"อืม ข้ารู้" จื่ออันนำเสื้อคลุมมาให้เขา "วันนี้อากาศค่อนข้างหนาว ใส่เสื้อให้หนาขึ้นสักหน่อย"“ข้าไม่หนาว วันนี้เจ้าจะไปไหนหรือไม่?” มู่หรงเจี๋ยถาม“ข้าจะนอนอีกสักหน่อย เพิ่งจะยามห้าเท่านั้น พอตื่นแล้วข้าจะไปที่จวนองค์หญิง เพื่อเตรียมงานใหญ่ของท่าน” จื่ออันขยี้ตาด้วยความง่วง มู่หรงเจี๋ยเป็นคนขยันขันแข็ง เขาไปที่สำนักตรวจการตั้งแต่เช้าตรู่เสมอ ดังนั้นภายในหนึ่งเดือนจึงมีหลายวันที่นางจำเป็นต้องตื่นแต่เช้า “อืม เช่นนั้นเจ้ากลับไปนอนก่อนเถิด อย่ามัวเสียเวลาอยู่เลย” มู่หรงเจี๋ยจูบหน้าผากของนางด้วยความอ่อนโยนที่หายากจื่ออันกอดเขาและถอนหายใจ "ข้าเสียใจที่ให้สามีออกไปแสวงหาความสำเร็จด้านนอก คนโบราณคงไม่หลอกลวงข้าหรอกใช่หรือไม่!"“อา?” มู่หรงเจี๋ยงงงวยอยู่ครู่หนึ่ง"ไม่มีอะไร ข้าแค่อยากอ้อนท่านเฉย ๆ" จื่ออันเงยหน้าขึ้นและยิ้มอย่างอารมณ์ดีมู่หรงเจี๋ยจิ้มหน้าผากนาง "อายุเท่าไหร่แล้ว ยังทำตัวเป็นเด็กอยู่อีก? ไปนอนซะ!"จื่ออันคลานกลับไปที่เตียง มันยากที่จะโต้แย้งเรื่องนี้ นางไม่ได้อายุแค่สิบหกปี และดูเหมือนนางจะเผลอเปิดเผยอะไรบางอย่างก่อนหน้านี้ โดยโพล่งว่านางเป็นแพทย์ทหารมาหลายปี เพียงแ
เมื่อได้ยินนางพูดเช่นนั้น หวงไท่โฮ่วก็รู้สึกเสียใจเล็กน้อย อันที่จริงคำพูดนั้นไม่ได้มีอะไรไปมากกว่าการที่นางไม่รับปาก เพราะว่าเจ้าแปดเองก็กำลังจะกลับมาแล้วอย่างไรก็ตาม นางจงใจหลีกเลี่ยงมัน ซึ่งนั่นแตกต่างกับสิ่งที่นางเคยพูดไว้ก่อนหน้านี้ว่าไม่สนใจต่อสู้เพื่อสิ่งใดหลังจากแต่งตัวเสร็จแล้ว หวงไท่โฮ่วก็เรียกซุนกงกง "ราชโองการพร้อมแล้วหรือยัง?" ซุนกงกงก้มศีรษะลง "ทูลหวงไท่โฮ่ว พร้อมแล้วพ่ะย่ะค่ะ"หวงไท่โฮ่วกล่าว "เจ้าช่วยอ่านให้ข้าฟังที"ซุนกงกงผงะ “อ่านตอนนี้หรือพ่ะย่ะค่ะ?”“ใช่ อ่านเข้าสิ” หวงไท่โฮ่วสั่งซุนกงกงตอบ "พ่ะย่ะค่ะ เช่นนั้นหม่อมฉันจะไปนำราชโองการมา อย่างไรก็ตาม หวงไท่โฮ่วท่านต้องประทับตราด้วยตัวท่านเองนะพ่ะย่ะค่ะ"ซุนกงกงหันหลังและจากไป เมื่อได้รับราชโองมาแล้ว เขาก็ได้ยินเสียงจากนอกประตู "ผู้สำเร็จราชการแผ่นดินมาถึงแล้ว" หวงไท่โฮ่วตกใจเล็กน้อย "นี่ยังเช้าอยู่เลยไม่ใช่หรือ? เหตุใดถึงมาถึงแล้ว?"มู่หรงเจี๋ยเดินเข้ามาด้วยรอยยิ้ม และรอยยิ้มของเขาก็สงบลงเมื่อเห็นกุ้ยไท่เฟย "เสด็จแม่ ลูกมาที่นี่เพื่อรับราชโองการพ่ะย่ะค่ะ"“อ้าว” หวงไท่โฮ่วแปลกใจ “จะเอาตอนนี้เลยหรือ? เจ
