คำพูดของมู่หรงเจี๋ยยังคงโจมตีหัวใจเขาไม่หยุดยั้งแม้ว่าราชครูจะถูกลงโทษ ทว่ายังมีคนจำนวนมากที่ติดตามเขา ไม่ใช่เพราะความภักดี แต่เป็นเพราะเหลียงไท่ฟู่ใช้ประโยชน์จากจุดอ่อนของพวกเขา ฉะนั้นไม่ว่าเหลียงไท่ฟู่จะตกต่ำสักเพียงใด พวกเขาก็ไม่กล้าทรยศต่อเหลียงไท่ฟู่วันนี้ใช่ว่าขุนนางทุกคนในพรรคของเขาจะมาที่นี่ จักรพรรดิอาจตัดสินใจที่จะเก็บพวกเขาไว้ และปล่อยให้พวกเขากลายเป็นดาบแหลมคมไว้ยอกอกอ๋องหนานหวาย เช่นนั้นจึงเป็นการดีที่เหลียงไท่ฟู่จะเสริมสว่านแหลมคมเข้าไปเขายังมีอำนาจ ไม่ได้กลายเป็นคนไร้ประโยชน์เสียทีเดียวการใช้โอกาสที่ศัตรูเกิดการแตกแยก วุ่นวายและปั่นป่วนอย่างหนักภายใน แล้วพึงรอจังหวะให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างสงบ ช่างสบายแค่ไหน!สีหน้าของราชครูเหลียงเปลี่ยนไปหลายครั้ง สุดท้ายก็ตกอยู่ที่พระพักตร์ของจักรพรรดิ “แม้ว่าอ๋องหนานหวายจะเป็นผู้แพร่ข่าวลือ ทว่าองค์รัชทายาทและสนมเหลียงก็ได้เห็นแผลหน้าผีของฝ่าบาทกับตาของพวกเขา”มู่หรงเจี๋ยยิ้มหยัน “ทันทีที่ข่าวลือกระจายออกไป องค์รัชทายาทและสนมเหลียงร้อนใจบุกมาที่นี่ ผู้ใดบ้างจะไม่รู้จุดประสงค์ของพวกเขา? ดังนั้นข้าจึงขอให้จื่ออันทำใบหน้าปลอมต
องค์จักรพรรดิเคยเปรยว่า หากอ๋องเหลียงวิงวอนแทนสนมเหลียง นางอาจจะได้รับโทษสถานเบา ทว่าหากเขาไม่วิงวอนแทน นับจากนี้นางจะถูกโยนลงไปในขอบนรกในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา นางสนมหลายคนถูกส่งเข้าไปในตำหนักเย็นเช่นเดียวกัน ทว่าพวกนางไม่สามารถมีชีวิตรอดอยู่ในตำหนักเย็นได้เกินสองปีผู้ที่ไม่เคยประสบความทุกข์ทรมานจากสภาพแวดล้อมเลวร้ายในตำหนักเย็นมาก่อน ไหนเลยจะอดทนต่อความยากลำบากอย่างแสนสาหัสได้ทุกคนต่างคิดว่าอ๋องเหลียงต้องอ้อนวอนขอประทานอภัยแน่ เพราะเขาเชื่อฟังพระราชมารดาเสมอมา และมีนิสัยกตัญญูยิ่งนักอย่างไรก็ตาม ครั้งนี้กลับเหนือความคาดหมายของทุกคน เขาไม่วิงวอนขอความเมตตา และไม่แม้แต่จะถามถึงเรื่องนี้ ทำเฉยเมยราวกับว่าตนไม่รู้จักคนคนนี้อย่างไรอย่างนั้นหวงไท่โฮ่วมีพระชนมายุยืนยาวหลายปี บัดนี้ถึงกับล้มป่วยอย่างกะทันหันนางรู้สึกมาตลอดว่าองค์รัชทายาทไม่เหมาะสมที่จะขึ้นเป็นจักรพรรดิ แม้แต่นางก็ต้องการคัดค้านเขาเช่นกัน แต่เมื่อเขาถูกปลดจากตำแหน่งขึ้นมาจริง ๆ นางก็อดรู้สึกเสียใจมากไม่ได้ เมื่อเห็นว่าชีวิตของเขาต้องมาลงเอยเช่นนี้ ถึงอย่างไรเขาก็เป็นหลานชายของนางแม้ว่าปรสิตกาฝากบนพระกรขององค์จักร
