ท่านโหวเซียวเองก็ไม่ได้ห้ามเซียวท่าพูดคุยกับองค์หญิง มีคนพูดคุยด้วยอย่างไรแล้วก็ดีกว่านิ่งเงียบ ทว่าเซียวท่าเองก็ไม่อาจเอ่ยต่อไปได้ เพราะว่าจ้วงจ้วงไม่ได้เอ่ยตอบกลับด้วย ราวกับว่านางเพียงต้องการมานั่งพักชั่วครู่เท่านั้น ท่านโหวเซียวเริ่มนั่งไม่ติดแล้ว เอ่ยออกไปกับเซียวท่า “เจ้าออกไปก่อน ปู่มีเรื่องจะพูดกับองค์หญิงสักสองสามคำ” เซียวท่าเหลือบมองไปยังจ้วงจ้วง ไม่อยากจะออกไปแม้แต่น้อย ทว่าก็เชื่อว่าองต์หญิงคงจะไม่มีเจตนาร้ายใด จึงเอ่ยออกมา “เช่นนั้นก็ได้ ข้าจะออกไปอยู่ด้านนอกนี่เอง” ฉินจือและฉยงหวาเองก็ออกไปพร้อมกัน ในมือของจ้วงจ้วงถือถ้วยชาเอาไว้ถ้วยหนึ่ง ไม่ได้ดื่มลงไป เพียงแต่จ้องมองฟองชาในถ้วยนั้นอย่างเงียบ ๆ “องค์หญิง!” ท่านโหวเซียวส่งเสียงเรียกออกมา จ้วงจ้วงจึงเงยหน้าขึ้นมองเขา ท่านโหวเซียวมองไปยังใบหน้าที่ซูบบางนั้น และเพราะว่าความผอมบางนั้นทำให้ดวงตานั้นดูโตขึ้นอย่างเห็นได้ชัด “องค์หญิง ท่านกำลังตำหนิกระหม่อมอยู่ใช่หรือไม่?” จ้วงจ้วงตะลึงไปชั่วครู่ “จะได้อย่างไรกัน?” “คนจริงไม่พูดโกหก องค์หญิงโกรธแค้นกระหม่อม กระหม่อมก็เข้าใจดี” ท่านโหวเซียวเอ่ยออกมา จ้วงจ้วงส่า
หนี่หรงกลับมาแจ้งแก่มู่หรงเจี๋ยว่าตามหาหญิงสาวคนนั้นที่เหลียงซู่หลินชอบจนพบแล้ว ถูกขังเอาไว้ในเรือนพักด้านนอกเมือง มีคนคอยคุ้มกันอยู่ “ท่านอ๋องจะต้องพาตัวนางไปหรือไม่?” หนี่หรงเอ่ยถาม มู่หรงเจี๋ยกลับไม่ร้อนรน “ตรวจสอบเบื้องหลังของนางก่อน และยังตรวจสอบว่านางและเหลียงซู่หลินรู้จัก และผ่านอะไรกันมาบ้าง” “นางเป็นแม่นางจากหอชุนเซียง คงเป็นตอนที่เหลียงซู่หลินไปยังหอชุนเซียงเลยได้รู้จักกันกระมัง?” หนี่หรงคาดการณ์ “เหลียงซู่หลินไม่ใช่คนที่ชอบไปสถานที่เช่นนั้น” มู่หรงเจี๋ยเอ่ยออกไปอย่างเรียบเฉย “ก็ถูก” หนี่หรงคิดถึงคนอย่างเหลียงซู่หลิน ก็เป็นคนที่ปฏิบัติตามกฎหมาย สถานที่เปื้อนฝุ่นเช่นนี้เขาไม่มีทางไป “ท่านสงสัยว่าจื่อเวยผู้นี้เข้าใกล้เหลียงซู่หลินเพราะว่ามีจุดประสงค์แอบแฝงอย่างนั้นหรือ?” “จะมีอะไรที่แปลกประหลาดกัน?” มู่หรงเจี๋ยใช้มือเคาะลงไปบนโต๊ะ “เจ้าไปตรวจสอบก่อน หากว่ามีคนคอยลอบบงการนางอยู่เบื้องหลังแล้ว ก็ตรวจสอบให้ชัดเจนว่าใครเป็นคนที่บงการนางเอาไว้” หนี่หรงคิดจะเอ่ยออกมาว่า เรื่องนี้ยังจะต้องตรวจสอบอีกหรือ? หากว่านางจงใจที่จะเข้าใกล้เหลียงซู่หลินแล้วจริง ๆ เช่นนั้น คนเบื้อง