เหล่าขุนนางทุกคนคุกเข่าลงและกล่าวถวายพระพรหวงไท่โฮ่วสามครั้งสำหรับผู้สำเร็จราชการแทนองค์ แม้จะทำหน้าที่เป็นจักรพรรดิชั่วคราว แต่ขุนนางต่างไม่จำเป็นต้องคุกเข่า ให้ พวกเขาแค่คำนับและทำความเคารพต่อเขาเพียงเท่านั้นหลังเสร็จพิธี มู่หรงเจี๋ยนั่งบนเก้าอี้มังกร และมองไปรอบ ๆ หากเขาไม่ยิ้มหน้าเขาจะดุขึ้นเป็นเท่าตัว ดวงตาของเขานั้นเฉียบคม จนแทบไม่มีใครกล้าสบตากับเขาโดยตรง“ก่อนการว่าราชกิจในช่วงเช้าของวันนี้ หวงไท่โฮ่วทรงมีราชโองการที่จะประกาศ ดังนั้นพวกเจ้าควรวางเรื่องที่จะรายงานไว้ก่อน และจงตั้งใจฟังราชโองการของหวงไท่โฮ่ว”หวงไท่โฮ่วมองดูเหล่าขุนนางและทหารทั้งหมดด้วยท่าทางสง่าผ่าเผย "ข้าคิดว่าทุกท่านคงจะทราบกันดีอยู่แล้วว่าองค์หญิงได้ผ่านวัยที่แต่งงานแล้ว ดังนั้นจึงจำเปฺนต้องรีบแต่งงาน แม้ว่าตอนนี้นางจะป่วยอยู่ แต่ข้าคิดว่าถึงเวลาแล้วที่จะหาราชบุตรเขยให้นาง เผื่อว่าบางที โชคของสามีอาจช่วยให้องค์หญิงรอดจากหายนะครั้งนี้ได้”ขุนนางชั้นผู้ใหญ่คนหนึ่งได้เอ่ยปลอบ "ทูลไท่โฮ่ว ได้โปรดทรงวางพระทัย องค์หญิงเป็นคนดีฟ้าย่อมคุ้มครอง"“ใช่แล้ว ด้วยพรจากทุกท่าน นางจะต้องหายดีเป็นแน่” หวงไท่โฮ่วกล่าว
คำพูดเหล่านี้ไม่มีอะไรผิด สิ่งที่เซียวเซียวทำไม่เพียงแต่สมเหตุสมผล แต่ยังถูกกฎหมายอีกด้วยแต่หลักฐานเล่า?ใครจะกล้าสั่งให้มู่หรงเจี๋ยแสดงหลักฐานในท้องพระโรงกัน? ใครจะกล้าตั้งคำถามกับคำพูดของมู่หรงเจี๋ยในห้องโถงนี้? ใครจะกล้าท้าทายอำนาจของเขา? ปกติแล้วราชครูเหลียงเคยกล้าหาญ แต่ตอนนี้ เขาทำได้เพียงซ่อนความแข็งแกร่งและรอเวลา ขอแค่คนอื่นว่าอย่าสร้างปัญหาให้เขาก็พอ เขาจะกล้าสร้างปัญหากับมู่หรงเจี๋ยได้อย่างไร? อีกอย่าง เรื่องนี้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใด ๆ กับเขาเมื่อทุกคนคิดว่าเรื่องนี้กำลังจะพลิกผัน กุ้ยไท่เฟยก็พูดขึ้น "หากหานชิงชิวฆ่าคนจริง ที่เซียวเซียวหย่ากับนางนั้นก็ไม่ถือว่าคือการต่อต้าน เพียงแต่การสืบสวนคดีของเหยาจื่อเป็นอย่างไรบ้าง? ก่อนที่หานชิงชิวจะฆ่าตัวตาย นางสารยอมรับสารภาพแล้วหรือ? และถึงแม้นางจะไม่ยอมรับสารภาพก็จะถูกตัดสินอยู่ดี ตราบใดที่หลักฐานเพียงพอ เหตุใดท่านอ๋องจึงไม่แสดงหลักฐานการฆาตกรรมต่อหน้าทุคน เช่นนั้นแล้วการที่แม่ทัพใหญ่เซียวหย่ากับภรรยานั้นก็จะสมเหตุสมผล และจะได้ไม่มีเรื่องนินทากันอีกในภายภาคหน้า ไม่เช่นนั้นหากองค์หญิงแต่งงานไปก็จะมีเรื่องนินทาเกิดขึ้นอีก ซึ่งไ
มู่หรงเจี๋ยมองไปยังกุ้ยไท่เฟยอย่างเฉยเมย “กุ้ยไท่เฟยเชิญออกจากวังไปก่อนเถิด ข้ามีเรื่องที่ต้องเอ่ยกับเสด็จแม่” กุ้ยไท่เฟยนั่งลงไม่เคลื่อนไหวใด แล้วตอบกลับด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง “ท่านอ๋องมีเรื่องอะไรก็เชิญเอ่ยออกมาเถิด ในเมื่อท่านอ๋องเรียกข้าว่ากุ้ยไท่เฟยแล้ว เช่นนั้นแล้ว เรื่องในวังหลังข้าล้วนแต่ถามไถ่ได้ และสามารถรู้ได้” มู่หรงเจี๋ยเอ่ย “เรื่องในวังหลังสามารถถามไถ่ได้ ทว่าข้าเพียงแต่อยากจะเอ่ยถึงเรื่องระหว่างแม่ลูกกับเสด็จแม่ คงไม่สะดวกนักที่กุ้ยไท่เฟยจะอยู่ด้วย” จู่ ๆ กุ้ยไท่เฟยก็ลุกขึ้นในทันที ดวงตาฉายแววกรุ่นโกรธ “มู่หรงเจี๋ย เจ้าพอได้แล้ว!” แม่ลูก? หรือว่าพวกเขาจะไม่ใช่แม่ลูกกันอย่างนั้นหรือ? เขารู้ว่าใครที่เป็นผู้ให้กำเนิดเขามาหรือไม่? หวงไท่โฮ่วเมื่อเห็นว่าสองแม่ลูกเตรียมที่จะจุดไฟขึ้นมาแล้ว ก็ทรงหยุดความโกรธเอาไว้ชั่วคราว ตรัสออกไปกับกุ้ยไท่เฟย “เจ้ากลับไปก่อนเถิด วันพรุ่งนี้ค่อยมาใหม่” กุ้ยไท่เฟยเอื้อมมือไปประคองมวยผม ความโกรธเกรี้ยวในดวงตาเลือนหายไป แทนที่ด้วยความเฉยเมยปกติของนาง “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็คงจะไม่ขัดขวางท่านอ๋องจะสนทนากันอย่างแม่ลูกแล้ว!” เมื่อเอ่ยจบแล้
เมื่อเห็นว่าคนที่เข้ามาค่อย ๆ ถอดผ้าคลุมออก เผยให้เห็นใบหน้าผอมบางซีดขาว หวงไท่โฮ่วตื่นตกใจลุกขึ้นยืนทันที “สวรรค์ ดวงตาข้าพร่ามัวไปแล้วอย่างนั้นหรือ?” นางซวนเซพุ่งเข้าไปหา คนที่มาประคองนางเอาไว้ พร้อมทั้งกอดเอาไว้แน่น หวงไท่โฮ่วถึงได้รู้สึกพระองค์ขึ้นมา กอดนางเอาไว้แน่นร้องไห้ตรัสออกมา “เป็นก้อนเนื้อล้ำค่าของข้าจริง ๆ!” มู่หรงเจี๋ยยิ้มแล้วก้าวออกมา “เอาล่ะ ร้องเรียกก้อนเนื้อ ยังไม่รู้สึกน่ารังเกียจเกินไปอีกหรือ ท่านอาเล็กไม่อาจยืนนานได้ นางเพิ่งจะดีขึ้น ให้นางรีบนั่งลงเถิด” ไม่ผิด คนที่มานั้นก็คือคนผู้นั้นที่เกือบตายไปแล้ว องค์หญิงใหญ่มู่หรงจ้วงจ้วง หวงไท่โฮ่วรีบร้อนปล่อยนางออกมา จื่ออันก้าวมาช่วยประคองนางนั่งลง “นั่งลงก่อนเถิด อย่าตื่นเต้นไป” “ไม่เป็นไร!” จ้วงจ้วงสูดลมหายใจ ร่างกายของนางอ่อนแอจริง ทว่าพักผ่อนมาสองวันแล้ว ก็ดีขึ้นมากแล้ว “นี่ท้ายที่สุดแล้วมันเรื่องอะไรกัน? เจ้าฟื้นขึ้นมาเมื่อใด? แล้วทำไมข้าถึงได้ไม่รู้กัน?” หวงไท่โฮ่วเช็ดน้ำตาแล้วจึงตรัสถามออกมา จื่ออันเอ่ย “อันที่จริงแล้วสองวันก่อนหน้านั้นก็ตามหาท่านหมอหยวนจนพบแล้ว จากนั้นก็ลอบซื้อเขาละมั่งโลหิตมา ม
จ้วงจ้วงน้ำตาร่วงไหล “ขอโทษด้วยพี่สะใภ้ ข้าไม่ได้ตั้งใจให้ท่านรู้สึกเสียใจ” หวงไท่โฮ่วกอดนางเอาไว้ “เอาล่ะ ล้วนแต่ผ่านพ้นไปแล้ว เจ้าไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว” จื่ออันเอ่ย “ใช่แล้ว ล้วนแต่ผ่านพ้นไปแล้ว อันที่จริงแล้ววันนี้องค์หญิงไม่จำเป็นต้องเข้าวังมา ทว่านางยืนกรานที่จะเข้าวังเพื่อให้ท่านได้พบเห็น หวงไท่โฮ่วถอนหายใจออกมา เหลือบมองไปยังในหน้าซูบผอมนั้น เมื่อนึกถึงเรื่องเหล่านั้นที่องค์จักรพรรดิทรงกระทำไว้ นางก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาอีกครั้ง “ข้าคงต้องขอโทษเจ้าแทนองค์จักรพรรดิสักครั้งหนึ่ง” จ้วงจ้วงยิ้มออกมา ยิ้มเสียจนน้ำตาไหลซึม “ไม่เกี่ยวกับท่าน ไม่จำต้องให้ท่านเอ่ยขอโทษ ส่วนความคิดนั้นขององค์จักรพรรดิ ข้ารู้ ข้าไม่กล่าวโทษเขา บางที หากว่าข้านั่งลงบนตำแหน่งเขา ข้าเองก็อาจจะทำเช่นนี้” “เจ้าคิดเช่นนี้จริง ๆ หรือ?” หวงไท่โฮ่วมองไปยังนางอย่างไม่อยากจะเชื่อ เพราะอย่างไรแล้ว การตัดสินใจเรื่องนี้ขององค์จักรพรรดินั้นก็ทำให้นางทนทุกข์ทรมานไปถึงสิบเอ็ดปี “เป็นผู้มีอำนาจ มีบางอย่างที่ทำอะไรไม่ได้มากมาย ไม่อาจจะใจอ่อนได้แม้แต่น้อย หากว่าเขาคิดถึงงานมงคลของข้าแล้ว ปล่อยให้เกิดความคุกคามเ
ตอนนี้ความเคร่งขรึมของทุกคนล้วนแต่ถูกมู่หรงเจี๋ยยกขึ้นมา ไม่ว่าใครจะหวาดกลัวใคร ใครจะกริ่งเกรงใคร ล้วนแต่ไม่สำคัญ เพราะว่าพระราชเสาวนีย์ได้ประกาศออกมาแล้ว ไม่ว่าเซียวเซียวจะเป็นหรือตาย มู่หรงจ้วงจ้วงนั้น หากว่าไม่ใช่เขาแล้วก็ไม่มีทางแต่งงานด้วย ในวันที่จ้วงจ้วงฟื้นขึ้นมานั้น จื่ออันก็นำเรื่องราวความรักของเซียวเซียวเล่าให้กับนางฟัง จ้วงจ้วงฟังแล้วก็ยิ้มเอ่ยออกมาพร้อมกับน้ำตาคำหนึ่ง “โง่!” จากนั้นน้ำตาของนางก็พรั่งพรูลงมาอย่างหนัก ไม่ว่าอย่างไรก็เช็ดออกไม่ได้ ทว่าก็ไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องราวความรักของทั้งสองคนแม้แต่ประโยคหนึ่ง ไม่มีใครเอ่ยถึงอีก ความรักของพวกเขาเดินมาจนถึงก้าวนี้ หากว่าไม่อาจอยู่ด้วยกันได้อีก เช่นนั้นก็คงจะเป็นโศกนาฏกรรมแล้วจริง ๆ ร่างกายของจ้วงจ้วงยังไม่ฟื้นตัวขึ้นมาอย่างเต็มที่ เพราะฉะนั้นจึงไม่ได้รั้งอยู่ในวังนานนัก หลังจากที่ออกจากวังไปถึงจวนองค์หญิงแล้ว จื่ออันและมู่หรงเจี๋ยก็นั่งอยู่เพียงครู่หนึ่งก็กลับไป ระหว่างทางจื่ออันเอ่ยถามมู่หรงเจี๋ย “จริง ๆ แล้ว ทำไมถึงได้ไม่ส่งทั้งสองคนออกไปกัน? เช่นนี้ก็ไม่ต้องถูกเรื่องทางโลกรบกวน สามารถใช้ชีวิตของตนเองได้” อย่า
ร่างกายของแม่ทัพเฒ่าฉินสั่นสะท้านด้วยความโกรธ “เจ้าสาปแช่งปู่รึ เจ้าเคยคำนึงถึงญาติพี่น้องหรือไม่?”เมื่อหมอหลวงมาถึง กลับไม่มีคนในตระกูลฉินคอยเฝ้าเขาอยู่ในห้อง ดังนั้นจึงมีเพียงแต่บ่าวรับใช้หลังจากตรวจสอบอาการเสร็จ หมอหลวงก็กล่าวด้วยสีหน้าตกตะลึง “ท่านแม่ทัพเฒ่า เมื่อไม่กี่วันมานี้ท่านได้ไปที่ใดมา? แล้วท่านเคยเข้าไปในพื้นที่โรคระบาดหรือไม่?” “ไม่เคย ข้าไม่เคยไปที่นั่น” สีหน้าของแม่ทัพเฒ่าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เมื่อได้ยินคำพูดของหมอหลวง “ท่านกำลังสงสัยว่าข้าติดเชื้อโรคระบาดใช่หรือไม่?”“อาการช่างคล้ายคลึงกันยิ่งนัก” หมอกลวงกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด“เป็นไปไม่ได้!” แม่ทัพเฒ่าฉินรู้สึกตื่นตระหนกอย่างมาก “ท่านวินิจฉัยผิดหรือไม่?”