กุ้ยไท่เฟยขมวดคิ้วและมองไปที่ซุนฟางเอ๋อร์ “เจ้าบอกว่าฝ่าบาทใช้ผิวปลอมอำพรางอย่างนั้นหรือ?”“ต้องเป็นเช่นนั้นแน่เพคะ” ซุนฟางเอ๋อร์กล่าวอย่างหนักแน่น “หากพระองค์ไม่ใช้ผิวปลอม ผื่นแดงเหล่านั้นไม่มีทางปกปิดไว้ได้ เพียงแต่หม่อมฉันเองก็ไม่คาดคิดว่าเซี่ยจื่ออันจะใช้วิธีการเช่นนี้”“เจ้ารู้วิธีหรือ?” อ๋องหนานหวายถามซุนฟางเอ๋อร์กล่าว “เจ้าค่ะ อันที่จริงวิธีการนี้พูดง่ายกว่าลงมือทำ ถึงกระนั้นก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร ตราบใดที่ทุกอย่างเข้าที่เข้าทาง ก็สามารถทำได้”“ผิวปลอมที่เจ้าว่านี่ไม่เผยพิรุธใด ๆ ให้เห็นเลยหรือ?”“ต้องสังเกตจึงจะสามารถมองเห็นพิรุธได้เจ้าค่ะ แต่ใครกันจะกล้าจ้องพระพักตร์ของฝ่าบาท ผิวปลอมแบบนี้มีข้อเสีย หากอากาศร้อนเกินไป มันอาจรั่วและละลายได้ง่าย หากลมแรงเกินไปจะยับย่นและหลุดออก ใส่ได้ไม่นาน เนื่องจากมันไม่ระบายอากาศ และค่อนข้างกระทบกระเทือนพระอาการของฝ่าบาท โดยทั่วไปแล้วต้องถอดหลังจากผ่านไปสองชั่วยาม ถ้าอากาศข้างนอกร้อนเช่นวันนี้ นานสุดได้เพียงชั่วยามครึ่งเท่านั้น ขืนไม่ถอดออก อุณหภูมิรอบใบหน้าจะทำให้ผิวหนังบางลงเรื่อย ๆ ผืนแดงก็อาจปรากฏให้เห็น และที่แย่กว่านั้นคือมันจะห
หลังจากพูดจบ นางก็ถอยหลังและออกไปทันทีที่ซุนฟางเอ๋อร์ออกไป กุ้ยไท่เฟยก็เปลี่ยนสีหน้าทันที “แม่รู้เหตุผลที่เจ้าไม่ต้องการแต่งงานกับฟางเอ๋อร์ เจ้ายังคงคิดถึงโหรวเหยาใช่หรือไม่?”อ๋องหนานหวายส่ายศีรษะ “เปล่าขอรับ”“แม่คลอดเจ้าออกมา เหตุใดจะไม่รู้ว่าเจ้าคิดอะไรอยู่ในใจ แม่แนะนำให้เจ้ากำจัดความคิดนี้ทิ้งไปโดยเร็วที่สุด ในอนาคตเจ้ากำลังจะได้เป็นจักรพรรดิแล้ว เจ้าไม่กลัวถูกหัวเราะเยาะ หากผู้อื่นรู้ว่าเจ้าแต่งงานกับหญิงที่ถูกทอดทิ้งหรือ?” กุ้ยไท่เฟยกล่าวอย่างเย็นชาตามแบบฉบับ“โหรวเหยาเป็นคนดี นางไม่ใช่หญิงที่ถูกทอดทิ้ง!” อ๋องหนานหวายปกป้องโหรวเหยาโดยไม่รู้ตัว สีหน้าของเขาแข็งค้างอยู่ครู่หนึ่ง จนกระทั่งเขาสัมผัสสายตาเย็นชาของกุ้ยไท่เฟย จึงกล่าวเสียงอ่อน “ท่านแม่ หากท่านต้องการให้ข้าแต่งงานกับฟางเอ๋อร์ ข้าคงต้องยอมตามนั้น”“ที่จริงแม่ก็ไม่ชอบฟางเอ๋อร์เช่นกัน แต่เพราะนางเป็นคนช่างคิด ช่างวางแผน เล่ห์กลแพรวพราวยิ่งนัก หากนางไม่ได้แต่งเป็นภรรยาเจ้า แม่คงไม่สบายใจ” เมื่อเห็นเขายอมอ่อนข้อ สีหน้าของกุ้ยไท่เฟยก็อ่อนลงเล็กน้อย“ท่านกลัวว่านางจะเล่นไม่ซื่อกับข้าหรือ ไม่มีวัน นางไม่มีที่ไป มีเพียงข
