไปใหญ่ “ท่านแน่ใจหรือว่าเซียนเปยและเป่ยโม่สมรู้ร่วมคิดกันจริง ๆ”“ข้าเพิ่งได้รับข่า
การหารือไม่ได้ถูกเปิดเผยต่อสาธารณะ แต่ก็ทำให้เกิดการคาดเดามากมายในวงกว้างลือกันว่าจักรพรรดิเรียกอ๋องเยี่ยเข้าวังเป็นการส่วนตัว อ๋องเยี่ยคนนี้ก็ประหลาด เข้ากับสมาชิกราชวงศ์ไม่ได้เลยสักคน ความสัมพันธ์กับพี่น้องก็ไม่ดี มีเพียงคนเดียวที่เขาสนิทด้วยคือ องค์ชายผู้สำเร็จราชการมู่หรงเจี๋ยครั้งที่แล้วเขาก็ร่วมหารือเกี่ยวกับผู้เข้าชิงตำแหน่งองค์รัชทายาทเช่นกัน แต่ไม่ได้ออกความคิดเห็นใด ๆ เลย แค่เข้าร่วมเท่านั้นจื่ออันเองก็ได้ยินข่าวว่าจักรพรรดิเรียกเขาเข้าวังเป็นการพิเศษ จึงถามมู่หรงเจี๋ยว่า “ไม่สิ ไหนว่าเขามีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีกับราชวงศ์ไง? ก่อนหน้านี้เคยมีข่าวลือว่าเขาถูกขับออกแล้วมิใช่หรือ”“เขาถูกขับออก นั่นเพราะทำให้เสด็จพี่จักรพรรดิโกรธ” มู่หรงเจี๋ยกล่าว“หรือเป็นเพียงข่าวลวง?“ไม่ใช่ข่าวลวงหรอก ตอนนั้นเขาถูกขับออกไปจริง แต่ชื่อยังไม่ถูกลบออกจากราชวงศ์ เขายังคงเป็นองค์ชาย แต่ถูกเปลี่ยนชื่อจากอ๋องเยี่ย เพื่อให้ได้รับความอับอาย”“ชื่ออ๋องเยี่ยน่าตลกอย่างไรกัน?” จื่ออันนึกถึง ไนท์ คิง ในซีรีส์โทรทัศน์เรื่องมหาศึกชิงบัลลังก์ของอเมริกา ตัวละครนี้เป็นชายร่างใหญ่หน้าตาสยดสยอง ไม่ได้ดูต
มู่หรงเจี๋ยส่ายหน้า “เช่นนั้นข้าขอถามเจ้าหน่อย เจ้าเคยอยากสร้างพันธมิตรกับเหล่าฟูเหรินมาก่อนหรือไม่?”“ไม่แน่นอน ไม่ว่าจะทำเพื่ออะไรก็ตาม เป็นไปไม่ได้ที่ข้าจะเป็นพันธมิตรกับนาง” จื่ออันปฏิเสธอย่างเด็ดขาด“ใช่ เป่ยโม่และเซียนเปยเคยเป็นเช่นนี้ พวกเขาเกลียดชังกันมาก ไม่มีแม้กระทั่งพื้นฐานสำหรับความไว้วางใจ ไม่ง่ายเลยที่จะเปลี่ยนมาเป็นพันธมิตรที่ร่วมมือกันได้ อย่างน้อยที่สุด พวกเขาก็ต้องมีจุดสนใจร่วมกัน เจ้ากล่าวว่าอาจจะเป็นเพราะดินแดนต้าโจว แต่ทุกคนรู้ดีว่าเป่ยโม่ไม่ยอมแบ่งที่ดินให้เซียนเปยแม้แต่หนึ่งนิ้ว ด้านเซียนเปยเองก็ไม่ยอมแบ่งที่ดินครึ่งหนึ่งให้กับเป่ยโม่เช่นกัน การต่อสู้ที่กินเวลายาวนานพิสูจน์ให้เห็นถึงจุดนี้ ฉะนั้นจักรพรรดิของทั้งสองแคว้นเห็นชอบการสร้างพันธมิตรเพราะเหตุใด? ต่อให้อยากเปลี่ยนใจผูกไมตรีกับศัตรูจริง ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะรวดเร็วเช่นนี้”จู่ ๆ จื่ออันก็เกิดความสงสัยขึ้นมา ทันใดนั้นคนคนหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในความคิดของนาง สนมอี้ตัวตนของสนมอี้ค่อนข้างเป็นเรื่องลึกลับ เป็นไปได้หรือไม่ว่านางเป็นสายลับจริง ๆ?ทว่านางเป็นบุตรีของกวงลู่ต้าฟู บิดาของนางเป็นสมาชิกระดับสูงของท้องพ
เมื่อทั้งสองฝ่ายเผชิญหน้ากัน นอกเหนือจากการขาดแคลนจ่าฝูงแล้ว ต้าโจวยังมีความพร้อมในด้านอื่น ๆ เป็นอย่างดีก่อนที่มู่หรงเจี๋ยจะออกเดินทาง เขาได้ตรวจสอบเงินคงเหลือในคลัง และจัดการเงินสำหรับแผนกเสบียงทหาร ด้านวังหลังมีจื่ออันคอยควบคุมค่าใช้จ่าย และพยายามไม่เพิ่มแรงกดดันต่อท้องพระคลังในขณะนี้ สนมอี้เป็นคนริเริ่มอย่างเหนือความคาดหมายย ในการสั่งให้เหล่านางสนมในวังหลังบริจาคทองคำ เงินและเพชรพลอย เพื่อนำไปขายเป็นค่าใช้จ่ายทางการทหารสิ่งนี้น่าประหลาดใจมาก แต่ไม่มีใครล่วงรู้ลึกถึงแรงจูงใจเบื้องหลังของนาง เนื่องจากท้องพระโรงต้องการเงินยิ่งมากยิ่งดีแน่นอน แรงจูงใจนั้นสามารถคาดเดาได้ไม่ยาก นางเป็นมารดาผู้ให้กำเนิดขององค์ชายเจ็ด หากนางได้รับการยกย่อง องค์ชายเจ็ดก็จะได้รับการยกย่องตามไปด้วย ยิ่งเพิ่มโอกาสที่จะได้รับตำแหน่งองค์รัชทายาทขึ้นสองค่ำเดือนสอง วันมังกรผงาดมู่หรงเจี๋ยได้รับคำสั่งให้ออกเดินทาง จื่ออันตื่นแต่เช้าตรู่เพื่อสวมชุดเกราะให้เขาเมื่อเห็นเขาทรงอำนาจน่าเกรงขามมาก จื่ออันทั้งรู้สึกภูมิใจและเศร้าใจ นางแต่งงานกับองค์ชายผู้สำเร็จราชการ ก็ต้องการช่วยเขาบริหารกิจการรัฐ นางแต่งงาน
จื่ออันอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ “เจ้าไม่อยากให้ทักษะเสียเปล่า จึงคิดใช้มันไปกับการเข่นฆ่าคนงั้นหรือ?”“เพื่อฆ่าศัตรูต่างหาก!” ตาวเหล่าต้าแก้ไข “ข้าต้องการปกป้องบ้านเมืองและประเทศของเรา ป้องกันไม่ให้ศัตรูต่างชาติรังแกประชาชน!”