เซียวท่าเอ่ย “วันนี้ข้าเข้าวังมาแต่เช้า ยังไม่ได้พบกับหลิวหลิ่ว หรือว่านางจะออกไปหาข้าแล้วไม่พบข้าก็เลยกลับไป?” “ยังไม่กลับมา วันนี้ออกไปตั้งแต่เที่ยง จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่กลับมา” เฉินหลงเอ่ย “เช่นนั้นจะไปจวนองค์หญิงหรือไม่? หรือว่าจะไปทางด้านของโหรวเหย๋า?” เซียวท่าเอ่ย จื่ออันค่อนข้างจะไม่วางใจ เอ่ยออกมา “เจ้าก็ออกไปตามหาเถิด” ด้วยเหตุนี้ทหารจึงแบ่งออกเป็นสามทาง แบ่งไปยังจวนองค์หญิง จวนอ๋องเหลียง และร้านติ้งเฟิง ท้ายที่สุดแล้วยังไปหาโหรวเหย๋า ต่างก็บอกว่าไม่พบหลิวหลิ่วเข้ามา คราวนี้ทุกคนพากันร้อนรนขึ้นแล้ว มู่หรงเจี๋ยเคลื่อนย้ายทหารลาดตระเวนออกไปตามหา เฉินไท่จวินร้อนรนเป็นอย่างมาก ทันใดนั้นนางก็นึกขึ้นมาได้ว่าวันเกิดของหลิวหลิ่วใกล้เข้ามาแล้ว วันเกิดครบรอบอายุสิบเก้าปี ในใจของนางตื่นตระหนกเป็นอย่างยิ่ง ให้ทุกคนในตระกูลเฉินออกไปตามหา ช่วงประมาณยามค่ำ ในที่สุดก็ได้ยินคนรับใช้รีบร้อนเข้ามารายงาน “ไท่จวิน คุณหนูกลับมาแล้ว” “เจ้าเด็กคนนี้ ดูสิว่าข้าจะไม่หักขานางหรือ!” เฉินไท่จวินลุกกระโดดขึ้น ก่อนจะก้าวเดิมไปอย่างรวดเร็ว กลับมองเห็นเฉินหลิวหลิ่วที่แบกกลับมา ทั่วทั้งกายนาง
กล้ารังแกมาถึงตระกูลเฉิน ช่างกล้าหาญโดยแท้ ตระกูลเฉินนั้นมีชื่อเสียงเป็นอย่างมากในเมืองหลวง ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่เพียงตระกูลเดียว สองสามีภรรยาเฉินไท่จวินเองก็ไม่ใช่ลูกศิษย์ตระกูลดัง ทว่าพวกเขาทั้งคู่ล้วนแต่มาจากสนามรบอันดุเดือด รักษาแว่นแคว้น เฉินไท่จวินเป็นแม่ทัพหญิงที่มีชื่อเสียง ได้รับคำสั่งให้ออกรบต่อสู้ครั้งใหญ่มาหลายครั้ง ล้วนแต่นำชัยชนะกลับสู่ราชสำนัก ตอนนี้นางออกมาแล้ว ทว่ามีนางอยู่วันหนึ่ง ในใจของราษฎรต่างก็รู้สึกได้ถึงความมั่นคง นางเป็นเหมือนดั่งแม่ทัพจากเขาไท่ซาน เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะเป็นองค์จักรพรรดิหรือกองกำลังบางส่วนในราชสำนัก ต่างก็ไม่แตะต้องนางโดยง่าย ประการแรก เฉินไท่จวินนั้นแข็งแกร่งยิ่งนัก ในมือมีแม่ทัพทั้งสิบสองที่วรยุทธ์เป็นเลิศ ไม่อาจล่วงเกินได้โดยง่าย อีกทั้งตระกูลเฉินในกองทัพนั้นมีอิทธิพลเป็นอย่างมาก ตระกูลเฉินเกิดเรื่องขึ้น ถือได้ว่าเป็นเรื่องใหญ่จริง ๆ อาการบาดเจ็บของหลิวหลิ่วนั้นสาหัสมาก ปัญหาที่ร้ายแรงที่สุดนั้นคือเสียเลือดมากจนเกินไป การฝังเข็มปิดผนึกนั้นสามารถทำได้ กระตุ้นไขกระดูกให้สร้างเลือดออกมาก็ทำได้ ทว่าไม่มีประโยชน์อะไรมากนัก ทำได้เพีย
ใบหน้าของหลิวหลิ่วเกิดเป็นผื่นแดงขึ้นมา เช่นเดียวกับที่แขนและข้อมือเองก็มี นี่เป็นอาการแพ้จากการถ่ายเลือด ทำให้จื่ออันเป็นกังวลอย่างมาก นางจ่ายใบสั่งยาแก้แพ้ให้คนนำไปไปต้ม ยาจีนมักจะได้ผลช้ากับอาการแพ้เสมอ แต่ทว่าก็ไม่มีวิธีการอื่นใดแล้ว โชคดีที่นอกเหนือจากผื่นแดงแล้ว ก็ไม่มีปฏิกิริยาอื่นใดอีก ทำให้ใจของจื่ออันผ่อนคลายลงมาก หลังจากที่สังเกตมากว่าหนึ่งชั่วยาม ก็ไม่มีอาการต่อต้านใดอีก จื่ออันถอนหายใจออกมาได้อย่างเป็นทางการ “เลือดถูกต้องแล้ว” ร่วมวินิจฉัยรักษาร่วมกันกับจื่ออัน ยังมีหมอหลวงหยวนพ่านที่มู่หรงเจี๋ยเรียกตัวมาจากวังหลวง เขารับผิดชอบจัดการบาดแผล สำหรับเรื่องการถ่ายเลือดนั้นไม่รู้อะไรมากนัก ทว่าเขาเห็นเทคนิคการถ่ายเลือดนี้แล้ว เมื่อเห็นวิธีการที่จื่ออันช่วยชีวิตหลิวหลิ่วแล้วก็ตื่นตกใจเป็นอย่างยิ่ง สีหน้าของหลิวหลิ่วเองก็ไม่ได้ซีดขาวแล้ว แน่นอนว่ายังคงซีดขาว อย่างน้อยก็ยังดูดีกว่าในตอนที่เพิ่งจะส่งกลับมากว่ามาก อาการบาดเจ็บภายนอกของหลิวหลิ่วล้วนแต่จัดการเรียบร้อยแล้ว หยวนพ่านเอ่ย “ที่สาหัสที่สุดคืออาการบาดเจ็บตรงส่วนขาสองดาบนั้น เข้าถึงกระดูก เกรงว่าดีขึ้นมาแล้วก็คงจ
เฉินหลิงหลงเมื่อพบกับจื่ออันเข้าอีกครั้ง ก็ดูค่อนข้างจะไม่เป็นธรรมชาตินัก ทว่าเพียงแค่ชั่วครู่เท่านั้น ชีวิตช่างยากลำบากยิ่งนัก นางไม่คิดว่าตอนนี้จะสามารถเอ่ยถึงเรื่องศักดิ์ศรีอะไรออกมาได้ “เฉินหลิงหลง เจ้าพบหลิวหลิ่วได้อย่างไร?” มู่หรงเจี๋ยเอ่ยถาม เฉินหลิงหลงเอ่ย “ท่านอ๋อง คุณหนูใหญ่ตระกูลเฉินมามาสลบลงไปต่อหน้าประตูเรือนของพวกเรา ในยามค่ำ หม่อมฉันออกไปปิดประตูเรือน มองเห็นคนผู้หนึ่งที่นอนอยู่ตรงหน้าประตู เมื่อนำโคมไฟออกไปส่องดู ถึงได้รู้ว่าเป็นคุณหนูใหญ่ตระกูลเฉิน ก็เลยรีบไปเคาะประตูเพื่อนบ้านให้ชายหนุ่มแข็งแรงช่วยกันหามนางกลับมา” “เช่นนั้น ก่อนหน้านั้นเจ้าได้ยินเสียงอะไรแปลกประหลาดดังขึ้นบ้างหรือไม่?” มู่หรงเจี๋ยเอ่ยถามอีกครั้ง เฉินหลิงหลงส่ายศีรษะ “ไม่ได้ยิน” หนี่หรงเอ่ย “ท่านอ๋อง สอบถามจากเพื่อนบ้านใกล้เคียงแล้ว ต่างก็บอกกันว่าไม่ได้ยินเสียงอะไร” นี่ก็เป็นการพิสูจน์ความจริงได้ว่า หลิวหลิ่วไม่เคยร้องขอความช่วยเหลือ กระทั่งไม่ส่งเสียงออกมาก่อน เช่นนั้นก็คือถูกคนทำให้เป็นลมสลบไป ที่ให้เฉินหลิงหลงมานั้น มู่หรงเจี๋ยต้องการจะมองว่านางโกหกหรือไม่ เห็นได้ชัดว่าไม่ เมื่อไล่เ
“นี่หมายความว่าตระกูลเซียวจะเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วหรือ?” จื่ออันเอ่ยถาม ใบหน้าของมู่หรงเจี๋ยดูมืดมน “ตำแหน่งของตระกูลเซียวในตอนนี้ก็คือยืนอยู่ข้างข้า หากว่าข้าคาดการณ์ไม่ผิดแล้วล่ะก็ จุดประสงค์ที่ทำร้ายหลิวหลิ่วก็คือข้า” “ที่ท่านสงสัยเอาไว้คือใคร?” จื่ออันรู้สึกว่าเอ่ยถามเช่นนี้ออกจะโหดร้ายจนเกินไป ทางด้านของราชครูเหลียงคงจะไม่กล้าลงมือเป็นการชั่วคราว เพราะว่าฮองเอาถูกปลด เหลือก็เพียงแต่กุ้ยไท่เฟย มู่หรงเจี๋ยมองยังนาง “เจ้าคิดว่าอย่างไร?” จื่ออันกอดเขาเอาไว้เบา ๆ “ไม่ว่าจะเป็นใคร