เซียวท่านั่งลงอย่างช่วยไม่ได้ และมองไปที่อ๋องเหลียงพลางบ่นว่า “เจ้านี่ปากไม่ดีเอาเสียเลย!”อ๋องเหลียงหัวเราะ “ผู้ใดบอกให้พวกเจ้ามาที่นี่เพื่ออวดความรักกันต่อหน้าข้าล่ะ? เจ้าก็รู้ว่าข้ากำลังทุกข์ระทมจากความรักอย่างหนัก”“ข้าไม่ได้อยากอวด นางต่างหากที่ลากข้าไปอวดคนอื่น ถึงผ้าพันคอผืนนั้นจะดูน่าเกลียด แต่นางก็มีความสุขมากเมื่อเห็นข้าสวมใส่ สำหรับข้าแล้วมันอาจจะน่าอายเล็กน้อย แต่ไม่เลวเลยที่สามารถทำให้นางมีความสุข”หลังจากได้ยินเช่นนี้ จื่ออันก็เบิกตากว้าง “เอ้อร์หวาคิดได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือนี่?”“เอ้อร์หวา?”“เอ้อร์… ก็เจ้าเป็นบุตรคนที่สองไม่ใช่หรือ? เรียกเจ้าว่าเอ้อร์หวาก็ถูกแล้วนี่นา”“ถูก แต่ชื่อน่าเกลียด” เซียวท่าขมวดคิ้ว “ข้าไม่ชอบ”เขานั่งลงและพูดอีกครั้ง “จริงสิ ภูเขาน้ำแข็งส่งคนมาส่งจดหมายเมื่อเช้านี้”“จริงหรือ?” จื่ออันและอ๋องเหลียงดีใจมาก “ในจดหมายกล่าวว่าอย่างไรบ้าง?”เซียวท่ากล่าว “ท่านปู่เป็นคนอ่าน ข้าไม่เห็นเองกับตา แต่หลังจากท่านปู่อ่านแล้ว สีหน้าดูจริงจังมากทีเดียว”“แล้วเจ้าไม่ถามมาหรือ?” จื่ออันกระทืบเท้าอย่างกระวนกระวาย“ถามสิ แต่ท่านปู่กลับถามว่าข้ามีเงินส
“อันที่จริงข้าไม่คิดว่าเหล่าหวังเย่ต้องการเงินค่าหมอจริง ๆ หรอก แต่เพียงต้องการบอกเราผ่านการขอค่าหมอว่าเขายังมีชีวิตอยู่” จื่ออันกล่าวจู่ ๆ น้ำตาของจ้วงจ้วงก็ไหลรินออกมา ก่อนจะปิดปากร้องไห้อย่างควบคุมไม่ได้จื่ออันกอดนางพลางลูบหลังนางไปด้วย “อย่าร้องไห้ อย่าร้องไห้ เขาปลอดภัยแล้ว”จ้วงจ้วงกลั้นน้ำตาแล้วเอามือเช็ดหน้าอย่างไม่ใส่ใจ “ไม่ ไม่ได้ เรายังต้องเตรียมเงินค่าหมอ เราไม่รู้ว่าเขาหมายความอย่างนั้นหรือไม่ หากเราละเลยไม่ยอมส่งค่าหมอเพื่อรักษา อาการบาดเจ็บจะยิ่งแย่”หลังจากพูดจบนางก็รีบเข้าไปหาเสมียนจื่ออันและหูฮวนสี่มองหน้ากัน รู้สึกเศร้าใจ แต่ก็ยังถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกวันรุ่งขึ้นตรงกับวันพิธีบวงสรวงสวรรค์ก่อนออกเดินทาง ความเป็นไปได้ที่อยู่ภายใต้การคาดการณ์ทั้งหมดได้รับการซักซ้อมอีกครั้ง บนแท่นบูชาก็มีทหารคุ้มกันหนาแน่นเช่นกัน มู่หรงเจี๋ยมุ่งมั่นให้การรักษาความปลอดภัยรัดกุมอย่างสูงสุดตอนนี้สภาพร่างกายขององค์จักรพรรดิไม่เหมาะที่จะออกสู่ภายนอกจริง ๆ ลมพัดแรงมาก จึงต้องมีผ้าห่มนวมปกปิดวรกายไว้อีกชั้น จื่ออันถึงกับยัดพระหัตถ์ของจักรพรรดิเข้าไปซุกอยู่ในนั้นเพื่อความอบอุ่
อ๋องหนานหวายและสมาชิกราชวงศ์บางส่วนก็เดินตามขึ้นมาแล้วเช่นกัน หลังจากที่สมาชิกราชวงศ์ขึ้นมาแล้ว ขุนนางระดับรองลงมาในราชสำนักก็ทยอยตามขึ้นมาด้วย ส่วนคนที่เหลือยังอยู่ด้านล่างแท่นบูชาขนาดใหญ่นี้สามารถรองรับคนได้สองร้อยถึงสามร้อยคน ตอนนี้สมาชิกราชวงศ์รวมถึงขุนนางระดับรองลงมา ร่วมด้วยองครักษ์ของมู่หรงเจี๋ย รวมแล้วเพียงหนึ่งร้อยกว่าคนเท่านั้น แท่นบูชายังมีพื้นที่ว่างอีกมากก่อนอื่น จักรพรรดิเดินไปยังขอบแท่นบูชา พิงราวบันไดพร้อมกับโบกพระหัตถ์ให้คนด้านล่าง พระพักตร์แย้มพระสรวล แม้ว่าเขาจะอ่อนแอ แต่ก็ยังคงแผ่รังสีสง่างามที่จักรพรรดิพึงมีอากาศวันนี้สงบสดใส ไร้มวลเมฆ มีเพียงสายลมที่พัดแรงเป็นพิเศษ ซึ่งไม่ดีต่อพระอาการของจักรพรรดิ โรคผื่นผีเสื้อไม่เหมาะสำหรับการต้องลมนาน ๆ ดังนั้นเขาจึงรู้สึกวิงเวียนเล็กน้อยหลังจากยืนอยู่ได้ระยะหนึ่ง จึงต้องรีบพยุงตัวเองไว้เที่ยงตรง พิธีบวงสรวงสวรรค์ได้เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการเวลาผ่านไปหนึ่งชั่วยามครึ่งนับตั้งแต่ออกจากวังในบรรดาสมาชิกราชวงศ์ อ๋องหนานหวายไม่โดดเด่นเลย เนื่องจากเขาจงใจก้าวถอยหลังเล็กน้อย ปกปิดตัวตนไว้ครึ่งหนึ่งเขาจ้องมองที่พระพักตร์ของ
เป็นไปไม่ได้ ซุนฟางเอ๋อร์กล่าวว่าอีกประมาณสองชั่วยาม ผิวปลอมของเขาจะละลายจนต้องผลัดเปลี่ยนไปสวมอันใหม่ เมื่อครู่เขาก็เห็นด้วยตาของเขาเองว่ามือสังหารลงมือก่อนที่อีกฝ่ายจะทันได้เปลี่ยนเป็นไปไม่ได้!“เหล่าปา ปล่อยข้าเถิด มือสังหารถูกจัดการสิ้นแล้ว!” จักรพรรดิตรัสพร้อมกับทอดพระเนตรมองดูเขาเงียบ ๆอ๋องหนานหวายปล่อยมือจากจักรพรรดิโดยเร็วเหมือนถูกไฟฟ้าช็อต มองย้อนกลับไปโดยไม่รู้ตัว เห็นว่าเซี่ยจื่ออันที่แต่งกายเป็นทหารองครักษ์ใช้บางอย่างลากมือสังหารกลับมาใบหน้าของเขาซีดเผือดลงทันใดเซี่ยจื่ออันปิดผนึกจุดฝังเข็มของมือสังหารด้วยเข็ม จากนั้นแก้เชือกบ่วงบาศ หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาห่อพันนิ้วเอาไว้ แล้วล้วงเข้าปากอีกฝ่ายเพื่อหยิบเอายาพิษออกมา จากนั้นห่อไว้ด้วยผ้าเช็ดหน้า แล้วส่งไม้ต่อให้มู่หรงเจี๋ยมู่หรงเจี๋ยเตะตัดขาเขา จุดฝังเข็มของบุคคลนั้นถูกปิดกั้น ทำให้ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ ได้แต่ยอมรับการเตะนี้อย่างไร้ทางสู้ มู่หรงเจี๋ยออกคำสั่ง “พาตัวเขาไป สอบสวนอย่างหนัก ใช้ทุกวิถีทางเพื่อค้นหาผู้บงการเบื้องหลังให้จงได้”“ขอรับ!” ทหารยามก้าวไปข้างหน้า ลากตัวชายคนนั้นออกไป พาเขาลงไปจากแท่นบ
ร่างกายของแม่ทัพเฒ่าฉินสั่นสะท้านด้วยความโกรธ “เจ้าสาปแช่งปู่รึ เจ้าเคยคำนึงถึงญาติพี่น้องหรือไม่?”เมื่อหมอหลวงมาถึง กลับไม่มีคนในตระกูลฉินคอยเฝ้าเขาอยู่ในห้อง ดังนั้นจึงมีเพียงแต่บ่าวรับใช้หลังจากตรวจสอบอาการเสร็จ หมอหลวงก็กล่าวด้วยสีหน้าตกตะลึง “ท่านแม่ทัพเฒ่า เมื่อไม่กี่วันมานี้ท่านได้ไปที่ใดมา? แล้วท่านเคยเข้าไปในพื้นที่โรคระบาดหรือไม่?” “ไม่เคย ข้าไม่เคยไปที่นั่น” สีหน้าของแม่ทัพเฒ่าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เมื่อได้ยินคำพูดของหมอหลวง “ท่านกำลังสงสัยว่าข้าติดเชื้อโรคระบาดใช่หรือไม่?”“อาการช่างคล้ายคลึงกันยิ่งนัก” หมอกลวงกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด“เป็นไปไม่ได้!” แม่ทัพเฒ่าฉินรู้สึกตื่นตระหนกอย่างมาก “ท่านวินิจฉัยผิดหรือไม่?”