จื่ออันมองไปที่เขา มองเห็นความมุ่งมั่นในดวงตา ถึงรู้ว่าเขาจริงจัง ที่แท้เขาก็อยากออกรบเพื่อเข่นฆ่าศัตรู ปกป้องผู้คนและประเทศชาติจู่ ๆ หัวใจของจื่ออันก็เกิดความตื้นตันขึ้นมา แม้แต่เสี่ยวตาวยังรู้ว่าทุกคนย่อมมีส่วนร่วมกับความเจริญรุ่งเรืองและตกต่ำของแว่นแคว้น ฉะนั้นต้าโจวไม่มีวันปราชัย“เอาล่ะ หากเจ้าอยากเป็นทหาร ข้าจะแนะนำให้เจ้าไปฝึกที่ค่ายทหาร หลังจากท่านอ๋องได้รับชัยขนะกลับมา”“ข้าอยากไปตอนนี้เลยขอรับ”“หากเจ้าไปแล้วใครจะปกป้องคุ้มครองพระชายา?” เสี่ยวซุนเบิกตากว้าง “ทำไมเจ้าถึงโง่เขลานัก? เจ้าไม่เคยไปอยู่ค่ายทหาร ไม่เคยได้รับการฝึกอบรมมาก่อน เจ้าจะวิ่งกรูเข้าสู่สนามรบและฆ่าศัตรูง่าย ๆ ได้อย่างไร? คิดว่าตนเองสามารถเฉือนใครด้วยดาบยักษ์ก็ได้งั้นหรือ? หากพลาดฆ่าฟันพวกเดียวกันขึ้นมาเล่า? ในสนามรบมีกองกำลังนับแสน แยกไม่ออกว่าใครเป็นมิตรหรือศัตรู จิตใจของเจ้ายังไม่แ
ที่แท้ก็มาเพื่อขับไล่นางออกไปเองหรือ? รอยยิ้มเยาะเย้ยบนริมฝีปากของจื่ออันชัดเจนขึ้น “พระราชวังออกจะใหญ่โตถึงเพียงนี้ เหตุใดจะไม่มีที่สำหรับเซี่ยจื่ออัน? หากสนมอี้ต้องการขับไล่ข้า เช่นนั้นข้าต้องไปถามฝ่าบาทก่อนว่าทรงเห็นด้วยหรือไม่?”“เจ้าไม่จำเป็นต้องเข้าเฝ้าฝ่าบาทเพื่อถวายการรักษาอีกต่อไปแล้ว ข้าจะบอกพระองค์ว่าเจ้าป่วยเป็นโรคร้ายแรง ไม่สามารถถวายการรักษาพระองค์ได้อีกต่อไป” สนมอี้พูดอย่างเย็นชา“ข้าจำได้ว่าตอนแรกที่สนมอี้เข้ามา ท่านบอกว่าตนเองมาที่นี่เพื่อปลอบโยนข้านี่ วิธีการปลอบโยนคือการขับไล่ข้าออกไปหรือ?” จื่ออันอยากรู้นัก นางไปเอาความมั่นใจมาจากไหน ถึงคิดว่าตนสามารถขับไล่นางออกไปอย่างไรก็ได้?“เซี่ยจื่ออัน ข้าเชิญเจ้าออกไปก็เพื่อประโยชน์ของตัวเจ้าเอง หากเจ้าอยู่ที่จวนจะไม่มีอันตรายใด ๆ เกิดขึ้นกับเจ้า เจ้าจะยังคงเป็นพระชายา สามารถเพลิดเพลินไปกับเกียรติยศและความมั่งคั่งที่ตนพึงมี แต่ในพระราชวังแห่งนี้ เป็นไปไม่ได้ที่เจ้าจะมีชีวิตที่มั่นคง”“ขอบคุณสนมอี้ยิ่งนัก แต่ข้าเป็นคนต่ำต้อย ไม่มีเกียรติยศหรือความมั่งคั่งให้ได้ดื่มด่ำเพลิดเพลิน ดังนั้นข้าขอใช้ชีวิตที่ไม่มั่นคงเช่นนี้ต่อไป
ร่างกายของแม่ทัพเฒ่าฉินสั่นสะท้านด้วยความโกรธ “เจ้าสาปแช่งปู่รึ เจ้าเคยคำนึงถึงญาติพี่น้องหรือไม่?”