“ข้าจะจัดยาให้ท่านสองชนิดก่อน หากดื่มยาเหล่านี้แล้วไม่ได้ผล เช่นนั้นไม่ใช่ก็ใกล้เคียงแล้วขอรับ” หมอหลวงกล่าวแม่ทัพเฒ่าฉินกล่าวด้วยความลนลาน “ฉินโจวบังคับให้ท่านพูดเช่นนี้ใช่หรือไม่?”หมอหลวงรู้สึกประหลาดใจ “แม่ทัพเฒ่า ท่านหมายความว่าอย่างไร? เหตุใดแม่ทัพฉินถึงต้องบังคับให้ข้าพูดเช่นนี้?”หมอหลวงชะงักไปชั่วครู่หนึ่งแล้วโพล่งถาม “ท่านเคยพูดคุยกับองค์ชายเ
นางสามารถเสียสละได้ แต่จะไม่มีทางทรยศต่อประชาชนเป่ยโม่เด็ดขาดสำหรับความจงรักภักดีต่อองค์จักรพรรดิและประเทศชาติ นางจะต้องรักประชาชนก่อน จึงจะสามารถภักดีต่อองค์จักรพรรดิได้ฉินโจวกล่าวคำเบา “ข้าเข้าไปในพระราชวังเพื่อเชิญหมอหลวงแล้ว ท่านปู่พักผ่อนก่อนเถิด ข้าจะออกไปเดินเล่นรับลมสักหน่อย”ดวงตาของแม่ทัพเฒ่าฉินอัดแน่นด้วยความโกรธ แต่ก็พยายามอย่างหนักเพื่อระงับมันฉินโจวเดินออกจากห้อง และเห็นว่าฉินเป้าน้องชายของตนนั่งอยู่ที่สวน เมื่อเห็นนางเดินออกมา เขาก็ถามว่า “ท่านปู่เป็นอย่างไรบ้าง?”ฉินโจวจำคำพูดของท่านปู่ได้อย่างแม่นยำ จึงเมินเฉยต่อเขาและตอบอย่างใจเย็น “เข้าไปดูด้วยตนเองสิ”ฉินเป้าคลี่ยิ้ม แต่มันกลับดูอ้างว้างอย่างยิ่ง “ข้าได้ยินสิ่งที่ท่านปู่พูดกับท่านแล้ว ข้าไม่อยากเข้าไป”ฉินโจวตกตะลึง “เพราะเหตุใด เขาทุ่มเทความพยายามทั้งหมดไปกับหารวางแผนเพื่อเจ้า เจ้าควรขอบคุณท่านปู่สิ”ฉินเป้าหัวเราะเยาะ “จริงรึ? หากเขาทอดทิ้งท่านเพื่อตระกูลได้ ในอนาคตเขาจะไม่ทอดทิ้งข้าหรือ? ข้าไม่ต้องการชื่อเสียงหรือความดีงามใด ๆ พวกมันไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการเลย”ฉินโจวดูถูกน้องชายมาโดยตลอด เพราะเขาไม่ได
ทั้งสองคนเดินออกไปและหยุดอยู่บนทางเดิน หมอมองฉินโจวพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “ท่านแม่ทัพ ข้ากำลังสงสัยว่าท่านแม่ทัพเฒ่าจะป่วยด้วยโรคระบาดขอรับ”ฉินโจวตกตะลึง “โรคระบาด? เป็นไปได้อย่างไร? ปู่ของข้าไม่เคยออกไปข้างนอก และไม่เคยติดต่อกับผู้ป่วยโรคนี้เลย แล้วเขาจะติดเชื้อโรคระบาดได้อย่างไร?”“ข้าเคยรักษาผู้ป่วยโรคระบาดมาก่อน ซึ่งอาการคล้ายคลึงกันอย่างมาก ผู้ป่วยจะมีไข้สูง ไอ ตาแดง หายใจเร็วขึ้น เมื่อเกิดอาการเหล่านี้พร้อมกันจะอันตรายอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นโรคนี้ยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาดขอรับ” หมอกล่าว“เป็นไปไม่ได้ หากจะติดเชื้อโรคระบาดก็ต้องสัมผัสกับผู้ป่วยที่มีเชื้ออยู่แล้ว แต่ท่านปู่ของข้าไม่เคยใกล้ชิดคนเหล่านั้นเลย แล้วเขาจะติดเชื้อได้อย่างไร?” ฉินโจวยังคงไม่เชื่อหมอประสานหมัด “ทั้งหมดนี้คือคำวินิจฉัยของข้า หากท่านแม่ทัพไม่เชื่อ ก็สามารถขอให้หมอคนอื่นมาตรวจดูได้ หรือท่านจะพาเขาไปที่พระราชวัง และขอให้หมอหลวงช่วยตรวจอาการ ข้าไร้ความสามารถ จึงอาจวินิจฉัยผิดพลาดได้ ลาก่อนขอรับ ๆ!”สิ้นคำ หมอก็หยิบกล่องยาแล้วออกไปโดยไม่เขียนใบสั่งยาด้วยซ้ำฉินโจวสับสนไม่น้อย ท่านปู่ติดเชื้อโร