ตรวจสอบพบก็อย่าได้พยายามหนี” มู่หรงเจี๋ยนั้นไม่เหมือนกันกับนาง สำหรับเซี่ยหวายจุนนั้น นางหลงเหลือก็เพียงแต่ความรู้สึกของเจ้าของร่างเดิมเท่านั้น ทว่ามู่หรงเจี๋ยนั้นไม่ใช่ ตลอดเส้นทางจนเติบโตมานั้น เขาเต็มไปด้วยความรักที่มีต่อกุ้ยไท่เฟย เพราะฉะนั้น เขาจึงได้สร้างเรือนเอาไว้ริบทะเลสาบให้กับกุ้ยไท่เฟย ให้นางได้พักผ่อนยามบั้นปลายของชีวิต เพราะเขาคิดว่านี่เป็นสิ่งที่กุ้ยไท่เฟยคิดต้องการ ดูเหมือนว่าเขาไม่ได้หลบหนี ทว่าอันที่จริงแล้วกำลังหลบหนีอยู่ตลอดเวลาโดยที่ไม่รู้ตัว เขาเมินเฉยต่อกุ้ยไท่เฟย ใช้เพียงควา
เพราะเหตุนี้ พวกเขาจึงได้ซ่อนตัวของเฉินหลิวหลิ่วเอาไว้ตรงมุมของทางเดิน รอเมื่อเฉินหลิงหลงกลับมาแล้วเข้าเรือนไปแล้ว ถึงได้ให้คนฟันหลิวหลิ่วเข้าหลังจากที่ฟันแล้ว เซี่ยหว่านเอ๋อก็กลับมาจากด้านนอกเรือน แล้วจงใจบอกกับเฉินหลิงหลงว่าลืมที่จะปิดประตู ให้นางออกไปปิดประตูเพราะเหตุนี้ เฉินหลิงหลงจึงไม่ได้โกหก ส่วนเหล่าไท่จวินในตอนนั้นเป็นเพราะว่าเป็นกังวลกับหลิวหลิ่ว เพราะฉะนั้นจึงมองเพียงเฉินหลิงหลง นางคิดว่าหากเรื่องนี้เป็นพวกนางสองแม่ลูกที่เป็นคนทำ เฉินหลิงหลงจะต้องเป็นคนบงการหลังจากที่ได้ยินคำตอบของเฉินหลิงหลงอย่างไร้ข้อบกพร่อง อีกทั้งพวกนางสองแม่ลูกเองก็ไม่มีทางทำร้ายหลิวหลิ่วได้ ถึงได้จัดการพวกนางแม่ลูกออกไปให้อยู่ด้านนอกและเพราะการจัดการนี้ ทำให้มู่หรงเจี๋ยและหูฮวนสี่ตัดสินใจผิดพลาดไปหนี่หรงนำคนออกไปตรวจสอบต่อไป สอบถามจากคนเฝ้ายามในคืนนั้น บอกว่ามองเห็นรถของอ๋องหนานหวายเข้าเมืองมา และก็เป็นถนนทางตะวันออกที่หลิวหลิ่วเกิดเรื่องขึ้นพอดิบพอดีมู่หรงเจี๋ยได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงกับทางด้านของประตูเมือง เป็นในตอนที่อ๋องหนานหวายกลับเมืองหลวงมาจริง ๆ โดยที่ไม่มีข่าวคราวใด เพียงแต่นำคนกลับเม
ร่างกายของแม่ทัพเฒ่าฉินสั่นสะท้านด้วยความโกรธ “เจ้าสาปแช่งปู่รึ เจ้าเคยคำนึงถึงญาติพี่น้องหรือไม่?”เมื่อหมอหลวงมาถึง กลับไม่มีคนในตระกูลฉินคอยเฝ้าเขาอยู่ในห้อง ดังนั้นจึงมีเพียงแต่บ่าวรับใช้หลังจากตรวจสอบอาการเสร็จ หมอหลวงก็กล่าวด้วยสีหน้าตกตะลึง “ท่านแม่ทัพเฒ่า เมื่อไม่กี่วันมานี้ท่านได้ไปที่ใดมา? แล้วท่านเคยเข้าไปในพื้นที่โรคระบาดหรือไม่?” “ไม่เคย ข้าไม่เคยไปที่นั่น” สีหน้าของแม่ทัพเฒ่าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เมื่อได้ยินคำพูดของหมอหลวง “ท่านกำลังสงสัยว่าข้าติดเชื้อโรคระบาดใช่หรือไม่?”“อาการช่างคล้ายคลึงกันยิ่งนัก” หมอกลวงกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด“เป็นไปไม่ได้!” แม่ทัพเฒ่าฉินรู้สึกตื่นตระหนกอย่างมาก “ท่านวินิจฉัยผิดหรือไม่?”