เมื่อหมอหลวงมาถึง กลับไม่มีคนในตระกูลฉินคอยเฝ้าเขาอยู่ในห้อง ดังนั้นจึงมีเพียงแต่บ่าวรับใช้หลังจากตรวจสอบอาการเสร็จ หมอหลวงก็กล่าวด้วยสีหน้าตกตะลึง “ท่านแม่ทัพเฒ่า เมื่อไม่กี่วันมานี้ท่านได้ไปที่ใดมา? แล้วท่านเคยเข้าไปในพื้นที่โรคระบาดหรือไม่?” “ไม่เคย ข้าไม่เคยไปที่นั่น” สีหน้าของแม่ทัพเฒ่าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เมื่อได้ยินคำพูดของหมอหลวง “ท่านกำลังสงสัยว่าข้าติดเชื้อโรคระบาดใช่หรือไม่?”“อาการช่างคล้ายคลึงกันยิ่งนัก” หมอกลวงกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด“เป็นไปไม่ได้!” แม่ทัพเฒ่าฉินรู้สึกตื่นตระหนกอย่างมาก “ท่านวินิจฉัยผิดหรือไม่?”“ข้าจะจัดยาให้ท่านสองชนิดก่อน หากดื่มยาเหล่านี้แล้วไม่ได้ผล เช่นนั้นไม่ใช่ก็ใกล้เคียงแล้วขอรับ” หมอหลวงกล่าวแม่ทัพเฒ่าฉินกล่าวด้วยความลนลาน “ฉินโจวบังคับให้ท่านพูดเช่นนี้ใช่หรือไม่?”หมอหลวงรู้สึกประหลาดใจ “แม่ทัพเฒ่า ท่านหมายความว่าอย่างไร? เหตุใดแม่ทัพฉินถึงต้องบังคับให้ข้าพูดเช่นนี้?”หมอหลวงชะงักไปชั่วครู่หนึ่งแล้วโพล่งถาม “ท่านเคยพูดคุยกับองค์ชายเ
นางสามารถเสียสละได้ แต่จะไม่มีทางทรยศต่อประชาชนเป่ยโม่เด็ดขาดสำหรับความจงรักภักดีต่อองค์จักรพรรดิและประเทศชาติ นางจะต้องรักประชาชนก่อน จึงจะสามารถภักดีต่อองค์จักรพรรดิได้ฉินโจวกล่าวคำเบา “ข้าเข้าไปในพระราชวังเพื่อเชิญหมอหลวงแล้ว ท่านปู่พักผ่อนก่อนเถิด ข้าจะออกไปเดินเล่นรับลมสักหน่อย”ดวงตาของแม่ทัพเฒ่าฉินอัดแน่นด้วยความโกรธ แต่ก็พยายามอย่างหนักเพื่อระงับมันฉินโจวเดินออกจากห้อง และเห็นว่าฉินเป้าน้องชายของตนนั่งอยู่ที่สวน เมื่อเห็นนางเดินออกมา เขาก็ถามว่า “ท่านปู่เป็นอย่างไรบ้าง?”ฉินโจวจำคำพูดของท่านปู่ได้อย่างแม่นยำ จึงเมินเฉยต่อเขาและตอบอย่างใจเย็น “เข้าไปดูด้วยตนเองสิ”ฉินเป้าคลี่ยิ้ม แต่มันกลับดูอ้างว้างอย่างยิ่ง “ข้าได้ยินสิ่งที่ท่านปู่พูดกับท่านแล้ว ข้าไม่อยากเข้าไป”ฉินโจวตกตะลึง “เพราะเหตุใด เขาทุ่มเทความพยายามทั้งหมดไปกับหารวางแผนเพื่อเจ้า เจ้าควรขอบคุณท่านปู่สิ”ฉินเป้าหัวเราะเยาะ “จริงรึ? หากเขาทอดทิ้งท่านเพื่อตระกูลได้ ในอนาคตเขาจะไม่ทอดทิ้งข้าหรือ? ข้าไม่ต้องการชื่อเสียงหรือความดีงามใด ๆ พวกมันไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการเลย”ฉินโจวดูถูกน้องชายมาโดยตลอด เพราะเขาไม่ได