หัวใจของฉินโจวเย็นเยียบราวกับน้ำ “ใช่ ตราบใดที่ข้าตายในสนามรบ ตระกูลฉินก็ยังจะเป็นผู้กล้า และเป็นขุนนางผู้มีเกียรติ”แม่ทัพเฒ่าฉินเงียบไปครู่ใหญ่ จากนั้นกล่าวคำเบา “ในฐานะหลานสาวตระกูลฉิน มันเป็นหน้าที่ของเจ้าที่ต้องเสียสละเพื่อชื่อเสียง และรากฐานของตระกูล”ฉินโจวกำหมัดแน่นด้วยความไม่พอใจ “หลายปีที่ผ่านมานี้ ข้ายังทำไม่พออีกหรือ? ตอนนี้มีใครในตระกูลฉินบ้างที่ไม่เกาะกินเลือดนี้ของข้า?”แม่ทัพเฒ่าฉินลุกยืนขึ้นพลางกล่าวอย่างเย็นชา “ข้าเคยเตือนเจ้าแล้ว คราวนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เจ้าจะต้องเข้าไปในพระราชวัง ข้าให้คำมั่นกับฮองเฮาเฉาแล้ว ว่าวันนี้เจ้าจะไปที่นั่นเพื่อทูลขอรับคำสั่ง หากเจ้าไม่ไป ข้าก็จะรับคำสั่งและออกรบด้วยตนเอง”“ท่าน...” ฉินโจวมองเขาด้วยสายตาโศกเศร้า “ท่านปู่ ข้าก็เป็นหลานสาวของท่านเหมือนกัน ท่านไม่สงสารข้าบ้างหรือ?”“ปู่สงสารเจ้าสิ แต่ภารกิจหน้าที่ของตระกูลฉินจะต้องถูกส่งต่อ ตอนนี้น้องชายของเจ้าโตพอแล้ว เจ้าจะต้องพาเขาไปสร้างความสำเร็จทางการทหารด้วย และเจ้าจะได้รับส่วนแบ่งของน้องเจ้า เมื่อถึงเวลานั้น ตระกูลฉินก็จะได้ผู้สืบทอดคนใหม่”ฉินโจวผงะไปชั่วครู่ ก่อนระเบิดหัวเราะ
เมื่อได้ยินคำพูดของฉินโจว แม่ทัพเฒ่าฉินก็โมโหมากจนเคราสั่นสะท้าน “อาโจว อะไรจะสำคัญไปกว่าการบรรลุเป้าหมายอันยิ่งใหญ่? องค์จักรพรรดิเพียงต้องการขยายอาณาเขตของแคว้น เจ้าควรรู้เอาไว้ว่าเมื่อเรายึดครองต้าโจวสำเร็จ เป่ยโม่จะมีพื้นที่เพิ่มมากกว่าครึ่งหนึ่ง และมันจะเป็นความดีความชอบของตระกูลฉิน ทำให้ตระกูลของเราถูกจดจำไปหลายชั่วอายุคน! นี่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าต้องการมาตลอดรึ? เจ้าไม่ต้องการบอกคนทั้งโลก ว่าแม้ฉินโจวจะเป็นสตรี แต่นางก็สามารถประสบความสำเร็จได้อย่างผ่าเผยหรือ?”ฉินโจวมองดูใบหน้าที่ฉายแววตื่นเต้นปนโกรธเกรี้ยวของปู่ ทันใดนั้นนางก็สัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติถูกต้อง มันคือความต้องการของนาง แต่ความสำเร็จของนางจะต้องไม่แลกกับการเหยียบย่ำกระดูกของประชาชนชาวเป่ยโม่นางรักเป่ยโม่และหวังที่จะขยายอาณาเขตของแคว้น นอกจากนี้นางยังต้องการเสาะหาดินแดนอุดมสมบูรณ์เพื่อประชาชน เพราะหวังว่าพวกเขาจะสามารถอยู่อาศัยและทำกินอย่างสงบสุข และพึงพอใจโดยไม่ต้องทนทุกข์จากการพลัดถิ่นอย่างไรก็ตาม ในตอนนี้หากต้องการบรรลุอำนาจ นางจำต้องสละชีวิตประชาชนจำนวนมาก และนำเงินภาษีของทุกคนมาใช้ในการทำสงคราม ทำให้โรคร