“ข้าจะจัดยาให้ท่านสองชนิดก่อน หากดื่มยาเหล่านี้แล้วไม่ได้ผล เช่นนั้นไม่ใช่ก็ใกล้เคียงแล้วขอรับ” หมอหลวงกล่าวแม่ทัพเฒ่าฉินกล่าวด้วยความลนลาน “ฉินโจวบังคับให้ท่านพูดเช่นนี้ใช่หรือไม่?”หมอหลวงรู้สึกประหลาดใจ “แม่ทัพเฒ่า ท่านหมายความว่าอย่างไร? เหตุใดแม่ทัพฉินถึงต้องบังคับให้ข้าพูดเช่นนี้?”หมอหลวงชะงักไปชั่วครู่หนึ่งแล้วโพล่งถาม “ท่านเคยพูดคุยกับองค์ชายเ
นางสามารถเสียสละได้ แต่จะไม่มีทางทรยศต่อประชาชนเป่ยโม่เด็ดขาดสำหรับความจงรักภักดีต่อองค์จักรพรรดิและประเทศชาติ นางจะต้องรักประชาชนก่อน จึงจะสามารถภักดีต่อองค์จักรพรรดิได้ฉินโจวกล่าวคำเบา “ข้าเข้าไปในพระราชวังเพื่อเชิญหมอหลวงแล้ว ท่านปู่พักผ่อนก่อนเถิด ข้าจะออกไปเดินเล่นรับลมสักหน่อย”ดวงตาของแม่ทัพเฒ่าฉินอัดแน่นด้วยความโกรธ แต่ก็พยายามอย่างหนักเพื่อระงับมันฉินโจวเดินออกจากห้อง และเห็นว่าฉินเป้าน้องชายของตนนั่งอยู่ที่สวน เมื่อเห็นนางเดินออกมา เขาก็ถามว่า “ท่านปู่เป็นอย่างไรบ้าง?”ฉินโจวจำคำพูดของท่านปู่ได้อย่างแม่นยำ จึงเมินเฉยต่อเขาและตอบอย่างใจเย็น “เข้าไปดูด้วยตนเองสิ”ฉินเป้าคลี่ยิ้ม แต่มันกลับดูอ้างว้างอย่างยิ่ง “ข้าได้ยินสิ่งที่ท่านปู่พูดกับท่านแล้ว ข้าไม่อยากเข้าไป”ฉินโจวตกตะลึง “เพราะเหตุใด เขาทุ่มเทความพยายามทั้งหมดไปกับหารวางแผนเพื่อเจ้า เจ้าควรขอบคุณท่านปู่สิ”ฉินเป้าหัวเราะเยาะ “จริงรึ? หากเขาทอดทิ้งท่านเพื่อตระกูลได้ ในอนาคตเขาจะไม่ทอดทิ้งข้าหรือ? ข้าไม่ต้องการชื่อเสียงหรือความดีงามใด ๆ พวกมันไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการเลย”ฉินโจวดูถูกน้องชายมาโดยตลอด เพราะเขาไม่ได
ทั้งสองคนเดินออกไปและหยุดอยู่บนทางเดิน หมอมองฉินโจวพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “ท่านแม่ทัพ ข้ากำลังสงสัยว่าท่านแม่ทัพเฒ่าจะป่วยด้วยโรคระบาดขอรับ”ฉินโจวตกตะลึง “โรคระบาด? เป็นไปได้อย่างไร? ปู่ของข้าไม่เคยออกไปข้างนอก และไม่เคยติดต่อกับผู้ป่วยโรคนี้เลย แล้วเขาจะติดเชื้อโรคระบาดได้อย่างไร?”“ข้าเคยรักษาผู้ป่วยโรคระบาดมาก่อน ซึ่งอาการคล้ายคลึงกันอย่างมาก ผู้ป่วยจะมีไข้สูง ไอ ตาแดง หายใจเร็วขึ้น เมื่อเกิดอาการเหล่านี้พร้อมกันจะอันตรายอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นโรคนี้ยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาดขอรับ” หมอกล่าว“เป็นไปไม่ได้ หากจะติดเชื้อโรคระบาดก็ต้องสัมผัสกับผู้ป่วยที่มีเชื้ออยู่แล้ว แต่ท่านปู่ของข้าไม่เคยใกล้ชิดคนเหล่านั้นเลย แล้วเขาจะติดเชื้อได้อย่างไร?” ฉินโจวยังคงไม่เชื่อหมอประสานหมัด “ทั้งหมดนี้คือคำวินิจฉัยของข้า หากท่านแม่ทัพไม่เชื่อ ก็สามารถขอให้หมอคนอื่นมาตรวจดูได้ หรือท่านจะพาเขาไปที่พระราชวัง และขอให้หมอหลวงช่วยตรวจอาการ ข้าไร้ความสามารถ จึงอาจวินิจฉัยผิดพลาดได้ ลาก่อนขอรับ ๆ!”สิ้นคำ หมอก็หยิบกล่องยาแล้วออกไปโดยไม่เขียนใบสั่งยาด้วยซ้ำฉินโจวสับสนไม่น้อย ท่านปู่ติดเชื้อโร