“ข้าจะจัดยาให้ท่านสองชนิดก่อน หากดื่มยาเหล่านี้แล้วไม่ได้ผล เช่นนั้นไม่ใช่ก็ใกล้เคียงแล้วขอรับ” หมอหลวงกล่าวแม่ทัพเฒ่าฉินกล่าวด้วยความลนลาน “ฉินโจวบังคับให้ท่านพูดเช่นนี้ใช่หรือไม่?”หมอหลวงรู้สึกประหลาดใจ “แม่ทัพเฒ่า ท่านหมายความว่าอย่างไร? เหตุใดแม่ทัพฉินถึงต้องบังคับให้ข้าพูดเช่นนี้?”หมอหลวงชะงักไปชั่วครู่หนึ่งแล้วโพล่งถาม “ท่านเคยพูดคุยกับองค์ชายเ
นางสามารถเสียสละได้ แต่จะไม่มีทางทรยศต่อประชาชนเป่ยโม่เด็ดขาดสำหรับความจงรักภักดีต่อองค์จักรพรรดิและประเทศชาติ นางจะต้องรักประชาชนก่อน จึงจะสามารถภักดีต่อองค์จักรพรรดิได้ฉินโจวกล่าวคำเบา “ข้าเข้าไปในพระราชวังเพื่อเชิญหมอหลวงแล้ว ท่านปู่พักผ่อนก่อนเถิด ข้าจะออกไปเดินเล่นรับลมสักหน่อย”ดวงตาของแม่ทัพเฒ่าฉินอัดแน่นด้วยความโกรธ แต่ก็พยายามอย่างหนักเพื่อระงับมันฉินโจวเดินออกจากห้อง และเห็นว่าฉินเป้าน้องชายของตนนั่งอยู่ที่สวน เมื่อเห็นนางเดินออกมา เขาก็ถามว่า “ท่านปู่เป็นอย่างไรบ้าง?”ฉินโจวจำคำพูดของท่านปู่ได้อย่างแม่นยำ จึงเมินเฉยต่อเขาและตอบอย่างใจเย็น “เข้าไปดูด้วยตนเองสิ”ฉินเป้าคลี่ยิ้ม แต่มันกลับดูอ้างว้างอย่างยิ่ง “ข้าได้ยินสิ่งที่ท่านปู่พูดกับท่านแล้ว ข้าไม่อยากเข้าไป”ฉินโจวตกตะลึง “เพราะเหตุใด เขาทุ่มเทความพยายามทั้งหมดไปกับหารวางแผนเพื่อเจ้า เจ้าควรขอบคุณท่านปู่สิ”ฉินเป้าหัวเราะเยาะ “จริงรึ? หากเขาทอดทิ้งท่านเพื่อตระกูลได้ ในอนาคตเขาจะไม่ทอดทิ้งข้าหรือ? ข้าไม่ต้องการชื่อเสียงหรือความดีงามใด ๆ พวกมันไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการเลย”ฉินโจวดูถูกน้องชายมาโดยตลอด เพราะเขาไม่ได
ทั้งสองคนเดินออกไปและหยุดอยู่บนทางเดิน หมอมองฉินโจวพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “ท่านแม่ทัพ ข้ากำลังสงสัยว่าท่านแม่ทัพเฒ่าจะป่วยด้วยโรคระบาดขอรับ”ฉินโจวตกตะลึง “โรคระบาด? เป็นไปได้อย่างไร? ปู่ของข้าไม่เคยออกไปข้างนอก และไม่เคยติดต่อกับผู้ป่วยโรคนี้เลย แล้วเขาจะติดเชื้อโรคระบาดได้อย่างไร?”“ข้าเคยรักษาผู้ป่วยโรคระบาดมาก่อน ซึ่งอาการคล้ายคลึงกันอย่างมาก ผู้ป่วยจะมีไข้สูง ไอ ตาแดง หายใจเร็วขึ้น เมื่อเกิดอาการเหล่านี้พร้อมกันจะอันตรายอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นโรคนี้ยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาดขอรับ” หมอกล่าว“เป็นไปไม่ได้ หากจะติดเชื้อโรคระบาดก็ต้องสัมผัสกับผู้ป่วยที่มีเชื้ออยู่แล้ว แต่ท่านปู่ของข้าไม่เคยใกล้ชิดคนเหล่านั้นเลย แล้วเขาจะติดเชื้อได้อย่างไร?” ฉินโจวยังคงไม่เชื่อหมอประสานหมัด “ทั้งหมดนี้คือคำวินิจฉัยของข้า หากท่านแม่ทัพไม่เชื่อ ก็สามารถขอให้หมอคนอื่นมาตรวจดูได้ หรือท่านจะพาเขาไปที่พระราชวัง และขอให้หมอหลวงช่วยตรวจอาการ ข้าไร้ความสามารถ จึงอาจวินิจฉัยผิดพลาดได้ ลาก่อนขอรับ ๆ!”สิ้นคำ หมอก็หยิบกล่องยาแล้วออกไปโดยไม่เขียนใบสั่งยาด้วยซ้ำฉินโจวสับสนไม่น้อย ท่านปู่ติดเชื้อโร