ทั้งสองคนเดินออกไปและหยุดอยู่บนทางเดิน หมอมองฉินโจวพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “ท่านแม่ทัพ ข้ากำลังสงสัยว่าท่านแม่ทัพเฒ่าจะป่วยด้วยโรคระบาดขอรับ”ฉินโจวตกตะลึง “โรคระบาด? เป็นไปได้อย่างไร? ปู่ของข้าไม่เคยออกไปข้างนอก และไม่เคยติดต่อกับผู้ป่วยโรคนี้เลย แล้วเขาจะติดเชื้อโรคระบาดได้อย่างไร?”“ข้าเคยรักษาผู้ป่วยโรคระบาดมาก่อน ซึ่งอาการคล้ายคลึงกันอย่างมาก ผู้ป่วยจะมีไข้สูง ไอ ตาแดง หายใจเร็วขึ้น เมื่อเกิดอาการเหล่านี้พร้อมกันจะอันตรายอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นโรคนี้ยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาดขอรับ” หมอกล่าว“เป็นไปไม่ได้ หากจะติดเชื้อโรคระบาดก็ต้องสัมผัสกับผู้ป่วยที่มีเชื้ออยู่แล้ว แต่ท่านปู่ของข้าไม่เคยใกล้ชิดคนเหล่านั้นเลย แล้วเขาจะติดเชื้อได้อย่างไร?” ฉินโจวยังคงไม่เชื่อหมอประสานหมัด “ทั้งหมดนี้คือคำวินิจฉัยของข้า หากท่านแม่ทัพไม่เชื่อ ก็สามารถขอให้หมอคนอื่นมาตรวจดูได้ หรือท่านจะพาเขาไปที่พระราชวัง และขอให้หมอหลวงช่วยตรวจอาการ ข้าไร้ความสามารถ จึงอาจวินิจฉัยผิดพลาดได้ ลาก่อนขอรับ ๆ!”สิ้นคำ หมอก็หยิบกล่องยาแล้วออกไปโดยไม่เขียนใบสั่งยาด้วยซ้ำฉินโจวสับสนไม่น้อย ท่านปู่ติดเชื้อโร
หัวใจของฉินโจวเย็นเยียบราวกับน้ำ “ใช่ ตราบใดที่ข้าตายในสนามรบ ตระกูลฉินก็ยังจะเป็นผู้กล้า และเป็นขุนนางผู้มีเกียรติ”แม่ทัพเฒ่าฉินเงียบไปครู่ใหญ่ จากนั้นกล่าวคำเบา “ในฐานะหลานสาวตระกูลฉิน มันเป็นหน้าที่ของเจ้าที่ต้องเสียสละเพื่อชื่อเสียง และรากฐานของตระกูล”ฉินโจวกำหมัดแน่นด้วยความไม่พอใจ “หลายปีที่ผ่านมานี้ ข้ายังทำไม่พออีกหรือ? ตอนนี้มีใครในตระกูลฉินบ้างที่ไม่เกาะกินเลือดนี้ของข้า?”แม่ทัพเฒ่าฉินลุกยืนขึ้นพลางกล่าวอย่างเย็นชา “ข้าเคยเตือนเจ้าแล้ว คราวนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เจ้าจะต้องเข้าไปในพระราชวัง ข้าให้คำมั่นกับฮองเฮาเฉาแล้ว ว่าวันนี้เจ้าจะไปที่นั่นเพื่อทูลขอรับคำสั่ง หากเจ้าไม่ไป ข้าก็จะรับคำสั่งและออกรบด้วยตนเอง”“ท่าน...” ฉินโจวมองเขาด้วยสายตาโศกเศร้า “ท่านปู่ ข้าก็เป็นหลานสาวของท่านเหมือนกัน ท่านไม่สงสารข้าบ้างหรือ?”“ปู่สงสารเจ้าสิ แต่ภารกิจหน้าที่ของตระกูลฉินจะต้องถูกส่งต่อ ตอนนี้น้องชายของเจ้าโตพอแล้ว เจ้าจะต้องพาเขาไปสร้างความสำเร็จทางการทหารด้วย และเจ้าจะได้รับส่วนแบ่งของน้องเจ้า เมื่อถึงเวลานั้น ตระกูลฉินก็จะได้ผู้สืบทอดคนใหม่”ฉินโจวผงะไปชั่วครู่ ก่อนระเบิดหัวเราะ
