รัชทายาทถึงกลับตกตะลึง แล้วจึงเอ่ยออกมา “เรื่องที่หลิวหลิ่วถูกฟันบาดเจ็บนั้น ข้าเองก็พอได้ยินมาบ้าง”เขาเย้ยหยันออกมา “ข้ารู้แล้ว เป็นเพราะว่าข้าชอบก่อเรื่องวุ่นวาย ฉะนั้นจึงได้กล่าวโทษร้ายแรงมายังข้า เฉินไท่จวิน ข้าขอถามท่านสักประโยคหนึ่ง ท่านกล่าวโทษว่าข้าทำร้ายเฉินหลิวหลิ่ว มีพยานบุคคลอย่างนั้นหรือ? หากว่าไม่มีพยาน แล้วใส่ร้ายรัชทายาทของราชวงศ์ ท่านควรมีโทษใดกัน!”หากว่าเป็นผู้อื่น ก็อาจจะถูกความแข็งกร้าวของเขาที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันนี้ทำให้ตื่นตกใจเข้า ทว่าเฉินไท่จวินไม่มีทาง เฉินไท่จวินถึงแม้ว่าจะอยู่ในความโกรธเกรี้ยว แต่ก็ยังคงมีความสังเกตการณ์ที่เฉียบคมอยู่ นางเอ่ยเย้ยหยันออกมา “รัชทายาทรับตัวหลิวหลิ่วนั่งรถม้าไปด้วย ทว่าหลิวหลิ่วลงจากรถม้ายังไม่ทันห่างไปสามก้าวก็สลบไป ต่อให้รัชทายาทที่อยู่ในรถม้าจะมองไม่เห็น คนขับรถม้าเองก็ควรจะมองเห็น ทว่ารัชทายาทยังจะจากไปเช่นนี้หรือ? ฝ่าบาท ท่านคิดว่าในตอนนั้นจะไม่มีคนมองเห็นจริงหรือ? หลังจากที่หลิวหลิ่วสลบไป คนของรัชทายาทก็รีบลากนางขึ้นรถม้า”สีหน้าของรัชทายาททันใดนั้นก็เกิดความตื่นตระหนกขึ้นมา เขาจะรู้ได้อย่างไรว่าในตอนนั้นไม่มีคนมองเห
รัชทายาทคราวนี้กระทำการเพียงลำพังคนเดียวโดยที่ไม่ได้รับการสนับสนุนจากฮองเฮาหรือราชครู อีกทั้งยังกระทำการเพียงลำพังอีกครั้ง หลังจากที่เขาสารภาพเรื่องนี้ออกไป ในใจก็ไม่มีความคิดใด มีเพียงร้องขอให้หวงไท่โฮ่วไว้ชีวิตเขา ร้องขอให้หวงไท่โฮ่วอย่าได้ป่าวประกาศเรื่องนี้ออกไปหวงไท่โฮ่วมองยังเขาด้วยความโกรธเกลียด ตนเองเป็นถึงรัชทายาทร้องไห้ฟูมฟายขอชีวิต แต่กลับไม่ยอมรับผิด แม้แต่คำพูดสูงส่งของราชนิกูลก็ยังเอ่ยออกมาไม่ได้ ช่างเป็นเศษสวะ เศษสวะโดยแท้“แม้แต่จะต้องรู้ว่าควรจะทำตัวอย่างไร เจ้าก็ยังทำไม่ได้ ตำแหน่งรัชทายาทนี้ เจ้ามีคุณธรรม มีความสามารถพอหรือ? ขุนเขาของบรรพบุรุษ จะมอบไว้ในมือเจ้าได้อย่างไร?” หวงไท่โฮ่วเอ่ยออกมาอย่างเจ็บปวดใจ“หลานไม่กล้าแล้ว หลานขอร้อง ได้โปรดอย่าแจ้งแก่เสด็จลุง และอย่าได้แจ้งแก่ราชครู” รัชทายาทร้องไห้ฟูมฟายออกมาหวงไท่โฮ่วโกรธเกลียดเสียจนต้องตบโต๊ะออกไป นางลุกขึ้นมาเพียงชั่วครู่ก็หน้ามืด ซุนกงกงรีนร้อนเข้ามาประคองนาง “ไท่โฮ่วทรงพระทัยเย็นลงก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”หวงไท่โฮ่วนั่งลงช้า ๆ ทันใดนั้นในใจก็เกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา ไม่ได้การแล้ว รัชทายาทองค์นี้ไม่ได้การแล้ว ต