หัวใจของฉินโจวเย็นเยียบราวกับน้ำ “ใช่ ตราบใดที่ข้าตายในสนามรบ ตระกูลฉินก็ยังจะเป็นผู้กล้า และเป็นขุนนางผู้มีเกียรติ”แม่ทัพเฒ่าฉินเงียบไปครู่ใหญ่ จากนั้นกล่าวคำเบา “ในฐานะหลานสาวตระกูลฉิน มันเป็นหน้าที่ของเจ้าที่ต้องเสียสละเพื่อชื่อเสียง และรากฐานของตระกูล”ฉินโจวกำหมัดแน่นด้วยความไม่พอใจ “หลายปีที่ผ่านมานี้ ข้ายังทำไม่พออีกหรือ? ตอนนี้มีใครในตระกูลฉินบ้างที่ไม่เกาะกินเลือดนี้ของข้า?”แม่ทัพเฒ่าฉินลุกยืนขึ้นพลางกล่าวอย่างเย็นชา “ข้าเคยเตือนเจ้าแล้ว คราวนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เจ้าจะต้องเข้าไปในพระราชวัง ข้าให้คำมั่นกับฮองเฮาเฉาแล้ว ว่าวันนี้เจ้าจะไปที่นั่นเพื่อทูลขอรับคำสั่ง หากเจ้าไม่ไป ข้าก็จะรับคำสั่งและออกรบด้วยตนเอง”“ท่าน...” ฉินโจวมองเขาด้วยสายตาโศกเศร้า “ท่านปู่ ข้าก็เป็นหลานสาวของท่านเหมือนกัน ท่านไม่สงสารข้าบ้างหรือ?”“ปู่สงสารเจ้าสิ แต่ภารกิจหน้าที่ของตระกูลฉินจะต้องถูกส่งต่อ ตอนนี้น้องชายของเจ้าโตพอแล้ว เจ้าจะต้องพาเขาไปสร้างความสำเร็จทางการทหารด้วย และเจ้าจะได้รับส่วนแบ่งของน้องเจ้า เมื่อถึงเวลานั้น ตระกูลฉินก็จะได้ผู้สืบทอดคนใหม่”ฉินโจวผงะไปชั่วครู่ ก่อนระเบิดหัวเราะ
เมื่อได้ยินคำพูดของฉินโจว แม่ทัพเฒ่าฉินก็โมโหมากจนเคราสั่นสะท้าน “อาโจว อะไรจะสำคัญไปกว่าการบรรลุเป้าหมายอันยิ่งใหญ่? องค์จักรพรรดิเพียงต้องการขยายอาณาเขตของแคว้น เจ้าควรรู้เอาไว้ว่าเมื่อเรายึดครองต้าโจวสำเร็จ เป่ยโม่จะมีพื้นที่เพิ่มมากกว่าครึ่งหนึ่ง และมันจะเป็นความดีความชอบของตระกูลฉิน ทำให้ตระกูลของเราถูกจดจำไปหลายชั่วอายุคน! นี่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าต้องการมาตลอดรึ? เจ้าไม่ต้องการบอกคนทั้งโลก ว่าแม้ฉินโจวจะเป็นสตรี แต่นางก็สามารถประสบความสำเร็จได้อย่างผ่าเผยหรือ?”ฉินโจวมองดูใบหน้าที่ฉายแววตื่นเต้นปนโกรธเกรี้ยวของปู่ ทันใดนั้นนางก็สัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติถูกต้อง มันคือความต้องการของนาง แต่ความสำเร็จของนางจะต้องไม่แลกกับการเหยียบย่ำกระดูกของประชาชนชาวเป่ยโม่นางรักเป่ยโม่และหวังที่จะขยายอาณาเขตของแคว้น นอกจากนี้นางยังต้องการเสาะหาดินแดนอุดมสมบูรณ์เพื่อประชาชน เพราะหวังว่าพวกเขาจะสามารถอยู่อาศัยและทำกินอย่างสงบสุข และพึงพอใจโดยไม่ต้องทนทุกข์จากการพลัดถิ่นอย่างไรก็ตาม ในตอนนี้หากต้องการบรรลุอำนาจ นางจำต้องสละชีวิตประชาชนจำนวนมาก และนำเงินภาษีของทุกคนมาใช้ในการทำสงคราม ทำให้โรคร