หัวใจของฉินโจวเย็นเยียบราวกับน้ำ “ใช่ ตราบใดที่ข้าตายในสนามรบ ตระกูลฉินก็ยังจะเป็นผู้กล้า และเป็นขุนนางผู้มีเกียรติ”แม่ทัพเฒ่าฉินเงียบไปครู่ใหญ่ จากนั้นกล่าวคำเบา “ในฐานะหลานสาวตระกูลฉิน มันเป็นหน้าที่ของเจ้าที่ต้องเสียสละเพื่อชื่อเสียง และรากฐานของตระกูล”ฉินโจวกำหมัดแน่นด้วยความไม่พอใจ “หลายปีที่ผ่านมานี้ ข้ายังทำไม่พออีกหรือ? ตอนนี้มีใครในตระกูลฉินบ้างที่ไม่เกาะกินเลือดนี้ของข้า?”แม่ทัพเฒ่าฉินลุกยืนขึ้นพลางกล่าวอย่างเย็นชา “ข้าเคยเตือนเจ้าแล้ว คราวนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เจ้าจะต้องเข้าไปในพระราชวัง ข้าให้คำมั่นกับฮองเฮาเฉาแล้ว ว่าวันนี้เจ้าจะไปที่นั่นเพื่อทูลขอรับคำสั่ง หากเจ้าไม่ไป ข้าก็จะรับคำสั่งและออกรบด้วยตนเอง”“ท่าน...” ฉินโจวมองเขาด้วยสายตาโศกเศร้า “ท่านปู่ ข้าก็เป็นหลานสาวของท่านเหมือนกัน ท่านไม่สงสารข้าบ้างหรือ?”“ปู่สงสารเจ้าสิ แต่ภารกิจหน้าที่ของตระกูลฉินจะต้องถูกส่งต่อ ตอนนี้น้องชายของเจ้าโตพอแล้ว เจ้าจะต้องพาเขาไปสร้างความสำเร็จทางการทหารด้วย และเจ้าจะได้รับส่วนแบ่งของน้องเจ้า เมื่อถึงเวลานั้น ตระกูลฉินก็จะได้ผู้สืบทอดคนใหม่”ฉินโจวผงะไปชั่วครู่ ก่อนระเบิดหัวเราะ
เมื่อได้ยินคำพูดของฉินโจว แม่ทัพเฒ่าฉินก็โมโหมากจนเคราสั่นสะท้าน “อาโจว อะไรจะสำคัญไปกว่าการบรรลุเป้าหมายอันยิ่งใหญ่? องค์จักรพรรดิเพียงต้องการขยายอาณาเขตของแคว้น เจ้าควรรู้เอาไว้ว่าเมื่อเรายึดครองต้าโจวสำเร็จ เป่ยโม่จะมีพื้นที่เพิ่มมากกว่าครึ่งหนึ่ง และมันจะเป็นความดีความชอบของตระกูลฉิน ทำให้ตระกูลของเราถูกจดจำไปหลายชั่วอายุคน! นี่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าต้องการมาตลอดรึ? เจ้าไม่ต้องการบอกคนทั้งโลก ว่าแม้ฉินโจวจะเป็นสตรี แต่นางก็สามารถประสบความสำเร็จได้อย่างผ่าเผยหรือ?”ฉินโจวมองดูใบหน้าที่ฉายแววตื่นเต้นปนโกรธเกรี้ยวของปู่ ทันใดนั้นนางก็สัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติถูกต้อง มันคือความต้องการของนาง แต่ความสำเร็จของนางจะต้องไม่แลกกับการเหยียบย่ำกระดูกของประชาชนชาวเป่ยโม่นางรักเป่ยโม่และหวังที่จะขยายอาณาเขตของแคว้น นอกจากนี้นางยังต้องการเสาะหาดินแดนอุดมสมบูรณ์เพื่อประชาชน เพราะหวังว่าพวกเขาจะสามารถอยู่อาศัยและทำกินอย่างสงบสุข และพึงพอใจโดยไม่ต้องทนทุกข์จากการพลัดถิ่นอย่างไรก็ตาม ในตอนนี้หากต้องการบรรลุอำนาจ นางจำต้องสละชีวิตประชาชนจำนวนมาก และนำเงินภาษีของทุกคนมาใช้ในการทำสงคราม ทำให้โรคร