หวงไท่โฮ่วมองไปยังองค์จักรพรรดิที่ทรงพิโรธ หัวใจราวกับถูกมีดทิ่มแทง นางนั่งลงบนเตียง กุมมือองค์จักรพรรดิเอาไว้ “ลูกแม่ แม่ยังอยู่ จะต้องอดทนเอาไว้”องค์จักรพรรดิลืมตาขึ้นมา พยายามที่จะมองไปยังหวงไท่โฮ่ว เขาถอนหายใจออกมา“เสด็จแม่ ข้าเกรงว่าจะไร้ประโยชน์…”“อย่าพูดจาเหลวไหล อย่าได้พูดจาเหลวไหล” ในใจของหวงไท่โฮ่วเกิดความเศร้าสลดขึ้นมา ร้องไห้ไปพลางตรัสไป “เจ้าจะยินยอมให้พระชายาผู้สำเร็จราชการแทนเข้าวังมาดูอาการป่วยของเจ้าหรือไม่? หากว่าเจ้ายินยอม ข้าจะออกพระราชเสาวนีย์เดี๋ยวนี้”“ไม่…” หน้าอกขององค์จักรพรรดิส่งเสียงครวญดังออกมา หายใจราวกับสูบลมเข้าไป กระทั่งราวกับว่าแทบจะทำให้ไม่อาจจับเส้นเสียงได้ลู่กงกงและเปากงกงที่คอยรับใช้อยู่ด้านหน้าคุกเข่าลงพร้อมกัน “องค์จักพรรดิ ทักษะการแพทย์ของพระชายาสูงส่ง ไม่สู้เชิญนางเข้าวังมาวินิจฉัยอาการให้พระองค์เถิดพ่ะย่ะค่ะ”“ไม่…” องค์จักรพรรดิยังคงปฏิเสธต่อไป คราวนี้ยิ่งหอบหายใจหนักกว่าเก่า สีหน้ากลายเป็นสีดำแดง ราวจะขาดลมหายใจอย่างไรอย่างนั้นเรือนพักชาวบ้านถนนเมืองตะวันออกในเมืองหลวงเซี่ยหว่านเอ๋อเช่าเรือนพักอยู่ที่นี่ เงินหนึ่งร้อยตำลึงนั่นใ
เซี่ยหว่านเอ๋อส่งเสียงตะคอกออกมา “คนของตระกูลเฉินแล้วอย่างไร? คนตระกูลเฉินแล้วจะยั่วยุไม่ได้เชียวหรือ? ก่อนหน้านั้นข้าเองก็เป็นบุตรสาวของจวนมหาเสนาบดีเช่นกัน? ตอนนี้ก็ไม่ใช่ว่ากลายเป็นโคลนบนพื้นดินที่ไม่ว่าใครเหยียบย่ำหรอกหรือ?”เฉินหลิงหลงเอ่ยออกมาด้วยความกรุ่นโกรธ “เจ้าไม่กลัวว่าคนของตระกูลเฉินจะมาหาถึงที่หรือ? เจ้าคิดว่าหญิงชราตระกูลเฉินยั่วยุได้ง่ายงั้นหรือ?”“มาหาถึงที่?” เซี่ยหว่านเอ๋อใบหน้าเต็มไปด้วยความไม่แยแส “นางมีหลักฐานอะไรกัน? ในตอนนั้นรัชทายาทเองก็ทรงอยู่ที่นี่ด้วย นางกล้าลากตัวรัชทายาทเข้าคุกหรือ? ตระกูลเฉินของพวกนางมีอะไรดีกันนักหนา? ยังคงเป็นสุนัขรับใช้ที่กินเงินจากราชสำนักอยู่มิใช่รึ? หากว่าเอ่ยให้ชัดเจนแล้ว ตระกูลเฉินก็เป็นสุนัขตัวหนึ่งของตระกูลมู่หรง สุนัขที่คอยเฝ้าประตู มีเพียงแค่ตอนสู้รบเท่านั้นถึงจะมีค่า ตอนนี้มีความสงบสุขเจริญรุ่งเรือง แล้ว ใครจะยังให้ค่านางอีก?”เฉินหลิงหลงส่ายศีรษะเอ่ยออกมา “เจ้าช่างไม่รู้อะไรเลย ดี ในเมื่อเจ้าอยากได้ครึ่งหนึ่ง ข้าก็จะแบ่งให้ครึ่งหนึ่ง ข้าจะย้ายออก”นางไม่อาจรอให้คนของตระกูลเฉินมาคิดบัญชีก่อนถึงจะจากไปได้ เมื่อถึงเวลานั้น