มือสังหารเหล่านั้นแต่งกายคล้ายกับชาวต้าโจวและสวมหน้ากากผ้าสีดำ กลุ่มคนนิรนามราวเจ็ดถึงแปดคนกระโดดลงมาจากท้องฟ้ากลางวันแสก ๆ ทันทีที่เท้าของคนเหล่านั้นแตะพื้น พวกมันก็เริ่มโจมตีอย่างดุดันฉินโจวเห็นมือสังหารคนหนึ่งกระโดดขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกับกระบี่ยาว จากนั้นร่ายรำอยู่หลายกระบวนท่าราวกับนางฟ้าโปรยดอกไม้ ขณะแสงแดดตกกระทบกระบี่ส่องกระจายไปทั่วเหล่าทหารที่เพิ่งมาถึงกระโจนเข้าไปร่วมวงต่อสู้อย่างรวดเร็วหลังจากประดาบกันไปกว่าร้อยครั้ง มือสังหารก็ถูกบีบบังคับให้ล่าถอย ฉินโจวจ่อกระบี่ไปที่คอของหนึ่งในมือสังหาร พลางถามเสียงเข้ม “ตอบข้า ใครเป็นคนส่งเจ้ามา?”มือสังหารตอบอย่างเย็นชา “ฆ่าไอ้หมารับใช้เป่ยโม่ให้หมด!”“หมารับใช้เป่ยโม่? เห็นได้ชัดว่าพวกเจ้าไม่ได้เป็นคนเป่ยโม่ พวกเจ้ามาจากต้าโจวใช่หรือไม่?” ฉินโจวโมโหอย่างมาก ขณะชี้ดาบไปยังหน้าอกของอีกฝ่าย “ไอ้เลวมู่หรงเจี๋ยส่งพวกเจ้ามาใช่หรือไม่?”“หญิงเลวอย่าเจ้ากล้าเอ่ยชื่อของท่านอ๋อง ทำให้พระองค์มัวหมองได้อย่างไร?” มือสังหารตะโกนฉินโจวชักดาบกลับพร้อมกล่าวอย่างเย็นชา “กลับไปซะ!”มือสังหารตกตะลึง ราวกับไม่คาดคิดว่าฉินโจวจะปล่อยตัวเขาไป”เ
ฉินโจวกล่าวด้วยความโมโห “ข้าหลอกลวงเจ้าเมื่อไร?”“ไม่งั้นรึ? เจ้าและอ๋องฉีเอ่ยปากว่า หากจื่ออันตกลงเดินทางมาที่เป่ยโม่ พวกเจ้าจะส่งองค์ชายรัชทายาทไปที่ต้าโจวเป็นองค์ประกัน แล้วพวกเจ้าทำตามที่พูดแล้วหรือไม่?”“องค์ชายรัชทายาทเดินทางไปยังต้าโจวแล้ว!”“ผู้ที่เดินทางไปยังต้าโจวคือองค์ชายเจ็ด ไม่ใช่องค์ชายรัชทายาท องค์ชายเจ็ดไม่ได้เป็นที่โปรดปราน ดังนั้นจักรพรรดิเป่ยโม่จะส่งเขาไปสังเวยเมื่อใดก็ได้”“เป็นไปไม่ได้!” ฉินโจวประหลาดใจอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าผู้ที่เดินทางไปคือองค์ชายรัชทายาท เพราะองค์จักรพรรดิทรงตรัสด้วยตนเองว่าจะส่งเขาไปที่ต้าโจว“เจ้าอย่าเพิ่งสนใจเรื่องนี้เลย ก่อนหน้านี้ทั้งสองแคว้นตกลงทำสนธิสัญญาสงบศึก หลังจากการแพร่ระบาดสิ้นสุดลง แต่เจ้ากลับวางแผนโจมตีพวกเราในขณะที่ข้ายังอยู่ที่เป่ยโม่ เจ้าจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร?” มู่หรงเจี๋ยกล่าวอย่างเคร่งเครียดฉินโจวตอบ “ผิดแล้ว เป็นเพราะต้าโจวที่เคลื่อนทัพโจมตีทหารฝั่งขวาของเราก่อน และสังหารทหารของเราไปกว่าร้อยคน ข้าจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากเคลื่อนทัพเข้าไปใกล้ เพื่อบีบบังคับให้พวกเจ้าถอยกลับ”“ไร้สาระ กองทัพของเราหยุดเคลื่อนท