มือสังหารเหล่านั้นแต่งกายคล้ายกับชาวต้าโจวและสวมหน้ากากผ้าสีดำ กลุ่มคนนิรนามราวเจ็ดถึงแปดคนกระโดดลงมาจากท้องฟ้ากลางวันแสก ๆ ทันทีที่เท้าของคนเหล่านั้นแตะพื้น พวกมันก็เริ่มโจมตีอย่างดุดันฉินโจวเห็นมือสังหารคนหนึ่งกระโดดขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกับกระบี่ยาว จากนั้นร่ายรำอยู่หลายกระบวนท่าราวกับนางฟ้าโปรยดอกไม้ ขณะแสงแดดตกกระทบกระบี่ส่องกระจายไปทั่วเหล่าทหารที่เพิ่งมาถึงกระโจนเข้าไปร่วมวงต่อสู้อย่างรวดเร็วหลังจากประดาบกันไปกว่าร้อยครั้ง มือสังหารก็ถูกบีบบังคับให้ล่าถอย ฉินโจวจ่อกระบี่ไปที่คอของหนึ่งในมือสังหาร พลางถามเสียงเข้ม “ตอบข้า ใครเป็นคนส่งเจ้ามา?”มือสังหารตอบอย่างเย็นชา “ฆ่าไอ้หมารับใช้เป่ยโม่ให้หมด!”“หมารับใช้เป่ยโม่? เห็นได้ชัดว่าพวกเจ้าไม่ได้เป็นคนเป่ยโม่ พวกเจ้ามาจากต้าโจวใช่หรือไม่?” ฉินโจวโมโหอย่างมาก ขณะชี้ดาบไปยังหน้าอกของอีกฝ่าย “ไอ้เลวมู่หรงเจี๋ยส่งพวกเจ้ามาใช่หรือไม่?”“หญิงเลวอย่าเจ้ากล้าเอ่ยชื่อของท่านอ๋อง ทำให้พระองค์มัวหมองได้อย่างไร?” มือสังหารตะโกนฉินโจวชักดาบกลับพร้อมกล่าวอย่างเย็นชา “กลับไปซะ!”มือสังหารตกตะลึง ราวกับไม่คาดคิดว่าฉินโจวจะปล่อยตัวเขาไป”เ
ฉินโจวกล่าวด้วยความโมโห “ข้าหลอกลวงเจ้าเมื่อไร?”“ไม่งั้นรึ? เจ้าและอ๋องฉีเอ่ยปากว่า หากจื่ออันตกลงเดินทางมาที่เป่ยโม่ พวกเจ้าจะส่งองค์ชายรัชทายาทไปที่ต้าโจวเป็นองค์ประกัน แล้วพวกเจ้าทำตามที่พูดแล้วหรือไม่?”“องค์ชายรัชทายาทเดินทางไปยังต้าโจวแล้ว!”“ผู้ที่เดินทางไปยังต้าโจวคือองค์ชายเจ็ด ไม่ใช่องค์ชายรัชทายาท องค์ชายเจ็ดไม่ได้เป็นที่โปรดปราน ดังนั้นจักรพรรดิเป่ยโม่จะส่งเขาไปสังเวยเมื่อใดก็ได้”“เป็นไปไม่ได้!” ฉินโจวประหลาดใจอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าผู้ที่เดินทางไปคือองค์ชายรัชทายาท เพราะองค์จักรพรรดิทรงตรัสด้วยตนเองว่าจะส่งเขาไปที่ต้าโจว“เจ้าอย่าเพิ่งสนใจเรื่องนี้เลย ก่อนหน้านี้ทั้งสองแคว้นตกลงทำสนธิสัญญาสงบศึก หลังจากการแพร่ระบาดสิ้นสุดลง แต่เจ้ากลับวางแผนโจมตีพวกเราในขณะที่ข้ายังอยู่ที่เป่ยโม่ เจ้าจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร?” มู่หรงเจี๋ยกล่าวอย่างเคร่งเครียดฉินโจวตอบ “ผิดแล้ว เป็นเพราะต้าโจวที่เคลื่อนทัพโจมตีทหารฝั่งขวาของเราก่อน และสังหารทหารของเราไปกว่าร้อยคน ข้าจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากเคลื่อนทัพเข้าไปใกล้ เพื่อบีบบังคับให้พวกเจ้าถอยกลับ”“ไร้สาระ กองทัพของเราหยุดเคลื่อนท