นางครุ่นคิดอย่างมีความสุข ก่อนจะอดไม่ได้ที่จะเผยยิ้มอย่างได้ใจออกมาด้านนอกประตูเกิดเสียงดังปังลอยออกมา นางลุกขึ้นยืน เปิดประตูออกด้วยความโมโห ยังไม่ทันได้มองคนด้านหน้าประตูให้ชัดก็ตะเบ็งเสียงไปด้วยความโกรธ “ท่านไม่ใช่ว่าจะใส่หัวไปหรอกหรือ? รีบไปซะ ต่อไปก็อย่าได้กลับมาสร้างความรำคาญให้แก่ข้า…”คำของนางยังไม่ทันสิ้นสุด ดาบเล่มยาวก็ชี้มายังหน้าผากของนาง บีบบังคับให้นางต้องถอยหลังไปไม่หยุด สองมือของนางยกขึ้น มองไปยังแม่ทัพตระกูลเฉินทั้งสิบสองที่เข้ามาจากประตู ด้านหลังนั้น ยังตามมาด้วยประมุขตระกูลเฉินเหล่าไท่จวิน“ท่าน…พวกท่านคิดจะทำอะไร?” ในใจของเซี่ยหว่านเอ๋อร์ตื่นตระหนกขึ้นมา แต่เมื่อคิดถึงเรื่องนั้นว่าไม่มีผู้ใดล่วงรู้ รัชทายาทก็ไม่มีทางเอ่ยออกมา ทันใดนั้นก็เต็มไปด้วยความเชื่อมั่น “พวกท่านบุกรุกที่พักส่วนตัว ข้าสามารถแจ้งทางการจับพวกท่านได้”เฉินไท่จวินใช้เท้าเตะไปยังประตู การกระทำสำเร็จในคราวเดียวโดยไม่รู้สึกถึงความชรา นางเดินมายังเบื้องหน้าของเซี่ยหว่านเอ๋อ สายตาอันเฉียบคมเป็นดั่งลูกธนูอันเย็นชาทั้งสองสาย ที่มาพร้อมกับน้ำแข็ง “รัชทายาทบอกว่า เป็นเจ้าที่ทำร้ายหลิวหลิ่วของพวกเรา อย
หลังจากที่เหล่าไท่จวินกลับมา นางพูดกับจื่ออันว่า “ข้ามีเรื่องต้องบอกเจ้า ข้าไปหาน้องสาวของเจ้า และประเคนมีดแปดเล่มให้กับนางแล้ว นางยังไม่ตาย แต่ในอนาคตคงไม่มีชีวิตที่ดีไปกว่านี้ ใบหน้านางถูกมีดกรีดเข้าไปแปดแผล นางย่อมหาเลี้ยงชีพโดยอาศัยรูปลักษณ์ของตนเองไม่ได้อีกต่อไป”จื่ออันเผยสีหน้าราบเรียบ “ต่อให้ฆ่านางทิ้ง ก็ไม่มากเกินไปหรอก”เฉินไท่จวินเลิกคิ้ว “ฆ่านาง? ไม่ ข้าไม่ต้องการฆ่าใครอีกแล้ว ยิ่งอายุมาก ยิ่งควรใช้ชีวิตอย่างสงบสุข เป็นไปไม่ได้ที่จะปล่อยให้มือเปื้อนเลือด"จื่ออันหัวเราะ แต่ภายในใจนางกลับรู้สึกขมขื่นยิ่ง สำหรับคนทั่วไป การเข่นฆ่าผู้คนอาจเป็นเรื่องธรรมดา ในสนามรบ ไม่ว่าจะตายหรืออยู่ย่อมมีค่าเท่ากัน ทว่าการเข่นฆ่าทำให้นางมีความสุขอย่างแท้จริง และสามารถปลดภาระทางจิตใจได้จริงหรือ? เป็นไปไม่ได้ แม้ว่านางจะแข็งกระด้างเพียงใด แต่ก็ยังมีความรู้สึกผิดชอบชั่วดีเกี่ยวกับการสังหารผู้คน ดังนั้นหลังถอยออกมาจากวังวนนั้นได้แล้ว นางจึงพยายามอย่างที่สุดที่จะไม่ฆ่าใครอีกเพราะฉะนั้น แม้ว่านางจะนึกอยากฆ่าเซี่ยหว่านเอ๋อเพียงใด นางก็ยับยั้งตนเองไว้ ด้วยไม่ต้องการเพิ่มจำนวนการนองเลือดไปมากกว่า
“เช่นนั้นข้าจะกลับไปร่วมพรรคเหยียน!” หลิวเย่ว์กล่าวอย่างสนุกสนาน“ตราบใดที่เจ้าต้องการ” ซ่งรุ่ยหยางเอ่ยเสียงเบา ทว่าดวงตาของเขาสุกสกาวเต็มเปี่ยมไปด้วยความทรงเสน่ห์อี๋เอ๋อร์และอ๋องเหลียงก็ลังเลที่จะจากไปเช่นกัน พวกเขาจับมือกันแน่น พร้อมกับจ้องมองสบตากัน อี๋เอ๋อร์ปลอบโยนเบา ๆ ว่า “อย่ากังวลเลย ข้าจะกลับมาในไม่ช้า”“อืม รักษาตัวด้วย ข้าจะพูดคุยเรื่องการแต่งงานของเรากับเสด็จย่าโดยเร็วที่สุด” อ๋องเหลียงรู้สึกเสียใจมาก เซียวท่าแต่งงานแล้ว แต่เขายังไม่ได้แต่งงานเลย เซียวท่าชิงตัดหน้าไปก่อนแล้วคณะเดินทางของอ๋องเหลียงมุ่งตรงออกจากเมือง อ๋องเหลียงยืนอยู่บนกำแพงเมืองโดยมีมู่หรงเจี๋ยยืนอยู่ด้านข้างเมื่อมองไปยังขบวนที่ค่อย ๆ ไกลออกไปจนหดเล็กลงเรื่อย ๆ มู่หรงเจี๋ยก็โพล่งขึ้นมาว่า “องค์รัชทายาทนั้นดื้อรั้น ข้าเกรงว่ามันอาจไม่ได้ผล เจ้าคิดเห็นว่าอย่างไร?”