อย่างไรก็ตาม การจัดหาเสบียงอาหารสำหรับพื้นที่ภัยพิบัติยังไม่เพียงพอ และยังขาดแคลนเสื้อผ้าอาภรณ์ นอกจากนี้หลังจากที่พระชายาผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มาถึงเป่ยโม่ ก็ยังไม่ได้รับใบสั่งยาแม้แต่ฉบับเดียว ดังนั้นความอดทนของประชาชนจึงค่อย ๆ หมดลง แต่ความโกรธและความขุ่นเคืองกลับยิ่งมากขึ้นทันทีที่ข่าวลือแพร่สะพัด ก็เป็นเสมือนเป็นการขว้างเปลวไฟใส่ ‘ระเบิด’ หนึ่งหมื่นตุน ทำให้มันระเบิดออกอย่างรวดเร็วผู้ประสบภัยนับไม่ถ้วนหลั่งไหลเข้าสู่เมืองหลวงอย่างรวดเร็วหลังจากที่ฉินโจวลงจากภูเขา นางก็พบว่าองค์จักรพรรดิทำอะไรกับทหารม้า และทหารเจ็ดหมื่นนายที่ประจำการที่เมืองหลวง ซึ่งเขาออกคำสั่งให้ทหารเหล่านั้นขับไล่เหล่าผู้ประสบภัยออกไปนางเห็นด้วยตาตนเองว่าทหารใต้บังคับบัญชาของนางสร้างกำแพงมนุษย์อันแน่นหนา เมื่อผู้ประสภัยเดินทางเข้ามา พวกเขาก็จะโบกหอกเพื่อขับไล่คนเหล่านั้นออกไปผู้ประสบภัยมากกว่าสิบรายได้รับบาดเจ็บจากหอกทหารเหล่านั้นอยู่ใต้บังคับบัญชาของนาง แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะไม่ได้ฆ่าผู้ใด แต่เมื่อสถานการณ์รุนแรงขึ้นจะต้องมีการฆ่าแกงกันอย่างแน่นอนฉินโจวโกรธจัดจึงขี่ม้าเข้าไปขวางเอาไว้ “หยุด หยุดเ
ฉินโจวกวาดสายตามองพลางเยาะเย้ยจื่ออันไม่สนใจนาง และพาหลินตานไปยังเขตตะวันตกภายในสองวันนี้มีผู้เสียชีวิตถึงสามคน ซึ่งทั้งหมดถูกหามออกไปหลังจากที่หลินตามเดินเข้ามาเขาหลั่งน้ำตาหลั่งน้ำตาขณะมองดูการเผาศพจื่ออันไม่คิดว่าเขาจะมีความอ่อนไหวมากเพียงนี้ “ท่านหมอหลิน ท่านเป็นอะไรหรือไม่?”หลินตานปาดน้ำตา “ข้าขอโทษ ข้าเพียง... คิดถึงครอบครัวขอรับ”“ครอบครัวของท่าน? แล้วตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ใดหรือ?” จื่ออันถาม“ตายหมดแล้วขอรับ ภรรยาและลูกสะใภ้ของข้าตายเพราะเหตุแผ่นดินไหวทั้งคู่ ส่วนลูกชายและหลานชายติดเชื้อโรคระบาดก่อนตายไปเช่นกัน ข้าจึงเป็นคนเดียวที่เหลือรอด” หลินตานสูดหายใจเข้าลึก ใบหน้าที่อยู่ภายใต้ผมสีขาวฉายแววความเศร้าโศกและหดหู่จื่ออันไม่คาดคิดว่าเขาจะมาจากพื้นที่โรคระบาดเช่นกัน เมื่อเห็นสีหน้าเศร้าสร้อย จื่ออันก็ไม่รู้จะปลอบใจเขาเช่นไร จึงได้แต่นิ่งเงียบและอยู่เคียงข้างไม่นานหลินตานก็ถามว่า “ท่านหมอเซี่ย โรคระบาดนี้สามารถรักษาหายได้จริงหรือขอรับ?”ตอนนั้นเองจื่ออันก็นึกได้ว่าเขาเป็นหมอเท้าเปล่า และหลังจากเดินทางพเนจรไปที่ต่าง ๆ เขาอาจรู้จักจินเย่าฉือก็เป็นได้ ดังนั้นจึงรีบถามว