มือสังหารเหล่านั้นแต่งกายคล้ายกับชาวต้าโจวและสวมหน้ากากผ้าสีดำ กลุ่มคนนิรนามราวเจ็ดถึงแปดคนกระโดดลงมาจากท้องฟ้ากลางวันแสก ๆ ทันทีที่เท้าของคนเหล่านั้นแตะพื้น พวกมันก็เริ่มโจมตีอย่างดุดันฉินโจวเห็นมือสังหารคนหนึ่งกระโดดขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกับกระบี่ยาว จากนั้นร่ายรำอยู่หลายกระบวนท่าราวกับนางฟ้าโปรยดอกไม้ ขณะแสงแดดตกกระทบกระบี่ส่องกระจายไปทั่วเหล่าทหารที่เพิ่งมาถึงกระโจนเข้าไปร่วมวงต่อสู้อย่างรวดเร็วหลังจากประดาบกันไปกว่าร้อยครั้ง มือสังหารก็ถูกบีบบังคับให้ล่าถอย ฉินโจวจ่อกระบี่ไปที่คอของหนึ่งในมือสังหาร พลางถามเสียงเข้ม “ตอบข้า ใครเป็นคนส่งเจ้ามา?”มือสังหารตอบอย่างเย็นชา “ฆ่าไอ้หมารับใช้เป่ยโม่ให้หมด!”“หมารับใช้เป่ยโม่? เห็นได้ชัดว่าพวกเจ้าไม่ได้เป็นคนเป่ยโม่ พวกเจ้ามาจากต้าโจวใช่หรือไม่?” ฉินโจวโมโหอย่างมาก ขณะชี้ดาบไปยังหน้าอกของอีกฝ่าย “ไอ้เลวมู่หรงเจี๋ยส่งพวกเจ้ามาใช่หรือไม่?”“หญิงเลวอย่าเจ้ากล้าเอ่ยชื่อของท่านอ๋อง ทำให้พระองค์มัวหมองได้อย่างไร?” มือสังหารตะโกนฉินโจวชักดาบกลับพร้อมกล่าวอย่างเย็นชา “กลับไปซะ!”มือสังหารตกตะลึง ราวกับไม่คาดคิดว่าฉินโจวจะปล่อยตัวเขาไป”เ
ฉินโจวกล่าวด้วยความโมโห “ข้าหลอกลวงเจ้าเมื่อไร?”“ไม่งั้นรึ? เจ้าและอ๋องฉีเอ่ยปากว่า หากจื่ออันตกลงเดินทางมาที่เป่ยโม่ พวกเจ้าจะส่งองค์ชายรัชทายาทไปที่ต้าโจวเป็นองค์ประกัน แล้วพวกเจ้าทำตามที่พูดแล้วหรือไม่?”“องค์ชายรัชทายาทเดินทางไปยังต้าโจวแล้ว!”“ผู้ที่เดินทางไปยังต้าโจวคือองค์ชายเจ็ด ไม่ใช่องค์ชายรัชทายาท องค์ชายเจ็ดไม่ได้เป็นที่โปรดปราน ดังนั้นจักรพรรดิเป่ยโม่จะส่งเขาไปสังเวยเมื่อใดก็ได้”“เป็นไปไม่ได้!” ฉินโจวประหลาดใจอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าผู้ที่เดินทางไปคือองค์ชายรัชทายาท เพราะองค์จักรพรรดิทรงตรัสด้วยตนเองว่าจะส่งเขาไปที่ต้าโจว“เจ้าอย่าเพิ่งสนใจเรื่องนี้เลย ก่อนหน้านี้ทั้งสองแคว้นตกลงทำสนธิสัญญาสงบศึก หลังจากการแพร่ระบาดสิ้นสุดลง แต่เจ้ากลับวางแผนโจมตีพวกเราในขณะที่ข้ายังอยู่ที่เป่ยโม่ เจ้าจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร?” มู่หรงเจี๋ยกล่าวอย่างเคร่งเครียดฉินโจวตอบ “ผิดแล้ว เป็นเพราะต้าโจวที่เคลื่อนทัพโจมตีทหารฝั่งขวาของเราก่อน และสังหารทหารของเราไปกว่าร้อยคน ข้าจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากเคลื่อนทัพเข้าไปใกล้ เพื่อบีบบังคับให้พวกเจ้าถอยกลับ”“ไร้สาระ กองทัพของเราหยุดเคลื่อนท