อ๋องเหลียงเหลือบมองเขา “ข้าจะคิดเห็นอย่างไรได้?”“แต่เจ้ามาจากตระกูลมู่หรง” มู่หรงเจี๋ยขมวดคิ้ว“ท่านเองก็ด้วย!” อ๋องเหลียงตอบโต้“ข้าได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเป็นผู้สำเร็จราชการแทนองค์จักรพรรดิท่ามกลางอันตรายรอบด้าน”“ถึงอย่างไรท่
งานแต่งงานจบลงด้วยความสุขระคนความเศร้า ทางด้านเซียวเซียวก็ยังไม่มีข่าวคราวเซี่ยหลินไปที่ภูเขาน้ำแข็ง เดิมทีบอกว่าจะกลับมาภายในสองวัน ทว่าเขาก็ยังไม่กลับมา เพียงขอให้ชายอ้วนไร้ฟันกลับมาแจ้งว่าเขาจะยังไม่กลับมาในเร็ววันนี้สำหรับสถานการณ์ของเซียวเซียว ชายอ้วนไม่ได้กล่าวถึงจ้วงจ้วงไม่ได้ถามไถ่อะไรเพิ่มเติม และไม่ได้ยืนกรานจะไปหาเซียวเซียวให้ได้ นางรออยู่ที่เมืองหลวงอย่างเงียบ ๆหลังจากผ่านเรื่องราวมาหลายหลาก ภาวะอารมณ์ของจ้วงจ้วงก็สงบลงมาก บางครั้งนางก็ไปที่พระราชวังเพื่อถวายพระพร บางครั้งก็ไปหาหูฮวนสี่และจื่ออัน ทว่าสิ่งที่ทำบ่อยกว่านั้น คือนั่งเงียบ ๆ อยู่แต่ในตำหนักผลการสอบสวนของอ๋องหนานหวายออกมาแล้ว เป็นไปตามที่ทุกคนคาดการณ์ไว้ ข้อสรุปของเขาคือหานชิงชิวเป็นผู้สังหารเหยาจื่อ เป็นผลให้เอกสารหย่าร้างได้รับการเผยแพร่อย่างชอบธรรมในที่สุดป้ายหลุมฝังศพของหานชิงชิวถูกพรากไป คนบาปไม่สมควรมีป้ายหลุมศพ อีกทั้งเวลานี้นางไม่ใช่คนของตระกูลเซียวอีกต่อไปหลายวันต่อมา มู่หรงเจี๋ยเดินทางออกจากตำหนักแต่เช้า กว่าจะกลับมาก็เย็นย่ำ ในขณะที่จื่ออันออกไปที่ตำหนักของอ๋องเหลียง เพื่อรักษาอาการบาดเจ็
ร่างกายของแม่ทัพเฒ่าฉินสั่นสะท้านด้วยความโกรธ “เจ้าสาปแช่งปู่รึ เจ้าเคยคำนึงถึงญาติพี่น้องหรือไม่?”เมื่อหมอหลวงมาถึง กลับไม่มีคนในตระกูลฉินคอยเฝ้าเขาอยู่ในห้อง ดังนั้นจึงมีเพียงแต่บ่าวรับใช้หลังจากตรวจสอบอาการเสร็จ หมอหลวงก็กล่าวด้วยสีหน้าตกตะลึง “ท่านแม่ทัพเฒ่า เมื่อไม่กี่วันมานี้ท่านได้ไปที่ใดมา? แล้วท่านเคยเข้าไปในพื้นที่โรคระบาดหรือไม่?” “ไม่เคย ข้าไม่เคยไปที่นั่น” สีหน้าของแม่ทัพเฒ่าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เมื่อได้ยินคำพูดของหมอหลวง “ท่านกำลังสงสัยว่าข้าติดเชื้อโรคระบาดใช่หรือไม่?”“อาการช่างคล้ายคลึงกันยิ่งนัก” หมอกลวงกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด“เป็นไปไม่ได้!” แม่ทัพเฒ่าฉินรู้สึกตื่นตระหนกอย่างมาก “ท่านวินิจฉัยผิดหรือไม่?”