อย่างไรก็ตาม การจัดหาเสบียงอาหารสำหรับพื้นที่ภัยพิบัติยังไม่เพียงพอ และยังขาดแคลนเสื้อผ้าอาภรณ์ นอกจากนี้หลังจากที่พระชายาผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มาถึงเป่ยโม่ ก็ยังไม่ได้รับใบสั่งยาแม้แต่ฉบับเดียว ดังนั้นความอดทนของประชาชนจึงค่อย ๆ หมดลง แต่ความโกรธและความขุ่นเคืองกลับยิ่งมากขึ้นทันทีที่ข่าวลือแพร่สะพัด ก็เป็นเสมือนเป็นการขว้างเปลวไฟใส่ ‘ระเบิด’ หนึ่งหมื่นตุน ทำให้มันระเบิดออกอย่างรวดเร็วผู้ประสบภัยนับไม่ถ้วนหลั่งไหลเข้าสู่เมืองหลวงอย่างรวดเร็วหลังจากที่ฉินโจวลงจากภูเขา นางก็พบว่าองค์จักรพรรดิทำอะไรกับทหารม้า และทหารเจ็ดหมื่นนายที่ประจำการที่เมืองหลวง ซึ่งเขาออกคำสั่งให้ทหารเหล่านั้นขับไล่เหล่าผู้ประสบภัยออกไปนางเห็นด้วยตาตนเองว่าทหารใต้บังคับบัญชาของนางสร้างกำแพงมนุษย์อันแน่นหนา เมื่อผู้ประสภัยเดินทางเข้ามา พวกเขาก็จะโบกหอกเพื่อขับไล่คนเหล่านั้นออกไปผู้ประสบภัยมากกว่าสิบรายได้รับบาดเจ็บจากหอกทหารเหล่านั้นอยู่ใต้บังคับบัญชาของนาง แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะไม่ได้ฆ่าผู้ใด แต่เมื่อสถานการณ์รุนแรงขึ้นจะต้องมีการฆ่าแกงกันอย่างแน่นอนฉินโจวโกรธจัดจึงขี่ม้าเข้าไปขวางเอาไว้ “หยุด หยุดเ
ฉินโจวกวาดสายตามองพลางเยาะเย้ยจื่ออันไม่สนใจนาง และพาหลินตานไปยังเขตตะวันตกภายในสองวันนี้มีผู้เสียชีวิตถึงสามคน ซึ่งทั้งหมดถูกหามออกไปหลังจากที่หลินตามเดินเข้ามาเขาหลั่งน้ำตาหลั่งน้ำตาขณะมองดูการเผาศพจื่ออันไม่คิดว่าเขาจะมีความอ่อนไหวมากเพียงนี้ “ท่านหมอหลิน ท่านเป็นอะไรหรือไม่?”หลินตานปาดน้ำตา “ข้าขอโทษ ข้าเพียง... คิดถึงครอบครัวขอรับ”“ครอบครัวของท่าน? แล้วตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ใดหรือ?” จื่ออันถาม“ตายหมดแล้วขอรับ ภรรยาและลูกสะใภ้ของข้าตายเพราะเหตุแผ่นดินไหวทั้งคู่ ส่วนลูกชายและหลานชายติดเชื้อโรคระบาดก่อนตายไปเช่นกัน ข้าจึงเป็นคนเดียวที่เหลือรอด” หลินตานสูดหายใจเข้าลึก ใบหน้าที่อยู่ภายใต้ผมสีขาวฉายแววความเศร้าโศกและหดหู่จื่ออันไม่คาดคิดว่าเขาจะมาจากพื้นที่โรคระบาดเช่นกัน เมื่อเห็นสีหน้าเศร้าสร้อย จื่ออันก็ไม่รู้จะปลอบใจเขาเช่นไร จึงได้แต่นิ่งเงียบและอยู่เคียงข้างไม่นานหลินตานก็ถามว่า “ท่านหมอเซี่ย โรคระบาดนี้สามารถรักษาหายได้จริงหรือขอรับ?”ตอนนั้นเองจื่ออันก็นึกได้ว่าเขาเป็นหมอเท้าเปล่า และหลังจากเดินทางพเนจรไปที่ต่าง ๆ เขาอาจรู้จักจินเย่าฉือก็เป็นได้ ดังนั้นจึงรีบถามว