เมื่อได้ยินคำพูดของฉินโจว แม่ทัพเฒ่าฉินก็โมโหมากจนเคราสั่นสะท้าน “อาโจว อะไรจะสำคัญไปกว่าการบรรลุเป้าหมายอันยิ่งใหญ่? องค์จักรพรรดิเพียงต้องการขยายอาณาเขตของแคว้น เจ้าควรรู้เอาไว้ว่าเมื่อเรายึดครองต้าโจวสำเร็จ เป่ยโม่จะมีพื้นที่เพิ่มมากกว่าครึ่งหนึ่ง และมันจะเป็นความดีความชอบของตระกูลฉิน ทำให้ตระกูลของเราถูกจดจำไปหลายชั่วอายุคน! นี่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าต้องการมาตลอดรึ? เจ้าไม่ต้องการบอกคนทั้งโลก ว่าแม้ฉินโจวจะเป็นสตรี แต่นางก็สามารถประสบความสำเร็จได้อย่างผ่าเผยหรือ?”ฉินโจวมองดูใบหน้าที่ฉายแววตื่นเต้นปนโกรธเกรี้ยวของปู่ ทันใดนั้นนางก็สัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติถูกต้อง มันคือความต้องการของนาง แต่ความสำเร็จของนางจะต้องไม่แลกกับการเหยียบย่ำกระดูกของประชาชนชาวเป่ยโม่นางรักเป่ยโม่และหวังที่จะขยายอาณาเขตของแคว้น นอกจากนี้นางยังต้องการเสาะหาดินแดนอุดมสมบูรณ์เพื่อประชาชน เพราะหวังว่าพวกเขาจะสามารถอยู่อาศัยและทำกินอย่างสงบสุข และพึงพอใจโดยไม่ต้องทนทุกข์จากการพลัดถิ่นอย่างไรก็ตาม ในตอนนี้หากต้องการบรรลุอำนาจ นางจำต้องสละชีวิตประชาชนจำนวนมาก และนำเงินภาษีของทุกคนมาใช้ในการทำสงคราม ทำให้โรคร
มือสังหารเหล่านั้นแต่งกายคล้ายกับชาวต้าโจวและสวมหน้ากากผ้าสีดำ กลุ่มคนนิรนามราวเจ็ดถึงแปดคนกระโดดลงมาจากท้องฟ้ากลางวันแสก ๆ ทันทีที่เท้าของคนเหล่านั้นแตะพื้น พวกมันก็เริ่มโจมตีอย่างดุดันฉินโจวเห็นมือสังหารคนหนึ่งกระโดดขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกับกระบี่ยาว จากนั้นร่ายรำอยู่หลายกระบวนท่าราวกับนางฟ้าโปรยดอกไม้ ขณะแสงแดดตกกระทบกระบี่ส่องกระจายไปทั่วเหล่าทหารที่เพิ่งมาถึงกระโจนเข้าไปร่วมวงต่อสู้อย่างรวดเร็วหลังจากประดาบกันไปกว่าร้อยครั้ง มือสังหารก็ถูกบีบบังคับให้ล่าถอย ฉินโจวจ่อกระบี่ไปที่คอของหนึ่งในมือสังหาร พลางถามเสียงเข้ม “ตอบข้า ใครเป็นคนส่งเจ้ามา?”