“ข้าจะจัดยาให้ท่านสองชนิดก่อน หากดื่มยาเหล่านี้แล้วไม่ได้ผล เช่นนั้นไม่ใช่ก็ใกล้เคียงแล้วขอรับ” หมอหลวงกล่าวแม่ทัพเฒ่าฉินกล่าวด้วยความลนลาน “ฉินโจวบังคับให้ท่านพูดเช่นนี้ใช่หรือไม่?”หมอหลวงรู้สึกประหลาดใจ “แม่ทัพเฒ่า ท่านหมายความว่าอย่างไร? เหตุใดแม่ทัพฉินถึงต้องบังคับให้ข้าพูดเช่นนี้?”หมอหลวงชะงักไปชั่วครู่หนึ่งแล้วโพล่งถาม “ท่านเคยพูดคุยกับองค์ชายเ
นางสามารถเสียสละได้ แต่จะไม่มีทางทรยศต่อประชาชนเป่ยโม่เด็ดขาดสำหรับความจงรักภักดีต่อองค์จักรพรรดิและประเทศชาติ นางจะต้องรักประชาชนก่อน จึงจะสามารถภักดีต่อองค์จักรพรรดิได้ฉินโจวกล่าวคำเบา “ข้าเข้าไปในพระราชวังเพื่อเชิญหมอหลวงแล้ว ท่านปู่พักผ่อนก่อนเถิด ข้าจะออกไปเดินเล่นรับลมสักหน่อย”ดวงตาของแม่ทัพเฒ่าฉินอัดแน่นด้วยความโกรธ แต่ก็พยายามอย่างหนักเพื่อระงับมันฉินโจวเดินออกจากห้อง และเห็นว่าฉินเป้าน้องชายของตนนั่งอยู่ที่สวน เมื่อเห็นนางเดินออกมา เขาก็ถามว่า “ท่านปู่เป็นอย่างไรบ้าง?”ฉินโจวจำคำพูดของท่านปู่ได้อย่างแม่นยำ จึงเมินเฉยต่อเขาและตอบอย่างใจเย็น “เข้าไปดูด้วยตนเองสิ”ฉินเป้าคลี่ยิ้ม แต่มันกลับดูอ้างว้างอย่างยิ่ง “ข้าได้ยินสิ่งที่ท่านปู่พูดกับท่านแล้ว ข้าไม่อยากเข้าไป”ฉินโจวตกตะลึง “เพราะเหตุใด เขาทุ่มเทความพยายามทั้งหมดไปกับหารวางแผนเพื่อเจ้า เจ้าควรขอบคุณท่านปู่สิ”ฉินเป้าหัวเราะเยาะ “จริงรึ? หากเขาทอดทิ้งท่านเพื่อตระกูลได้ ในอนาคตเขาจะไม่ทอดทิ้งข้าหรือ? ข้าไม่ต้องการชื่อเสียงหรือความดีงามใด ๆ พวกมันไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการเลย”ฉินโจวดูถูกน้องชายมาโดยตลอด เพราะเขาไม่ได
ทั้งสองคนเดินออกไปและหยุดอยู่บนทางเดิน หมอมองฉินโจวพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “ท่านแม่ทัพ ข้ากำลังสงสัยว่าท่านแม่ทัพเฒ่าจะป่วยด้วยโรคระบาดขอรับ”ฉินโจวตกตะลึง “โรคระบาด? เป็นไปได้อย่างไร? ปู่ของข้าไม่เคยออกไปข้างนอก และไม่เคยติดต่อกับผู้ป่วยโรคนี้เลย แล้วเขาจะติดเชื้อโรคระบาดได้อย่างไร?”“ข้าเคยรักษาผู้ป่วยโรคระบาดมาก่อน ซึ่งอาการคล้ายคลึงกันอย่างมาก ผู้ป่วยจะมีไข้สูง ไอ ตาแดง หายใจเร็วขึ้น เมื่อเกิดอาการเหล่านี้พร้อมกันจะอันตรายอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นโรคนี้ยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาดขอรับ” หมอกล่าว“เป็นไปไม่ได้ หากจะติดเชื้อโรคระบาดก็ต้องสัมผัสกับผู้ป่วยที่มีเชื้ออยู่แล้ว แต่ท่านปู่ของข้าไม่เคยใกล้ชิดคนเหล่านั้นเลย แล้วเขาจะติดเชื้อได้อย่างไร?” ฉินโจวยังคงไม่เชื่อหมอประสานหมัด “ทั้งหมดนี้คือคำวินิจฉัยของข้า หากท่านแม่ทัพไม่เชื่อ ก็สามารถขอให้หมอคนอื่นมาตรวจดูได้ หรือท่านจะพาเขาไปที่พระราชวัง และขอให้หมอหลวงช่วยตรวจอาการ ข้าไร้ความสามารถ จึงอาจวินิจฉัยผิดพลาดได้ ลาก่อนขอรับ ๆ!”สิ้นคำ หมอก็หยิบกล่องยาแล้วออกไปโดยไม่เขียนใบสั่งยาด้วยซ้ำฉินโจวสับสนไม่น้อย ท่านปู่ติดเชื้อโร