อย่างไรก็ตาม การจัดหาเสบียงอาหารสำหรับพื้นที่ภัยพิบัติยังไม่เพียงพอ และยังขาดแคลนเสื้อผ้าอาภรณ์ นอกจากนี้หลังจากที่พระชายาผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มาถึงเป่ยโม่ ก็ยังไม่ได้รับใบสั่งยาแม้แต่ฉบับเดียว ดังนั้นความอดทนของประชาชนจึงค่อย ๆ หมดลง แต่ความโกรธและความขุ่นเคืองกลับยิ่งมากขึ้นทันทีที่ข่าวลือแพร่สะพัด ก็เป็นเสมือนเป็นการขว้างเปลวไฟใส่ ‘ระเบิด’ หนึ่งหมื่นตุน ทำให้มันระเบิดออกอย่างรวดเร็วผู้ประสบภัยนับไม่ถ้วนหลั่งไหลเข้าสู่เมืองหลวงอย่างรวดเร็วหลังจากที่ฉินโจวลงจากภูเขา นางก็พบว่าองค์จักรพรรดิทำอะไรกับทหารม้า และทหารเจ็ดหมื่นนายที่ประจำการที่เมืองหลวง ซึ่งเขาออกคำสั่งให้ทหารเหล่านั้นขับไล่เหล่าผู้ประสบภัยออกไปนางเห็นด้วยตาตนเองว่าทหารใต้บังคับบัญชาของนางสร้างกำแพงมนุษย์อันแน่นหนา เมื่อผู้ประสภัยเดินทางเข้ามา พวกเขาก็จะโบกหอกเพื่อขับไล่คนเหล่านั้นออกไปผู้ประสบภัยมากกว่าสิบรายได้รับบาดเจ็บจากหอกทหารเหล่านั้นอยู่ใต้บังคับบัญชาของนาง แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะไม่ได้ฆ่าผู้ใด แต่เมื่อสถานการณ์รุนแรงขึ้นจะต้องมีการฆ่าแกงกันอย่างแน่นอนฉินโจวโกรธจัดจึงขี่ม้าเข้าไปขวางเอาไว้ “หยุด หยุดเ
ฉินโจวกวาดสายตามองพลางเยาะเย้ยจื่ออันไม่สนใจนาง และพาหลินตานไปยังเขตตะวันตกภายในสองวันนี้มีผู้เสียชีวิตถึงสามคน ซึ่งทั้งหมดถูกหามออกไปหลังจากที่หลินตามเดินเข้ามาเขาหลั่งน้ำตาหลั่งน้ำตาขณะมองดูการเผาศพจื่ออันไม่คิดว่าเขาจะมีความอ่อนไหวมากเพียงนี้ “ท่านหมอหลิน ท่านเป็นอะไรหรือไม่?”หลินตานปาดน้ำตา “ข้าขอโทษ ข้าเพียง... คิดถึงครอบครัวขอรับ”“ครอบครัวของท่าน? แล้วตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ใดหรือ?” จื่ออันถาม“ตายหมดแล้วขอรับ ภรรยาและลูกสะใภ้ของข้าตายเพราะเหตุแผ่นดินไหวทั้งคู่ ส่วนลูกชายและหลานชายติดเชื้อโรคระบาดก่อนตายไปเช่นกัน ข้าจึงเป็นคนเดียวที่เหลือรอด” หลินตานสูดหายใจเข้าลึก ใบหน้าที่อยู่ภายใต้ผมสีขาวฉายแววความเศร้าโศกและหดหู่จื่ออันไม่คาดคิดว่าเขาจะมาจากพื้นที่โรคระบาดเช่นกัน เมื่อเห็นสีหน้าเศร้าสร้อย จื่ออันก็ไม่รู้จะปลอบใจเขาเช่นไร จึงได้แต่นิ่งเงียบและอยู่เคียงข้างไม่นานหลินตานก็ถามว่า “ท่านหมอเซี่ย โรคระบาดนี้สามารถรักษาหายได้จริงหรือขอรับ?”ตอนนั้นเองจื่ออันก็นึกได้ว่าเขาเป็นหมอเท้าเปล่า และหลังจากเดินทางพเนจรไปที่ต่าง ๆ เขาอาจรู้จักจินเย่าฉือก็เป็นได้ ดังนั้นจึงรีบถามว