มือสังหารตอบอย่างเย็นชา “ฆ่าไอ้หมารับใช้เป่ยโม่ให้หมด!”“หมารับใช้เป่ยโม่? เห็นได้ชัดว่าพวกเจ้าไม่ได้เป็นคนเป่ยโม่ พวกเจ้ามาจากต้าโจวใช่หรือไม่?” ฉินโจวโมโหอย่างมาก ขณะชี้ดาบไปยังหน้าอกของอีกฝ่าย “ไอ้เลวมู่หรงเจี๋ยส่งพวกเจ้ามาใช่หรือไม่?”“หญิงเลวอย่าเจ้ากล้าเอ่ยชื่อของท่านอ๋อง ทำให้พระองค์มัวหมองได้อย่างไร?” มือสังหารตะโกนฉินโจวชักดาบกลับพร้อมกล่าวอย่างเย็นชา “กลับไปซะ!”มือสังหารตกตะลึง ราวกับไม่คาดคิดว่าฉินโจวจะปล่อยตัวเขาไป”เ
ฉินโจวกล่าวด้วยความโมโห “ข้าหลอกลวงเจ้าเมื่อไร?”“ไม่งั้นรึ? เจ้าและอ๋องฉีเอ่ยปากว่า หากจื่ออันตกลงเดินทางมาที่เป่ยโม่ พวกเจ้าจะส่งองค์ชายรัชทายาทไปที่ต้าโจวเป็นองค์ประกัน แล้วพวกเจ้าทำตามที่พูดแล้วหรือไม่?”“องค์ชายรัชทายาทเดินทางไปยังต้าโจวแล้ว!”“ผู้ที่เดินทางไปยังต้าโจวคือองค์ชายเจ็ด ไม่ใช่องค์ชายรัชทายาท องค์ชายเจ็ดไม่ได้เป็นที่โปรดปราน ดังนั้นจักรพรรดิเป่ยโม่จะส่งเขาไปสังเวยเมื่อใดก็ได้”“เป็นไปไม่ได้!” ฉินโจวประหลาดใจอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าผู้ที่เดินทางไปคือองค์ชายรัชทายาท เพราะองค์จักรพรรดิทรงตรัสด้วยตนเองว่าจะส่งเขาไปที่ต้าโจว“เจ้าอย่าเพิ่งสนใจเรื่องนี้เลย ก่อนหน้านี้ทั้งสองแคว้นตกลงทำสนธิสัญญาสงบศึก หลังจากการแพร่ระบาดสิ้นสุดลง แต่เจ้ากลับวางแผนโจมตีพวกเราในขณะที่ข้ายังอยู่ที่เป่ยโม่ เจ้าจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร?” มู่หรงเจี๋ยกล่าวอย่างเคร่งเครียดฉินโจวตอบ “ผิดแล้ว เป็นเพราะต้าโจวที่เคลื่อนทัพโจมตีทหารฝั่งขวาของเราก่อน และสังหารทหารของเราไปกว่าร้อยคน ข้าจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากเคลื่อนทัพเข้าไปใกล้ เพื่อบีบบังคับให้พวกเจ้าถอยกลับ”“ไร้สาระ กองทัพของเราหยุดเคลื่อนท