หัวใจของฉินโจวเย็นเยียบราวกับน้ำ “ใช่ ตราบใดที่ข้าตายในสนามรบ ตระกูลฉินก็ยังจะเป็นผู้กล้า และเป็นขุนนางผู้มีเกียรติ”แม่ทัพเฒ่าฉินเงียบไปครู่ใหญ่ จากนั้นกล่าวคำเบา “ในฐานะหลานสาวตระกูลฉิน มันเป็นหน้าที่ของเจ้าที่ต้องเสียสละเพื่อชื่อเสียง และรากฐานของตระกูล”ฉินโจวกำหมัดแน่นด้วยความไม่พอใจ “หลายปีที่ผ่านมานี้ ข้ายังทำไม่พออีกหรือ? ตอนนี้มีใครในตระกูลฉินบ้างที่ไม่เกาะกินเลือดนี้ของข้า?”แม่ทัพเฒ่าฉินลุกยืนขึ้นพลางกล่าวอย่างเย็นชา “ข้าเคยเตือนเจ้าแล้ว คราวนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เจ้าจะต้องเข้าไปในพระราชวัง ข้าให้คำมั่นกับฮองเฮาเฉาแล้ว ว่าวันนี้เจ้าจะไปที่นั่นเพื่อทูลขอรับคำสั่ง หากเจ้าไม่ไป ข้าก็จะรับคำสั่งและออกรบด้วยตนเอง”“ท่าน...” ฉินโจวมองเขาด้วยสายตาโศกเศร้า “ท่านปู่ ข้าก็เป็นหลานสาวของท่านเหมือนกัน ท่านไม่สงสารข้าบ้างหรือ?”“ปู่สงสารเจ้าสิ แต่ภารกิจหน้าที่ของตระกูลฉินจะต้องถูกส่งต่อ ตอนนี้น้องชายของเจ้าโตพอแล้ว เจ้าจะต้องพาเขาไปสร้างความสำเร็จทางการทหารด้วย และเจ้าจะได้รับส่วนแบ่งของน้องเจ้า เมื่อถึงเวลานั้น ตระกูลฉินก็จะได้ผู้สืบทอดคนใหม่”ฉินโจวผงะไปชั่วครู่ ก่อนระเบิดหัวเราะ
เมื่อได้ยินคำพูดของฉินโจว แม่ทัพเฒ่าฉินก็โมโหมากจนเคราสั่นสะท้าน “อาโจว อะไรจะสำคัญไปกว่าการบรรลุเป้าหมายอันยิ่งใหญ่? องค์จักรพรรดิเพียงต้องการขยายอาณาเขตของแคว้น เจ้าควรรู้เอาไว้ว่าเมื่อเรายึดครองต้าโจวสำเร็จ เป่ยโม่จะมีพื้นที่เพิ่มมากกว่าครึ่งหนึ่ง และมันจะเป็นความดีความชอบของตระกูลฉิน ทำให้ตระกูลของเราถูกจดจำไปหลายชั่วอายุคน! นี่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าต้องการมาตลอดรึ? เจ้าไม่ต้องการบอกคนทั้งโลก ว่าแม้ฉินโจวจะเป็นสตรี แต่นางก็สามารถประสบความสำเร็จได้อย่างผ่าเผยหรือ?”ฉินโจวมองดูใบหน้าที่ฉายแววตื่นเต้นปนโกรธเกรี้ยวของปู่ ทันใดนั้นนางก็สัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติถูกต้อง มันคือความต้องการของนาง แต่ความสำเร็จของนางจะต้องไม่แลกกับการเหยียบย่ำกระดูกของประชาชนชาวเป่ยโม่นางรักเป่ยโม่และหวังที่จะขยายอาณาเขตของแคว้น นอกจากนี้นางยังต้องการเสาะหาดินแดนอุดมสมบูรณ์เพื่อประชาชน เพราะหวังว่าพวกเขาจะสามารถอยู่อาศัยและทำกินอย่างสงบสุข และพึงพอใจโดยไม่ต้องทนทุกข์จากการพลัดถิ่นอย่างไรก็ตาม ในตอนนี้หากต้องการบรรลุอำนาจ นางจำต้องสละชีวิตประชาชนจำนวนมาก และนำเงินภาษีของทุกคนมาใช้ในการทำสงคราม ทำให้โรคร
มือสังหารเหล่านั้นแต่งกายคล้ายกับชาวต้าโจวและสวมหน้ากากผ้าสีดำ กลุ่มคนนิรนามราวเจ็ดถึงแปดคนกระโดดลงมาจากท้องฟ้ากลางวันแสก ๆ ทันทีที่เท้าของคนเหล่านั้นแตะพื้น พวกมันก็เริ่มโจมตีอย่างดุดันฉินโจวเห็นมือสังหารคนหนึ่งกระโดดขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกับกระบี่ยาว จากนั้นร่ายรำอยู่หลายกระบวนท่าราวกับนางฟ้าโปรยดอกไม้ ขณะแสงแดดตกกระทบกระบี่ส่องกระจายไปทั่วเหล่าทหารที่เพิ่งมาถึงกระโจนเข้าไปร่วมวงต่อสู้อย่างรวดเร็วหลังจากประดาบกันไปกว่าร้อยครั้ง มือสังหารก็ถูกบีบบังคับให้ล่าถอย ฉินโจวจ่อกระบี่ไปที่คอของหนึ่งในมือสังหาร พลางถามเสียงเข้ม “ตอบข้า ใครเป็นคนส่งเจ้ามา?”มือสังหารตอบอย่างเย็นชา “ฆ่าไอ้หมารับใช้เป่ยโม่ให้หมด!”“หมารับใช้เป่ยโม่? เห็นได้ชัดว่าพวกเจ้าไม่ได้เป็นคนเป่ยโม่ พวกเจ้ามาจากต้าโจวใช่หรือไม่?” ฉินโจวโมโหอย่างมาก ขณะชี้ดาบไปยังหน้าอกของอีกฝ่าย “ไอ้เลวมู่หรงเจี๋ยส่งพวกเจ้ามาใช่หรือไม่?”“หญิงเลวอย่าเจ้ากล้าเอ่ยชื่อของท่านอ๋อง ทำให้พระองค์มัวหมองได้อย่างไร?” มือสังหารตะโกนฉินโจวชักดาบกลับพร้อมกล่าวอย่างเย็นชา “กลับไปซะ!”มือสังหารตกตะลึง ราวกับไม่คาดคิดว่าฉินโจวจะปล่อยตัวเขาไป”เ
ฉินโจวกล่าวด้วยความโมโห “ข้าหลอกลวงเจ้าเมื่อไร?”“ไม่งั้นรึ? เจ้าและอ๋องฉีเอ่ยปากว่า หากจื่ออันตกลงเดินทางมาที่เป่ยโม่ พวกเจ้าจะส่งองค์ชายรัชทายาทไปที่ต้าโจวเป็นองค์ประกัน แล้วพวกเจ้าทำตามที่พูดแล้วหรือไม่?”“องค์ชายรัชทายาทเดินทางไปยังต้าโจวแล้ว!”“ผู้ที่เดินทางไปยังต้าโจวคือองค์ชายเจ็ด ไม่ใช่องค์ชายรัชทายาท องค์ชายเจ็ดไม่ได้เป็นที่โปรดปราน ดังนั้นจักรพรรดิเป่ยโม่จะส่งเขาไปสังเวยเมื่อใดก็ได้”“เป็นไปไม่ได้!” ฉินโจวประหลาดใจอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าผู้ที่เดินทางไปคือองค์ชายรัชทายาท เพราะองค์จักรพรรดิทรงตรัสด้วยตนเองว่าจะส่งเขาไปที่ต้าโจว“เจ้าอย่าเพิ่งสนใจเรื่องนี้เลย ก่อนหน้านี้ทั้งสองแคว้นตกลงทำสนธิสัญญาสงบศึก หลังจากการแพร่ระบาดสิ้นสุดลง แต่เจ้ากลับวางแผนโจมตีพวกเราในขณะที่ข้ายังอยู่ที่เป่ยโม่ เจ้าจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร?” มู่หรงเจี๋ยกล่าวอย่างเคร่งเครียดฉินโจวตอบ “ผิดแล้ว เป็นเพราะต้าโจวที่เคลื่อนทัพโจมตีทหารฝั่งขวาของเราก่อน และสังหารทหารของเราไปกว่าร้อยคน ข้าจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากเคลื่อนทัพเข้าไปใกล้ เพื่อบีบบังคับให้พวกเจ้าถอยกลับ”“ไร้สาระ กองทัพของเราหยุดเคลื่อนท