อย่างไรก็ตาม การจัดหาเสบียงอาหารสำหรับพื้นที่ภัยพิบัติยังไม่เพียงพอ และยังขาดแคลนเสื้อผ้าอาภรณ์ นอกจากนี้หลังจากที่พระชายาผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มาถึงเป่ยโม่ ก็ยังไม่ได้รับใบสั่งยาแม้แต่ฉบับเดียว ดังนั้นความอดทนของประชาชนจึงค่อย ๆ หมดลง แต่ความโกรธและความขุ่นเคืองกลับยิ่งมากขึ้นทันทีที่ข่าวลือแพร่สะพัด ก็เป็นเสมือนเป็นการขว้างเปลวไฟใส่ ‘ระเบิด’ หนึ่งหมื่นตุน ทำให้มันระเบิดออกอย่างรวดเร็วผู้ประสบภัยนับไม่ถ้วนหลั่งไหลเข้าสู่เมืองหลวงอย่างรวดเร็วหลังจากที่ฉินโจวลงจากภูเขา นางก็พบว่าองค์จักรพรรดิทำอะไรกับทหารม้า และทหารเจ็ดหมื่นนายที่ประจำการที่เมืองหลวง ซึ่งเขาออกคำสั่งให้ทหารเหล่านั้นขับไล่เหล่าผู้ประสบภัยออกไปนางเห็นด้วยตาตนเองว่าทหารใต้บังคับบัญชาของนางสร้างกำแพงมนุษย์อันแน่นหนา เมื่อผู้ประสภัยเดินทางเข้ามา พวกเขาก็จะโบกหอกเพื่อขับไล่คนเหล่านั้นออกไปผู้ประสบภัยมากกว่าสิบรายได้รับบาดเจ็บจากหอกทหารเหล่านั้นอยู่ใต้บังคับบัญชาของนาง แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะไม่ได้ฆ่าผู้ใด แต่เมื่อสถานการณ์รุนแรงขึ้นจะต้องมีการฆ่าแกงกันอย่างแน่นอนฉินโจวโกรธจัดจึงขี่ม้าเข้าไปขวางเอาไว้ “หยุด หยุดเ
ฉินโจวกวาดสายตามองพลางเยาะเย้ยจื่ออันไม่สนใจนาง และพาหลินตานไปยังเขตตะวันตกภายในสองวันนี้มีผู้เสียชีวิตถึงสามคน ซึ่งทั้งหมดถูกหามออกไปหลังจากที่หลินตามเดินเข้ามาเขาหลั่งน้ำตาหลั่งน้ำตาขณะมองดูการเผาศพจื่ออันไม่คิดว่าเขาจะมีความอ่อนไหวมากเพียงนี้ “ท่านหมอหลิน ท่านเป็นอะไรหรือไม่?”หลินตานปาดน้ำตา “ข้าขอโทษ ข้าเพียง... คิดถึงครอบครัวขอรับ”“ครอบครัวของท่าน? แล้วตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ใดหรือ?” จื่ออันถาม“ตายหมดแล้วขอรับ ภรรยาและลูกสะใภ้ของข้าตายเพราะเหตุแผ่นดินไหวทั้งคู่ ส่วนลูกชายและหลานชายติดเชื้อโรคระบาดก่อนตายไปเช่นกัน ข้าจึงเป็นคนเดียวที่เหลือรอด” หลินตานสูดหายใจเข้าลึก ใบหน้าที่อยู่ภายใต้ผมสีขาวฉายแววความเศร้าโศกและหดหู่จื่ออันไม่คาดคิดว่าเขาจะมาจากพื้นที่โรคระบาดเช่นกัน เมื่อเห็นสีหน้าเศร้าสร้อย จื่ออันก็ไม่รู้จะปลอบใจเขาเช่นไร จึงได้แต่นิ่งเงียบและอยู่เคียงข้างไม่นานหลินตานก็ถามว่า “ท่านหมอเซี่ย โรคระบาดนี้สามารถรักษาหายได้จริงหรือขอรับ?”ตอนนั้นเองจื่ออันก็นึกได้ว่าเขาเป็นหมอเท้าเปล่า และหลังจากเดินทางพเนจรไปที่ต่าง ๆ เขาอาจรู้จักจินเย่าฉือก็เป็นได้ ดังนั้นจึงรีบถามว