อย่างไรก็ตาม การจัดหาเสบียงอาหารสำหรับพื้นที่ภัยพิบัติยังไม่เพียงพอ และยังขาดแคลนเสื้อผ้าอาภรณ์ นอกจากนี้หลังจากที่พระชายาผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มาถึงเป่ยโม่ ก็ยังไม่ได้รับใบสั่งยาแม้แต่ฉบับเดียว ดังนั้นความอดทนของประชาชนจึงค่อย ๆ หมดลง แต่ความโกรธและความขุ่นเคืองกลับยิ่งมากขึ้นทันทีที่ข่าวลือแพร่สะพัด ก็เป็นเสมือนเป็นการขว้างเปลวไฟใส่ ‘ระเบิด’ หนึ่งหมื่นตุน ทำให้มันระเบิดออกอย่างรวดเร็วผู้ประสบภัยนับไม่ถ้วนหลั่งไหลเข้าสู่เมืองหลวงอย่างรวดเร็วหลังจากที่ฉินโจวลงจากภูเขา นางก็พบว่าองค์จักรพรรดิทำอะไรกับทหารม้า และทหารเจ็ดหมื่นนายที่ประจำการที่เมืองหลวง ซึ่งเขาออกคำสั่งให้ทหารเหล่านั้นขับไล่เหล่าผู้ประสบภัยออกไปนางเห็นด้วยตาตนเองว่าทหารใต้บังคับบัญชาของนางสร้างกำแพงมนุษย์อันแน่นหนา เมื่อผู้ประสภัยเดินทางเข้ามา พวกเขาก็จะโบกหอกเพื่อขับไล่คนเหล่านั้นออกไปผู้ประสบภัยมากกว่าสิบรายได้รับบาดเจ็บจากหอกทหารเหล่านั้นอยู่ใต้บังคับบัญชาของนาง แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะไม่ได้ฆ่าผู้ใด แต่เมื่อสถานการณ์รุนแรงขึ้นจะต้องมีการฆ่าแกงกันอย่างแน่นอนฉินโจวโกรธจัดจึงขี่ม้าเข้าไปขวางเอาไว้ “หยุด หยุดเ
ฉินโจวกวาดสายตามองพลางเยาะเย้ยจื่ออันไม่สนใจนาง และพาหลินตานไปยังเขตตะวันตกภายในสองวันนี้มีผู้เสียชีวิตถึงสามคน ซึ่งทั้งหมดถูกหามออกไปหลังจากที่หลินตามเดินเข้ามาเขาหลั่งน้ำตาหลั่งน้ำตาขณะมองดูการเผาศพจื่ออันไม่คิดว่าเขาจะมีความอ่อนไหวมากเพียงนี้ “ท่านหมอหลิน ท่านเป็นอะไรหรือไม่?”หลินตานปาดน้ำตา “ข้าขอโทษ ข้าเพียง... คิดถึงครอบครัวขอรับ”“ครอบครัวของท่าน? แล้วตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ใดหรือ?” จื่ออันถาม“ตายหมดแล้วขอรับ ภรรยาและลูกสะใภ้ของข้าตายเพราะเหตุแผ่นดินไหวทั้งคู่ ส่วนลูกชายและหลานชายติดเชื้อโรคระบาดก่อนตายไปเช่นกัน ข้าจึงเป็นคนเดียวที่เหลือรอด” หลินตานสูดหายใจเข้าลึก ใบหน้าที่อยู่ภายใต้ผมสีขาวฉายแววความเศร้าโศกและหดหู่จื่ออันไม่คาดคิดว่าเขาจะมาจากพื้นที่โรคระบาดเช่นกัน เมื่อเห็นสีหน้าเศร้าสร้อย จื่ออันก็ไม่รู้จะปลอบใจเขาเช่นไร จึงได้แต่นิ่งเงียบและอยู่เคียงข้างไม่นานหลินตานก็ถามว่า “ท่านหมอเซี่ย โรคระบาดนี้สามารถรักษาหายได้จริงหรือขอรับ?”ตอนนั้นเองจื่ออันก็นึกได้ว่าเขาเป็นหมอเท้าเปล่า และหลังจากเดินทางพเนจรไปที่ต่าง ๆ เขาอาจรู้จักจินเย่าฉือก็เป็นได้ ดังนั้นจึงรีบถามว